ถอดบทเรียนย้อนหลัง : เน้นการเปิดเวทีโสเหล่ร่วมกัน
การดำเนินงานด้านการบริการวิชาการ ภายใต้ชื่อโครงการ “1 หลักสูตร 1 ชุมชน” ในรอบปีงบประมาณ 2555 ที่ผ่านมา ก่อเกิดเป็นกระบวนการปฏิรูปการเรียนการสอนที่บูรณาการผ่านการบริการวิชาการแก่สังคมได้เป็นอย่างดี รวมถึงในบางหลักสูตร หรือในบางโครงการสามารถบูรณาการทะลุถึงเรื่องการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและการวิจัยไปพร้อมๆ กัน (Four in One : 4 In 1)
เมื่อย้อนกลับไปถึงระบบต้นน้ำของการขับเคลื่อน
พบว่ากระบวนการพิจารณากลั่นกรองได้กลายเป็นปรากฏการณ์อันสำคัญไม่แพ้การบูรณาการภารกิจ (4
In 1)
ปลายปี 2554 – ผมมีโอกาสสัมภาษณ์เชิง “ถอดบทเรียน” เหล่าบรรดาผู้รับผิดชอบโครงการของแต่ละหลักสูตร ซึ่งตอนนั้นดำเนินการในภาพของ “1 คณะ 1 ชุมชน” สิ่งหนึ่งที่ผมมองเห็นก็คือระบบการพิจารณากลั่นกรองโครงการ ยังไม่ได้นำเอากระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management) เข้ามาขับเคลื่อนอย่างเท่าที่ควร เพราะไม่มีเวทีของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ลปรร. Knowledge sharing) ร่วมกันระหว่างคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิกับผู้รับผิดชอบโครงการ
กรณีดังกล่าวจะถูกดำเนินการโดยกองส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากคณะต่างๆ มาทำหน้าที่เป็นผู้กลั่นกรองโครงการ โดยเน้นการพิจารณาใคร่ครวญจากเอกสาร หรือ โครงการที่แต่ละคณะได้นำเสนอเข้ามา
การพิจารณาเช่นนั้นจะมุ่งไปสู่กระบวนคิด กระบวนการขับเคลื่อนกิจกรรมและงบประมาณโดยเสร็จสรรพ จากนั้นจะส่งข้อเสนอแนะการกลั่นกรองกลับสู่ฝ่ายเลขานุการ (กองส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย) เพื่อแจ้งกลับไปยังผู้รับผิดชอบแต่ละโครงการให้รับทราบ และนำกลับไปปรับแต่ง ก่อนส่งกลับมาทำสัญญากับทางมหาวิทยาลัยฯ
โดยส่วนตัวผมไม่ถือว่ากระบวนการกลั่นกรองเช่นนั้นผิดเพี้ยนหรอกนะครับ เพียงแต่มองว่า หากมีกระบวนการอื่นมาหนุนเสริมก็น่าจะดี เช่น จัดเวทีให้ผู้รับผิดชอบหลักของแต่ละโครงการได้มาบอกเล่ารายละเอียดด้วยตนเอง เพื่อให้กรรมการได้เข้าใจมากขึ้น และสร้างสรรค์ให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันตั้งแต่ระยะต้นน้ำไปเลย เพราะกระบวนการที่ว่านั้นมันสะท้อนถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (participatory learning) ดีๆ นั่นเอง
ครับ- เวทีที่ผมว่านี้ โดยเนื้อแท้นั้น มีอานิสงส์มากมาย เนื่องเพราะไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกรรมการกับผู้รับผิดชอบโครงการเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้ที่อยู่ในเวทีเดียวกัน ทั้งที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการจากหลักสูตรอื่นๆ หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ ย่อมได้ร่วมรับรู้รับฟัง หรือร่วมเรียนรู้ไปด้วยกันอย่างเสร็จสรรพ เป็นการพัฒนาคนในอีกมิติหนึ่งไปโดยปริยาย –
จับมือ สกว.วิจัยเพื่อท้องถิ่นออกแบบกรรมการกลั่นกรอง
จากการที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว. (ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น) เพื่อขับเคลื่อนเรื่อง “1 หลักสูตร 1 ชุมชน” โดยทาง สกว. มีศูนย์ส่งเสริมนักวิชาการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น จังหวัดมหาสารคามเป็นผู้ประสานงานหลัก จึงมีการร่วมคิดร่วมออกแบบคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองโครงการให้มีประสิทธิภาพ ภายใต้ระบบและกลไกของการเรียนรู้ร่วมกัน
คณะกรรมการดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มีประสบการณ์ในการทำวิจัยเพื่อท้องถิ่นร่วมกับ สกว. รวมถึงมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการความรู้และการประกันคุณภาพ
ในทางรูปแบบของการพิจารณากลั่นกรองนั้น คณะกรรมการจะนำสำเนาโครงการไปอ่านล่วงหน้า แบ่งเป็นสามกลุ่ม (กลุ่มวิทยาศาสตร์สุขภาพ,กลุ่มวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี,กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) เมื่อถึงวันที่กลั่นกรอง แต่ละหลักสูตรจะขึ้นนำเสนอเป็นรายโครงการ คณะกรรมการจะร่วมแลกเปลี่ยนผ่านการตั้งคำถาม พูดคุยโสเหล่ รวมถึงชวนผู้ที่อยู่ในห้องได้ร่วมแสดงความคิดเห็น หรือให้ข้อเสนอแนะร่วมกัน –
ผมว่ากระบวนการเช่นนี้เป็นระบบและกลไกที่สำคัญมาก ทำให้โครงการแต่ละโครงการมีความแจ่มชัดในเรื่องโจทย์และกระบวนการของการบริการวิชาการควบคู่กับการเรียนการสอน หรือแม้แต่การบูรณาการภารกิจให้ครบในแบบ 4 In 1 แถมยังมีความชัดเจนในเรื่องของการจัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ไม่ใช่มุ่งเน้นการถ่ายทอดฝ่ายเดียวเหมือนในอดีต แต่เป็นการทำงานด้วยแนวคิด “เรียนรู้คู่บริการ”
ครับ- ถึงแม้กระบวนการกลั่นกรองเช่นนี้ จะยังไม่สัมฤทธิ์ผลเสียทั้งหมด
เพราะยังเป็นกระบวนการใหม่ที่อาจารย์หลายท่านยังไม่คุ้นชิน อีกทั้งยังต้อง “เปิดใจ” เข้าหากันให้มากขึ้น
ถึงกระนั้น ผมก็ยังสุขใจเป็นที่สุด เพราะเวทีการกลั่นกรองเช่นนี้คือหัวใจหลักของการหนุนเสริมกันและกันอย่างแท้จริง ผมเห็นภาพของการรับฟัง (Deep Listening) เห็นภาพของการสนทนา (Dialogue) เห็นภาพของการเล่าเรื่อง (Story Telling) สู่กันฟังอย่างเป็นมิตร ซึ่งจะผูกโยงไปสู่การลงพื้นที่ของคณะกรรมการกลั่นกรองในภาพใหม่ นั่นก็คือ “พี่เลี้ยง” ที่ต้องลงพื้นที่ร่วมเรียนรู้และหนุนเสริมการทำงานร่วมกันอีกครั้ง เรียกได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ปูพรมถางทางให้พี่เลี้ยงไว้ตั้งแต่ต้นน้ำเลยก็ว่าได้
สรุป
นี่คืออีกหนึ่งปรากฏการณ์ของระบบและกลไกที่ถูกค้นพบในกระบวนการของการขับเคลื่อนด้านการบริการวิชาการแก่สังคมภายใต้แนวคิดหลักแบบ “เรียนรู้คู่บริการ” และการบูรณาการภารกิจแบบ “4 IN 1” ซึ่งนำการจัดการความรู้เข้ามาเป็นเครื่องมือในการพิจารณากลั่นกรอง ผ่านหัวใจหลักของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เสริมสร้างความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับชุมชนมากกว่าการยึดหลักถ่ายทอดจากมหาวิทยาลัยสู่ชุมชนแต่เพียงฝ่ายเดียว รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ สร้างกลไกของการแบ่งปันประสบการณ์ และเตรียมความพร้อมให้กับคณะกรรมการพี่เลี้ยงได้ลงหนุนเสริมในพื้นที่ในระยะกลางน้ำ
และที่สำคัญก็คือ พัฒนาบุคลากรประจำในฝ่ายเลขานุการ อันหมายถึงกองส่งเสริมการวิจัยและบริการวิชาการไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เข้าใจถึงศาสตร์และศิลป์ของการขับเคลื่อนงานบริการวิชาการแก่สังคมไปในตัว
ส่วนในฝ่ายของคณะกรรมการกลั่นกรองนั้น ก็ยังคงต้องเดินหน้าในการสร้างระบบและกลไกการกลั่นกรองให้ดูรื่นรมย์ สนุก เป็นกันเอง เพื่อก่อให้เกิดมิติของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างแท้จริง
ตามมาให้กำลังใจค่ะ
อยากไปคุยเรื่องนี้กับอ.แผ่นดินที่สารคามครับ ^^ จะได้เห็นของจริงจากโปรเจ็กต่างๆที่แต่ละคณะแยกไปทำด้วยครับผม ... ช่วงปิดเทอมนี้พอมีเวลาว่างไหมครับ