[img src="http://www.fisheries.go.th/if-yasothon/web2/images/fish/L61_1.jpg" border="0" height="179" width="220">
1. บ่อซีเมนต์ นิยมใช้เลี้ยงกันทั่วไปทั้งกบนาและกบบูลฟร๊อก มีขนาดตั้งแต่ 2x 2.5x1 ลบ.ม. จนถึง 3x 4x1 ลบ.ม. บ่อกักเก็บน้ำลึก 30-50 เซนติเมตร
มีหลังคาหรือสิ่งคลุมปิดบังแสงสว่างบางส่วน
เพื่อทำให้กบไม่ตื่นตกใจง่ายและช่วยในการป้องกันศัตรู
บ่อแบบนี้สามารถดัดแปลงนำไปใช้ในการเลี้ยงเพื่อจุดประสงค์ต่างๆ เช่น
การขยายพันธุ์ เลี้ยงกบเนื้อและพ่อแม่พันธุ์ การอนุบาลลูกอ๊อดและลูกกบเล็ก
ความหนาแน่นที่ใช้เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ คือ 50-80 ตัว /ตารางเมตร กบรุ่นหรือกบเนื้อ คือ 100-120 ตัว/ตารางเมตร และลูกอ๊อด คือ 1,000-1,500 ตัว/ตาราง (ขึ้นอยู่กับขนาดของลูกอ๊อดแต่ละชนิด)
2. บ่อดิน ควรทำในลักษณะกึ่งถาวร โดยขุดบ่อลึกไปในดิน 50-70 เซนติเมตร ฝังท่อระบายน้ำก่อขอบบ่อด้วยอิฐบล๊อกสูง
2-3 ก้อน
ด้านบนปากบ่อมีตาข่ายคลุมปิดเพื่อป้องกันนก ศัตรูธรรมชาติอื่นๆ
และแมลงปอลงวางไข่
บ่อทำได้ในขนาดเดียวกับบ่อซีเมนต์โดยขึ้นอยู่กับสภาพพพื้นที่ของเกษตรกร
ปัจจุบันบ่อดินมีความนิยมน้อยลง เนื่องจากมีข้อเสีย
คือดูแลรักษาความสะอาดและป้องกันศัตรูได้ยาก
ส่วนข้อดีคือการลงทุนต่ำและบริเวณที่มีอากาศหนาวสามารถใช้เลี้ยงพ่อแม่
พันธุ์กบนาข้ามฤดูกาลได้ดีกว่าบ่อซีเมนต์ อาจทำเป็นบ่อพักกบนาชั่วคราว
ในกรณีที่ต้องการลดอาหารเพื่อให้กบพักตัวในช่วงฤดูหนาวก่อนไปขาย
3. บ่อซีเมนต์ชนิดกลม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางบ่อเป็น 1.5 เมตร มีความสูงอย่างน้อย 50 เซนติเมตร
และมีฝาปิด บ่อขนาดนี้ใช้ได้ดีในการขยายพันธุ์อนุบาลลูกอ๊อดและลูกกบเล็ก
ง่ายต่อการคัดขนาด
แต่ไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงกบใหญ่เนื่องจากกบจะกระโดดชนผนังและฝาที่ใช้ปิด
ทำให้ปากแผลเกิดการติดเชื้อได้ง่าย ถ้าจะใช้เลี้ยงกบใหญ่
ควรทำบ่อซีเมนต์ให้มีความสูงอย่างน้อย 1 เมตร การใช้ถังซีเมนต์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 1.5 เมตร ทำบ่อเลี้ยงกบทำให้กบเจริญเติบโต
ไม่ดี เนื่องจากบ่อมีขนาดเล็กเกินไปทำให้กบแออัด
4. การเลี้ยงในกระชัง ในบริเวณพื้นที่ที่มีบ่อน้ำหรือมีสระน้ำขนาดใหญ่หรือมีร่องน้ำไหลผ่านสามารถเลี้ยงกบในกระชังได้ ขนาดของกระชังไม่ควรเล็กกว่า 1 x 2 x 1 ม.
หรือใหญ่กว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบริเวณพื้นที่ที่ลอยกระชังได้
ด้านบนกระชังต้อมีฝาปิดเพื่อป้องกันศัตรู
ควรหมั่นตรวจดูรอยรั่วหรือขาดของกระชังอย่างสม่ำเสมอ
กระชังสามารถใช้ในการเลี้ยงได้ดีตั้งแต่การอนุบาลลูกอ๊อด
ลูกกบเล็กไปจนถึงใหญ่ และเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์
โดยเฉพาะในการอนุบาลลูกอ๊อดกบบูลฟร๊อกจะทำให้ลูกอ๊อดโตเร็วและสมบูรณ์
การขยายพันธุ์ บ่อขยายพันธุ์ ใช้ได้ทั้งบ่อซีเมนต์กลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 เมตร บ่อซีเมนต์สี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด 2 x 2.5 เมตร ไปจนถึงขนาด 3 x 4 เมตร กักเก็บน้ำได้ 30-50 เซนติเมตร เตรียมบ่อโดยการทำความสะอาดบ่อโดยใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคฟอร์มาลีน 40% (35 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลูกบาศก์เมตร) ใส่ทิ้งไว้ 2-3 วัน ถ่ายน้ำออกล้างให้สะอาดตากบ่อทิ้งไว้ให้แห้ง 1-2 วัน เมื่อจะใช้ผสมพันธุ์ให้เติมน้ำลงไป สูง 5-7 เซนติเมตร ถ้าเป็นน้ำประปาต้องใส่น้ำทิ้งไว้ก่อนผสมพันธุ์ 2-3 วัน
ใส่ใบหญ้าหรือพันธุ์ไม้น้ำสำหรับเป็นที่เกาะของไข่
บ่อขยายพันธุ์ควรอยู่กลางแจ้งได้รับแสดงแดดเพียงพอเพื่อช่วยให้ไข่ฟักเป็น
ตัวเร็วขึ้น
ทำหลังคาบางส่วนเพื่อป้องกันในกรณีที่มีฝนตกหนักเพราะถ้ามีน้ำฝนลงในบ่อ
จำนวนมากจะทำให้อุณหภูมิและความเป็นกรดด่างของน้ำในบ่อเปลี่ยน
แปลงอย่างกระทันหัน มีผลทำให้ลูกอ๊อดช๊อคตาย
ควรมีตาข่ายในล่อนคลุมปากบ่อเพื่อป้องกันแมลงปอลงวางไข่
เพราะตัวอ่อนแมลงปอเป็นศัตรูที่สำคัญของลูกอ๊อดและกบเล็ก
การเลือกพ่อแม่พันธุ์
พ่อแม่พันธุ์กบนาที่ดีควรมีอายุไม่ต่ำกว่า 14 ปี มีน้ำหนักระหว่าง 200-300 กรัม
จากการสังเกตลักษณะภายนอกของกบนาเพศผู้ที่มีความพร้อม
จะสังเกตเห็นรอยย่นของถุงเสียงที่ใช้ในการส่งเสียงร้องเรียกตัวเมียมีลักษณะ
สีเทาดำคล้ำได้ใต้คางอย่างชัดเจนทั้ง 2 ข้าง
และที่บริเวณด้านในของนิ้วหัวแม่มือของเพศผู้ทั้งสองข้างจะพบแถบหนาสีน้ำตาล
มีลักษณะเป็นปุ่มหยาบ
ปุ่มนี้ช่วยให้การยึดเกาะบนผิวหนังที่บริเวณเอวของตัวเมียให้ดีขึ้น ปุ่ม
จะหายไปเมื่อหมดฤดูผสมพันธุ์ ส่วนกบนาเพศเมียที่มีความพร้อม
สังเกตได้จากที่บริเวณเอวมีลักษณะพองโต ท้องอูม และผิวหนังสดใส
เมื่อพลิกด้านท้องขึ้นเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังชัดเจน
ในบางตัวอาจสังเกตเห็นเม็ดไข่สีดำและที่ด้านข้างลำตัวทั้งสองข้าง
เมื่อใช้มือลูบจะมีลักษณะสากมือเพราะมีปุ่มขนาดเล็กจำนวนมาก
ปุ่มนี้จะช่วยให้กบตัวผู้เกาะคู่ได้ดีขึ้น
ยิ่งมีความสากมากเท่าใดก็แสดงถึงความพร้อมของเพศเมียมากขึ้นเท่านั้น
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์กบบูลฟร๊อก
พ่อแม่พันธุ์กบ ควรมีอายุไม่ต่ำกว่า 1-1 1/2 ปี มีน้ำหนักระหว่าง 300-400 กรัม
เพศผู้ที่มีความพร้อม ลำตัวจะมีสีเข้มและที่ใต้คางจะมีสีเหลือง
หรือเหลืองปนเขียวอย่างชัดเจน
กบบูลฟร๊อกเพศผู้ต่างจากกบนาเพศผู้ตรงที่ไม่มีถุงเสียง
แต่จะมีกล่องเสียงที่บริเวณลำคอ
เวลาตัวผู้ส่งเสียงร้องที่บริเวณคอจะพองออกมีขนาดใหญ่ขึ้น
ช่วยทำให้เสียงดังก้องกังวานคล้ายเสียงวัวซึ่งได้ยินไปเป็นระยะไกล
ส่วนตัวเมียสังเกตเห็นได้จากที่บริเวณเอวพองโต ท้องอูม ผิวหนังสดใสเช่นกัน
แต่เมื่อพลิกด้านท้องขึ้นจะไม่เห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังเนื่องจากกบบูลฟร๊อก
มีผิวหนังหนากว่ากบนา
การขยายพันธุ์กบนาและกบบูลฟร๊อก ทำได้ 2 วิธี คือ
1. วิธีธรรมชาติ (Natural breeding)
ช่วง
เวลาที่เหมาะสมอยู่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนกันยายน
โดยคัดพ่อแม่พันธุ์กบที่มีความพร้อม ใส่ลงในบ่อที่เตรียมไว้ในอัตราส่วน 1 คู่ต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร
จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้จับคู่และวางไข่
หลังจากที่พบว่ากบไข่แล้วในเช้าของวันต่อมาให้จับพ่อแม่พันธุ์ออก
จากนั้นค่อยๆ เติมน้ำในบ่อให้สูงเป็น 10 เซนติเมตร
อาจเพิ่มออกซิเจนด้วยการใช้เครื่องอัดอากาศ
ทางที่ดีควรเติมน้ำและให้ออกซิเจนเมื่อสังเกตเห็นว่าไข่มีการพัฒนาเป็นลูก
อ๊อดและมีการเคลื่อนไหวแล้ว
มิฉะนั้นอาจจะเกิดการรบกวนทำให้ไข่ไม่เจริญเติบโต
2. วิธีฉีดฮอร์โมนกระตุ้น (Injection of GnRH analogue)
ทำได้โดยจัดเตรียมพ่อแม่พันธุ์ และบ่อขยายพันธุ์เช่นเดียวกับวิธีแรก จากนั้นใช้สารสังเคราะห์ที่มีชื่อทางการค้าว่า Suprefact (Buserlin) ฉีดให้พ่อแม่พันธุ์กบ โดยฉีด 2 ครั้ง ห่างกันไม่เกิน 6-8 ชั่วโมง สารสังเคราะห์ที่ใช้นี้เป็นสารออกฤทธิ์เช่นเดียวกับในปลา โดยในกบฉีดในปริมาณ 2.5-3 ไมโครกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม สารนี้จะกระตุ้นให้แม่พันธุ์ตกไข่และพ่อพันธุ์หลั่งน้ำเชื้อ วิธีฉีดถ้าฉีดเข้าช่องท้อง (Intraperitoneum) ต้องละลายสารในน้ำเกลือ 0.75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งให้ผลเร็วกว่าและดีกว่าการฉีดเข้าใต้ผิวหนังและบริเวณแอ่งส่วนบั้นท้ายของลำตัวใต้กระดูกสันหลัง (dorsal lymph sac) ซึ่งต้องละลายสารในกรดน้ำส้ม 0.1 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการฉีดในครั้งที่ 2 จะใช้ปริมาณสารเป็น 2 เท่า
ของปริมาณที่ฉีดในครั้งแรก
เมื่อฉีดเสร็จแล้วจึงปล่อยพ่อแม่พันธุ์ลงบ่อเพื่อให้จับคู่ผสมพันธุ์
จากนั้นติดตามการวางไข่เช่นเดียวกับวิธีการแรก
การอนุบาลลูกอ๊อดและลูกกบเล็ก
กบนาไข่กบนาที่ถูกผสมจะฟักเป็นลูกอ๊อดภายใน 28-45 ชั่วโมง ระยะ 2-3 วัน
แรกหลังจากที่ฟักออกเป็นตัว ไม่ต้องให้อาหาร
เพราะลูกอ๊อดยังมีถุงไข่แดงที่ติดมากับท้องเป็นแหล่ง
เริ่มให้อาหารลูกอ๊อดครั้งแรกเมื่ออายุ 3 วัน
โดยให้อาหารสำเร็จรูปชนิดผงที่ใช้เลี้ยงลูกปลาดุกอ่อนหรือไข่ตุ่น
ในกรณีที่มีลูกอ๊อดเป็นจำนวนมากอาจเสริมการให้อาหารด้วยการให้ผักกาดลวกน้ำ
ร้อนกึ่งสุก ปลาต้มสุก รำละเอียด เศษเนื้อปลาบดผสมรำ
หรือเศษเครื่องไนสัตว์บดผสมรำละเอียดร่วมด้วย
เมื่อลูกอ๊อดโตขึ้นอาจใช้อาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดที่ใช้สำหรับเลี้ยงลูกกบโรย
ให้กิน การให้ควรให้ทีละน้อย
และวางไว้ตลอดเวลาเพราะลูกอ๊อดจะกินอาหารตลอดวัน
ถ้าลูกอ๊อดขาดอาหารจะกินกันเอง
กบบูลฟร๊อก ไข่ที่ถูกผสมจะฟักเป็นตัวภายในเวลา 3 วัน
ลูกอ๊อดของกบบูลฟร๊อกมีลักษณะดีกว่ากบนา
คือจะไม่กินกันเองในขณะที่มีชีวิตอยู่
ดังนั้นจึงสามารถเลี้ยงลูกอ๊อดที่มีขนาดต่างกันและอายุต่างกันในบ่ออนุบาล
เดียวกันได้ การย้ายลูกอ๊อดควรย้ายเมื่ออายุประมาณ 20 วัน โดยนำไปเลี้ยงในบ่ออนุบาลที่จัดเตรียมไว้ ลูกอ๊อดกบบูลฟร๊อกเริ่มกินอาหารเมื่ออายุได้ประมาณ 20 วัน โดยนำไปเลี้ยงในบ่ออนุบาลที่จัดเตรียมไว้ ลูกอ๊อดกบบูลฟร๊อกเริ่มกินอาหารเมื่ออายุได้ประมาณ 3-5 วัน
โดยจะกินซากพืชซากสัตว์และสัตว์น้ำขนาดเล็กรวมทั้งซากลูกอ๊อดที่ตายแล้ว
ดังนั้นอาหารที่ให้อาจได้จากธรรมชาติ ได้แก่ ตะไคร่น้ำ ไรแดง
แพลงค์ตอนและเศษพันธุ์ไม้น้ำที่อยู่ในบ่อเลี้ยง
เสริมด้วยรำละเอียดและอาหารสำเร็จรูปที่ใช้เลี้ยงกบหรือเลี้ยงปลาดุกโดยให้
ได้ตลอดวัน
ในบ่ออนุบาลต้องมีพันธุ์ไม้น้ำไว้เพื่อเป็นแหล่งพักพิงหรือยึดเกาะเมื่อลูก
อ๊อดงอกขาครบ 4 ขาและหางดกลายเป็นลูกกบที่สมบูรณ์ จากนั้นให้ย้ายลูกกบไปเลี้ยงในบ่อเลี้ยงกบเล็กในอัตราส่วน 100 ต่อตารางเมตร บ่อต้องมีหลังคาคลุมแดดและป้องกันศัตรูที่จะเข้ามาทำอันตราย
การอนุบาลลูกกบ
ในแง่ของการฝึกลูกกบให้กินอาหารควรทำในบ่อซีเมนต์โดยเริ่มฝึกให้ลูกกบกินอาหารตั้งแต่ระยะที่ลูกอ๊อดหางหดหมด มี 4 ขา
เจริญครบสมบูรณ์ เรียกระยะเริ่มขึ้นกระดาน
โดยให้อาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดเล็กพิเศษที่ใช้เลี้ยงกบหรือเลี้ยงปลาดุกเล็ก
หรือปลาสดบดละเอียดผสมรำที่เกษตรผลิตขึ้นเอง ในอัตรา 3-5 เปอร์เซ็นต์/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมและอาหารที่มีโปรตีนไม่ต่ำกว่า 30-35 เปอร์เซ็นต์
วิธีฝึกให้ลูกกบกินอาหรทำได้หลายวิธี เช่น
ใส่อาหารในภาชนะหรือบนจานแล้ววางปริ่มน้ำหรือโรยอาหารเม็ดลงในน้ำ
