ผมอ่านหนังสือแล้วบันทึกย่อไว้นานแล้ว เป็นวารสารสาธารณสุขมูลฐาน ภาคใต้ตอนล่าง ปีที่ 1 ฉบับที่ 3 (มิถุนายน – กันยายน 2542) ในประเด็นข้อเขียนของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เรื่อง กระบวนการทางปัญญา มีประเด็นที่สรุปไว้ และผมเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจง่ายเข้าไปด้วย ดังนี้
1)
ฝึกสังเกต สิ่งรอบ ๆ ตัว เช่นสิ่งแวดล้อม การทำงาน
โดยใช้ร่วมกับการฝึกวิธีคิด สติ-สมาธิ จะทำให้การสังเกตทำได้ดี
และจะเกิดปัญญามาก
2) ฝึกบันทึก
การบันทึกจะใช้การเขียน ทำแผนที่ความคิด (mind map) โน้ตย่อ
หรือถ่ายภาพ บันทึกเสียง ก็ถือว่าเป็นการบันทึกทั้งสิ้น ควรฝึกใช้หลาย
ๆ วิธีขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในแต่ละครั้งด้วย
3)
ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุมกลุ่ม
ซึ่งจะเป็นทั้งการฝึกปัญญาให้กับกลุ่มและตัวเอง
4) ฝึกการฟัง
หรือพหูสูต การฟังอย่างมีสมาธิไม่หมกมุ่นกับความคิดของตัวเองขณะฟัง
จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
5)
ฝึกปุจฉา-วิสัชนา เป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์
ทำให้แจ่มแจ้งขึ้นในประเด็นนั้น ๆ
6)
ฝึกตั้งสมมติฐาน และตั้งคำถาม เช่น สิ่งนี้คืออะไร
สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น
การคิดคำถามกันเป็นกลุ่มอย่างมีคุณค่า
จะทำให้เกิดกระบวนการต่อไปคือการอยากได้คำตอบร่วมกัน
7)
ฝึกการค้นหาคำตอบ เช่น ค้นจากเอกสารตำรา อินเตอร์เน็ต
หรือไปพูดคุยกับผู้รู้ (Key Person) คนเต่าคนแก่
หากหมดหนทางแล้วก็ยังไม่พบคำตอบที่ต้องการ
และคำถามยังมีความสำคัญอยู่อีกมากในการที่จะให้ได้มาซึ่งคำตอบก็ต้อง
ทำการวิจัย
8)
ฝึกทำการวิจัย
เพื่อแก้ปัญหาสิ่งที่ไม่สามารถหาได้จากวิธีการข้อที่ผ่านมา
สิ่งที่ได้จึงเป็นความรู้ใหม่ การวิจัยไม่ใช่เรื่องยาก
แต่มักจะทำให้ดูเป็นยาก
เพราะคิดว่าความยากเป็นตัวบอกคุณภาพของงานวิจัย ซึ่งไม่ควรจะถูก
9)
ฝึกเชื่อมโยงบูรณาการ อย่าให้สิ่งที่รู้มานั้นแยกส่วน
ด้วยข้อเท็จจริงแล้วทุกสิ่งที่มีอยู่ล้วนเชื่อมโยงกัน
ฉะนั้นการเรียนรู้จากตนเองตามความเป็นจริง
แล้วเชื่อมโยงให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นอย่างไร
จึงสำคัญมากและสิ่งนี้แหละที่จะทำให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้กับธรรมชาติ
และจะเกิดความสุขที่แท้จริงตามมา
10)
ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการ เป็นการเรียบเรียงสิ่งที่รู้มา
รวมถึงความเชื่อมโยงถึงกันให้ประณีตขึ้น
เป็นการแสดงหลักฐานที่มาขององค์ความรู้ให้ถี่ถ้วน แม่นยำ
อันจะนำไปสู่การสืบค้น ค้นคว้าของผู้อื่นให้กว้างขวางยิ่ง ๆ
ขึ้นไปอีก
ไม่มีความเห็น