วิชญธรรม
ผศ. ดร. สิริวิชญ์ เตชะเจษฎารังษี

9 วันที่ยึดติด (1)


15 ก.พ. 2556

เร่งรีบจัดการงานที่ค้างให้เสร็จ เพื่อกลับบ้าน ซึ่งเป้าหมายหลักคือการพูดคุยปรึกษาหารือระหว่าง พ่อแม่ พี่ๆที่บ้าน และจะแวะกราบหลวงปู่ หลังการไม่ได้กราบท่านนานนับเดือน แผนว่าจะกลับมาทำงานวันอังคารที่ 19 ก.พ. 2556  สุดท้ายก็มีเหตุให้ต้องอยู่วัดตลอดถึงวันมาฆบูชา 25 ก.พ. 2556 โดยไม่ได้ทำตามที่วางแผนเอาไว้............

............................นี่แหละ “อนิจจัง” ความไม่เที่ยง ที่หลวงปู่ ชี้ให้เห็นตลอดเวลา แทบทุกขณะ ........... เราจะไปกำหนดอะไรๆ ที่ว่าแน่ๆอาจไม่แน่ก็ได้ ให้เผื่อใจไว้ก่อน..............................

ผมถึงบ้านที่อุบลฯ ก็ดึกได้พักนอนที่บ้าน  1 คืน.................. (มาเขียนบันทึกตอนนี้เริ่มจะลืมๆ รายละเอียดในแต่ละวันไปบ้างแล้ว......เสียดายอยู่ครับ แต่จะบันทึกไว้เตือนความทรงจำตัวเอง และแบ่งบันสำหรับผู้อื่นที่กำลังทุกข์ได้บ้าง )

16 ก.พ. 2556

เช้าเรากำลังเตรียมตัวจะขึ้นวัด (เรานี้มี พี่ และเพื่อนพี่ รวมผม 3 คน) ................


ด้วยความที่ว่าหลวงปู่ต้องดูแลอยู่ถึง 5 วัด พร้อมๆกัน จะพบท่านต้อง ทราบว่าท่านอยู่ไหน  (อันนี้ก็ “อนิจจัง” ความไม่เที่ยง ที่หลวงปู่ สอนลูกศิษย์ให้เห็นชัดๆเลยว่า ไม่มีอะไรแน่นอนว่าหลวงปู่จะไปที่ใด ณ. เวลาใด....... บางครั้งแผนว่าจะไป แต่หลวงปู่ก็ไม่ได้ไป สลับกันไปมา ไม่มีใครคาดการณ์ล่วงหน้าได้......... ครูบาหรือพระอุปัฏฐาก มักเป็นที่รู้กันว่า “ทุกอย่างเป็น อนิจจังกำหนดไม่ได้แน่นอนว่าจะไปไหนมาไหน”

เช้าวันนี้.......เรามาทราบว่า หลวงปู่ เข้าโรงพยาบาล ในตัวเมืองอุบลฯ  ขณะเรากำลังจะออกรถไปวัด

เราจึงตามไปเยี่ยมหลวงปู่ที่โรงพยาบาล...............

พอถึง รพ.  ...... ลิฟต์ถึงชั้นที่หลวงปู่พักประจำ (รพ. จัดชั้นบนสุดทั้งชั้นของอาคารให้หลวงปู่พัก) ..............

เราพบว่าหลวงปู่นั่งอยู่หน้าประตูลิฟต์ รอ เตรียมจะกลับวัด อยู่แล้ว ..............................

ประโยคแรกที่ท่านเห็นเรา.............หลวงปู่ก็พูดว่า........”ด็อกเตอร์!!!! มานี่ มีเรื่องซิคุยนำ.....”

เรายังไม่ทันได้ถาม อาการท่านเลย............... สำหรับผม ในใจผมเชื่อว่า หลวงปู่เมตตาผมมาก ที่มาให้คำสอนแก่ผมก่อนผมจะรับศึกหนักในสายวันที่ 16 นี้

หลวงปู่สอบถามเรื่องราวผม แล้วก็ให้ข้อคิด คำสอน แก่เราหลายเรื่อง ไปพร้อมๆกัน เท่าที่จะนำมาเขียนได้...........เช่น

“ คนหนึ่งถือธรรมะ กับ อีกคนมีโมหะ โทสะ.................มันไปด้วยกันไม่ได้ มันไม่เจริญ ..........”

