มานุษยธรรมนั้นฤา เชื่อถือได้


มานุษยธรรมนั้นฤา เชื่อถือได้

Humanity is highly reliable


ผมพึ่งกลับมาจากงาน HA Forum ครั้งที่ 14 ใน theme ของงานคือ High Reliability Organization หริอ "องค์กรที่น่าไว้วางใจ" งานนี้มีชาวสาธารณสุขมาร่วมงานมากเป็นพิเศษถึง 8500+ คน มีวิทยากรกว่า 500 คน ทำเอา IMPACT เมืองทองธานีทั้งๆที่เพิ่งเปิดขยายพื้นที่ออกมาใหม่ๆ แน่นไปได้เหมือนกัน งานนี้ก็เหมือนทุกๆปี คือ ผมได้รับเกียรติจากสรพ.เชิญมาให้ทำ workshop writing เป็น full-day workshop สองวัน และบรรยายที่ห้อง SHA ในวันสุดท้ายอีกวันหนึ่ง

Life-illumination writing and a Healing Journal (ลิขิตชีวิตประภัสสร กับอักษรแห่งการเยียวยา)

เราได้ลองใช้ห้องประชุมใหม่เอี่ยม เป็นปีกที่แยกออกมาจากตึกเก่า ทันทีที่เดินเข้างานเจอหน้าเจ้าหน้าที่ สรพ.ที่คุ้นๆกัน ก็ได้รับ message ว่า "ห้องอาจารย์อยู่ไกลปู้นนนน" บอกเหมือนๆกันประมาณ 2-3 คนได้ หมอวรวุฒิที่เดินมาด้วยกันก็มองหน้า เอ.. มันจะไกลถึงเพียงไหน เดินลงจากบันไดเลื่อนด้านหน้างาน (เดิม) ก็เจอแผนที่งาน เราสองคน (ผมกับวรวุฒิ) เห็นแผนที่ก็ดีใจ เดินเข้าไป ยืนอยู่พักหนึ่ง เหงื่อ (โง่) เริ่มตก เพราะเราไม่สามารถ orientate ได้ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน และจะต้องไปที่ไหน

  1. ในแผนที่ไม่มี mark "ํYou're here" เข้าใจในภายหลังว่า คนเขียนแผนที่นี้เขียนมาหลายแผ่นเหมือนๆกัน แต่ไม่ทราบว่าแผ่นได้จะไปตั้งตรงไหน ก็เลยไม่ได้ mark
  2. แต่ที่สำคัญก็คือ แผนที่นี้เป็นของ main hall ที่ตั้งที่ที่ลงทะเบียน ไม่ได้เป็นแผนที่ของห้องตรงที่เรายืนอยู่ พูดง่ายๆก็คือ เราไม่ได้มองแผนที่ของห้องเรานั่นเอง (ตามที่เราเข้าใจตาม commonsense ว่าแผนที่ไหนก็น่าจะบอกสภาวะปัจจุบัน ไม่ใช่สภาวะอนาคตที่เราต้องไปอีกที่หนึ่งก่อน)

หลังจากที่หมอ Ph.D. และหมอ Master Degree เหงื่อตกหน้าแผนที่อยู่พักนึง เรากลับไปใช้วิธีใหม่ คือ เดินตามคนไปเรื่อยๆ (ซึ่งทำไม่ยาก เพราะเวลามีคน 8500 คน สิ่งที่ยากกว่าคือการหยุดยืนเฉยๆกลางทางเดิน) เราก็เดินทางมาถึงที่ที่ลงทะเบียนในเวลาไม่นาน

เจ้าหน้าที่การเงินก็ถามหมอวรวุฒิ "อาจารย์มายังไงคะ"

วรวุฒิ "รถโรง'บาลมาส่งครับ" (หมายถึงมาส่งที่สนามบินที่เชียงใหม่) "อ้อ แล้วมีค่า taxi ไหมคะ" วรวุฒิตอบ "จากสุวรรณภูมิมา 500 บาทครับ"

ผมมองการสนทนานี้อย่างสนใจ (พลางนึกในใจ เดี๋ยวมันโดนดีแน่) แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด คือ น้องเขาก็ยื่นซองมา ให้ค่าเดินทาง 500 บาท! ไม่ได้ให้ค่าเครื่องบิน และไม่ได้ให้ค่า taxi ค่ากลับแก่วรวุฒิ พอท้วงไปน้องเขาก็รีบจัดการให้ใหม่อย่างรวดเร็ว งานนี้ผมไม่โทษน้องเขามาก แม้ว่าวรวุฒิจะเถียงคอเป็นเอ็นว่า มันต้องมี commonsense กันบ้าง แต่ผมว่าใครก็ตามที่ต้อง deal กับวิทยากร 500+ คน เราไม่ควรจะต้องไปยั่วยวนสมองเขามากเกินไป

เราก็เดินทางไปถึงห้อง 121 โดยสวัสดิภาพ (ซึ่งไกลจริงๆ ไกลสุดแล้วในงานนี้ ไม่อาจจะหาห้องที่ไกลกว่านี้ได้อีก โชคดีที่วันที่สองเราเกิดฉลาด ขอรถกอล์ฟของ Novotel มารับจากหน้าโรงแรมไปส่งที่ประตูหลังของงาน ตรงกับหน้าห้อง ws เราพอดิบพอดี)

ในวันแรก คนมาร่วมไม่มาก แถมยังเป็นคนที่เคยเข้า ws นี้มาก่อน (เราทำมาสามปีแล้ว) หรือเป็นคนที่เคยเข้า ws ที่เราจัดมาหลายๆที่เสียมากกว่าครึ่ง ที่เหลือก็มีเดินหลงทางมาบ้าง (หันกลับก็ไปไม่ทันแล้ว เพราะมันสุดทาง และไกลมากจากที่อื่นๆ) ก็ไม่เป็นไร มีเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น สมุดเปล่าที่ สรพ.ทำมาครั้งนี้ทำได้สวยงามมาก ตาม spec คือเป็นกระดาษถนอมสายตา ไม่มีเส้น ขนาดสัก A4 พับครึ่งแล้วเย็บเล่ม ปรากฏว่าปีนี้ สรพ.ทำอย่างหรู ไสกาวสันปก และขนาดกำลังดีมาก รวมกับปากกาหมึกเจลที่เจาะจงเอาไว้ พี่วิธานคงจะต้องสำนึกเสียใจที่ไม่ได้มางานนี้ (อิ อิ)

วันที่สองคนมากกว่าเดิมสองเท่าได้ เป็นขนาดกำลังดีมาก สัดส่วนคนเคยเข้าและไม่เคยเข้าก็เปลี่ยนไป ทั้งสองวันต่างกันเยอะ ทั้งคนมาร่วม และวิธีที่เราทำ (เรียกว่าคนเข้าวันแรกไปเปรียบกับวันที่สองคงจะงง) เหมือนกันอย่างเดียวคือมี bodyscan ตอนบ่ายเท่านั้น มีปรากฏการณ์น่าสนใจเกิดขึ้นทั้งสองวัน มีน้องคนหนึ่ง ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะมา พี่มารับที่บ้าน นั่งรอให้มา ก็จำเป็นจำใจต้องมา มาแล้วก็ไม่รู้ ไม่อยากจะไปห้องไหน ก็ถูกส่งมาห้องนี้ ในกิจกรรมหนึ่งที่เราจับให้จับคู่ ก็ได้ไปนั่งกับพี่อีกคนหนึ่ง ปรากฏว่าพอเราให้เกิดการสะท้อน น้องเขาก็ระบายความยากลำบากในการทำงาน ในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย และกับเรื่องราวที่พี่หัวหน้างานพูดกับเธอ ที่น่าสนใจก็เพราะพี่ที่นั่งจับคู่กับเธอ พอดีเป็นตำแหน่งหัวหน้างานของ รพ.ด้วย และทุกๆเรื่อง ทุกๆปัญหาที่น้องคนนี้ระบาย กลับตรงกับสิ่งที่ทุกสิ่งทุกอย่างพี่หัวหน้างานได้เคยทำ และประสบ หากแต่ไม่เคยรู้เลยว่าน้องๆที่เธอทำงานด้วยจะรู้สึกแบบนี้ได้ด้วย ทั้งสองคนนั่งแลกเปลี่ยน และเกิดมุมมองใหม่กับสิ่งที่เกิดขึ้น เรียกว่าเป็นธัมมะจัดสรรโดยแท้

ทั้งสองวัน เราได้ทำการ "เขียน" เท่าที่พอจะมีเวลา และจัดให้มีประสบการณ์ทั้งฐานกาย ฐานใจ ฐานความคิด เพื่อให้แต่ละคน เริ่มมีทักษะในการ "เลือก events" และ "สร้าง plot ใหม่ (หรือดูแล plot เก่าที่เป็นต้นทุนสำคัญของตัวเอง)" และสิ่งที่หลายๆคนพูดถึง "การเขียนเพื่อการเยียวยา" นั้นก็น่าสนใจมาก อาจจะต้องรอตกผลึกอีกสักพักใหญ่ กว่าที่ผมจะย่อยประสบการณ์ทั้งหมดออกมาได้

หลายคนเริ่มมองเห็นว่า plot ที่ตนเองสร้างในปัจจุบัน เป็นสาเหตุของอารมณ์ ความรู้สึก ความสุขหรือความทุกข์ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งสำหรับ ws ที่มีเวลาแค่นี้ การ "เห็น" ถือเป็น succesful landmark ที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง

สรรพปัญญา นานาจิตตื่นรู้ (There are so many awaken minds)

เช้าวันสุดท้าย ผมมีโปรแกรมบรรยายที่ห้อง SHA เรื่อง "สรรพปัญญา นานาจิตตื่นรู้" หัวข้อตรงกับเรื่องที่ผมเคยเขียนไว้ใน gotoknow นานแล้ว ตอนที่อ่านเรื่อง Frame of Minds: Multiple Intelligences ของ Howard Gardner ดูท่าผมจะเชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับ SHA theme ปรากฏว่าเช้าวันนั้น แม่ต้อย (อ.ดวงสมร บุญผดุง) โทรมาบอกว่าจะมีการสลับเปลี่ยนโปรแกรมนิดหน่อย พอดีท่านรัฐมนตรีประดิษฐ์ จะขอพูดตอนบ่ายโมง เลยจะให้ผมย้ายจากห้อง SHA ไปพูดใน session สุดท้ายของห้อง Grand Hall แทน ผมก็ตอบตกลง แต่คิดในใจว่าคงจะต้องปรับเปลี่ยน theme ของ presentation ของผมใหม่ ให้เป็นของ Forum แทนที่จะเป็นของห้อง SHA แบบเดิม เช้าวันนั้นผมเลยต้องปรับเปลี่ยนแผนการ เดินไป In-Balance fitness ลงไปว่ายน้ำในสระสักประมาณ 20 รอบ (ไม่ต้องตกใจ เพราะสระน้ำสั้นนิดเดียว แต่เป็นสระ indoor ทีปรับอุณหภูมิ สบายมากเลย) ในระหว่างว่ายน้ำนั้นเอง slides ครึ่งหลังก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่าง เลยไปจบที่ In-Balance Spa บนเตียงขณะนอนทำ Reflexology อีกชั่วโมงนึง ก็ได้การนำเสนอใหม่ ตามเงื่อนไขใหม่ออกมา


เริ่มต้นด้วยวิดีโอคลิปของคุณจักรา วีรกุล ที่ทำไว้เรื่อง "เมื่อใจเรามีทุกข์" เป็นธรรมะ presentation ที่นุ่มนวล เย็นชุ่มฉ่ำใจ มีอิทธิฤทธิ์ในการเยียวยา เหมาะสำหรับ tune-in อารมณ์ผู้ที่ยังเหลืออยู่ร่วมปิดงาน HA ท่ามกลางความรู้มากมากที่ชาวสา'สุขได้มาตักตวงจากงาน HA Forum ครั้งที่ 14 นี้ ผมอยากจะขอกระตุ้นเตือนพวกเราว่า ยังมีต้นทุนที่รายล้อมพวกเราอีกเยอะ ที่ได้มาจากงานประจำวัน รวมทั้งการใช้ชีวิตอยู่กับคนที่รักเรา คนที่เรารัก ขอเพียงเราครองสติ รักษา awareness ไว้ให้ดี ทบทวนตัวเองบ่อยๆ

ในขณะที่ IQ (Intelligence Quotience) ทดสอบปัญญาด้านภาษา และปัญญาด้านตรรกะคำนวณ ยังมีปัญญามิติอื่นๆอีกเยอะ ที่มนุษย์มี และสามารถที่จะพัฒนาได้ (แม้ว่าจะวัดไม่ได้ก็ตาม)

ต้นทุนสำคัญประการหนึ่งก็คือสิ่งที่เราคนไทย สะสมไว้นานมากแล้ว นั่นคือเรื่องของจิต เรื่องของปัญญา ปัญญานั้นไม่ใช่ cleverness หรือความฉลาด หลักแหลม แต่ปัญญานั้นเป็นสภาวะที่เมื่อเราใช้ cleverness แล้ว ตัวผู้ใช้เติบโตขึ้น ยกระดับจิตขึ้น ซึ่งต้องการสติกำกับเป็นอย่างดี มิฉะนั้น อาจจะยิ่งใช้ความฉลาด แต่ระดับจิตอาจจะยิ่งลดต่ำลงๆ ก็เป็นได้

AWAKEN พุทธะ : ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

คำว่า "จิตตื่นรู้" หรือถ้าเราหันไปหาคำเดิมคือ "พุทธะ" อันหมายถึง "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" นั้น มีนัยยะอันสำคัญอย่างยิ่ง

คนเราอาจจะ "รู้" ได้มากมาย ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร การ "รู้" มีเครื่องมือช่วยเยอะมาก นักเรียนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ดีๆ ลึกซึ้ง ได้มากอย่างไม่เคยมีมาก่อนในอดีต แต่การ "รู้เยอะ รู้มาก" อาจจะฉุดให้จม แทนที่จะพยุงให้ลอย โดยเฉพาะหากเราแสวงหาแต่ความรู้ โดยที่ไม่ได้แสวงหาการ "ตื่น" คือ การมีสติ การมีสำนึก การมี reflection skill ที่จะเกิดหิริโอตัปปะ เกิดพรหมวิหาร 4 กับสิ่งที่เรารู้ด้วยแล้ว

และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ การมีสติ การมีสำนึก การมีทักษะการสะท้อนตนเอง มิได้เป็นขั้นตอนที่ลดทุกข์ทันทีทันใด ตรงกันข้าม สิ่งเหล่านี้กลับทำหน้าที่เสมือน screening test การคัดกรอง คือ เมื่อไหร่ที่มีการคัดกรองที่ดี เราจะเจอพยาธิ เจอความทุกข์ต่างๆ "มากขึ้น" เมื่อเราใช้สติ ใช้สำนึก และใช้การสะท้อนตนเอง สิ่งที่จะเกิดขึ้น (ในช่วงแรก) ก็คือ เราจะพบเจอ "ความพร่อง" ของตัวเราเองมากมาย เราจะพบว่าเรายังมีความไม่สมบูรณ์ หรือความบกพร่องโน่น นี่ นั่น เต็มไปหมด แต่ข่าวดีก็คือ เราจะเจอสิ่งเหล่านี้ใน early stage ไม่ได้ไปเจอมันตอนที่ทรุดโทรม หรือแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อย่างที่เราอาจจะเผชิญถ้าเราไม่ได้หมั่นตรวจสอบตนเองบ่อยๆ

แน่นอน นี่อาจจะเป็นกับดักสำหรับผู้ฝึกสติ ฝึกการสะท้อน ฝึกสำนึก เพราะอาจจะนำไปสู่อารมณ์ที่กราดเกรี้ยว โกรธ กับ "ความจริง" ที่มองเห็น เห็นความไม่สมบูรณ์ ของสังคม ของผู้อื่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งของตนเอง แต่เมื่อเราเย็นพอ ช้าพอ และชะลอเพียงพอ ก้าวข้ามความกราดเกรี้ยว อารมณ์ลบเหล่านี้ได้ จึงเกิด "ปิติ" หรือความเบิกบานอย่างสงบ ตามมา

เมื่อนั้นจึงเป็น "พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"


Video clip นี้สะท้อนให้เห็นว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่ตอนเราใช้ชีวิตทั่วๆไปตามปกติ เราอาจจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องความบกพร่อง เป็นสิ่งที่เราไม่อยากได้ ไม่อยากจะมี แต่สุดท้ายแล้วจริงๆ ความบกพร่องเหล่านี้นั้นเอง ที่เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์แห่งความเป็นมนุษย์ (มนุษย์ = มน (ใจ) + อุษยะ (สูง)) คือ การมองเห็นความพร่อง การให้อภัย และการเรียนรู้ที่จะอยู่กับความพร่องนั้นอย่างไร

Life, is the art of living with imperfection.

Hope, is we all can do it.

Happiness, is we are doing it.

and Awakening, is we've found we can help others to do it.

ทุกวันนี้ ชีวิตที่จริงแล้วคือศิลปะการอยู่กับความไม่สมบูรณ์รอบๆตัวเรา แต่เราพบว่าเรายังมีความหวังอยู่ เพราะเรา "สามารถที่จะอยู่กับมันได้" ยิ่งไปกว่านั้นหากเราอยู่กับความไม่สมบูรณ์เหล่านั้นอย่างมีสติ อย่างมีจิตสำนึกแล้ว เราจะเกิดความปิติสุขขึ้น ยิ่งคิด ยิ่งใคร่ครวญ ยิ่งตรวจสอบสะท้อนตนเอง จิตตื่นรู้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อเราพบว่า ไม่เพียงอค่เราจัดการกับตัวเองได้เท่านั้น เรายังมีหน้าที่ต่อมวลมนุษยชาติ ช่วยเหลือผู้ที่ยังทุกข์ ผู้ที่ไม่สามารถหลุดพ้นออกจาก false belief หรือแสวงหาสิ่งที่ไม่มีจริง คือ absolute perfection ให้กลับมาอยู่กับ small and beauty of imperfection 

POWER OF NARRATIVE


Eric Clapton ต้องเผชิญกับ Imperfection ของชีวิต เมื่อเขากลับมาบ้าน และพบว่าลูกชายของเขาพลัดตกลงมาจากคอนโดมีเนียมถึงแก่ชีวิต ชีวิตของ Eric Clapton หยุดอยู่ในวังเวงอยู่หลายเดือน จนกระทั่งเขาขอให้เพื่อนรักของเขาเขียนเพลง Tears in Heaven ขึ้นมา แล้วเขาร้องเพลงนี้ออกมาจากหัวใจ อย่างช้าๆ หัวใจที่บาดเจ็บ ชีวิตที่พร่อง ค่อยๆดำเนินต่อไป บาดแผลสดเปลี่ยนเป็นค่อยๆหาย ค่อยๆดีขึ้น จน Eric Clapton ประกาศเลิกร้องเพลงนี้ เพราะชีวิตเขาสามารถที่ move on ต่อไปได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

อะไรคือความยิ่งใหญ่ของความเป็นมนุษย์?

การที่เราจะกลับไปหาสาเหตุที่มาของปัญหา ทำไมเด็กถึงตกตึก ทำไมเด็กถึงปีนหน้าต่างได้ แล้วจะป้องกันได้อย่างไร? ฯลฯ

หรือว่าความสามารถในการเยียวยาตนเองในทุกข์เหนือทุกข์เช่นนี้?

มนุษย์สามารถที่จะ "เลือก" events ต่างๆที่เข้ามาในชีวิต แล้วนำมาสร้างเป็น plot การเล่าเรื่องชีวิตของเราอย่างไร ก็จะเกิด endings ต่างๆได้มากมายตามพล็อตที่เราเลือกจะเรียงร้อยออกมาเช่นนั้น ยิ่งเราเลือกให้ความหมายที่ "ตรงกับความเป็นจริง" พล็อตของเราก็จะหนักแน่น และเกิดผลออกมาตามนั้นๆ การยอมรับความเป็นจริง แม้ว่าจะทุกข์ จะโหดร้าย แต่ในขณะเดียวกัน เราก็จะเติบโต และยกระดับจิตของเราให้สูงขึ้นได้ในเวลาเดียวกัน


ระบบบริการสุขภาพของไทย มีความเป็นไทยบูรณาการอยู่อย่างไร้ตะเข็บ ความสมบูรณ์ของไทย ความพร่องหรือบกพร่องแบบไทยๆ ผมเชื่อว่า เราสามารถที่จะมีระบบบริการสุขภาพที่ unique สมบูรณ์แบบที่จะทำได้ เราไม่จำเป็นต้องไปศึกษาเล่าเรียน Non-violent communication เพราะเรามี compassionate communication เราไม่จำเป็นต้องมี zero-tolerance to mistake แต่เราจะมี infinity tolerance to mistakes เพราะเราจะให้อภัยและเรียนรู้กับสิ่งเหล่านี้

The Most reliable things in life is imperfection สิ่งที่น่าเชื่อถือ ไว้วางใจได้ว่าจะเกิดขึ้นในโลกนี้คือ ความบกพร่อง และความไม่สมบูรณ์


The more important things is we will forgive and learn แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ เราสามารถที่จะให้อภัย และเรียนรู้จากความพร่อง ความไม่สมบูรณ์เหล่านี้


องค์กรที่มีชีวิต (Living organization) คือ องค์กรที่มีสมดุลระหว่าง harm avoidance การระมัดระวังป้องกันภัย อันตรายต่างๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มี adventurous minds คือจิตแห่งการกล้าเผชิญปัญหาที่ยังไม่ทราบคำตอบ มองเห็นเรื่องเหล่านี้เป็นโอกาสแห่งชีวิต เราจะทำทั้งสองด้านให้อยู่ในสมดุล เราก็จะมีองค์กรที่ใช้ศักยภาพสูงสุดของความเป็นมนุษย์

มานุษยธรรมนั้น คือสิ่งที่ไว้วางใจได้ เชื่อถือได้ Humanity is Highly Reliable


หมายเลขบันทึก: 523514เขียนเมื่อ 16 มีนาคม 2013 18:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มีนาคม 2013 20:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)

มานุษยธรรมนั้น คือสิ่งที่ไว้วางใจได้ เชื่อถือได้ ... จริงๆๆๆๆๆๆๆ

สวัสดีครับพี่ติ๊ก ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียน ขออภัยที่ไม่ได้ไปให้กำลังใจ (เพราะงานเข้า! อย่างที่เขียนไป) เสียดายที่ไม่ได้ฟังของจริงในงานครับ พี่ติ๊กช่วยเล่าสู่กันฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างสิครับ

ขอบคุณสำหรับการสรุปข้อคิดและบทเรียนมาแบ่งปันอย่างรวดเร็วครับ  ผมหวังว่าทุกภาคส่วนที่สนใจเรื่องจิตตื่นรู้จะร่วมกันเรียนรู้และปฏิบัติเพื่อสืบทอดหนทางอันมีคุณค่าสำหรับคนรุ่นต่อไป  เห็นด้วยอย่างยิ่งกับเรื่องการให้อภัยและเรียนรู้ครับ


Collective Minds น่าจะเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุด หากมนุษย์นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

สวัสดีค่ะจารย์สกล  สำหรับห้องที่พวกเราไป ลปรร เป็นห้องSapphire 114 หาห้องกันนานนิดนึงกว่าจะเจอค่ะ แรกๆ คนฟังมีน้อย พวกเราก้อคุยกันว่าสงสัยเขาไม่รู้มั้งว่าเราจะคุยด้วยเรื่องไร เลยไม่มากัน ถ้าเป็นหัวข้อ ปัจฉิมปรารถนาแบบเดิม อืม พี่ชอบจังคำนี้ เลยบอกกะแยว่า ตอนแรก แยคงต้องบอกไปเลยว่าเราจะแชร์กันเรื่องนี้  สักพักก็มีคนทะยอยเข้ามาฟังก็เกือบเต็มห้องค่ะ  ดูเขาสนใจฟัง นั่งฟังและถ่ายรูปสไลด์กับเป็นระะยะๆ บ้างก็พยักหน้าหงึกหงัก ตาม บรรยากาศดีค่ะ สำหรับพี่หลังจากพูดเสร็จ มีน้องมาแลกเปลี่ยนและกอดแรงๆๆ กอดแล้วกอดอีก หลายที แค่นี้ก็ปลื้มแล้วค่ะ..ก็เหมือนที่อาจารย์ว่าค่ะ ถ้าทำอะไรด้วยใจที่มี มนุษยธรรม barrier ใดๆๆ ก็กั้นไม่ได้

เรียนอาจารย์หมอสกล.....ว่าจะลุกไปเห็นอาจารย์ก็นั่งต่อ

เวลาสั้นๆ แต่ได้คลิก ตื่นรู้ ได้

ดีจังครับ อย่างที่พี่ว่า เราใช้เรื่องราวจริง มาเล่าจริง ความรู้สึกที่ authentic สิ่งเหล่านี้เป็นของมีค่าที่เราพอเอามาแลกเปลี่ยน คนรับก็จะเกิดรับรู้ได้เต็มที่ ขอบคุณที่เล่าให้ฟังครับ

ท่านวอญ่า เห็นพวกเรานั่งอยู่หลายคน เป็นกำลังใจให้แก่คนพูดมากครับ

อ่านบทความ อ.สกล แล้วเห็นภาพชัดเจน ทั้งบรรยากาศงาน HA Forum และเนื้อหาวิชาการ ขอบคุณมากครับ

บันทึกนี้มี harmony ที่สวยงามมากเลยนะคะ เริ่มตั้งแต่ภาพกว้างแล้วก็ค่อยๆพุ่งเข้าสู่ประเด็นสำคัญ (zoom) เห็นภาพครบถ้วนเลย ขอบคุณมากค่ะ

ขอบคุณคะ ชอบคลิปการกล่าวในงานศพของประเทศสิงคโปร์ จังคะ
การยอมรับ ให้อภัยกับ Imperfection ...ครอก ครืดด...:)
ขออนุญาตสะท้อนคะ 
หากเป็น 'fact' ที่เปลี่ยนไม่ได้ หรือเปลี่ยนยาก เช่น เกิดในวงศ์ตระกูลแบบไหน,ประเทศไหน, หน้าตาอย่างไร.. อันนี้ทำใจยอมรับไม่ยากนัก
แต่ 'problem' คือสิ่งที่น่าจะแก้ได้..ทำใจยากมาก จนคิดว่าเราควรหนีไปให้พ้น แม้ต้องเดือดร้อนตนเองก็ยอม  ใครพูดอย่างไรก็ไม่ฟัง จนวันหนึ่งที่เข้าประชุมแล้ว 'เห็น' ความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเราเช่นกัน เกิดความสบายใจ เพราะเห็นต้นเหตุ..ตัวเราก็เป็นส่วนหนึ่งของ problem.. แก้ที่ตัวเราได้แน่ด้วยความไว้วางใจได้

คำว่า fact นั้นขึ้นกับว่าเป็น absolute หรือนัยยะเป็นแบบไหน อิงบริบทไหม โดยเฉพาะตอนที่เป็น fact ลอยๆ ยังไม่ได้ไปจับกับ plot

เช่น ตระกูลอะไร จะมีความหมายยังไง มันคงจะต้อง apply context ใช่ไหมครับ เช่น จะเดินไปหาคนไข้สักคน ตระกูลเราอาจจะไม่เกี่ยวเท่าไหร่ (ถ้าไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ที่จะมี protocol) แต่เดินไปสมัครเป็นฑูต อันนี้อาจจะเกี่ยวบ้าง

หน้าตาก็เช่นกัน มันต้อง apply context อีก ตอนจะ apply นี่ เป็นจิตเรา artificially create ขึ้นมารึเปล่า ก็ต้องพิจารณาดูให้แน่ เพราะไปๆมาๆ ที่เราคิดว่าเป็น related facts นั้น อาจจะกลายเป็น imaginary fact ไปซะเฉยๆก็มี

เกิดในประเทศไหน ก็จะขึ้นกับบริบทเช่นกัน เช่น จะไปสมัคร สส. คงจะไม่ได้หากไม่ได้เป็น citizen แต่หากไปเที่ยวเมืองนอก เจอเด็กฝรั่งจะจมน้ำ เราคงไม่ต้องเช็คสัญชาติว่าเราเหมาะที่จะลงไปช่วยชีวิตเขาหรือไม่ กระโดดลงไปได้เลย

ขอบพระคุณมากครับ

จะน้อมไปฝึกใจนะครับ

ผมติดตรงที่ ถูกเข้าใจผิด จะโกรธแรง หรือน้อยใจมากน่ะครับ

สวัสดีครับ อ.ชยพร

ขอบพระคุณที่เข้ามาเยี่ยมเยียนครับ บางทีคนเราจะเข้าใจใครได้อย่างถ่องแท้ อาจจะเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ไปๆมาๆคนส่วนใหญ่อาจจะเข้าใจกันและกันผิดๆเสียด้วยซ้ำไป ขนาดตัวเราเอง เรายังไม่ค่อยได้อยู่กับตัวเองสักเท่าไรเลย เผลอๆเราเองก็ไม่ค่อยจะได้เข้าใจตัวเองชัดเจน นับประสาอะไรที่คนอื่นจะเข้าใจเราได้อย่างถูกต้อง

สวัสดีค่ะอาจารย์ 
       หนูอยากฟังบรรยายของอาจารย์มาก แต่ปีแรกที่เดินเข้าไป รู้สึกกลัวไม่ชินกับการเปิดเผยความรู้สึก และคำพูดบางคำหนูตามไม่ทัน (ลักษณะคล้ายการอ่านหนังสือของ ท่านพุทธาส ภิกขุ  ที่ชอบมากแต่เข้าไม่ถึง) เลยขยับถอยออกมา หลังจากนั้นที่คิดว่าพร้อมแล้ว จะเข้าห้องอาจารย์ทีไร ก็เต็มทุกที หนูคิดว่าวาสนาอาจยังไม่ถึง  ดีใจมากที่อาจารย์นำมาแบ่งปันใน gotoknow  แค่อ่านในนี้รู้สึกซาบซึ้ง ไว้สักวันหนูอาจมีวาสนาและประสบโอกาสบ้างนะคะ :) 

พี่แก้วมีโอกาสฟังอาจารย์พูด รู้สึกอิ่มใจทุกครั้งที่ได้ฟังแนวคิดที่อาจารย์นำมาเล่า ดีใจที่ได้พบอาจารย์

ไม่ได้ไปฟังพี่ติ๊กเลยค่ะ เสียดายจัง


 

สวัสดีคะ ท่านอาจารย์

อ่านแล้วเกิดภาพ เหมือนเราเดินย้อนรอยในอดีตคะ นึกดีใจที่น้องหน้างานสามารถเอาตัวรอดไปได้จากค่าแท้กซี่ ๕๐๐บาท อิอิ

ใน session สุดท้าย แม่ต้อยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างได้กำหนดไว้ เป็นหัวข้อการบรรยายที่งดงาม และรวมยอดของทุกสรรพสิ่งไว้ในนั้น

แม่ต้อยว่าเป็นโอกาสทองของพวกเรา สรพ. และน้องๆจากโรงพยาบาลที่ได้ฟังการบรรยายในห้องใหญ่ นี้

รู้สึกอบอุ่น มีพลัง และมีกำลังใจมากคะ

รักและเคารพเสมอ

แม่ต้อยคะ

ผมปรับ ending ใหม่ให้เข้ากับบริบท แทนที่จะเป็นของห้อง SHA ห้องเดียว ให้เป็นของ theme conference ผมคิดว่าผมชอบ ending ใหม่นี้มากกว่าเดิมยอะเลยครับ ไม่มีอะไรบังเอิญจริงๆ

ยังอยู่จนนาทีสุดท้าย....ของการบรรยายเพราะว่าทุกครั้งหนูจะได้พลังบางอย่างกลับไป

และมันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลย......เช่นกันค่ะ  ขอบคุณนะคะอาจารย์

ผมงง ว่าพลาดบันทึกทรงพลังของคุณหมอนี้ไปได้อย่างไร

คุณหมอหายไปนานเลยครับ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท