ย้อนไป 10 ที่ผ่านมา เราอยู่ในยุคที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ส่งผลให้เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทในทุกวงการ โดยเฉพาะในเรื่องของการติดต่อสื่อสาร เครื่องมือยอดฮิตได้แก่ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนบางครั้งขนานนามยุคนี้ว่า ยุคไร้พรมแดน และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บางคนยึดติดกับสิ่งเหล่านี้มากเกินไป แต่เราลืมนึกไปหรือไม่ว่า การติดต่อสื่อสารที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของข้อมูล และไม่มุ่งเน้นถึงความรู้สึกของคน จิตใจที่แบ่งปัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ถ้าเราลองย้อนกลับไป 20-30 ปีที่แล้ว การติดต่อสื่อสารมักใช้เป็นในลักษณะ การสื่อสารที่ต้องอาศัยเวลาในการเดินทาง เช่น การส่งจดหมายไปหาคนรักในแดนไกล ผู้ส่งเองก็ต้องวางแผนว่า กี่วันจดหมายจะไปถึง เมื่อส่งจดหมายไปแล้ว ผู้รับก็เฝ้ารอคอยจดหมายนั้น เราจะเห็นว่ามีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเกิดคุณค่าของการรอคอย ทั้งของผู้ให้และผู้รับ หรือแม้แต่การพบหน้าพบตากันและเดินทางไปหา ในสมัยก่อนย่อมใช้เวลาและอาศัยความอดทนสูงมาก แต่ในปัจจุบันการพบหน้าพบตากัน อาจไม่จำเป็นเสียแล้ว เพราะเรามีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการติดต่อสื่อสารให้มีความสะดวกขึ้น แต่คุณคงลืมไปว่า การสื่อสารด้วยการพบหน้าพบตา การพูดจากใจด้วยความรู้สึกเชิงบวก สื่อออกผ่านแววตาและถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด แสดงให้เห็นเอกลักษณ์ของคนๆ นั้น รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ด้วยความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน เริ่มขาดหายไปในสังคมไทยมากขึ้นทุกทีๆ
และมิติใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคมด้วยการสื่อสารผ่านการพบหน้าพบตา หรือผ่านโลกไซเบอร์ที่แฝงด้วยพลังของจิตวิญญาณ แฝงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ แฝงความไว้เนื้อเชื่อใจ แฝงความเชื่อมั่นระหว่างคน ย่อมก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่แนบแน่น เป็นสัญญาทางใจมากกว่าลายลักษณ์อักษร เกิดความเชื่อมโยงและยึดโยงกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ผูกพันกันเพิ่มมากขึ้นเป็นกลุ่มก้อน และขยายออกไปสู่นอกกลุ่ม เกิดความสัมพันธ์ทั่วองค์กรและข้ามองค์กร กอดกันอย่างหลวมๆ แต่แน่นเฟ้นด้วยมิตรภาพและความเป็นกัลยาณมิตร
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเราเริ่มเห็นเป็นตัวเป็นตนจับต้องได้มากขึ้น ผ่านเครื่องมือการจัดการความรู้ที่ สคส. แนะนำให้ทดลองใช้ในบริบทของแต่ละหน่วยงาน/องค์กร และเน้นย้ำอย่างชัดเจนในการดำเนินงานที่ไม่สร้างภาระแก่งานประจำ ทำให้เนียนเข้าไปในเนื้องาน แล้วนำความสำเร็จเล็กๆ ความภาคภูมิใจมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันผ่านพื้นที่แบบพบหน้า หรือ ICT ด้วยบรรยากาศที่เป็นอิสระ อิสระจากกรอบ อิสระจากเกณฑ์ต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมาแต่ดั้งเดิม ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ผ่องใส พร้อมเป็นผู้ให้และรับอย่างไม่ยึดติด และยิ่งในพื้นที่พบหน้าเจอตากันและมีการซักถามกันด้วยคำพูดที่นุ่มนวล เชิงบวก มากกว่าการซักถามด้วยการคาดคั้นคำตอบ การแสดงท่าทีสนใจ อยากรู้อยากเห็น ผ่านแววตาและรอยยิ้มที่เป็นมิตร ย่อมกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันมากขึ้น เกิดการยกระดับความรู้หมุนเวียนเป็นเกลียวคลื่นไหลเวียนทั่วหน่วยงานและองค์กร
ถามว่าแล้วมันเกิดผลดีอย่างไร ได้อะไรจากเรื่องเหล่านี้ คงต้องถามใจตัวเองก่อนว่าคาดหวังจะเกิดอะไรกับสิ่งที่เรียนรู้ บางครั้งการคาดหวังอาจจะทำให้เราติดกรอบความคิดของตัวเองและไม่หลุดออกจากกรอบเดิม การไม่คาดหวังอาจจะได้มากกว่าสิ่งที่คาดหวังก็ย่อมเป็นไปได้ แต่ใช้ได้เฉพาะบางเรื่องนะคะ ไม่หมดทุกเรื่อง อยู่ที่เราจะมุ่งสนใจไปมากกว่า
ถามจ๊ะจ๋าว่ารู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด ซึ่งต้องออกตัวก่อนว่าเป็นความรู้สึกจากใจของตนว่า ตั้งแต่สัมผัสแวดวงการจัดการความรู้ ด้วยระยะเวลาไม่ถึงปี แต่กลับพบว่า พบบรรยากาศที่เจอะเจอ ที่สัมผัสแตกต่างไปจากเดิมอย่างมากมาย ไม่ได้คิดว่าจะจู่โจมทันทีแต่ มันสะสมทีละเล็กละน้อยมากกว่า จากหลายๆ สิ่ง ตั้งแต่ การได้รู้จักผู้คนที่หลากหลายในสังคม ตั้งแต่ข้าราชการระดับสูง จนถึงชาวบ้านตามท้องไร่ท้องนา การได้รับแนวคิดที่หลากหลายของผู้คน การได้เรียนรู้ร่วมกันทั้งทักษะการทำงานและชีวิต การได้รับรู้ถึงความรู้สึกของคนเหล่านั้นสะท้อนผ่านเรื่องเล่าการทำงานที่บันทึกลงในบล็อก gotoknow.org รับรู้พลังในการสร้างสรรค์ผลงานผ่านวิถีชีวิตของคน ผลักดันให้จ๊ะจ๋ามีแรงใจในการทำงานร่วมทีมงานนี้ และอยากทำให้สังคมไทยเป็นสังคมอุดมปัญญา ถึงแม้จะเราจะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของสังคมที่หลากลาย แต่ก็หวังว่าแรงสั่นสะเทือนของเราผ่านภาคีจะทำให้เกิดแรงขยับอย่างมากมายให้กับสังคมไทย
" ที่คล้ายกับผีเสื้อตัวกระจ้อยร่อยอีกตัวหนึ่ง ที่เมื่อกระพือปีกก็จะพัดพาละอองเกสร ไปผสมให้กับมวลหมู่ดอกไม้ได้ขยายพันธุ์สีเขียวชอุ่มไปทั่วโลกเช่นกัน"
ขอบคุณคะครูอ้อย
และขอพรนั้นกลับไปเช่นกันคะ