ปฐมบทของการ Refinance กับ การเรียนรู้ชีวิตที่ต้องบันทึก


เหตุเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันอังคารที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖

ผมเลือกที่จะบันทึกสั้นเพื่อการเรียนรู้และทบทวนตนเอง


บันทึกสั้นย้อนหลัง ...



สิ่งที่มันเป็นไปใครก็ "ควรคิด" ...

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... เป็นวันที่ยุ่งวุ่นวายและเมื่อยมือมากที่สุดในการเขียนเอกสาร Refinance ตั้งแต่ ๑๑ โมง ถึงบ่ายสองโมง ไม่พอ พอไป Bank ก็กรอกต่ออีก ๒ งาน ... สุด สุด

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... เป็นวันที่มีความผิดพลาดจากการสื่อสารหลายครั้ง ทำให้ "เครียด" ไปเหมือนกัน

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... เป็นวันที่ทำบัตร ATM ใหม่เป็นใบที่ ๔ (ที่ยังมีชีวิตอยู่) เพื่อการ Refinance ได้ร่มมา ๑ คันเป็นการปลอบใจ

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... เป็นวันที่จำต้องทำบัตรเครดิตครั้งแรกในชีวิต ซึ่งโดยปกติ เป็นคนไม่ใช้บัตรนี้ แต่เขาว่าไม่ใช้ก็ให้ทิ้งระยะไป แล้วค่อยยกเลิกตอนหลัง คงต้องดูรายละเอียดและความสามารถของบัตรก่อนว่ามีประโยชน์กับตัวเองจริงหรือ ไม่



สิ่งที่ได้เรียนรู้ชู "ประเด็น" ...

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... ได้เรียนรู้ว่า การตัดสินใจของครอบครัวโดยหวังเป้าหมายมากกว่าความเป็นไปของสถานะของเรา ได้มีผลสร้างความเครียดให้เรื่องเงินได้มากขึ้น

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... ได้เรียนว่า ความต้องการเรื่องเงิน อาจจะเปลี่ยนพฤติกรรมของคนได้จริง จากคนไม่ค่อยมี แต่กำลังมี ก็เริ่มคิดจะซื้อนั่น ซื้อนี่ ซึ่งดูเกินความจำเป็นของตนเอง เราเพียงแต่ห้ามเป็นอย่างนั้น

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... ได้เรียนรู้ว่า ตัวเองเป็นนักบริหารเงินที่ยอดแย่คนหนึ่งของจักรวาลนี้

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... ได้เรียนรู้ว่า อนาคตอันใกล้ต้องระมัดระวังบริหารตัวเองให้ดีที่สุด แต่ต้องอยู่ในศีลธรรมที่ตั้งมั่นเอาไว้ ไม่ให้ กิเลส ตัณหา ความต้องการ ทำให้ตนเองเป็นคนเห็นแก่ตัว หรือ เบียดเบียนผู้อื่น

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... ได้เรียนรู้ว่า เงินสามารถต่อเงินได้ หมายถึง การบริหารเงินให้งอกเงยในอนาคตจึงดี เช่น การฝาก การออมต่าง ๆ




สิ่งที่ได้ทบทวนชวน "ธรรม" ...

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... "กัลยาณมิตร" เป็นคนสำคัญที่เราทุกคนควรมี

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... การลด ละ "โทสะ" หรือ ความโกรธได้เร็ว ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข อีกทั้งยังเป็นการไม่เบียดเบียนคนอื่นด้วย

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... "โลภะ" หรือ ความโลภ เป็นบททดสอบชีวิตที่กำลังจะมาถึง

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... เราต้อง "เชื่อมั่นความดี" ที่ตนเองมีและเลือกทำ่ต่อไป เพื่อการมีชีวิตที่มีความหมายและมีคุณค่าในการเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง

* ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ ... บางที เราก็ต้องการใครสักคนที่เข้าใจเรามาอยู่เคียงข้าง




เมื่อเราลงมือเขียน เราจะได้เห็นภาพในสมองที่เราได้คิดทบทวน ใคร่ครวญ และไตร่ตรอง
มันคือประสบการณ์ชีวิตที่สำคัญที่เราสามารถจะเขียนมันลงไปได้

เมื่อได้อ่านอีกครั้ง จึงได้คิด
เมื่อได้คิดอีกครั้ง จึงสามารถพบทางออก
เมื่อพบทางครั้งแรก เราจะพบทางออกครั้งต่อไปและต่อไป

ขอบคุณ ความคิดที่ช่างคิดไม่รู้จบ
ขอบคุณ ความเป็นไปของโลกที่ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ได้เสมอ
ขอบคุณ การโอบกอดทางจิตใจของเธอ ถึงแม้อยู่ไกล แต่ก็เหมือนใกล้
ขอบคุณ ผู้อ่านและกัลยาณมิตรที่ผ่านเ้ข้ามา

ผมยังสบายดี ;)...

บุญรักษา ทุกท่านครับ ;)...


หมายเลขบันทึก: 517873เขียนเมื่อ 30 มกราคม 2013 11:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 มกราคม 2013 12:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

บัตรเครดิตที่จริงแล้วถ้าใช้เป็นก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ เหมือนมีคนทำบัญชีรายเดือนให้ทุกเดือนครับ ผมมีบัตรเครดิตตั้งแต่จบปริญญาตรีใหม่ๆ ครับ ยิ่งการเดินทางข้ามประเทศนี่บัตรเครดิตสำคัญมากครับ ผมไม่เคยมีปัญหากับการใช้งานบัตรเครดิตเลยครับ

เทคนิคที่สำคัญที่สุดคือให้ธนาคารตัดยอดการใช้เงินแบบ "จ่ายเต็ม" อัตโนมัติทุกเดือนครับ นั่นคือผมใช้บัตรเครดิตแบบกึ่งๆ บัตรเดบิตนั่นเองครับ (สมัยก่อนไม่มีบัตรเดบิต) พอรายการบัตรรายเดือนมาถึงเราก็ได้ดูว่าเราใช้จ่ายไปเท่าไหร่ เหมือนมีคนทำบัญชีให้ แล้วก็เตรียมเงินไว้ให้เขาตัดในวันที่กำหนด และในระหว่างเดือนก็ควรเก็บสลิปทั้งหมดที่จ่ายไปไว้ก็จะประมาณได้ว่าเราไม่ได้จ่ายเกินตัวเงินที่จะมีจ่ายในเดือนถัดไปด้วยครับ

อ้อ.... อีกเทคนิคก็คือขอวงเงินเครดิตไม่เยอะครับ ขอวงเงินพออยู่ในกรอบการใช้จ่ายของเราเท่านั้นเอง ถ้าตอนไหนเราเกิดรูดเกินก็จะรูดไม่ผ่านเป็นสัญญาณเตือนว่าเกินแล้วครับ แล้วผมจะมีบัตรเครดิตอีกใบไว้รูดได้กรณีนี้ครับ เป็นบัตรก๊อกสองไว้สำรองตอนฉุกเฉินครับ

อายุจะเข้ามาบั้นปลายของชีวิตแล้ว ว่าจะไม่ทำ แต่ก็ถูกคะยั้นคะยอให้ทำ เอ้าทำก็ทำ...ความจริงมีไว้ไม่เสียหลายค่ะ ขึ้นอยู่กับใจและตัวของเราเอง บัตรเครดิตมีสำหรับเดินทางไปต่างประเทศก็ได้ การใช้เมื่อเราใช้จะมีสิทธิใช้ก่อนได้ถึง ๔๕ วัน พอมีบิลมาถ้าเราตัดยอดหมดก็จบค่ะ ถ้าไม่จบก็แบ่งชำระ แต่คราวนี้เราต้องเสียดอกเบี้ยแล้วละค่ะ...ขึ้นอยู่กับตัวเราค่ะ มีหลายใบค่ะ แต่จะใช้คราวที่จำเป็นเท่านั้น...แต่ก็มีข้อสังเกต ยามใดที่เรามีเครดิตในการชำระดี จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาเพื่อเพิ่มวงเงินให้อยู่เรื่อย ๆ บางครั้งเราก็ลำคาญ ตัดบทไปว่าไม่เพิ่มแล้ว เท่านี้ก็มากแล้ว...มันแสดงถึงความที่เรามีเครดิตไงค่ะ คริ ๆ ๆ...เพราะพวกนี้เขาจะไปดูข้อมูลของเราที่เครดิตแห่งชาติค่ะ ดูการเป็นลูกหนี้ที่ดีของเรา ถ้าเรารู้จักบริหารจัดการตัวเราได้ มีเป็นสิบ ๆ ใบก็ไม่เสียหายค่ะ...แต่ระวังเรื่องรหัสผ่านเท่านั้นค่ะ อย่าให้ใครทราบเด็ดขาด...

ซาบซึ้งกับคำแนะนำของอาจารย์ ธวัชชัย ครับ ;)...

ขอบคุณมากครับ

ขอบคุณ พี่ ษยมาศ ที่ให้คำแนะนำครับ

ผมจักนำไปใช้ประโยชน์ครับ ;)...

หนูไม่รู้เรื่องบัตรเครดิต แต่ ... ดูสถานการณ์วุ่นๆนะค่ะคุณครู ^0^

อันนี้ดูแน่นอนจ้า เอื้องแสงฝาง ;)...

ขอบใจจ้า

มีบัตรเครดิตอยู่ใบนึงค่ะ...สะดวกดีเวลาจองตั๋วเครื่องบินหรือจองที่พักค่ะอาจารย์ ดาวคิดว่าขึ้นกับการบริหารของเรานะคะ ของดาวใช้ระบบแบบท่านอาจารย์ธวัชชัยค่ะ ถึงกำหนดก็ตัดจากยอดบัญชีเลย ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยแล้วก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าต้องไปจ่ายตังค์ค่าบัตรเครดิต อ้อ...บางทีไปรับประทานอาหารก็มีส่วนลดอยู่เรื่อยๆ มีแต้มสะสมเป็นส่วนลดในการซื้อของได้ค่ะ เพียงแต่ต้องระวังไม่ให้รูดปรี๊ด รูดปรื๊ด....555

อารมณ์รูดปรี๊ด รูดปรี๊ด ของคุณหมอดาวสกาวฟ้า blue_star ได้อารมณ์จริง ๆ ครับ 555

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ สวดยอดครับ ;)...

เห็นด้วยกับอ.ธวัชชัยค่ะว่า ถ้ามีแล้วใช้อย่างฉลาด วางแผนให้ดีก็จะเหมือนเรายืมเงินเราเองใช้ก่อนได้ค่ะ ที่สำคัญคือประเมินวงเงินให้ดีๆ อย่าไปเชื่อสถาบันการเงินเจ้าของบัตรมากไป เรากำหนดวงเงินเท่าที่เราจำเป็นต้องใช้และมีจ่ายแน่นอนเมื่อถึงกำหนด ช่วยให้เราไม่ต้องพกเงินสดไว้กับตัวมาก (เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยประหยัดได้ด้วยค่ะ)

เพื่อนที่ทำงานคนหนึ่งบอกว่าลักษณะนิสัยการทำงานของเพื่อนร่วมงาน มีผลมาจากเบื้องหลังทางการเงินในครอบครัวค่ะ เช่นคนที่ระมัดระวังมากๆๆๆๆ ไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลยเพราะกลัวทำผิด กลัวถูกไล่ออก เพราะมีภาระทางการเงินหนักอึ้ง คนที่ทำงานแบบสบายๆ ชิลชิล ส่วนใหญ่จะค่ินข้างมั่นคง ทีนี้พอจะเลือกคนทำโปรเจคด้วยก็เลยต้องพยายามสังเกตค่ะ ถูกไม่ถูกไม่รู้แต่สนุกดีค่ะ


Happy Refinance ค่ะอาจารย์วัส

เรียน อาจารย์ ...ปริม ทัดบุปผา... ;)...

ผมก็มีแนวคิดเช่นนั้นเหมือนกันครับว่า "ภาระการเงิน" ของตัวเองและเพื่อครอบครัว อาจจะทำให้คนเราเปลี่ยนไปได้จากการทำงานเพื่อความสุข กลายเป็น ทำงานเพื่อเงินไปแทน ซึ่งผมไม่อยากเป็นแบบนั้น มันเสียการเป็นคนไป เหมือนเราขายวิญญาณให้กับวัตถุนิยมพวกนี้

ดังนั้น ทุกอย่างต้องเหมาะสม ไม่ตึง และ ไม่หย่อนเกินไป จึงจะสุขดีครับ

ขอบคุณอาจารย์มากครับ ;)...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท