คดีสมานฉันท์ในงานคุมประพฤติ
นับตั้งแต่กรมคุมประพฤติได้นำเอากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) มาใช้ในงานสืบเสาะและพินิจในรูปแบบการประชุมประสานสัมพันธภาพ (Restore-Relationship) โดยมีพนักงานคุมประพฤติที่ผ่านการอบรมมาโดยเฉพาะทำหน้าที่เป็นคนกลาง ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้พบปะกัน ให้ผู้เสียหายได้บอกเล่าความเสียหายที่ได้รับเล่าถึงความรู้สึกหรือผลกระทบทางจิตใจที่ได้รับจากอาชญากรรม ให้ผู้กระทำผิดได้แสดงความรับผิดชอบในการกระทำของตนต่อผู้เสียหายโดยตรง และเป็นไปตามความต้องการที่แท้จริงของผู้เสียหาย
ในปัจจุบันนี้ปรากฏว่ามีหลาย ๆ คดีที่ผ่านการประชุมประสานสัมพันธภาพแล้วประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ สามารถผสานรอยร้าวระหว่างผู้กระทำผิด เหยื่อและ/หรือชุมชน อันจะนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคม ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ จึงได้รวบรวมและนำเสนอตัวอย่างคดีที่ประสบผลสำเร็จในการนำเอากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ในงานสืบเสาะและพินิจ
ตัวอย่าง คดีลักทรัพย์ น.ส.เก๋ อายุ 20 ปี เกิดในครอบครัวที่บิดามารดาประกอบอาชีพรับราชการ มีฐานะปานกลาง น.ส.เก๋ เป็นเด็กที่ตั้งใจเรียน มีผลการเรียนและเข้าร่วมกิจกรรมที่ทางโรงเรียนจัดมาโดยตลอด จนได้รับรางวัลต่าง ๆ หลายรางวัล ต่อมาเมื่อสำเร็จการศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถผ่านการสอบคัดเลือกได้ที่สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ได้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มารดาของ น.ส.เก๋ เป็นห่วงในความปลอดภัยของบุตรสาวของตนจึงต้องการให้บุตรสาวของตนลาออกแล้วไปเรียนกวดวิชาเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีถัดไป ซึ่งโดยส่วนตัว น.ส.เก๋ รู้สึกไม่เต็มใจที่จะลาออกสักเท่าไรนัก จนกระทั่งในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 น.ส.เก๋ ได้เข้าไปเดินเที่ยวในห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส ก็เกิดความรู้สึกอยากขโมยของ จึงได้ขโมยเครื่องสำอางมูลค่าประมาณ 3,000 บาท ด้วยการซ่อนไว้ในเสื้อผ้า แต่ก็ถูกจับได้และถูกดำเนินคดีในเวลาต่อมาในระหว่างการสืบเสาะและพินิจ พนักงานคุมประพฤติเจ้าของสำนวนได้ชี้แจงเกี่ยวกับการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ ทั้งสองฝ่ายเห็นด้วยที่จะนำกระบวนการนี้มาใช้ พนักงานคุมประพฤติจึงนัดหมายให้มีการประชุมประสานสัมพันธภาพ โดยในวันประชุมผู้ที่เข้าร่วมประชุม 5 คน ได้แก่ น.ส.เก๋, มารดาของ น.ส.เก๋, ตัวแทนห้างฯ, พนักงานคุมประพฤติเจ้าของสำนวนและพนักงานคุมประพฤติผู้ที่ทำหน้าที่เป็นคนกลาง
ในระหว่างการประชุม ตัวแทนของห้างฯ ได้พูดถึงความเสียหายว่า ในแต่ละเดือนทางห้างฯ จะต้องสูญเสียประโยชน์จากสินค้าที่สูญหายโดยไม่สามารถจับตัวผู้กระทำผิดได้ จึงต้องมีมาตรการจัดตั้งผู้รักษาผลประโยชน์ในส่วนนี้ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของตัวแทนห้างฯ โดยมีนโยบายว่าถ้าสินค้าที่ขโมยไม่เกิน 800 บาท ก็จะไม่ดำเนินคดี โดยให้ชดใช้ตามราคาสินค้านั้น แต่ในกรณีของ น.ส.เก๋ ได้ขโมยสินค้าที่มีราคามากกว่า 800 บาท ด้วยเหตุนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินคดีกับ น.ส.เก๋ ฝ่าย น.ส.เก๋ ได้เล่าว่า ที่ได้กระทำไปเพื่อความสนุกและต้องการประชดมารดาที่ให้ออกจากการเรียน และร้องไห้สำนึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนมารดาของ น.ส.เก๋ ยอมรับว่าสาเหตุที่ทำให้ น.ส.เก๋ กระทำความผิดในครั้งนี้ ตนก็มีส่วนผิดด้วยเช่นกัน เนื่องจากไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการเรียนของบุตรสาว แต่สิ่งที่ทำไปเพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของบุตรสาว นอกจากนี้ยังได้พูดคุยในเรื่องที่ครอบครัวของ น.ส.เก๋ เป็นลูกค้าประจำของห้างฯ เดือนละ 2 - 3 ครั้ง และได้ยกมือไหว้แสดงความขอโทษต่อตัวแทนห้าง จนทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจเหตุผล ความเสียหายและผลกระทบของกันและกัน สุดท้ายจึงได้ทำข้อตกลงกันขึ้นโดยมีรายละเอียดว่า น.ส.เก๋ ได้สำนึกผิดและรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป และให้สัญญาว่าจะไม่กระทำเช่นนี้อีก และครอบครัวของ น.ส.เก๋จะยังคงเป็นลูกค้าที่ดีของห้างเหมือนเดิมต่อไป ส่วนตัวแทนห้างฯ ไม่รู้สึกติดใจกับความเสียหายของสินค้า เพราะเนื่องจากได้รับสินค้าคืน และทางห้างก็ไม่ได้หาผลประโยชน์จากลูกค้าที่ขโมยของและไม่ติดใจดำเนินคดีกับ น.ส.เก๋ ทั้งในทางแพ่งและอาญา
หลังจากนั้น
พนักงานคุมประพฟติเจ้าของสำนวนได้นำเสนอรายงานสืบเสาะและพินิจ
ซึ่งมีการนำกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้ต่อศาล
และศาลได้พิพากษาจำคุก น.ส.เก๋ 6 เดือน ปรับ
3,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอการลงโทษ 1
ปี และให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพ
ฤติ 2 เดือนต่อครั้ง เป็นระยะเวลา 1
ปี ทำงานบริการสังคม 20 ชั่วโมง ปัจจุบันนี้
น.ส.เก๋ อยู่ในระหว่างปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลเป็นอย่างดี
ไม่มีความเห็น