521 "Drive"


ว่าด้วยแรงจูงใจ กับเงิน ที่นำไปสู่หายนะ

เรื่องแรงจูงใจ หรือทฤษฎีแรงจูงใจ (Motivation โมติเวชั่น) เป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในทุกวงการ ทุกศาสตร์ ในทางด้านการพัฒนาองค์กร แม้ว่าคุณจะเข้าไปเป็นที่ปรึกษาที่ไหน คุณจะทำอะไร เวลาลูกศิษย์ลูกค้ามาคุยกับคุณ ไม่ว่าจะเริ่มด้วย AI เทคนิคการทำ OD แต่ที่สุดมักวกมาถามคุณเรื่องเงิน เรื่องการจ่ายค่าตอบแทน ที่ให้เท่าใด ดูเหมือนก็ยังเป็นปัญหา

<img src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/893/493/default_m4.JPG?1363752242" "="">

Cr: http://www.thersa.org/fellowship/journal/archive/spring-2010/features/gainful-employment


นี่แหละครับที่ผมอยากเขียนในวันนี้เนื่องจากได้ดูวิดีโอ เรื่อง แดน พิงค์ ว่าด้วยวิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่งของแรงจูงใจ เป็นอะไรที่น่าทึ่งและผมรีบตื่นขึ้นมาเขียนเรื่องนี้แต่เช้า สาระเป็นอย่างนี้ครับ เมื่อสี่สิบปีก่อน มีการทดลองง่ายๆ ให้ผู้เข้าทดลองแก้ปัญหาง่ายๆ แต่แบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกบอกว่า นี่พวกคุณช่วยแก้ปัญหานี้หน่อย เราจะเอาเวลาที่คุณแก้ปัญหาได้ ไปเป็นมาตรฐานของคนอื่นๆ ส่วนอีกกลุ่มบอกว่า ถ้าคุณอยู่ในกลุ่ม 25% แรกที่แก้ปัญหานี้ได้เร็วที่สุด คุณจะได้เงิน 5 ดอลล่าร์ แต่ถ้าคุณเป็นคนแก้ปัญหานี้ได้เร็วที่สุด คุณจะได้รางวัลถึง 20 ดอลล่าร์ ครับคิดดูมากมายขนาดไหน เงินจำนวนนี้เมื่อ 40 ปีก่อน

สิ่งที่คาดกันก็คือกลุ่มที่สอง ที่ได้แรงจูงใจเป็นเงิน น่าจะแก้ปัญหาได้เร็วและสร้างสรรค์กว่ากลุ่มแรก การณ์กลับตรงข้ามโดยเฉลี่ย กลุ่มที่มีการกำหนดค่าตอบแทนเป็นเงินกลับแก้ปัญหาได้ช้ากว่ากลุ่มแรก โดยเฉลี่ยสามนาทีครึ่ง เรื่องนี้มีการทดลองซ้ำๆ นับร้อยครั้ง กว่า 40 ปี

ตลอดเวลามีการทดลองแบบนี้ในงานต่างๆ 99% เกิดผลลบ ครับถ้าให้ผลตอบแทนเป็นเงิน แต่ก็เจอเหมือนกัน 1% ว่าให้เป็นเงินแล้วได้ผล มันคืองานที่ไม่ต้องใช้ความคิดซับซ้อนครับ มีกฏชัดเจน เช่นไหนลองยกถุงจากจุด A ไปจุด B ถ้าเจอสิ่งกีดขวางให้หลบ นี่แหละครับ งานที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่างานใช้แรง (Mechanistics เมคานิสติก) ที่มีเป้าหมายเฉพาะหน้า เห็นๆ เห็นกับตาเท่านั้น ถ้าเพิ่มแรงจูงใจด้วยเงิน จะทำให้คนทำงานได้เร็วกว่า แต่เงินจะไม่ได้ผลกับงานที่เริ่มต้องใช้สมองแก้ปัญหา (Cognitive ค๊อกนิทีฟ) มีการทดลองที่ MIT สถาบันชั้นนำของโลก เมื่อไม่นานมานี้ก็ยืนยันครับ นักวิจัยแบ่งงานให้ให้นักศึกษาทำ เป็นงานที่ใช้ทักษะการเคลื่อนไหว (ไม่ต้องคิด) กับงานที่ต้องใช้หัวคิด ปรากฏว่ายืนยันครับ แรงจูงใจให้ผลกับงานที่ใช้ทักษะการเคลื่อนไหว (แบบไม่ต้องคิด) เท่านั้น ส่วนงานคิดสร้างสรรค์ เงินกลับบั่นทอนผลงานครับ