ถ้าโรยอาหารลงในน้ำต้องโรยบริเวณที่ลูกกบสามารถนั่งกินได้และหัวไม่จมน้ำ
ซึ่งทั้งสองวิธีนี้สามารถใช้ได้ทั้งในกบนาและกบบูลฟร๊อก
การให้อาหารกบรุ่นหรือกบเนื้อ
เมื่อลูกกบอายุประมาณ 2 เดือน ควรให้อาหารเ ป็นเวลาวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ในอัตราวันละ 3-5 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนักอาหารควรมีโปรตีนอยู่ระหว่าง 28-35 เปอร์เซ็นต์
ชนิดของอาหารขึ้นอยูกับชนิดของกบ สภาพพื้นที่ และวิธีการเลี้ยงของเกษตรกร
ถ้าผู้เลี้ยงกบนาอยู่ใกล้บริเวณที่สามารถหาปลาสดได้อาจให้ปลาสดบดหรือสับ
เป็นชิ้นวางในภาชนะปริ่มน้ำ หรือเหนือน้ำ หรือใช้ปลาสดบดผสมรำในอัตรา 3:1 หรือ
ให้อาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดที่ใช้เลี้ยงกบหรือเลี้ยงปลาดุก
ส่วนกบบูลฟร๊อกควรใช้อาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ดเลี้ยง
เนื่องจากอาหารสดจะทำให้น้ำในบ่อเน่าเสียเร็ว
ทำให้กบบูลฟร๊อกเป็นโรคและมีการเจริญเติบโตช้าลงเนื่องจากน้ำสกปรก
แต่ทั้งนี้ในการเลี้ยงขึ้นอยูกับการตัดสินใจของผู้เลี้ยงด้วยว่าจะมีวิธีใน
การจัดการอย่างไร
การเจริญเติบโต
กบบูลฟร๊อก มีการเจริญเติบโตช้ากว่ากบนา และใช้เวลาในการเลี้ยงนานกว่า อุณหภูมิน้ำที่เหมาะสำหรับการพัฒนาของลูกอ๊อดกบบลูฟร๊อกอยู่ระหว่าง 25-33 องศาเซลเซียส ซึ่งลูกอ๊อดจะพัฒนาเป็นลูกกบได้ตามปกติในเวลา 75-90 วัน ในท้องที่ที่มีอากาศเย็นและมีอุณหภูมิต่ำ ลูกอ๊อดจะพัฒนาเป็นลูกกบโดยใช้เวลา 6-12 เดือน การเจริญเติบโตของลูกอ๊อดของกบบลูฟร๊อกในระยะที่มีการงอก 2 ขาหลังจะมีขนาดใหญ่กว่าลูกอ๊อดของกบนา 5-7 เท่า และอาจมีขนาดใหญ่มากตั้งแต่ 4 ถึง 6 นิ้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ สำหรับการเจริญเติบโตจากลูกกบจนเป็นกบเนื้อใช้เวลา 5-6 เดือน และเจริญเติบโตไปเป็นพ่อแม่พันธุ์ที่สมบูรณ์ใช้เวลา 14-18 เดือน ทั้งนี้ต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายอย่างเช่นเดียวกันเหมือนกบนา
การจัดการและการดูแลรักษา
1.การคัดขนาด เนื่องจากกบเป็นสัตว์กินเนื้อโดยธรรมชาติ และกินสัตว์เป็นที่มีขนาดเล็กกว่าตัวเองเป็นอาหาร
ดังนั้นในการเลี้ยงที่มีความหนาแน่นมากเกินไปหรือให้อาหรไม่เพียงพอจะทำให้เกิดความแออัดและกบขาดอาหาร
ก่อให้เกิดปัญหาตัวใหญ่กินตัวเล็กเพราะในระหว่างการเลี้ยงลูกกบจะเจริญเติบโตไม่เท่ากัน ดังนั้นควรคัดขนาดลูกกบทุก 2 สัปดาห์
โดยคัดกบที่มีขนาดเดียวกันลงเลี้ยงในบ่อเดียวกันจะช่วยลดการกินกันเอง
และเมื่อกบมีขนาดใหญ่ขึ้น ควรคัดขนาดเช่นเดียวกับลูกกบ
เพราะการคัดกบที่มีขนาดใกล้เคียงกับนำมาเลี้ยงด้วยกัน จะทำให้ลดการรังแกกัน
กบจะมีการเจริญเติบโตเร็วขึ้น
2. การถ่ายเทน้ำ
การเลี้ยงกบในน้ำสะอาดจะทำให้กบมีการเจริญเติบโต
ดังนั้นถ้าบริเวณที่เลี้ยงมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์
ควรถ่ายเทน้ำทุกวันหรือใช้การหมุนเวียนให้น้ำไหลผ่านในระบบน้ำล้นตลอดเวลา
แต่ถ้าแหล่งน้ำไม่อุดมสมบูรณ์
อาจจะถ่ายเทน้ำเมื่อสังเกตว่าน้ำเริ่มมีกลิ่นเน่าเสีย
ซึ่งจะขึ้นอยูกับชนิดของอาหารที่ใช้เลี้ยงกบด้วย
ความถี่ในการถ่ายเทน้ำในบ่อเลี้ยงลูกอ๊อดขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของลูกอ๊อด
ที่ปล่อยและอาหารที่ใช้เลี้ยง ถ้าเลี้ยงในบ่อคอนกรีตควรถ่ายเทน้ำทุกๆ 2-3 วัน
จะช่วยให้ลูกอ๊อดแข็งแรงกินอาหารได้มากและมีการเจริญเติบโตเร็ว
วิธีการถ่ายเทน้ำต้องใช้วิธีเติมน้ำใหม่ลงก่อนครึ่งหนึ่ง
จากนั้นจึงปล่อยน้ำเก่าออกให้เหลือระดับน้ำเท่าเดิมถ้าเลี้ยงลูกอ๊อดใน
กระชังก็ไม่ต้องถ่ายเทน้ำเนื่องจากในบริเวณนั้นมีการหมุนเวียนของน้ำเกิด
ขึ้นได้เองเป็นปกติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนกระชัง ขนาดของสระ หรือ
บ่อที่ใช้แขวนลอยกระชัง หรือ ขนาดร่องน้ำและการไหลผ่านของน้ำ
ส่วนการถ่ายเทน้ำในบ่อเลี้ยงลูกกบและกบขนาดอื่นๆ ก็ทำได้โดยวิธีเดียวกัน
ไม่ควรปล่อยน้ำในบ่อจนแห้งแล้วจึงเติมใหม่ เพราะกบเป็นสัตว์ที่ตื่นตกใจง่าย
อาจมีการกระโดดกระแทกพื้นบ่อทำให้กบช้ำและตายได้
3. โรค
กบ การเลี้ยงกบก็คงจะไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ
เมื่อมีการเลี้ยงก็มักจะมีปัญหาเรื่องโรคที่เกิดขึ้น
โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการเลี้ยงจำนวนมาก
การระบาดของโรคอาจเกิดการแพร่กระจายมากขึ้น โรคกบที่พบทั่วไปคือ
3.1 โรค
ขาแดง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ แอร์โรโมนาโฮโรฟิลล่า
โรคนี้พบบ่อยมากอาการของโรคขาแดงเกิดจากสภาวะการติดเชื้อแบคทีเรีย
แอร์โรโมนาโฮโรฟิลล่า พบว่ากบที่ติดเชื้อโรคจะไม่กินอาหาร มีน้ำหนักลด
ผิวหนังมีสีผิดปกติเคลื่อนไหวช้า เสียการทรงตัว มีอาการโลหิตเป็นพิษ
โดยมีจุดเลือดออกตามตัวและมีแผลเกิดขึ้น
ระยะสุดท้ายจะมีอาการชักกระตุกและมีผื่นแดงที่โคนขาซึ่งเป็นลักษณะอาการที่
ใช้เรียกชื่อ โรคนี้เมื่อผ่าเปิดซากดูจะพบว่า มีผื่นแดง
และจุดเลือดออกเป็นบริเวณกว้างในกล้ามเนื้อรวมทั้งที่อวัยวะภายในช่องอกและ
ช่องท้อง และที่บริเวณเยื่อเมือกจะมีจุดเลือดด้วยเช่นกัน การติดต่อของโลก
สามารถติดต่อได้ดดยตรงระหว่างกบ ดดยที่กบปกติกินกบป่วย หรือ
การติดต่อที่สำคัญคือทางน้ำที่ใช้เลี้ยงกบ
เพราะเชื้อโรคชนิดนี้อาศัยอยู่ในน้ำจืดและจะเจริญได้ดีในอุณหภูมิของน้ำใน
ประเทศไทย
ดังนั้น้ำที่ใช้เลี้ยงควรเป็นน้ำที่สะอาดและมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อเลี้ยง
อย่างสม่ำเสมอ และเมื่อมีกบตายในบ่อให้รีบนำออก
การใช้อาหารสดเลี้ยงกบต้องระวังไม่ใช้อาหารที่บูดเน่า
ทั้งนี้เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคเข้าไปในบ่อกบ การติดต่ออีกทางที่ควรระวัง
คือจากผู้เลี้ยงเองที่ใช้อุปกรณ์ร่วมกันโดยใช้อุปกรณ์จับกบที่ป่วยแล้วไม่
ได้ทำความสะอาดนำมาใช้กับกบอื่นๆอีก
การ
รักษา เนื่องจากโรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
ยาที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นยาปฏิชีวนะหรือยาซัลฟาที่ไวต่อเชื้อนี้
โดยการผสมในอาหารให้กบกิน หรือป้อนยา หรือใส่ยาลงในน้ำ
วิธีที่ดีที่สุดคือการให้กินโดยผสมในอาหาร
แต่ถ้ากบไม่กินอาหารก็ควรจะใข้วิธีป้อนยา ยาที่ใช้อาจเป็นพวกเตรทต้า-ไซคลิน
โดยให้ยาในขนาด 50-100 มิลลิกรัม ต่อกบหนัก 1 กิโลกรัม
การป้องกัน วิธี
ที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้เกิดโรค คือการรักษาความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ
ควรมีการฆ่าเชื้อ บ่อควรล้างให้สะอาด และน้ำที่ใช้เปลี่ยนถ่ายควรสะอาด
ทุกครั้งที่มีการย้ายบ่อควรพักบ่อตารกแดดอย่างน้อย 2-3 วัน และถ้ามีการป่วยเกิดขึ้นให้รีบนำกบป่วยออกจากบ่อทันที
การ
ตรวจวินิจฉัยโรค สามารถทำได้โดยการดูจากอาหารและลักษณะของการเกิดโรคในตัวกบ
รวมทั้งนำเชื้อจากเลือด หรือ น้ำในช่องท้องหรือจากอวัยวะภายในเช่น ตับ
ไปเพาะเลี้ยงแล้วทำการพิสูจน์ว่าเป็นชนิดใด
นอกจากนี้ควรทดสอบความไวของเชื้อต่อตัวยาด้วยเพื่อประสิทธิภาพในการรักษา
3.2 โรค
ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่พบเป็นครั้งคราว คือเชื้อไมโครกรัมแบคทีเรีย
ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นตุ่มตามผิวหนังและอวัยวะภายใน เชื้อสแตปฟิลโลค๊อกคัส
อิพิสเดอมิส ที่ทำให้เกิดเป็นหนอตามผิวหนังหรือตามขา
3.3. โรค
ที่เกิดจากเชื้อรา ได้แก่ เชื้อซาโพเล็กเนีย เป็นเชื้อราที่พบทั่วไปในน้ำ
เชื้อชนิดนี้ สามารถทำอันตรายต่อปลาได้เช่นกัน
โดยโรคจากเชื้อราอาจจะเกิดร่วมกับโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ตัวอย่างเช่น
กรณีที่กบเป็นโรคขาแดง และผิวหนังมีบาดแผล
เชื้อราชนิดนี้
เข้ามาเกาะตามบาดแผลทำให้บาดแผลมีอาการรุนแรงและเสียหายมากขึ้น
ฉะนั้นในการรักษาจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อราร่วมกับยาปฏิชีวนะ
3.4 โรค
ที่เกิดจากสารพิษ
มีสารพิษหลายชนิดที่มีผลต่อความเป็นอยู่ของกบทั้งทางตรงและทางอ้อม
สามารถทำให้กบตายได้ทันทีทันใด หรือทำให้เกิดอาการเรื้อรัง
สารพิษต่างๆเหล่านี้ได้แก่ น้ำยาฆ่าเชื้อ
เมื่อใช้ยาดังกล่าวแล้วควรล้างทำความสะอาด
ชอบจัง ขอบคุณครับ