ครั้งแล้วครั้งเล่าผู้ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายพยายามอย่าง เหนียวแน่นที่จะเอาชนะความล้มเหลวเพื่อมุ่งมั่นสู่ความฝันของเขา เขายืนกรานและเขาสร้างกลยุทธ์เพื่อความสำเร็จของเขา คุณก็เหมือนกัน ถ้าคุณปรารถนาความสำเร็จคุณต้องสร้างกลยุทธ์เพื่อเอาชนะความล้มเหลวให้ ได้ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำบางประการที่จะช่วยคุณได้
1. ทำความเข้าใจว่าความล้มเหลวคืออะไร
ขั้นตอนแรกที่จะเอาชนะความล้มเหลว คือ การทำความเข้าใจกับความล้มเหลวเสียก่อนว่ามันคืออะไร ความล้มเหลวคือความล่าช้าชั่วขณะ ความล้มเหลวไม่ใช่จุดสิ้นสุด นอกจากคุณจะทำให้มันสิ้นสุด ความล่าช้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ความกดดันไม่ใช่สิ่งถาวร ความล้มเหลวเปรียบเสมือนหลักกิโลบนถนนสู่ความสำเร็จ ไม่ใช่ตะปูตอกโลงศพ คุณมองความล้มเหลวอย่างไรขึ้นอยู่กับทัศนคติของคุณเอง
2. ทบทวนความล้มเหลวเพื่อเรียนรู้
ความล้มเหลวควรเป็นครูของเรา ไม่ใช่ความสัปเหร่อของเรา ความล้มเหลวเป็นความล่าช้าไม่ใช่ความปราชัย มันเป็นทางเบี่ยงชั่วคราวไม่ใช่ทางตัน ถ้าคุณสามารถมองความล้มเหลวเป็นเช่นนี้ได้ คุณจะเป็นอิสระและพร้อมที่จะก้าวไปสู่ขั้นที่สองของการเอาชนะความล้มเหลว คุณต้องสามารถมองเห็นความล้มเหลวเป็นโอกาสที่จะเรียนรู้ให้ได้
ครั้งต่อไปถ้าคุณล้มเหลว จงทบทวนดูว่าเกิดอะไรขึ้น และพยายามค้นหาว่าอะไรเป็นสาเหตุของความล้มเหลว สำรวจดูแล้วปรับปรุง คุณจะพยายามใหม่ได้ดีกว่าเก่า ครั้งต่อไปคุณจะฉลาดขึ้นและพร้อมขึ้นที่จะก้าวสู่ความสำเร็จ
3. รู้จุดอ่อนของคุณเอง
สิ่งที่ยากที่สุดในการเรียนรู้จากความล้มเหลว คือ การค้นหาและเผชิญกับจุดอ่อนของคุณเอง ซึ่งเป็นต้นเหตุของความผิดพลาดทั้งหลาย การจะทำเช่นนั้นต้องการความซื่อสัตย์และจริงใจอย่างแท้จริง เมื่อคุณค้นพบจุดอ่อนของตนเองได้แล้วก็ถึงเวลาที่จะใช้วินัยของตนเองแก้ไข จุดอ่อนนั้น
คนส่วนมากมีปัญหาเรื่อง “เมาคลื่น” ในรูปแบบต่างๆกัน บางคนมีปัญหาทางกายภาพ แต่บางคนก็มีปัญหาทางจิตใจ การสร้างวินัยที่จะเอาชนะสิ่งที่ได้อยู่ที่การต่อสู้อย่างสงบภายในใจของเรา เอง มันเป็นสิ่งที่ไม่มีเหรียญรางวัล แต่ถ้าเราทำได้สำเร็จเราจะได้รับความพอใจอย่างไม่มีอะไรระงับได้ที่เรารู้ ว่าเราได้เพียรพยายาม และไม่ยอมให้ความล้มเหลวส่วนตัวมาทำให้เราต้องพ่ายแพ้
4. ปรับความพยายามของคุณใหม่
ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งในกระบวนการเอาชนะความล้มเหลวคือ การปรับเปลี่ยนความพยายามที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ คุณไม่สามารถเอาชนะความล้มเหลวได้ด้วยการทำสิ่งผิดๆซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่บางคนก็ยังทำอย่างนั้นอยู่ เขาทำผิดซ้ำซากแล้วยังหวังผลที่ต่างจากเดิม
แพทย์ศัลยกรรมตกแต่งที่มีชื่อเสียงจากเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี สหรัฐอเมริกาเล่าว่า มีผู้ป่วยคนหนึ่งเป็นเด็กชาย มือของเขาด้วนถึงข้อมือ เมื่อหมอถามเด็กคนนั้นถึงความพิการของเขา เด็กคนนั้นตอบว่า “ผมไม่มีความพิการครับ ผมเพียงแต่ไม่มีมือขวาเท่านั้นเอง”
ระยะต่อมาแพทย์ผู้นั้นพบว่าเด็กคนนั้นกลายเป็นดาราทำคะแนนนำในทีมอเมริกัน ฟุตบอลประจำโรงเรียนของเขา เขาไม่ยอมปล่อยให้ข้อบกพร่องที่เห็นๆอยู่นั้นมาทำให้ตนเองต้องยอมจำนน เขาเพียงแต่ปรับตัวเสียใหม่ในสิ่งที่จำเป็นต่อความสำเร็จเท่านั้น
5. สู้ใหม่
คือ กลยุทธ์สุดท้ายในการเอาชนะความล้มเหลว เมื่อวิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่าง และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์แล้ว เหมือนดังเด็กชายที่ไม่มีมือคนนั้น เราต้องกลับเข้าไปสู้ใหม่ ถ้าคุณไม่กลับเข้าไปคุณก็จะไม่มีโอกาสสำเร็จ
เมื่อคุณมีชีวิตอยู่อย่างสุดขอบแสดงว่าคุณก้าวหน้ามาก แต่คุณก็จะทำผิดพลาดได้มาก ถ้าคุณเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้นคุณจะอยู่บนเส้นทางสู่ความสำเร็จที่ ยิ่งใหญ่ขึ้น
เมล็ดพันธุ์แห่งความท้อแท้
เราทุกคนล้วนมีเมล็ดพันธุ์แห่งความท้อแท้โปรยอยู่ในชีวิต ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไร เราจะรดน้ำให้ปุ๋ยเพื่อให้มันเติบโตแล้วเบียดเบียนเราจนตายหรือเราจะปล่อย ให้มันอดอาหารอยู่อย่างนั้น จะได้ไม่มีโอกาสเติบโตมาทำอันตรายเรา
1. การมองแต่ตัวเอง
สาเหตุแห่งความท้อแท้ที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่ง คือ ความเห็นแก่ตัว เมื่อไรที่คนเราเล็งเป้าหมายที่ตัวเอง และวัดกิจกรรมทุกอย่างในชีวิตประจำวันออกมาเป็นผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับ เมื่อนั้นเขากำลังรดน้ำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความท้อแท้
บ่อยครั้งผู้ให้คำปรึกษาจะแนะนำคนที่ท้อแท้หรือซึมเศร้าให้ออกมาอยู่ ท่ามกลางผู้คน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีโชคน้อยกว่าเขา) และทำอะไรให้คนอื่นบ้าง จะทำให้คนที่ท้อแท้เริ่มมองตัวเองน้อยลง เมื่อความเห็นแก่ตัวของเขาลดลงความท้อแท้ก็จะลดลง ถ้าคุณท้อแท้ง่ายคุณอาจจะลองใช้เวลาช่วยเหลือและบริการผู้อื่นดูบ้าง มันเป็นวิธีช่วยตัวเองที่ยอดเยี่ยมด้วยการทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
2. ความเชื่อที่ว่าโอกาสผ่านไปหมดแล้ว
ความเชื่อนี้ทำให้คนท้อแท้ได้รวดเร็วกว่าสิ่งอื่นๆ การสูญเสียโอกาสนำไปสู่การศสูญสิ้นความหวัง และนำไปสู่ความท้อแท้
จงจำความจริงที่สำคัญไว้อย่างหนึ่งว่า โอกาสที่ผ่านพ้นไปจะดูใหญ่กว่าโอกาสที่ใกล้เข้ามาเสมอ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คนหลายคนมองเห็นโอกาสที่เขาพลาดได้ง่ายมาก แต่โอกาสที่ยังไม่ผ่านเข้ามาจะเห็นได้ยากกว่า เมื่อคุณเห็นโอกาสที่พลาดไปได้ง่าย และไม่สามารถเห็นโอกาสที่กำลังมา คุณก็จะท้อ แต่มีข่าวดี ยังมีโอกาสใหม่ๆอยู่ในสายตาเราเสมอ เพียงแต่ตอนนี้คุณจะมองเห็นมันหรือไม่เท่านั้น
1. รักษาระดับความคิดของคุณเองไว้ ถ้าคุณระลึกไว้เสมอว่า โอกาสใหม่ๆจะยังมีมาเสมอ คุณไม่ต้องเสียเวลาไปกังวลกับโอกาสที่คุณพลาดไป แล้วคุณก็จะไม่สะสมความท้อแท้
2. หัดมองให้เห็นโอกาสเมื่อมันมาถึง ถ้าคุณฝึกตัวเองให้มองเห็นโอกาส คุณก็จะสามารถไขว่คว้ามัน คุยกับผู้ประสบความสำเร็จ ผู้ซึ่งเคยไขว่คว้าโอกาส ถามเขาว่าเขาเห็นมันได้อย่างไร อ่านหนังสือของคนสำคัญๆ แล้วพยายามเรียนรู้ว่าเขาประสบความสำเร็จได้อย่างไร ปลูกฝังทัศนคติในตัวคุณให้เป็นคนมองหาโอกาสอย่างสม่ำเสมอ
3. ความเชื่อที่ว่าความสำเร็จควรจะเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด
ความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วครู่ มันเป็นผลของความพยายามอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ถ้าคุณยอมรับความจริงข้อนี้ เมื่อความสำเร็จไม่มาเพียงข้ามคืนคุณก็จะไม่ท้อ
จำไว้เสมอว่า ไม่มีการรับประกันว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้อย่างทันทีทันใด มันต้องใช้เวลา คนที่เราคิดว่าความสำเร็จของเขาเกิดเพียงชั่วข้ามคืน เขาได้ทำงานมาก่อนนั้นแล้วเป็นแรมปีก่อนจะมาถึงจุดนั้น เขาเป็นคนที่มีอุตสาหะอย่างต่อเนื่อง โดยรู้ดีว่าความสำเร็จจะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่ท้อถอย
4. ขาดวัตถุประสงค์และแผนงาน
ประการสุดท้ายคนหลายๆคนท้อแท้เพราะขาดวัตถุประสงค์และแผนงานเพื่อ บรรลุความำสเร็จ โธมัส เอ. เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ จานเสียงและสิ่งประดิษฐ์อื่นอีกนับพันได้อธิบายปัจจัย 5 ประการที่เขาเห็นว่าสำคัญที่สุดในการประดิษฐ์คิดค้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเขาทำการวางแผนอย่างมีวัตถุประสงค์ได้อย่างไร ปัจจัยเหล่านี้มีดังนี้
พัฒนาความยืนหยัดในทางบวก
ขณะที่กำลังพยายามเพื่อความสำเร็จนั้น เราไม่ควรมองข้ามความสำคัญของความยืนหยัด เพราะมันเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งที่เราต้องปลูกฝังเพื่อเอาไว้ขจัดความท้อ แท้ ต่อไปนี้เป็นคุณสมบัติ 6 ประการที่จะช่วยพัฒนาความยืนหยัด
1. มีวัตถุประสงค์ชัดเจน ขั้นแรกทีสำคัญที่สุดในการสร้างความยืนหยัด คือ ต้องรู้ว่าเราต้องการอะไร ยิ่งมีแรงจูงใจมากก็ยิ่งช่วยให้เราเอาชนะความยากลำบากได้มาก
2. มีความปรารถนา ยิ่งเรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในสิ่งที่ต้องการก็ยิ่งเป็นการง่ายที่เราจะยืนหยัดเพื่อให้ได้ในสิ่งนั้น
3. มีเป้าหมายที่แน่นอน เป้าหมายและแผนงานที่วางไว้อย่างรัดกุมจะส่งเสริมให้เรายืนหยัด
4. มีความรู้อย่างถูกต้อง เราต้องศึกษาให้ถ่องแท้ เมื่อเรารู้ว่าแผนงานที่วางไว้นั้นใช้การได้ (โดยอาศัยประสบการณ์และการสังเกต) ก็จะยิ่งส่งเสริมให้เรายืนหยัด แต่ถ้าเราใช้วิธีคาดเดาแทนที่จะศึกษาให้ถ่องแท้ก็จะให้ผลไปในทางตรงกันข้าม
5. มีความร่วมมือ รักษาทัศนคติแห่งความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจและการทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างราบรื่น จะช่วยพัฒนาความยืนหยัด
6. มีกำลังใจ การมีสมาธิอย่างเหนียวแน่นที่จะทำตามแผนงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ให้ได้ทำให้เรายืนหยัด
7. มีนิสัยดี ความยืนหยัดเกิดจากอุปนิสัย ใจเราจะซึมซับประสบการณ์ที่ได้ในแต่ละวัน แล้วก็จะเป็นอย่างนั้น
1. คิดถึงความล้มเหลวครั้งสุดท้ายที่ผ่านมาพยายามเรียนรู้จากความล้มเหลวนั้นโดยถามตัวเอง ดังต่อไปนี้ :
ก. อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลวนั้น
ข. คราวต่อไปในสถานการณ์คล้ายคลึงกันนี้ เราจะต้องปรับปรุงอะไรบ้างเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ
ค. จุดอ่อนของเราเองมีส่วนในความล้มเหลวนั้นด้วยหรือเปล่า ถ้าใช่เราจะวางแผนแก้ไขจุดอ่อนนั้นอย่างไร
ง. ถ้ายังไม่กลับไปเริ่มใหม่จะต้องทำอย่างไรจึงจะกลับไปเริ่มได้
2. ความล้มเหลวอาจจะนำไปสู่โอกาสที่คาดไม่ถึงก็ได้
ลองสำรวจดูความล้มเหลวในอดีตที่ผ่านมาที่เอื้ออำนวยให้คุณได้พบโอกาสที่คาด ไม่ถึง แทบทุกคนจะต้องเคยประสบมาบ้างอย่างน้อยก็สักครั้งสองครั้ง นึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้น แล้วลองพิจารณาดูความล้มเหลวในปัจจุบันว่าอาจจะมีโอกาสอะไรปรากฏขึ้นมาบ้าง หรือไม่ ทำอย่างไรจะไขว่คว้าโอกาสนั้นไว้ได้
3. เลือกผู้ประสบความสำเร็จที่คุณรู้จัก 3 คน นัดหมายกับเขาเพื่อขอคำแนะนำว่าเขาพบโอกาสในชีวิตของเขาได้อย่างไร
4. อ่านชีวประวัติของบุคคลที่คุณเลื่อมใสในความสามารถและความเหนียวแน่นที่จะเอาชนะความล้มเหลว
5. เขียนกฏแห่งความยืนหยัดของตัวคุณเองขึ้น แล้วเอาติดไว้ในที่ที่คุณเห็นได้ทุกๆวัน ประเมินตนเองเป็นระยะๆว่าคุณทำตามกฏนั้นแล้วหรือยัง
ไม่มีความเห็น