<img src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/893/488/default_m2.jpg?1363751470" "="">

Cr: http://howdoigetfit.com/friday-five/the-friday-five/

น่าตกใจมากที่เรื่องนี้ถูกละเลยมาตลอด ทำไมครับ สังคมทั้งโลกเชื่อว่าหากต้องการให้คนแสดงความคิดสร้างสรรค์ สร้างผลงานดีๆ ต้องให้เงินเดือน แรงจูงใจเป็นโบนัสเยอะๆ แต่จริงๆ แล้วตรงข้าม ผลการศึกษาในด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน ที่ทำโดยมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกเช่น London School of Ecnomics ที่ผลิตนักเศรษฐศาสตร์ระดับรางวัลโนเบิลไพร๊ซ์กว่า 11 ท่าน ศึกษางานวิจัยที่โยงผลตอบแทนที่เป็นเงินเข้ากับการทำงาน ค้นพบเช่นเดียวกันว่า “การโยงผลตอบแทนเป็นเงินเข้ากับการทำงาน ให้ผลที่เป็น “ลบ”

คุณแดน คนพูดเรื่องนี้ถงกับพูดว่า ตอนนี้เรากำลังยืนอยู่บนซากปรักหักพัง สหรัฐกำลังจะแย่เพราะว่า โลกธุรกิจ ที่ต้องพยายามเอาชนะการแข่งขันด้วยความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม ใช้สมมติฐานที่ผิดในการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และผลงาน เพราะใช้เงินเป็นแรงจูงใจ แดนบอกว่างานในศตวรรษที่ 21 เป็นงานใช้สมองครับ เพราะฉะนั้นต้องการอะไรที่มากกว่าเงิน เพราะถ้าเอาเงินมาเป็นงานวัลและการลงโทษ นั่นคือหายนะของธุรกิจ และหมายถึงหายนะของประเทศครับ

แล้วอะไรคือทางออกจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า ต้องใช้แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation อินทรินซิก โมติเวชั่น) ที่ประกอบด้วย สามคำครับ คือ

Autonomy (ออโตโนมี่ ความอิสระ ความอยากที่จะควบคุมชีวิตตนเอง)
Mastery (มาสเตอรี่ย์ ความปราถนาที่ทำงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ )
Purpose (เพอร์โพ๊ส ความปรากถนาที่จะอะไรที่มีความหมาย) มากกว่าการทำอะไรเพื่อตนเอง


<img src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/893/496/default_m5.jpg?1363752458" "="">

Cr: http://wanderlust.bajan.pl/2011/06/28/what-motivates-us/


แนวคิดนี้ เป็นพื้นฐานของวิชาการพัฒนาองค์กร (OD) แดนได้ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Atlassian http://www.atlassian.com/ ที่นั่นจะให้เวลาหนึ่งวัน ต่อสัปดหาให้พนักงานไปทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่งานประจำ คือประมาณ 20% ของเวลาทำงานทั้งเกือนนั่นเอง ปรากฏ กลับเป็นวันที่พนักงานคิดอะไรเจ๋งๆ ได้ และสามารถสร้างผลงานจนอยู่เบื้องหลังบริษัทดังๆ ของโลกได้ แนวคิด 20% นี้ Google ก็ใช้ ครับเป็นสุดขั้วเลย ให้ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช้งานประจำ เลือกงาน เลือกทีม เลือกเทคนิคเอง และก็ค้นพบว่า 50% ของผลิตภัณฑ์ที่ Google คิดได้ มาจาก 20% ของเวลาที่ให้อิสระพนักงานนั่นเอง

ตอนนี้มีกลุ่มบริษัทอยู่ 12 บริษัทที่หันมาเน้นองค์ประกอบสามอย่างนี้ เรียกชื่อกันเองว่า ROWE หรือ Result Only Working Environment รีซัลท์ องลี่ เวิร์คกิ้ง เอ็นไวรอนเมนต์ ไม่นานก็พบว่ามีผลผลิตสูงขึ้น พนักงานมีความผูกพันธ์กับองค์กรมากยิ่งขึ้น


<img src="http://cdn.gotoknow.org/assets/media/files/000/893/491/default_m3.jpg?1363751872" "="">

Cr: http://lawlaholic.com/tag/google-work-environment/


เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงๆ แล้ว ผมอยากตะโกนดังๆว่าเขียนเพื่อชาติ เพราะกำลังเห็นหายนะคืบคลานเข้ามา ในรูปของสิ่งล่อที่คือตัวเงิน ที่ถูกนำไปผูกกับ KPI ครับ จะเห็นว่า ถ้าเป็นอาจารย์ ก็ชัดไม่ได้ผลแน่ ระบบ KPI อาจใช้ได้แค่แม่บ้านที่รับผิดชอบทำความสะอาดห้องน้ำเท่านั้นครับ

ธนาคาร รัฐบาล องค์กรเอกชนกำลังก้าวลงสู่หายนะ เห็นได้ชัดครับ ยิ่งทำแบบสำรวจความผูกพันธ์ในองค์กร เคยเจอมาแล้ว องค์กรที่จ่ายหนัก ออกมาชัดครับ ความผูกพันธ์กับต่ำจนน่าใจหาย

สรุปแล้ว การให้สิ่งจูงใจเป็นเงิน ไม่เหมาะมากๆ เพราะสร้างอะไรที่เป็นลบครับ และควรพัฒนา Autonomy, Mastery และ Purpose ให้กับพนักงานในองค์กร


ทำอย่างไร ค้นหาวิธีที่คุณถนัด หรือ

ใช้วิชาด้านการพัฒนาองค์กร ที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ได้ ได้แก่ Appreciative Inquiry, Action Research, Learning Organization, Knowledge Management และ Dialogue หรือ สายจิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Science) ครับ เพราะเครื่องมือนี้พัฒนา Autonomy, Mastery และ Purpose โดยตรง สามารถใช้ผสมผสานกันได้ครับ

ต้องใช้เวลาเท่าใด OD เป็นอะไรที่ใช้ระยะยาวครับ แต่ถ้ากำหนดนโยบาย 20% แบบ Google อาจต้องสร้างพื้นที่ ที่คนช่วยเหลือเช่นเรียกเรียกว่า Facilitator หรือ OD Consultant ก็ได้ ที่ต้องประคับประคองไปสักพัก ใครอยากเรียนศาสตร์ OD แบบจริงจังก็มีที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญครับ

สรุปอีกครั้ง เราต้องคิดใหม่ทำใหม่กันจริงๆ ผมเขียนเรื่องนี้ ฝากกท่านที่อ่าน ส่งต่อด้วยครับ ส่วนในวิดีโอดูได้ ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ แต่เขามีซับไตเติ้ลไทยครับ แปลดีด้วย ส่งต่อกันเยอะๆครับ สังคมจะได้เปลี่ยนซะที

วันนี้ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ


อ้างอิง:
วิดีโอ มีซับไทยครับ
การ์ตูน ดูสนุกๆ เป็นภาพลายเส้น
หนังสือ มีเฉพาะภาษาอังกฤษ



หมายเลขบันทึก: 530751เขียนเมื่อ 20 มีนาคม 2013 10:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม 2017 20:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
กมลชนก กิจกสิวัฒน์

ขอแชร์เรื่องราวดีๆด้วยค่ะ

น.ส.กมลชนก กิจกสิวัฒน์

555740111-3

World Café –Coaching

1.               เรื่องที่ 1 ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น”

ที่ บ้านเลี้ยงหมาอยู่ 2 ตัว ตัวที่จะพูดถึงเป็นหมาตัวแรก หนูได้มันมาตั้งแต่ตอนจะขึ้น ม.1 ตอนนี้อายุมันก็เกือบ 18 ปีแล้วซึ่งถือว่าแก่มากๆแล้ว ปัญหาก็คือ ในแก่มากและใกล้ตายด้วยโรคชรา และยังมีโรคลิ้นหัวใจรั่ว หมอก็สังเกตว่าอาจจะเป็นมะเร็งอีกเพราะมันมีก้อนเนื้อขึ้นมา ตอนนี้ต้องทำใจอย่างเดียว ก่อนหน้านี้หนูทำใจไม่ได้เลย วันๆนึงร้องไห้ไม่รู้กี่รอบเพราะทนรับสภาพมันไม่ได้ มันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลุกขึ้นยืนเองไม่ได้ ต้องคอยพยุง ส่วนใหญ่ก็จะนอนทั้งวันเหมือนคนแก่ เวลาปวดอึปวดฉี่ก็เดินไม่ได้ บางทีก็ฉี่ราดอึราด ทุกวันนี้เก็บอึให้ทุกวัน บางทีก็นอนทับอึตัวเอง กินข้าวเองไม่ได้เพราะขากรรไกรไม่ค่อยทำงานแล้ว ต้องเอามือป้อนข้าวใส่ปาก เวลากินน้ำก็ต้องช่วยพยุงตัว แต่หนูก็ทนและจะดูแลมันให้ถึงที่สุด

อา ที่บ้านซึ่งเป็นคนธรรมะธรรมโม แกเห็นหนูทำใจไม่ได้เพราะวันนึงหนูร้องไห้หลายครั้งมากๆ แกเลยบอกว่า “ไม่ต้องไปรั้งเค้าไว้หรอก แค่ปฏิบัติกับเค้าให้ดีที่สุดก็พอ ชาตินี้เค้าไม่เคยกัดหรือทำร้ายใคร เค้าไม่ได้สร้างกรรมเพิ่ม เค้าแค่เกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเท่านั้น ถ้าเค้าตายไปก็จะได้ไปเกิดเป็นเทวดา” คำพูดนี้ทำให้หนูคิดได้และเริ่มทำใจได้ ซึ่งก่อนหน้านี้หนูจะพูดกับหมาว่า “อย่าทิ้งเจ๊ไปนะ อยู่กับเจ๊ก่อน” แต่หลังจากที่อาบอก หนูก็บอกกับหมาว่า “ถ้าอยากไปก็ไป ถ้าเหนื่อยก็ไป แต่ขอให้ไปอย่างสงบ และแต่ไม่ต้องเป็นห่วงทุกๆคนที่บ้าน”

ตอน นี้หมาตัวนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเราก็ดูแลกันไปให้ดีและถึงที่สุด แต่สภาพจิตใจตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ถ้าแม้ว่าเวลาที่มันจะตายจริงๆยังไงเราก็ต้องเศร้าอยู่แล้ว แต่คิดว่าทำใจได้ระดับนึงแล้วค่ะ

จุดเปลี่ยน คำพูดของอาที่บอกว่า “เค้าเกิดมาเพื่อใช้กรรม ชาตินี้เค้าไม่ได้ทำกรรมเพิ่ม มีแต่สร้างความสุขให้คนในครอบครัว ถ้าเค้าตายไปเค้าจะได้ไปเกิดเป็นเทวดา” หนูไม่รู้หรอกค่ะว่าเค้าจะได้เกิดเป็นเทวดารึเปล่า แต่ก็เชื่อว่าเค้าจะได้ไปเกิดให้ภพภูมิที่ดีกว่านี้แน่นอนค่ะ ต้องขอขอบคุณคุณอาด้วยที่ช่วยดึงหนูจากความเศร้าและจิตใจที่ยึดติด ตอนนี้หมายังมีชีวิตอยู่ แต่คุณอาไปบวชเป็นแม่ชีแล้วค่ะ

 

2.            เรื่องที่ 2    “ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น”

เนื่อง จากว่าตอนนี้หนูต้องมาดูแลกิจการที่บ้าน ซึ่งรับช่วงต่อจากคุณพ่อ เพราะคุณพ่อก็จะเริ่มวางมือแล้ว แต่เนื่องจากเราเป็นผู้หญิง และเป็นเด็กใหม่ที่ต้องมาทำงาน สั่งโน่นสั่งนี่คนที่อายุมากกว่า โดยเฉพาะพนักงานช่างที่เป็นผู้ชาย หนูจึงไม่ค่อยกล้าสั่งงานหรืออะไรเท่าไหร่นัก เวลาสั่งงานก็จะพูดเบาๆ นิ่มๆ ทำให้พนักงานช่างผู้ชายไม่ค่อยเกรงกลัว บางครั้งก็ไม่ทำตามที่เราบอก จนบางครั้งเวลาจะสั่งงานเราก็จะสั่งผ่านหัวหน้าช่าง ชื่อพี่ดำแทน จนมาวันนึงพี่ดำบอกว่า “น้องก็สั่งเลย ถ้าเค้าไม่ทำตามก็ไปสั่งเค้า ไปจี้เค้า ไม่ต้องเกรงใจ จริงอยู่เราเป็นผู้หญิงและอายุน้อยกว่า แต่เค้าเป็นเถ้าแก่ เป็นเจ้าของ เค้ากินเงินเดือนเราอยู่ ถ้าไม่กล้าสั่งกล้าบอกตอนนี้จะบอกตอนไหน เดี๋ยวนานไปเค้าก็จะไม่เกรงมันจำละบาก” และนอกจากนี้เวลาที่เราสั่งงานผ่านพี่ดำ พี่ดำก็จะไม่สั่งต่อให้ บอกให้เราไปสั่งเองเลย แต่ต้องขอขอบคุณพี่ดำมากๆ เพราะทุกวันนี้พนักงานทุกคนก็เชื่อฟังเราไม่ต่างจากพ่อ ทำให้เราทำงานได้เต็มที่ และบริหารงานที่บ้านได้สะดวกรวดเร็วขึ้นมาก นอกจากนี้ พนักงานขายก็เชื่อมั่นและไว้วางใจ ตอนนี้คุมงานแทนพ่อได้เกือบ 80%แล้วค่ะ

จุดเปลี่ยน คำพูดของพี่ดำที่บอกว่า “เราเป็นเจ้าของบริษัท  ถ้าไม่กล้าสั่งตอนนี้ และจะเริ่มตอนไหน ถ้าไม่เริ่ม ต่อไปเค้าก็จะไม่เกรงเรา และเราก็จะไม่มีอิทธิพลกับเค้าเลย”

 

 

น.ส. ภัทรภร   จีระดีพลัง

555740063-8   Sec.12

 

World Café –Coaching

 

 

 

 เรื่องที่ 1ตอนที่รู้สึกตกต่ำ แล้วถูกดึงให้ดีขึ้น

 

ได้มีโอกาสไปเข้าค่ายพุทธธรรม ซึ่งทางโรงเรียนได้จัดขึ้น พระท่านนำวีดีโอการคลอดลูกมาเปิดให้ดู และอธิบายว่ากว่าจะแม่จะเลี้ยงลูกมาจนเติบใหญ่ แต่งงานมีครอบครัว มาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย กว่าจะอุ้มท้อง คลอดเราออกมา กว่าจะเลี้ยงเรา ซึ่งเด็กบางคนตอนกลางคืนร้องไห้งอแง แม่ซึ่งเหนื่อยจากงานบ้านอยู่แล้วกลับต้องมาเลี้ยงลูกซึ่งร้องไห้ตอนดึกอีก แล้วพระท่านก็ได้ถามเพื่อนๆที่มาเข้าค่ายว่า เพื่อนคนไหนซึ่งแม่ตอนนี้ตายไปแล้วบ้าง ซึ่งก็มีเพื่อนหลายๆคนได้ออกไปหน้าเวที ซึ่งก็มีเพื่อนคนหนึ่งเล่าว่า ตัวเค้านั้นเป็นกำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก อยู่กับป้า พ่อเค้าได้ทิ้งเค้าไป ส่วยแม่นั้นได้ตายไปตั้งแต่เค้ายังเด็ก ซึ่งตัวเค้านั้นไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าแม่เลย พอถึงวันแม่ทีไร เพื่อนคนอื่นก็มีแม่ ได้ไปเที่ยวกับแม่ มีแม่มาหาที่โรงเรียน มีโอกาสได้กอดแม่ ได้บอกรักแม่ แต่ตัวเค้านั้นไม่มีโอกาสได้บอกรักแม่เลยสักครั้ง จึงอยากบอกเพื่อนๆว่า บอกรักท่าน พาท่านไปกินอาหารดีๆ ทำดีกับท่านตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าท่านได้จากเราไปแล้ว ถึงจะพึ่งเห็นคุณค่าของท่าน ซึ่งในตอนนั้นได้สายเกินไปแล้ว

 

 

 

จุดเปลี่ยน จากเหตุการณ์ที่เพื่อนได้พูด เราก็กลับมาย้อนมองดูตัวเราเองว่า ถ้าเกิดว่าแม่ของเราไม่ได้อยู่กับเราแล้ว เราไม่มีโอกาสได้ทำดีกับท่าน เราคงมานั่งเสียใจภายหลัง เลยทำให้คิดได้ว่า ในเวลาที่แม่ได้อยู่กับเรา จึงทำดีกับท่านพาท่านไปกินอาหารอร่อยๆ มีเวลาให้ท่านบ้าง แค่นี้ท่านก็สุขใจแล้ว

 

 

 

เรื่องที่ 2    ตอนที่ใครสักคนทำให้เราเก่งในเรื่องงานขึ้น

 

ช่วงปิดเทอมแม่ก็ให้ไปฝึกงานกับอาที่บ้าน ซึ่งอานั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับกระจกและอลูมิเนียม โดยเรามีหน้าที่คีย์ข้อมูลยอดขายลงในระบบคอมพิวเตอร์ วันหนึ่งมีพนักงานคนหนึ่งอยากจะขอหัวหน้างานลาหยุด ซึ่งปกติร้านนั้นจะมีวันหยุดให้พนักงานหยุดได้อาทิตย์ละ1วัน แต่ต้องสลับสับเปลี่ยนวันหยุดกันไป แต่แล้วหัวหน้างานไม่ให้พนักงานคนนั้นลาหยุด ซึ่งพนักงานคนนั้นก็ไม่พอใจ จึงเขียนใบลาออก และได้ลาออกไป หลังจากนั้นเราก็ได้นั่งกินข้าวกับพนักงานที่เหลือจึงได้มีโอกาสนั่งคุยกัน ซึ่งทำให้ได้รู้ว่าความต้องการที่พนักงานอยากได้จากนายจ้างคือ อยากมีวันหยุด อยากเลิกงานเร็วๆ มาทำงานสายๆ ได้สวัสดิการและเงินเดือนเยอะๆ

 

 

 

จุดเปลี่ยน จากที่เจอเหตุการณ์ในครั้งนั้น จึงได้รู้ว่า ทุกคนต้องมีแรงจูงใจในการทำอะไรสักอย่าง เผื่อจะได้เป็นแรงผลักดันให้เราไปถึงเป้าหมายที่วางไว้

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท