เหตุของการหย่าในปัจจุบันนั้นมีความแตกต่างจากในอดีต เนื่องจากในอดีตนั้น การหย่าจะมีสาเหตุมาจากความผิดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ในปัจจุบันนั้น การหย่านั้นอาจไม่ได้มีสาเหตุมาจากความผิดของคู่สมรสก็ได้ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในปัจจุบันกฎหมายของประเทศในโลกเกือบจะทุกประเทศจะอนุญาตให้มีการหย่าโดยสาเหตุของการหย่ามิได้เกิดจากความผิดของคู่สมรส โดยบางประเทศก็อาจจะมีหลักการที่เป็นรูปแบบผสม เช่น ประเทศมอลตา เป็นประเทศที่มิได้มีกฎหมายอนุญาตให้มีการหย่ากันได้ แต่ประเทศมอลตาให้การยอมรับในเรื่องของการหย่าที่เป็นไปในทางระหว่างประเทศ คือ การหย่าของคนชาติมอลตาที่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอื่น อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่ยอมรับการแยกกันอยู่หรือการล้มเลิกการแต่งงาน ยกเว้นการหย่าที่มีสาเหตุมาจากฝ่ายหนึ่งของคู่สมรสมีความต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ลำพัง เป็นต้น
ในส่วนของการยอมรับการหย่าในทางระหว่างประเทศ ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะมีการใช้กฎหมายโดยใช้หลักภูมิลำเนาและหลักถิ่นที่อยู่ของคู่สมรสมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากสมัยก่อนที่มีการใช้หลักสัญชาติซึ่งเคยเป็นหลักที่นิยมกันมากในยุโรป เหตุที่มีการใช้หลักภูมิลำเนามากขึ้นนั้น เนื่องจากการหย่าจำเป็นต้องใช้เขตอำนาจในการตัดสินการดำเนินการในการหย่า ภูมิลำเนาของคู่สมรสแต่ละฝ่ายจึงเป็นพื้นฐานในการคาดเดาเขตอำนาจในเรื่องของกฎหมายเกี่ยวกับการหย่าและกฎหมายที่เกี่ยวกับการแยกกันอยู่ :ซึ่งการใช้หลักภูมิลำเนานั้นเป็นที่ยอมรับกันในกฎหมายขัดกันของประเทศต่างๆทั่วโลกอย่างกว้างขวางกว่าหลักสัญชาติของคู่สมรส
Hague conference on Private International law ได้มีการประกาศใช้อนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการหย่าสองครั้งด้วยกัน โดยในครั้งแรกในปี 1902 ซึ่งมีประเทศที่ให้สัตยาบันเพียง 11 ประเทศในยุโรปและในครั้งที่สอง คือ ในปี 1969 โดยอนุสัญญานี้เป็นอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการยอมรับการหย่าและการแยกกันอยู่ ซึ่งเป็นอนุสัญญาที่เข้ามาแทนที่อนุสัญญาฉบับแรก ซึ่งให้มีการยอมรับถึงกฎหมายภายใน ในกรณีที่กฎหมายภายในมีเขตอำนาจที่จำเป็นต้องพิจารณาถึงเรื่องสัญชาติ ถิ่นที่อยู่ หรือภูมิลำเนา โดยการยอมรับในเรื่องการหย่านั้น อาจถูกปฏิเสธได้ถ้าเหตุผลในการหย่าไม่สามารถที่จะแสดงให้เห็นได้ หากกฎหมายของประเทศนั้นมีความจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงเหตุผลในการหย่า หรือเป็นกรณีที่กฎหมายของประเทศที่คู่สมรสทั้งสองฝ่ายมีสัญชาตินั้นไม่อนุญาติให้หย่าได้ โดยมีประเทศที่ให้สัตยาบันกับอนุสัญญาฉบับนี้ จำนวน 15 ประเทศ
จากที่ได้กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า การหย่าเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นในสังคมโลก เเละการหย่านั้นเริ่มที่จะมีแนวโน้มเพิ่มากขึ้นในอนาคต โดยที่สาเหตุของการหย่านั้นในปัจจุบันไม่ได้เกิดจากความผิดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเหมือนเช่นในอดีต และการหย่าในทางระหว่างประเทศนั้น มีแนวโน้มที่จะได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกฎหมายขัดกันเรื่องการหย่าของแต่ละประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน โดยส่วนใหญ่จะบัญญัติว่า ให้มีการหย่าได้หากกฎหมาย(สัญชาติ,ภูมิลำเนา)ของคู่สมรสทั้งสองฝ่าย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมรับให้มีการหย่าได้ จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ปัจจุบัน สังคมโลกนั้นเริ่มมีการขยายแนวคิดในเรื่องการหย่า ซึ่งมีที่มาจาก "ความผิดของคู่สมรส" เป็น "ความล้มเหลวในชีวิตสมรส"
ที่กล่าวมานั้น เป็นเรื่องของขั้นตอนในการดำเนิการหย่าว่าสามารถที่จะกระทำได้ แล้วอยากทราบว่าในเรื่องของเหตุการหย่านั้น ในแต่ละรัฐนั้นมีความสอดคล้องกันด้วยหรือไม่ อย่างไร และการบัญญัติกฎหมายที่ให้การหย่าเป็นไปด้วยความสะดวกนั้นจะส่งผลต่อหลักการทางศาสนา
ที่ไม่สนับสนุนให้มีการหย่าหรือไม่ครับ
วะอะลัยกุมมุสะลามค่ะ คุณ น.เมืองสรวง
เหตุของการหย่าในแต่ละรัฐมีความสอดคล้องกันหรือไม่นั้น ขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ค่ะ ถ้าได้คำตอบเมื่อไร จะเข้ามาตอบให้นะคะ คุณ last life
ตอบคุณ last life ค่ะ
ในส่วนของความสอดคล้องกันของเหตุหย่านั้นในแต่ละประเทศส่วใหญ่จะมีความสอดคล้องกันโดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากความผิดของคู่สมรสของฝ่ายหนึ่ง ที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ เรื่องการมีชู้ การจงใจละทิ้งร้าง และโดยส่วนใหญ่ ในแต่ละประเทศก็จะเริ่มมีเหตุหย่าที่มิได้เกิดจากความผิดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้
ขอบคุณครับ คุณยู