ถ้าเรามองว่า แก่นระดับรากฐานของเอกสาร ก็คือ "ข้อมูล"
ก็จะคล้ายกับกรณีของคน ว่ามีแก่นข้อมูลรากเหง้ากดำรงอยู่สองระดับ คือระดับปัจเจก และระดับสังคม
ในระดับปัจเจก แก่นของข้อมูลรากเหง้า อยู่ใน DNA
ในระดับสังคม แก่นของข้อมูลรากฐาน จะอยู่ในวิธีคิด วิธีมอง วิธีทำ
วิธีคิด = องค์ความรู้ กฎหมาย วิทยาศาสตร์
วิธีมอง = ระบบความเชื่อ วัฒนธรรม ศาสนา
วิธีทำ = วิทยาการ เทคโนโลยี
KM ก็เป็นตัวอย่างของข้อมูลในระดับสังคม ที่พยายามทำให้วิธีคิด วิธีมอง วิธีทำ สามารถหลุดออกมาจากรายคน เพื่อส่งต่อให้สังคมได้
หรือแม้แต่ระบบ AI (artifcial intelligence) ก็เน้นการดึงสาระออกมาจากข้อมูล
มองในแง่นี้ ถ้าเอกสารไม่มีชีวิต มันก็กลายเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกล อยู่นอกตัว อยู่นอกวิถีชีวิตของคน
แต่ถ้าเอกสารมีชีวิต มันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ที่ต้องคู่ไปกับคน ต้องวิวัฒนาการไปด้วยกัน ต้องสืบทอดไปด้วยกัน เอกสารก็จะเป็นเส้นประสาทที่เชื่อมโยงเซลล์ประสาทของสังคมเข้าด้วยกัน
เอกสารไม่มีชีวิต ก็จะเหมือนเส้นประสาทที่ฝ่อง่าย มีอายุสั้น และจะทำให้สังคม"ขี้ลืม"
แต่มองให้ลึกกว่านั้น เอกสารยังทำหน้าที่ระยะยาวที่สำึัคัญ คือการเป็น DNA ให้กับอารยธรรม
DNA ที่ตัดขาดจากเซลล์ ก็เป็นเพียงขยะ แต่เมื่ออยู่เป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ DNA ก็จะกลายเป็นใจกลางเชิงนามธรรมที่พึงปกป้องไว้ให้พ้นจากไวรัส ให้พ้นจากการถูกบ่อนทำลายของสิ่งแวดล้อมที่บีบคั้น
search engine ก็เป็นรูปแบบหนึ่งของเอกสารที่มีชีวิต เพราะทำให้ระบบประสาทมีความสามารถหยั่งรากไปดูดซับข้อมูลจากแหล่งที่มีข้อมูลอยู่ได้ง่าย และเ็ร็ว
กลับมาดูว่าชีวิตต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง
'มีชีวิต' เป็นสิ่งที่นิยามยากมาก แต่ถ้าใช้เกณฑ์อย่างคร่าว ๆ ก็คงแจกแจงออกมาได้ทำนองนี้
เมื่อร้อยปีก่อน มีวิศวกรชาวสหรัฐชื่อ Emerson Harrington เขียนหนังสือชื่อ The Twelve Principle of Efficiency ไว้ ซึ่งเขามองระบบการจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไว้อย่างน่าคิดมาก ก่อนที่โลกจะรู้จักคำว่าระบบประกันคุณภาพเสียอีก ซึ่งบังเอิญว่าเป็นระบบคิดที่นำมาประยุกต์ใช้กับระบบเอกสารได้ค่อนข้างเป็นรูปธรรม ผมจึงลองปรับแนวคิดดังกล่าวสรุปไว้เป็นประเด็นต่าง ๆ ซึ่งจะสอดคล้องกับนิยามของสิ่งมีชีวิตอย่างคร่าว ๆ ข้างต้น
ไม่มีความเห็น