(3) ประเทศฝรั่งเศส
ในศตวรรษที่ 18 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 , 15 และ 16 ซึ่งเป็นกษัตริย์ของฝรั่งเศส มีส่วนทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ เพราะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และขูดรีดภาษีจากคนบางกลุ่มเท่านั้น เช่นราษฎรที่ไม่ค่อยมีทรัพย์สินอยู่แล้ว ส่วนพวกขุนนางกลับได้รับอภิสิทธิ์ ประชาชนถูกกดขี่ข่มเหง การปกครองดำเนินไปตามพระทัยของกษัตริย์ ซึ่งได้รับการยุแหย่จากพวกประจบสอพลอ ผู้ที่ขัดผลประโยชน์จะถูกจับ หรือคนที่มิใช่พวกของตนอาจถูกขังลืม เป็นเหตุให้ประชาชนเกิดความเคียดแค้นเป็นอันมาก
ช่วงเวลาดังกล่าวฝรั่งเศสได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดการปกครองแบบประชาธิปไตยของปรัชญาเมธีคนสำคัญ เช่น Montesauieu และ Rousseau ประสบการณ์การต่อสู้ของประเทศอเมริกาเพื่อเรียกร้องอิสรภาพซึ่งฝรั่งเศสเคยส่งทหารไปช่วยรบ และประเทศเพื่อนบ้านคือ อังกฤษก็มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย เหล่านี้เป็นมูลเหตุทำให้มีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส โดยเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านอำนาจกษัตริย์บุกเข้าทำลายคุก Bastille ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความขมขื่นสำหรับราษฎรผู้ต่ำต้อยและยากไร้ นำไปสู่การประหารชีวิตผู้ที่เคยกดขี่ข่มเหงประชาชน ทั้งกษัตริย์ ราชินี และขุนนางเป็นจำนวนมาก หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้มีการประกาศปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และพลเมือง “Declaration des Droit de l’Homme et du Citoyen, 26 Août 1789” ซึ่งมีสาระสำคัญพอสรุปได้ดังนี้คือ
1) เน้นความเป็นอิสระและความมีสิทธิเท่าเทียมกันของมนุษย์
2) ให้คำจำกัดความของ “เสรีภาพ” ว่า เป็นอำนาจที่จะกระทำการสิ่งใดได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น
3) การรักษาไว้ซึ่งสิทธิธรรมชาติอันไม่อาจจะพรากออกไปจากมนุษย์ เช่น สิทธิในเสรีภาพ ทรัพย์สิน การตรวจค้น และการกดขี่
4) การรับรองสิทธิในการพูด การพิมพ์ การนับถือศาสนา และต่อภาวะที่ปราศจากการจับกุมตามอำเภอใจ
ปรากฏการณ์การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนพลเมืองจากการถูกกดขี่ข่มเหงโดยผู้ปกครอง หรือรัฐมหาอำนาจในประเทศต่างๆ ดังกล่าวมาข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปรากฏการณ์ของสหรัฐอเมริกาซึ่งนับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีการระบุถึงหลักการอันเป็นที่ยอมรับว่าคือ ข้อกำหนดมูลฐานว่าด้วยสิทธิมนุษยชนสมัยใหม่ จะพบเห็นหลักการนี้ได้ในเนื้อความของประกาศอิสรภาพอเมริกัน ปี 1776 ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษย์และพลเมือง ปี 1789 และบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิ (อเมริกัน) ปี 1791 ซึ่งมีหลักการโดยสรุป 3 ประการคือ
ประการที่ 1 หลักการว่าด้วยสิทธิที่มีอยู่แล้วตั้งแต่ดั้งเดิม (Principle of Universal Inherence) มีสาระสำคัญว่า มนุษย์ทุกคนมีสิทธิบางอย่าง ซึ่งสามารถแจกแจงและให้ความหมายได้อย่างชัดแจ้ง สิทธิเหล่านี้มิได้ทำขึ้นหรือหามาได้ด้วยการซื้อ มิใช่สิ่งที่ได้รับมอบจากผู้ปกครอง แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวมนุษย์มาแต่ดั้งเดิมโดยแท้จริง อันเนื่องมาจากสถานภาพแห่งความเป็นมนุษย์เท่านั้น
ประการที่ 2 หลักการว่าด้วยสิทธิที่มิอาจโอนให้แก่กันได้ (Principle of Inalienability) มีสาระสำคัญว่า สิทธิที่มนุษย์มีอยู่นี้มิอาจจะพรากไปได้โดยผู้ปกครอง และแม้แต่เจ้าของสิทธิเองก็ไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนให้แก่ผู้อื่นได้
ประการที่ 3 หลักนิติธรรม (Rule of Law) มีสาระสำคัญว่า เมื่อเกิดการขัดแย้งระหว่างสิทธิด้วยกันเอง จะต้องมีการแก้ไขโดยนำกฎหมายที่เป็นธรรมมาปรับกับกรณีอย่างเป็นอิสระไม่เอนเอียง และเป็นแนวทางเดียวกัน ทั้งนี้ ตามวิธีพิจารณาความที่เป็นธรรมด้วย
จากแนวความคิดในการต่อสู้เรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ที่เกิดขึ้น กลายมาเป็นพื้นฐานแห่งทฤษฎีและก่อกำเนิดรูปแบบสถาบันรัฐใหม่เพื่อใช้ทดแทนสถาบันกษัตริย์ คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตย นอกจากนี้แล้วสิทธิที่มีการกล่าวถึงก็เกี่ยวพันกับการประกันอิสรภาพ เช่น การประพฤติปฏิบัติในลักษณะต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของการวางระเบียบ หรือการสอดเข้าเกี่ยวข้องโดยรัฐไม่ว่าโดยการออกกฎหมายหรือวิธีอื่นใดต้องได้รับความยินยอมจากประชาชนหรือผู้ใต้ปกครอง และเพื่อให้หลักการเหล่านี้มีผลจริงจัง สหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศสได้ใช้วิธีจัดทำเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรขึ้น รัฐธรรมนูญที่ถูกบัญญัติขึ้นจึงมีความมุ่งหมายให้บัญญัติภารกิจของสถาบันแห่งรัฐที่เกิดขึ้นใหม่ และมีการจัดทำบัญชีระบุสิทธิขั้นพื้นฐานบรรจุไว้ด้วย
นับแต่นั้นเป็นต้นมา หลักการและวิธีการเหล่านี้ก็ถูกถ่ายทอด และนำไปใช้ในประเทศอื่นๆ อีกมากมายหลายประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ ในปี 1789 สวีเดน ในปี 1809 สเปน ในปี 1812 เดนมาร์ก ในปี 1849 และ ฯลฯ
ไม่มีความเห็น