คำนิยาม หนึ่งในข้อบังคับทางศาสนาที่จำเป็นต้องถือปฏิบัติในรอบปีเพื่อการขัดเกลาตนเองได้แก่ “การถือศีลอด” ซึ่งการถือศีลอดหมายถึง การที่บุคคลหนึ่งหลีกเลี่ยงจากสิ่งต่างๆ ที่ศาสนาได้บัญญัติไว้ตั้งแต่อะซานศุบฮิ์จนถึงมัฆริบ เพื่อปฏิบัติตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ ประเภทของการถือศีลอด 1) การถือศีลอดที่เป็นข้อบังคับ การถือศีลอดเหล่านี้ถือเป็นข้อบังคับที่จะเป็นต้องปฏิบัติ การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน การถือศีลอดชดใช้สำหรับตนเอง การถือศีลอดในฐานะเครื่องถ่ายโทษ (กัฟฟาเราะฮฺ) การถือศีลอดอันเนื่องมาจากการบนบานตามหลักการอิสลาม การถือศีลอดชดใช้ให้บิดามารดาโดยบุตรชายคนโต ฯลฯ 2) การถือศีลอดที่ต้องห้าม การถือศีลอดในวันอีดิลฟิตร์ การถือศีลอดในวันอีดกุรบาน การถือศีลอดอันเนื่องมาจากการบนบานในสิ่งที่ต้องห้าม การถือศีลอดในวันตัชรีก (11, 12, และ 13 เดือนซุลหิจญะฮ์) สำหรับผู้ที่อยู่ในทุ่งมินา ฯลฯ 3) การถือศีลอดอาสา การถือศีลอดในวันต่างๆ ในรอบปียกเว้นวันที่ต้องห้ามและพึงหลีกเลี่ยงนั้น ถือเป็นสิ่งที่พึงกระทำ แต่วันต่างๆ ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ได้รับการแนะนำไว้เป็นพิเศษสำหรับการถือศีลอด อาทิเช่น ทุกวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ วันพุธแรกหลังจากสิบวันแรกของเดือน (ตามจันทรคติ) วันอีดมับอัษ – แต่งตั้งท่านศาสดา (27 เราะญับ) วันอีดเฆาะดีร (18 ซุลหิจญะฮฺ) วันถือกำเนิดท่านศาสดาแห่งอิสลาม (17 เราะบีอุลเอาวัล) วันอะรอฟะฮฺ (หากการถือศีลอดไม่เป็นอุปสรรคต่อการอ่านดุอาในดังกล่าว) วันที่ 1 และ 3 มุหัรร็อม ตลอดเดือนเราะญับและชะอฺบาน 13, 14, 15 ของทุกเดือน (ตามจันทรคติ) ฯลฯ 4) การถือศีลอดที่พึงหลีกเลี่ยง การถือศีลอดอาสาของแขกโดยไม่ได้รับอนุญาติจากเจ้าของบ้าน การถือศีลอดอาสาของแขกโดยที่เจ้าของบ้านสั่งห้าม การถือศีลอดในวันอาชูรอ การถือศีลอดในวันอารอฟะฮฺ หากเป็นอุปสรรคต่อการอ่านดุอาในวันดังกล่าว ฯลฯ การตั้งเจตนาในการถือศีลอด 1) การถือศีลอดถือเป็นอิบาดะฮฺประเภทหนึ่งซึ่งจะต้องกระทำด้วยเจตนาเพื่อปฏิบัติตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ 2) การตั้งเจตนาสามารถกระทำได้ทุกค่ำคืนของเดือนรอมฎอนสำหรับการถือศีลอดในวันรุ่งขึ้น แต่เป็นการดีกว่าหากในคืนแรกจะตั้งเจตนาถือศีลอดตลอดทั้งเดือนควบคู่ไปด้วย 3) ในการถือศีลอดที่เป็นข้อบังคับนั้น หากปราศจากอุปสรรคใดๆ แล้ว ไม่อนุญาติให้ตั้งเจตนาหลังจากอะซานศุบฮิ์ 4) ในการถือศีลอดที่เป็นข้อบังคับนั้น หากมิได้ตั้งเจตนาถือศีลอดเนื่องจากมีอุปสรรคเกิดขึ้น อาทิเช่น หลงลืมหรือการเดินทาง หากบุคคลดังกล่าวยังมิได้กระทำสิ่งที่ทำให้ศีลอดเป็นโมฆะ สามารถตั้งเจตนาถือศีลอดได้จนถึงเวลาซุฮริ์ 5) ไม่จำเป็นต้องตั้งเจตนาด้วยวาจา สิ่งที่ทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะ ผู้ถือศีลอดจำต้องงดเว้นจากการกระทำสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้ มิเช่นนั้นแล้ว การถือศีลอดของเขาจะถือเป็นโมฆะ 1) การกินและการดื่ม ก. หากผู้ถือศีลอดเจตนากินหรือดื่มสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ศีลอดของเขาถือเป็นโมฆะ แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่ใช่เครื่องบริโภคโดยปกติวิสัยก็ตาม อาทิเช่น ดินและน้ำมัน ข. หากผู้ถือศีลอดเจตนากลืนเศษอาหารที่ติดอยู่ตามไรฟัน ศีลอดของเขาถือเป็นโมฆะ ค. การกลืนน้ำลายแม้จะมากสักเพียงใดก็ตาม ไม่ทำให้ศีลอดเป็นโมฆะ ง. หากผู้ถือศีลอดกินหรือดื่มสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยความหลงลืม ศีลอดของเขาไม่เป็นโมฆะ จ. ไม่อนุญาตให้ละศีลอดเนื่องจากความอ่อนแอ แต่หากความอ่อนแอมีมากจนไม่สามารถอดทนได้ การละศีลอดของบุคคลดังถือกล่าวไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ฉ. การฉีดยา หากมิใช่เป็นการทดแทนอาหาร ไม่ทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะ แม้ว่าจะทำให้อวัยวะของร่างกายไร้ความรู้สึกก็ตาม 2) การสูดฝุ่นหนาลงสู่ลำคอ ก. หากผู้ถือศีลอดสูดฝุ่นหนาลงสู่ลำคอ ศีลอดของเขาถือเป็นโมฆะไม่ว่าจะเป็นฝุ่นที่เป็นเครื่องบริโภค เช่น แป้ง หรือไม่ใช่เครื่องบริโภค เช่น ดินก็ตาม ข. กรณีต่างๆ ต่อไปนี้ ไม่ทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะ • สูดฝุ่นบาง • สูดไม่ถึงลำคอ • สูดฝุ่นลงถึงลำคอโดยไม่เจตนา • หลงลืมว่าตนเองกำลังถือศีลอดอยู่ • สงสัยว่าสูดฝุนหนาลงถึงลำคอหรือไม่ 3) การอ้างอิงสิ่งที่เป็นเท็จต่ออัลลอฮฺและท่านศาสดา ในกรณีต่างๆ ต่อไปนี้ การอ้างอิงสิ่งที่เป็นเท็จโดยเจตนาต่ออัลลอฮฺ ท่านศาสดาหรืออิมามมะอฺศูม(รวมทั้งท่านหญิงฟาติมะฮฺและศาสนทูตท่านอื่นบนพื้นฐานของอิหติยาฏวาญิบ) ทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะ ก. ในเรื่องที่เกี่ยวกับดุนยาและอาคิเราะฮฺ ข. อ้างอิงสิ่งที่เป็นเท็จต่อคำพูดหรือการกระทำของบุคคลดังกล่าว ค. อ้างอิงด้วยวาจาหรือข้อเขียนหรือด้วยการกระทำใดๆที่ส่อถึงการอ้างอิงสิ่งที่เป็นเท็จต่อบุคคลดังกล่าว ง. อ้างอิงโดยตรงหรือเทียบเคียง จ. การมดเท็จนั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่นก็ตาม ฉ. การมดเท็จอยู่ในรูปของการบอกเล่าหรือตอบคำถามผู้อื่นก็ตาม ช. ยืนยันความถูกต้องของการมดเท็จก่อนหน้านี้ เช่นกล่าวว่า สิ่งที่ฉันได้พูดไปแล้วนั้นถูกต้อง ซ. ปฏิเสธความถูกต้องที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ 4) การดำน้ำ ก. หากผู้ถือศีลอดเจตนาดำลงใต้น้ำบริสุทธิ์ (ไม่ใช่น้ำผสม) จนมิดศีรษะ ศีลอดของเขาถือเป็นโมฆะ ข. ในกรณีต่อไปนี้ไม่ทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะ • ดำน้ำด้วยความหลงลืม • ดำน้ำโดยไม่มิดศีรษะ • ตกน้ำโดยไม่เจตนา • บุคคลอื่นกดศีรษะของผู้ถือศีลอดลงใต้น้ำจนมิด • สงสัยว่าศีรษะจมน้ำจนมิดหรือไม่ 5) การอาเจียน ก. หากผู้ถือศีลอดเจตนาอาเจียนแม้ว่าเนื่องจากความป่วยไข้ก็ตาม การถือศีลอดของเขาเป็นโมฆะ ข. หากผู้ถือศีลอดหลงลืมว่าตัวเองกำลังถือศีลอดอยู่ หรืออาเจียนโดยไม่เจตนา การถือศีลอดของเขาไม่เป็นโมฆะแต่อย่างใด 6) การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ก. หากผู้ถือศีลอดสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง การถือศีลอดของเขาถือเป็นโมฆะ ข. หากหลั่งอสุจิโดยไม่เจตนา เช่น ในการฝันเปียก การถือศีลอดของเขาไม่ถือเป็นโมฆะ 7) การคงสภาพยูนุบจนถึงอาซานศุบฮิ์ หากผู้มียูนุบมิได้ทำฆุสุล(หรือตะยัมมุมในกรณีที่จำต้องทำตะยัมมุม) จนถึงอาซานศุบฮิ์ การถือศีลอดของบุคคลดังกล่าวจะมีผลดังต่อไปนี้ หากเจตนาไม่ทำฆุสุล(หรือตะยัมมุมในกรณีที่จำต้องทำตะยัมมุม) จนถึงอาซานศุบฮิ์ : ก. ในการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน --------> การถือศีลอดเป็นโมฆะ ข. ในการถือศีลอดชดเชย --------------------- -> การถือศีลอดเป็นโมฆะ ค. ในการถือศีลอดประเภทอื่น ๆ ---------------> การถือศีลอดถูกต้อง หากหลงลืมการทำฆุสุลหรือตะยัมมุมในการถือศีลอดในเดือนรอมะฎอน และนึกขึ้นได้ภายหลังจากนั้นวันสองวัน : ก. ในการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ----------------> จะต้องชดเชยศีลอดของวันต่างๆ ดังกล่าว ข. ในการถือศีลอดชดเชยเดือนรอมฎอน -----------> ตามหลักอิหฺติยาตวายิบจะต้องชดเชยศีลอดของวันต่างๆ ดังกล่าว ค. ในการถือศีลอดที่นอกเหนือเดือนรอมฎอนและการชดเชยศีลอดเหล่านั้น เช่น การถือศีลอดเนื่องจากการบนบาน หรือเพื่อถ่ายโทษ (กัฟฟาเราะฮ์) ----------------> การถือศีลอดถูกต้อง หากผู้มียูนุบในค่ำคืนของเดือนรอมฎอน มั่นใจว่าไม่สามารถตื่นขึ้นทำฆุสุลก่อนอาซานศุบฮฺได้ บุคคลดังกล่าวจะต้องไม่นอน หากเขานอนและไม่สามารถตื่นได้ทันเวลา การถือศีลอดของเขาถือเป็นโมฆะ 8) การคงสภาพเลือดประจำเดือนและเลือดหลังการคลอดบุตร หากสตรีหมดประจำเดือนก่อนอาซานศุบฮฺ ก. เจตนาไม่ทำฆุสุล(หรือตะยัมมุมในกรณีที่จำเป็นต้องทำตะยัมมุม) -------> การถือศีลอดของนางถือเป็นโมฆะ ข. ไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับทำฆุสุล • ในการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนและการชดเชยศีลอดดังกล่าว --------> จำเป็นต้องทำตะยัมมุม และการถือศีลอดของนางถือว่าถูกต้อง • การถือศีลอดที่เป็นข้อบังคับอื่นๆ หรือการถือศีลอดอาสา -----------------> แม้ว่าการถือศีลอดของนางโดยปราศจากการทำตะยัมมุมจะถูกต้องก็ตาม แต่ถือเป็นอิหฺติยาฏมุสตะฮับในการทำตะยัมมุม ค. หากสตรีหมดประจำเดือนใกล้อะซานศุบฮิ์และไม่มีเวลาเพียงพอในการทำฆุสุลหรือตะยัมมุม การถือศีลอดของนางถือว่าถูกต้อง ง. หากหลังอาซานศุบฮฺ สตรีรู้ว่าตนเองหมดประจำเดือนก่อนอาซานศุบฮฺ การถือศีลอดของนางถือว่าถูกต้อง จ. หากสตรีหมดประจำเดือนหลังอาซานศุบฮฺ การถือศีลอดของนางถือเป็นโมฆะ ฉ. หากสตรีมีเลือดประจำเดือนหรือเลือดหลังการคลอดบุตรในตอนกลางวันแม้ว่าจะใกล้เวลามัฆริบก็ตาม การถือศีลอดของนางถือเป็นโมฆะฃ ช. หากสตรีที่มีเลือดเสียได้ทำฆุสุลตามข้อบัญญัติที่ระบุไว้เกี่ยวกับเลือดเสีย การถือศีลอดของนางถือว่าถูกต้อง สิ่งที่ผู้ถือศีลอดควรหลีกเลี่ยง 1) การกระทำสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความอ่อนแอต่อร่างกาย อาทิเช่น การบริจาคเลือด 2) การสูดดมพืชหรือดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม (แต่การใส่น้ำหอมมิใช่สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงแต่ประการใด) 3) การทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่เปียกชื้น 4) การแปรงฟันด้วยไม้เปียก 5) การถอนฟันหรือการกระทำอื่นๆ อันเป็นสาเหตุให้เลือดไหลออกมาจากปาก การถือศีลอดชดเชย หากบุคคลใดละเว้นการถือศีลอดในเวลาของมัน จำเป็นต้องถือศีลอดชดเชยในภายหลัง เครื่องถ่ายโทษของการถือศีลอด กัฟฟาเราะฮฺ คือค่าปรับสำหรับการทำให้ศีลอดเป็นโมฆะ ซึ่งประกอบไปด้วย • การปล่อยทาสหนึ่งคน • การถือศีลอดสองเดือน ซึ่งสามสิบเอ็ดวันแรกจะต้องถือติดต่อกัน • การเลี้ยงอาหารแก่คนยากจนหกสิบคน หรือให้อาหารแก่บุคคลจำนวนดังกล่าว คนละหนึ่งมุด คนใดที่จำเป็นต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮฺ จะต้องเลือกกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจากกัฟฟาเราะฮฺทั้งสามประการข้างต้น แต่เนื่องจากในปัจจุบันนี้ ทาสในความหมายทางนิติบัญญัติได้หมดไปแล้ว ดังนั้น จึงให้เลือกกระทำในกรณีที่สองหรือสาม แต่หากไม่มีความสามารถจ่ายกัฟฟาเราะฮฺในกรณีใดได้เลย บุคคลดังกล่าวจะต้องให้อาหารแก่คนยากจนเท่าที่สามารถ แต่หากยังไม่สามารถกระทำสิ่งดังกล่าวได้อีก เขาจะต้องทำการลุกะโทษต่ออัลลอฮฺ ในกรณีต่างๆ ต่อไปนี้ การถือศีลอดชดเชยถือเป็นสิ่งจำเป็นโดยไม่ต้องจ่ายกัฟฟาเราะฮฺ 1) เจตนาอาเจียน 2) ลืมการทำฆุสุลสำหรับผู้มียูนุบในเดือนรอมฎอนและได้ถือศีลอดในสภาพดังกล่าวหลังจากนั้นวันสองวัน 3) ในเดือนรอมฎอนได้กระทำสิ่งที่ทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะโดยไม่ได้สืบเสาะให้มั่นใจเสียก่อนว่าถึงเวลารุ่งอรุณหรือยัง หลังจากนั้นจึงเป็นที่ชัดเจนว่ารุ่งอรุณแล้ว 4) บุคคลหนึ่งได้บอกแก่ผู้ที่ถือศีลอดว่ายังไม่ถึงเวลารุ่งอรุณ และเขาได้กระทำในสิ่งทำให้ศีลอดเป็นโมฆะเนื่องจากเชื่อในคำพูดของบุคคลดังกล่าว ซึ่งต่อมาภายหลังเป็นที่ชัดเจนว่ารุ่งอรุณแล้ว หากเจตนาละทิ้งการถือศีลอดในเดือนรอมะฎอนหรือเจตนาทำให้ศีลอดเป็นโมฆะ บุคคลดังกล่าวจำต้องถือศีลอดชดเชยและจ่ายกัฟฟาเราะฮิ์ด้วย กรณีที่ต้องจ่ายอาหารหนึ่งมุดแก่คนยากจนสำหรับแต่ละวันโดยไม่ต้องถือศีลอดชดเชย 1) ไม่สามารถถือศีลอดได้เนื่องจากความเจ็บป่วย และอาการป่วยของบุคคลดังกล่าวต่อเนื่องไปจนถึงปีต่อไป และหากอาการป่วยของบุคคลดังกล่าวยังคงสภาพอยู่เช่นนั้นไปอีกหลายปีก็ตาม คนดังกล่าวจะต้องถือศีลอดชดเชยเฉพาะปีสุดท้ายเท่านั้น ส่วนในปีอื่นๆ ที่ผ่านมานั้นให้จ่ายอาหารหนึ่งมุดแก่คนยากจนสำหรับแต่ละวัน 2) ผู้ที่การถือศีลอดเป็นสิ่งยากลำบากสำหรับเขาอันเนื่องมาจากความชราภาพ และหลังจากเดือนรอมฎอนก็ไม่สามารถถือศีลอดชดเชยได้ 3) เป็นโรคที่ทำให้กระหายน้ำมากอยู่ตลอดเวลา และการถือศีลอดเป็นสิ่งที่ยากลำบากสำหรับบุคคลดังกล่าว และภายหลังจากเดือนรอมฎอนก็ไม่สามารถถือศีลอดชดเชยได้ กรณีที่จำเป็นต้องถือศีลอดชดเชยควบคู่ไปกับการให้อาหารหนึ่งมุดแก่คนยากจนสำหรับแต่ละวัน 1) ไม่ได้ถือศีลอดเนื่องจากมีอุปสรรค และภายหลังเดือนรอมะฎอนอุปสรรคดังกล่าวได้หมดไปโดยที่บุคคลดังกล่าวเจตนาไม่ถือศีลอดชดเชยจนถึงเดือนรอมฎอนปีต่อไป 2) ไม่ให้ความสำคัญในการถือศีลอดชดเชยจนกระทั่งเวลาเหลือน้อย และในช่วงเวลาดังกล่าวได้เกิดอุปสรรคขึ้นที่ทำให้ไม่สามารถถือศีลอดชดเชยได้ 3) สตรีที่ใกล้กำหนดเวลาคลอดและการถือศีลอดเป็นอันตรายแก่ครรภ์ของนาง และไม่สามารถถือศีลอดได้ 4) สตรีที่ให้นมบุตรโดยที่น้ำนมของเธอมีน้อย และการถือศีลอดเป็นอันตรายแก่บุตรของนาง การถือศีลอดของคนเดินทาง ผู้เดินทางที่จำเป็นต้องนมาซย่อ เขาจะต้องละเว้นการถือศีลอดในการเดินทางดังกล่าวนั้น โดยทำการชดเชยในภายหลัง ส่วนผู้เดินทางที่นมาซเต็ม เช่น ผู้ที่อาชีพของเขาคือการเดินทาง จำเป็นต้องถือศีลอดในการเดินทางดังกล่าว ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการถือศีลอดของผู้เดินทาง เมื่อออกเดินทาง 1) ออกเดินทางก่อนเวลาซุฮฺริ์ เมื่อถึงจุดสุดเขตเมือง(ตะร็อคคุส) การถือศีลอดของเขาจะเป็นโมฆะ และถ้าหากได้ทำให้การถือศีลอดเป็นโมฆะก่อนถึงเขตดังกล่าว ถือเป็นอิหติยาฏวายิบต้องจ่ายกัฟฟาเราฮฺควบคู่ไปกับการถือศีลอดชดเชย 2) ออกเดินทางหลังเวลาซุฮฺริ์ ในกรณีนี้ การถือศีลอดของเขาถูกต้อง เมื่อกลับจากการเดินทาง 1) เดินทางถึงมาตุภูมิหรือสถานที่ที่ตั้งใจว่าจะพักอาศัยอยู่สิบวันก่อนเวลาซุฮฺริ ก. หากยังมิได้กระทำสิ่งที่ทำให้ศีลอดเป็นโมฆะ จำเป็นต้องถือศีลอดในวันดังกล่าว และการถือศีลอดถือว่าถูกต้อง ข. หากได้กระทำสิ่งที่ศีลอดเป็นโมฆะแล้ว การถือศีลในวันนั้นไม่เป็นข้อบังคับสำหรับบุคคลดังกล่าว แต่จะต้องถือศีลอดชดเชยในภายหลัง 2) เดินทางถึงหลังเวลาซุฮฺริ การถือศีลอดของเขาถือเป็นโมฆะและจำเป็นต้องถือศีลอดชดเชยในภายหลัง อนึ่งการเดินทางในเดือนรอมฎอนไม่มีข้อห้ามแต่ประการใด แต่หากเป็นการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงการถือศีลอด ถือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ ซะกาตฟิตเราะฮฺ หลังจากสิ้นสุดเดือนรอมะฎอนอันจำเริญ กล่าวคือในวันอีดิ้ลฟิตรฺ จำเป็นต้องจ่ายทรัพย์สินจำนวนหนึ่งแก่ผู้ยากไร้ในฐานะซะกาตฟิตเราะฮฺ จำนวนของซะกาตฟิตเราะฮฺ บุคคลหนึ่งจะต้องจ่ายอาหารประมาณสามกิโลกรัมสำหรับตนเองและผู้ที่อยู่ภายใต้การดูแล อาทิเช่น ภรรยาและบุตรแต่ละคน สิ่งที่นำมาจ่ายเป็นซะกาตฟิตเราะฮฺ สิ่งที่สามารถนำมาจ่ายเป็นซะกาตฟิตเราะฮฺได้ อาทิเช่น ข้าวสาลี อินทผาลัม ลูกเกด ข้าวสารและอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันนี้ หากจ่ายเป็นจำนวนเงินก็ถือว่าถูกต้องเช่นกัน
ไม่มีความเห็น