-----------
ข้อวิเคราะห์ทางกฎหมายที่ ๑ : รัฐไทยย่อมเป็นรัฐเดียวที่มีสถานะเป็นรัฐเจ้าของตัวบุคคล (Personal State) ของลุงตู่
-----------
ประเด็นของเรื่อง
เป็นคำถามเพื่อให้กำหนดตัวรัฐเจ้าของตัวบุคคลของมนุษย์/บุคคลธรรมดา ซึ่ง ก็คือ
เป็นเรื่องของการพิจารณาสัมพันธภาพระหว่างรัฐอธิปไตยและบุคคลตามกฎหมายเอกชน
เราจึงต้องมาพิจารณาว่า
รัฐอธิปไตยใดที่มีจุดเกาะเกี่ยวที่แท้จริงกับบุคคลธรรมดาตามข้อเท็จจริงอันเป็นโจทย์
อันทำให้มีสถานะเป็น “รัฐเจ้าของตัวบุคคล (Personal
State)” ของบุคคลธรรมดาดังกล่าว
โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ข้อเท็จจริงที่ทำให้รัฐอธิปไตยหนึ่งมีสถานะเป็น “รัฐเจ้าของตัวบุคคล” ของบุคคลธรรมดาคนใด ย่อมเกิดจากสัมพันธภาพระหว่างรัฐอธิปไตยและบุคคลธรรมดานั้นใน ๓ ลักษณะ กล่าวคือ (๑) ความเป็นคนที่มีสถานะเป็นคนสัญชาติของรัฐนั้น และ (๒) ความเป็นคนที่มีภูมิลำเนาตามกฎหมายมหาชนบนดินแดนของรัฐนั้น และ (๓) ความเป็นคนที่มีภูมิลำเนาตามกฎหมายเอกชนบนดินแดนของรัฐนั้น
เมื่อเราพิจารณาข้อเท็จจริงของลุงตู่หรือนายชาญ สุจินดาตามข้อเท็จจริงที่ให้มา
ในประการแรก เมื่อเราพบว่า นายทะเบียนท้องถิ่นเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายยังไม่รับรองสถานะคนสัญชาติไทยของนายชาญในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย รัฐไทยจึงยังไม่มีสถานะเป็น “รัฐเจ้าของตัวบุคคล (Personal State)” ของนายชาญ อันเนื่องมาจากการที่นายชาญมีสถานะเป็นคนสัญชาติไทย
ในประการที่สอง เมื่อเราพบว่า นายชาญยังมีชื่ออยู่เพียงในทะเบียนประวัติตามกฎหมายไทยว่าด้วยการทะเบียนราษฎรในสถานะ "บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน" หรือ “ท.ร.๓๘ ก” ซึ่งมาตรา ๒๙ แห่ง พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.๒๕๓๔ บัญญัติว่า “ผู้ใดมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านใด ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นอยู่และมีภูมิลำเนาอยู่ ณ ที่นั้น” ดังนั้น เมื่อนายชาญมีชื่อในทะเบียนประวัติ มิใช่ทะเบียนบ้าน เขาจึงยังไม่มีสถานะเป็นคนที่มีภูมิลำเนาตามกฎหมายมหาชนบนดินแดนของรัฐไทย จึงยังกล่าวมิได้ว่า รัฐไทยเป็นรัฐเจ้าของตัวบุคคลของนายชาญเพราะด้วยเหตุผลนี้
ในประการที่สาม เมื่อเราพบว่า นายชาญอาศัยอยู่ที่วัดสุนทรธรรมทาน (วัดแคนางเลิ้ง) เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. เราจึงฟังได้ว่า นายชาญมีภูมิลำเนาตามกฎหมายเอกชนบนดินแดนของรัฐไทย ทั้งนี้ เพราะ แม้มาตรา ๓๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.๒๔๖๘ จะบัญญัติว่า “ภูมิลำเนาของบุคคลธรรมดา ได้แก่ถิ่นอันบุคคลนั้นมีสถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญ” แต่มาตรา ๓๙ แห่งประมวลกฎหมายนี้ก็ยังบัญญัติต่อไปว่า “ถ้าภูมิลำเนาไม่ปรากฏ ให้ถือว่าถิ่นที่อยู่เป็นภูมิลำเนา” และมาตรา ๓๙ แห่งประมวลกฎหมายนี้ก็ยังบัญญัติต่อไปว่า “บุคคลธรรมดาซึ่งเป็นผู้ไม่มีที่อยู่ปกติเป็นหลักแหล่ง หรือเป็นผู้ครองชีพในการเดินทางไปมาปราศจากหลักแหล่งที่ทำการงาน พบตัวในถิ่นไหนให้ถือว่า ถิ่นนั้นเป็นภูมิลำเนาของบุคคลนั้น” ดังนั้น เมื่อเราย้อนกลับมาพิจารณาข้อเท็จจริงของนายชาญ เราจะเห็นว่า เมื่อเขาไม่มีบ้านให้อาศัยอยู่ เขาย่อมไม่มี “สถานที่อยู่เป็นแหล่งสำคัญ” แต่เราพบข้อเท็จจริงต่อไปว่า เขาอาศัยอยู่ในวัดแคนางเลิ้ง โดยทั่วไป เขามักจะนอนใต้ต้นโพธิ์หน้าโบสถ์ จึงสรุปได้ว่า เขาถือเอาวัดแคนางเลิ้งเป็น “ถิ่นที่อยู่ปกติ ” ซึ่งอาจจะเป็นมุมใดมุมหนึ่งของวัดดังกล่าว กรณีของเขาจึงเป็นไปตามมาตรา ๓๙ มากกว่าที่จะเป็นกรณีตามมาตรา ๔๐ นายชาญน่าจะมิใช่ “ผู้ไม่มีที่อยู่ปกติเป็นหลักแหล่ง” หรือ “เป็นผู้ครองชีพในการเดินทางไปมาปราศจากหลักแหล่งที่ทำการงาน” เขาอาศัยอยู่เป็นปกติเป็นหลักแหล่งในชุมชนนางเลิ้ง ดังนั้น เมื่อวัดแคนางเลิ้งและชุมชนนางเลิ้งตั้งอยู่ในประเทศไทย รัฐไทยจึงเป็นรัฐเจ้าของตัวบุคคลของนายชาญ เพราะเขามีภูมิลำเนาตามกฎหมายเอกชนบนดินแดนของรัฐไทย
โดยสรุป ในระหว่างนายทะเบียนท้องถิ่นเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายยังไม่รับรองสถานะคนสัญชาติไทยของนายชาญในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย รัฐไทยย่อมมีสถานะเป็น “รัฐเจ้าของตัวบุคคล (Personal State)” ของนายชาญอยู่ดี เพราะเขามีภูมิลำเนาตามกฎหมายเอกชนบนดินแดนของรัฐไทย
ไม่มีความเห็น