“ มรรคคือทางสายกลาง............... ทำใจให้ไม่รัก-ไม่เกลียด ไม่สุข-ไม่ทุกข์ อยู่ว่างๆ จะได้ไหม?  เราก็ภาวนามามากขนาดนี้จะไม่เห็นอีกบ่???  (หลวงปู่ย้อนถาม) “

“ ธาตุธรรมชาติทรงไว้ซึ่งสัตว์ ........  คนเราก็คือสัตว์  ประกอบด้วย ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ................ แค่ขาด ธาตุลม ธาตุไฟ เราก็อยู่ไม่ได้แล้ว (ลมหายใจ กับ ความอบอุ่นภายในร่างกาย)  ยังบ่เห็นอีกเบาะ ด็อกเตอร์?? (หลวงปู่จี้ถาม)

ให้พิจารณาดู.............ตัวเราก็มีแค่นี้ ไม่มีอะไรมากกว่านี้ ทุกคนก็เป็นเพียง ธาตุธรรมชาติประกอบขึ้นมา เรายังบังคับ กะเกณฑ์ธาตุขันธ์เราเองยังไม่ได้เลย แล้วจะไปบังคับกะเกณฑ์คนอื่นได้อย่างไร.................................”

“ ธรรม ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม (ไม่ต้องกังวล อันนี้ผมเติมเอง 555) ”  คำสอนนี้ของหลวงปู่ เติมกำลังใจผมมากครับ

“ เมตตาของเรา......................เรามีให้ลูกเราเสมอไม่มีขาด ลูกเราก็รับรู้ได้................ “

“ ความ “อยาก” คือ กิเลส ”

“ วาง.........จากปัญหา วางจากการไปยึดติด ว่ามีเรามีตัวตนของเรา ไม่วางเราก็ทุกข์ ”

.......................ฯลฯ

(ระหว่างเข้าพบหลวงปู่ที่ รพ. ผมไม่ได้พกโทรศัพท์ติดตัวทิ้งไว้บนรถ)

หลวงปู่สอนเสร็จท่านก็ห่มจีวรเดินทางกลับวัด AA เพื่อไปงานผ้าป่า .....เราก็ขับรถตามไปเพื่อจะไปร่วมงานแล้วเราก็จะขึ้นวัด BB 

พองานผ้าป่าเสร็จมาทราบว่าหลวงปู่ก็จะไปก็งานทำถนนที่วัด CC ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัด BB เท่าไรนัก (ประมาณ 20 นาที ขับรถ) เราก็เลยเปลี่ยนแผนจะตามหลวงปู่ไปวัด CC ก่อน ดังนั้นหลวงปู่ กับเรา ก็แยกย้ายกันไป..........คาดว่าจะไปเจอกันที่วัด CC


(ระหว่างเข้าพบหลวงปู่ที่ รพ. และที่งานในวัด ผมไม่ได้พกโทรศัพท์ ติดตัวทิ้งไว้บนรถ)

ผมมารู้สึก (โดยส่วนตัวนะครับ) ว่า การที่ได้มาพบหลวงปู่ เหมือนกับท่านจงใจจะมาให้พบถึงที่ มาสอนให้ทันก่อนเหตุการณ์จะเกิด....................  วันนั้นผมไม่ได้รับโทรศัพท์ (ขณะนั้นอยู่กับหลวงปู่ ที่ รพ.) ไม่เห็น ข้อความ sms

พี่ๆ กับผมได้มาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า...........  (จริงๆแล้ว หลวงปู่เพิ่งสอนเราให้วาง ผมก็ไม่ฟัง ความกังวล (กิเลส) ทำให้เราไม่เชื่อคำครูบาอาจารย์ ไปตามแก้ปัญหาทางโลก....ที่เราก็รู้ในใจอยู่ว่า แก้เท่าไหร่มันก็ไม่มีวันจบ... )

วันนั้นเราได้แก้ปัญหาจนได้ เพียงเพื่อป้องกันผม พี่ๆ และน้องที่ทำงานผม ผมก็วุ่นวายทั้งวัน........................

พอเสร็จเรื่องเราก็เดินทางขึ้นวัด CC เจอหลวงปู่ยืนคุมงานอยู่ (เราถึงก็ช่วงเย็น 5-6 โมงเย็นแล้ว) ทุกคนรู้ว่าทำผิด...........รู้สึกผิดต่อคำสอนหลวงปู่ (เตรียมตัวถูกดุ...555) 

หลวงปู่ทัก...........................” ไปหาเล่นที่ไหนมา?...”  เมื่อนำมาพิจารณากับสิ่งที่เราไป “เล่น” มา มันไม่ใช่เรื่องอย่างที่หลวงปู่ทักนั้นแหละ.......โดนกันทั่วหน้า................:):)

หัวค่ำวันนั้น เราตั้งใจจะไปอยู่ปฏิบัติธรรมวัด BB ปรากฏว่าหลวงปู่บอกโยมไปวัดจำวัดที่วัดBB ด้วยเช่นกัน..................

คืนนั้นไม่รู้เป็นอะไร ผมตัดสินใจเข้านอนตั้งแต่ สี่ทุ่ม ........(ซึ่งปกติ ผมจะเดินจงกรมก่อนเข้านอน เพราะหาโอกาสมาวัดที่เราคุ้นเคยสถานที่ยาก)

เวลาประมาณห้าทุ่ม กว่า มีโยมอุปฐากหลวงปู่มาปลุกผม ที่ศาลา บอกหลวงปู่รู้สึกไม่ดี ต้องพาไป รพ. ที่อุบล...............

ผมรีบลุกไปเอารถออก......................ข้าวของ เต็นท์ก็ยังไม่เก็บ........................(ฝากพี่ช่วยเก็บให้)

ด้วยผมไม่เตรียมพร้อมกับเหตุการณ์นี้ น้ำมันในรถเหลือเพียง ขีดเดียว.................... ในใจเริ่มกังวลว่า ควรจะแวะเติมน้ำมันระหว่างทางหรือไม่............เพราะเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่จะพาหลวงปู่ให้ถึง รพ.  เรารู้ว่าหลวงปู่ ถ้าท่านได้เอ่ยปากว่า ต้องไป รพ. นั้นคือ ท่านพิจารณาแล้วว่า “สำคัญ”

ผมประเมินระดับน้ำมัน น่าจะพอดีๆไปถึงรพ. ได้ ถ้าขับด้วยความเร็วปกติ................................แต่คืนนั้นผมจำเป็นต้องขับรถแบบเร็วมาก (140 กม/ชม สำหรับผมนี้ถือว่าเร็วแล้ว...)

พอใกล้จะผ่านปั๊มที่หนึ่งที่ อ. พิบูลฯ ผมมองดูเข็มน้ำมันลดลงอย่างรวดเร็ว ไปครึ่งขีดแล้ว เหลือระยะทางอีกประมาณ 46-47 กม. ถึงจะถึงอุบลฯ ผมคิดหนักว่าจะยอมเสียเวลาประมาณ 5-10 นาทีเติมน้ำมัน กับการมาลุ้นว่าน้ำมันจะพอหรือไม่.............

ในที่สุดผมตัดสินใจขับต่อโดยไม่แวะเติมน้ำมัน ............ เพราะคาดว่าน้ำมันคงเหลือพอที่จะวิ่งไปถึงปั๊มถัดไป..................

ระหว่างขับก็คิด กลับไปกลับมาว่า “ เรากำลังใช้ความเสี่ยง กับชีวิต ครูบาอาจารย์หรือไม่ถ้าน้ำมันหมดจะทำอย่างไร ” แต่อีกใจก็ว่า “ เวลาที่จะเสียไปขณะจอดเติมน้ำมัน กับความเสี่ยง กับชีวิต ก็มีเช่นกัน และระดับน้ำมันน่าจะไปถึงปั๊มสุดท้ายได้”

การตัดสินใจขับผ่านปั๊ม ไม่ได้ทำให้หยุดคิดในสิ่งที่กระทำผ่านไปแล้ว ......... กลับมาคิดวนเวียนซ้ำในสิ่งที่ตนทำในอดีต

ผมเขียนบรรยายความคิดได้เฉพาะตอนนี้นะครับ แต่สถานการณ์จริง ลุ้นมากจนเหงื่อตก คิดธรรมะข้อใดก็ไม่ออก หรือไม่คิดเกี่ยวกันหลักธรรมอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ........555 )

เหมือนกันคำสอนหลวงพ่อชา ในกุญแจภาวนา (หน้าที่ 2-3  ศึกษาธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์ และ  รู้จากปริยัติต่างกับรู้จากปฏิบัติ)  ที่ว่า

....จิตมันเคลื่อนไหวนั่นเอง....เมื่อมันเคลื่อนออกไปก็เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ท่านพิจารณาอันนี้ ท่านจึงให้รับทราบสิ่งเหล่านี้ไว้ ให้พิจารณาสังขารเหล่านี้ ปฏิจจสมุปบาทก็เหมือนกัน อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป เราเคยเล่าเรียนมาศึกษามา ก็เป็นจริงคือท่านแยกเป็นส่วนๆไปเพื่อให้นักศึกษารู้ แต่เมื่อมันเกิดมาจริงๆแล้วท่านมหานับไม่ทันหรอก.....

....อุปมาเหมือนเราตกจากยอดไม้ก็ตุ๊บถึงพื้นโน่น ไม่รู้ว่ามันผ่านกิ่งไหนบ้าง จิตเมื่อถูกอารมณ์ปุ๊บขึ้นมา ถ้าชอบใจก็ถึงดีโน่น อันที่ติดต่อกันเราไม่รู้ มันไปตามที่ปริยัติรู้นั้นเอง แต่มันก็ไปนอกปริยัติด้วย มันไม่บอกว่า ตรงนี้เป็นอวิชชา ตรงนี้เป็นสังขาร ตรงนี้เป็นวิญญาณ ตรงนี้เป็นนามรูป มันไม่ได้ให้ท่านมหาอ่านอย่างนั้นหรอก เหมื่อนกับการตกจากต้นไม้ ทานพูดถึงขณะจิตอย่างเต็มที่ของมันจริงๆ อาตมาจึงมีหลักเทียบว่า เหมือนกับการตกจากต้นไม้ เมื่อมันพลาดจากต้นไม้ไปปุ๊บมิได้คณนาว่ามันกี่นิ้วกี่ฟุต เห็นแต่มันตูมถึงดิน เจ็บแล้ว....

....ทางนี้ก็เหมือนกัน เมื่อมันเป็นขึ้นมาเห็นแต่ทุกข์ โสกะปริเทวะ ทุกข์โน่นเลย มันเกิดมาจากไหนมันไม่ได้อ่านหรอก .........

______________________________________________________________________

เมื่อผมเร่งขับจะถึงปั๊มสุดท้าย สิ่งที่ผมต้องตัดสินใจอีกครั้งก็มาถึง....................................เข็มน้ำมันตกถึงขีดต่ำสุดแต่ไฟเตือนยังไม่ขึ้น..................เหลืออีก  15 กม. จะถึงอุบลฯ  

ผมทบทวนและตัดสินใจ โดยเชื่อมั่นว่า 15-20 กม. รถไปถึง รพ. แน่....................จึงตัดสินใจไม่แวะเติมน้ำมัน ปั๊มสุดท้ายระหว่างทาง ตอนนั้นหลวงปู่เงียบมาก ผมก็ไม่มีจังหวะหันไปดูหลวงปู่ ด้วยตนเองขับรถค่อนข้างเร็ว ต้องดูถนน ดูรถ......ดูคน ดูมอเตอร์ไซด์ (แมงไซด์-นี้อันตรายมาก)  

พอผ่านปั๊มไปได้ไม่ถึงครึ่งทาง..............................Oh My @$%^.....!!!!  ไฟเหลืองขึ้น!!!  เอาแล้วตู!!!!

ในใจเริ่มไม่เชื่อมั่นในตนเองแล้วว่า จะพาหลวงปู่ไปถึงไหม คิดโน้นเลย...... เตรียมโทรฉุกเฉินขอรถพยาบาล ซึ่งจริงๆแล้วขณะนั้นผมกำลังขับตามรถพยาบาลที่เปิดไฟฉุกเฉินอยู่พอดี  ขับเร็วไม่ต่างกัน.......

อาการวิตก กังวลเริ่มมีมากขึ้น........  เอาปิดแอร์ บ้าง เปิดแอร์บ้าง จะประหยัดน้ำมันได้ ช่วยยืดระยะทางได้ ไม่มากก็น้อย ก็ทำไป.....

ในที่สุด เราก็ถึง รพ. ............................โล่งอกเลยเรา...............................พาหลวงปู่เข้าพัก รอหมอ.............:):)

พอมาวันนี้ เมื่อมานึกทบทวน...........................  การตัดสินใจของแต่ละคน แต่ละสถานการณ์ก็คงมีหลากหลาย.................

แล้วหลายคนคงคิดว่า “ ถ้ารู้อย่างงี้...........เหตุการณ์ตอนนั้น เราจะตัดสินใจทำอย่างนี้ จะได้เป็นอย่างนั้น.........“ 

สำหรับผม ผมคิดว่า (ต้องฝึกด้วยว่า) ถ้าผมตัดสินใจทำอะไรลงไป เหตุที่ผมก่อ ณ ปัจจุบัน ก็จะส่งผลในอนาคต  ................แต่ถ้ามีโอกาสย้อนเวลากลับมา ณ จุดที่ผมต้องตัดสินใจ ในสถานการณ์บีบบังคับเหมือนเดิม  ผมก็จะตัดสินในเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เพราะประตูทางออก ภายใต้สถานการณ์เดิม เราก็จะตัดสินใจเลือกอย่างเดิมอยู่ดี...................

ดังนั้น คำพูดที่ว่า  “  ถ้ารู้อย่างงี้ แล้วเราจะไม่ทำอย่างนั้น เราจะทำอย่างที่ถูกต้อง.....อย่างนี้แทน...........”

สำหรับผม  ณ ตอนนี้ เหตุที่เราก่อ ถ้าเราได้ทบทวน อย่างมีสติ รอบคอบ ยึดหลักธรรม แล้วก็ตัดสินใจทำลงไป  ไม่ว่าจะเวลาใด จะย้อนเวลามาเกิดซ้ำอีก ......เราก็จะตัดสินใจเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง  ............และที่สำคัญคงต้องโน้มรับกับผลที่เราทำไป โดยไม่ท้อใจ เสียใจ (มากนัก) ................................


หลวงปู่บอกมารู้ตัวอีกทีก็ถึง รพ. แล้ว.......................คืนนั้นเราพักที่ รพ.  อาจารย์หมอ ผอ. รพ. ยกชั้น 8 ให้หลวงปู่พักทั้งชั้น.....  หลวงปู่คงได้พัก อาการท่านดีขึ้น  อาจารย์หมอ ผอ. รพ. ถามไถ่อาการหลวงปู่ วัดความดัน  ปกติ แล้วบอกว่า พรุ่งนี้เช้าจะมาตรวจหลวงปู่อีก  ผมคิดว่าหลวงปู่ ท่านจำวัดน้อยมาก และทำงาน โยธา และเร่งสั่งสอน ลูกศิษย์ทั้งวัน กลางคืนไม่ได้พัก สังขารท่านเลยไม่ไหว..................

ท่านเล่าว่า วันก่อนระหว่างเดินอยู่จะข้ามสะพาน แล้วหน้ามืด วูบไป แต่ก็ตั้งจิตใจเดินต่อไป ให้ถึงใต้ต้นไม้อีกฝั่ง (ต้นอะไร ผมก็แปลไม่ออกครับ ขออภัย ภาษาไม่เข้มแข็งครับ) ผมสัมผัสได้ว่า ถ้าเราตั้งใจจะทำอะไร ที่จะเอาชนะใจตน หลวงปู่เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ บุคคลหนึ่ง  ถ้าจะบรรยายในเชิงความเคารพศรัทรา หลวงปู่ท่านได้พิจารณาสังขาร กับจิต แยกออกจากกันอย่างไม่ให้เป็นทุกข์ เพราะความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ท่านไม่ได้แสดงอาการทุกข์ต่อการเจ็บป่วยเลยจริงๆ ซึ่งถ้าเทียบกับตัวผมเอง แค่หน้ามืดจะเป็นลมก็ วิตกกังวล โวยวายไปแล้ว.....555

ผมใช้เวลา คิดว่า ไม่ถึง ชั่วโมง จาก ใต้ผาแต้ม อ. โขงเจียม วิ่งมาที่ รพ..........ถึงเวลาประมาณ 00.30 น

คืนนั้น เรา โยม 2 เณร 1 และหลวงปู่ นอน จำวัด อยู่ข้างๆกันในห้องประชุมใหญ่ ชั้น 8.................................

  (ลืมบอกไป ผมเอารถไปเติมน้ำมันเต็มถังรอไว้แล้ว.......ทันทีหลังจากส่งหลวงปู่  555)


17 ก.พ. 2556

18 ก.พ. 2556

19 ก.พ. 2556

20 ก.พ. 2556

21 ก.พ. 2556

22 ก.พ. 2556

23 ก.พ. 2556

24 ก.พ. 2556

25 ก.พ. 2556


<p></p>

หมายเลขบันทึก: 521155เขียนเมื่อ 2 มีนาคม 2013 12:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 ตุลาคม 2013 15:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

นั่งอ่านแล้วตื่นเต้นไปด้วย  แล้ว หลวงปู่ท่านดีขึ้นหรือยังค่ะ  

ชลัญเป็นคนหนึ่งที่ไม่กลับไปเสียใจในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว  เพราะในระหว่างเหตุการณ์หรือวิกฤตที่เข้ามาในชีวิตนั้น  บางครั้งเราไม่สามารถ control หรือ พยายามใช้หลักธรรมอะไรได้ ทั้งนี้เนื่องจากขณะนั้นมีเหตุอะไรมากระทบ  มีปัจจัยร่วมใดบ้าง สิ่งแวดล้อมขณะนั้นเป้นอย่างไร  นั่นเอง  แต่ชลัญจะนึกทบทวนต่างหากว่า หากเกิดข้อผิดพลาดที่แก้ไขไม่ได้ ด้วยฝีมือชลัญแล้ว  ชลัญจะกลับไปขอโทษในสิ่งที่ได้กระทำผิดทุกครั้ง ไม่ขอร้องให้ใครยกโทษ  เพราะบางสิ่งอาจไม่เพราะเช่นนั้นจึงไม่มีทางที่จะอธิบายกันให้เข้าใจ  การยอมรับกับความผิดพลาดจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด  คำขอโทษเป็นทางออกเดียวที่ชลัญรู้สึกว่า สามารถรับผิดชอบสิ่งที่ทำพลาดไป  จะเหมือนเดิมหรือไม่นั้นอยู่ที่บุคคลที่เป็นตัวแปรที่เกี่ยวข้องที่จะยอมรับและเข้าใจคำขอโทษของเราแค่ไหนค่ะ 


ทำดีที่สุดแล้วค่ะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

การบันทึก "เรื่องราว" ทำให้เราได้ทบทวนและเรียนรู้... ธรรมะ

รออ่านต่อค่ะ  :)

(ต่อ)

หลวงปู่บอกมารู้ตัวอีกทีก็ถึง รพ. แล้ว.......................คืนนั้นเราพักที่ รพ.  อาจารย์หมอ ผอ. รพ. ยกชั้น 8 ให้หลวงปู่พักทั้งชั้น.....  หลวงปู่คงได้พัก อาการท่านดีขึ้น  อาจารย์หมอ ผอ. รพ. ถามไถ่อาการหลวงปู่ วัดความดัน  ปกติ แล้วบอกว่า พรุ่งนี้เช้าจะมาตรวจหลวงปู่อีก  ผมคิดว่าหลวงปู่ ท่านจำวัดน้อยมาก และทำงาน โยธา และเร่งสั่งสอน ลูกศิษย์ทั้งวัน กลางคืนไม่ได้พัก สังขารท่านเลยไม่ไหว..................

ท่านเล่าว่า วันก่อนระหว่างเดินอยู่จะข้ามสะพาน แล้วหน้ามืด วูบไป แต่ก็ตั้งจิตใจเดินต่อไป ให้ถึงใต้ต้นไม้อีกฝั่ง (ต้นอะไร ผมก็แปลไม่ออกครับ ขออภัย ภาษาไม่เข้มแข็งครับ) ผมสัมผัสได้ว่า ถ้าเราตั้งใจจะทำอะไร ที่จะเอาชนะใจตน หลวงปู่เป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ บุคคลหนึ่ง  ถ้าจะบรรยายในเชิงความเคารพศรัทรา หลวงปู่ท่านได้พิจารณาสังขาร กับจิต แยกออกจากกันอย่างไม่ให้เป็นทุกข์ เพราะความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ท่านไม่ได้แสดงอาการทุกข์ต่อการเจ็บป่วยเลยจริงๆ ซึ่งถ้าเทียบกับตัวผมเอง แค่หน้ามืดจะเป็นลมก็ วิตกกังวล โวยวายไปแล้ว.....555

ผมใช้เวลา คิดว่า ไม่ถึง ชั่วโมง จาก ใต้ผาแต้ม อ. โขงเจียม วิ่งมาที่ รพ..........ถึงเวลาประมาณ 00.30 น

คืนนั้น เรา โยม 2 เณร 1 และหลวงปู่ นอน จำวัด อยู่ข้างๆกันในห้องประชุมใหญ่ ชั้น 8.................................

  (ลืมบอกไป ผมเอารถไปเติมน้ำมันเต็มถังรอไว้แล้ว.......ทันทีหลังจากส่งหลวงปู่  555)


พบ. ร้อยเอ็ด ณ พิมาย นี้มีความคิดดีๆเสมอเลยนะครับ.....:):)

พี่ Green ผมก็อยากเขียนต่อนะครับ.... ปัญหาคือ  มันลืมไปแล้วว่าวันไหนเจออะไรบ้าง...... ทำไงดีครับ เขียนไม่ออกเลย..... 5555 

ความรีบร้อน ความเร่งรีบ ถ้าให้ชัวร์จริงๆ ควรจะเติมนํ้ามันเสียตั้งแต่ปั้มแรก ครับ เพื่อความแน่ใจว่าไปถึงแน่ๆ แม้จะช้าไปสัก 5นาที เพราะถ้านํ้ามันหมดเสียกอนไปถึง  จะเสียเวลาไปมากกว่าหลายเท่าครับ  ชอบนะครับบันทึกนี้

สรุปๆ เฉพาะบทเรียน ความรู้สึก และข้อคิดก็ได้...นะคะ

อ่านยาวๆแล้วนอกจากง่วงแล้วยังปวดตาด้วย...ฮาๆๆๆๆ

เครื่องหมาย ? คำถามเดี่ยว
 ผมเห็นด้วยครับ เพื่อความชัวร์ว่ารถขับถึงที่หมายแน่นอน เราควรเติมน้ำมันตั้งแต่ปั๊มแรก......

แต่จะช้าสัก 5 นาที 10 นาที เป็นที่ผมไม่แน่ใจในสถานการณ์ตอนนั้น กับเวลาจะเที่ยงคืน และเด็กปั๊มจะรีบให้เราได้เพียงใด ............

คราวหน้าน้ำมันพร้อมครับ.....:):)


พี่ Green เดี๋ยวจัดให้  ไม่เอาน้ำ เอาแต่เนื้อกับเส้น........... ก็สั่ง .แห้ง. ซะเลย จัดให้ครับ......  แต่บ้านพี่ผมที่ระยอง ขาย โจ็ก ก๋วยเตี๋ยว..........น้ำซุบ อร่อยมาก (ขอโม้หน่อย)   5555

มีน้ำบ้างก็ไม่ว่ากันค่ะ แห้งมาไม่มีน้ำเลย ก็จะติดคอได้...ฮาๆๆๆ

เห็นตรงกันเป๊ะกับน้องโจ้ค่ะว่า เราต้องเชื่อการตัดสินใจณ เวลานั้นของเราจริงๆและพร้อมจะรับผิดชอบ คิดย้อนไปเพียงเพื่อเรียนรู้แต่ไม่เสียใจแน่นอนค่ะ เพราะรู้ตัวว่าเราทำดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้แล้วในทุกๆอย่าง เห็นว่าอาจารย์ตัดสินใจถูกแล้วล่ะค่ะ เพราะเรื่องจบลงด้วยดี แสดงว่าสัญชาตญาณของอาจารย์เชื่อถือได้ แม้ในยามนั้นจะลุ้นจนตัวโก่ง อ่านแล้วเหมือนอยู่ในสถานการณ์ไปด้วยเลยค่ะ

อ่านแล้วรู้สึกว่าอาจารย์ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องสะสางอีกมากเหลือเกิน เป็นกำลังใจให้นะคะ ถ้าเราตั้งใจดี เอาจิตบริสุทธิ์เป็นที่ตั้งสักวันทุกคนจะเข้าใจค่ะ รวมทั้งลูกด้วย พี่โอ๋เชื่ออย่างนั้นและพิสูจน์ด้วยตัวเองมาแล้วว่า บางครั้งกว่าคนจะเข้าใจเรานั้นใช้เวลานานเหลือเกิน แต่ถ้าเราตั้งมั่นในเจตนาดี ไม่ต้องอธิบายมากสักวันก็เป็นที่เข้าใจจนได้แหละค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท