โรงเรียนชาวนาระดับมัธยม (๑๑)_๑
ตอนนี้จะเป็นเรื่องของผู้ผลิตปุ๋ยและฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตให้แก่พืช คือจุลินทรีย์ในดินและซากปรักหักพังของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เป็นแหล่งปุ๋ยที่ได้มาโดยแทบไม่ต้องลงทุน ในตอนนี้เราจะได้เห็นความสามารถในการสร้างความรู้สำหรับใช้งานบำรุงดินของชาวนา คือการเก็บ จุลินทรีย์จากป่าเอามาขยายพันธุ์และเก็บไว้ใช้ได้ต่อเนื่อง
ตอนที่ 10 เรียนรู้เรื่องจุลินทรีย์
ท่ามกลางป่าเขาลำไพร ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่ พืชนานาชนิด
พืชอาศัยสัตว์ สัตว์อาศัยพืช
เป็นห่วงโซ่อาหารที่พึ่งพิงกันและกันไปตามกฎของธรรมชาติ
สิ่งมีชีวิตเล็กๆ
อาศัยอยู่ตามได้โดยอาศัยสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่
เฉกเช่นจุลินทรีย์ ผู้ทำหน้าที่ย่อยสลาย
สามารถย่อยไม้ใหญ่ให้กลายเป็นผงธุลีได้
แต่ก็ต้องอาศัยเวลาอันยาวนาน
จึงจะย่อยสลายได้สำเร็จ
ด้วยความสามารถในการย่อยสลายวัสดุของจุลินทรีย์นี่เอง
จึงเป็นสิ่งที่นักเรียนสนใจจะนำเอาเชื้อจุลินทรีย์มาใช้ประโยชน์ต่อการทำนา
เจ้าหน้าที่ภาคสนามมูลนิธิข้าวขวัญจึงพานักเรียนชาวนาไปเดินสำรวจธรรมชาติ
เรียนรู้ระบบนิเวศ และเก็บตัวอย่างเชื้อจุลินทรีย์มาทดลอง
การเดินทางของนักเรียนชาวนาจึงเริ่มขึ้นเพื่อไปเก็บเชื้อจุลินทรีย์บริเวณน้ำตกไซเบอร์
ในอุทยานแห่งชาติห้วยขาแข้ง อำเภอลานสัก
จังหวัดอุทัยธานี
สถานที่ที่เป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของประเทศไทย
และอยู่ใกล้บ้านในจังหวัดสุพรรณบุรี
และหลังจากที่เดินทางกลับมาถึงบ้านกันแล้ว
จึงได้นำเอาเชื้อจุลินทรีย์ที่ได้มาแพร่ขยายต่อเชื้อ
วัสดุที่จะกลายมาเป็นอาหารของจุลินทรีย์มีหลากหลายอย่าง
อย่างหลักๆก็คงหนีไม่พ้น กากน้ำตาล
ซึ่งตัวเอกของการต่อขยายเชื้อจุลินทรีย์
และนอกจากนี้ก็จะใช้วัสดุธรรมชาติมาเป็นอาหาร
ซึ่งสามารถใช้เศษวัสดุธรรมชาติที่พบเห็นทั่วไป
นำมาใช้เป็นอาหารให้กับเชื้อจุลินทรีย์ได้ อย่างเช่น
รำอ่อน เศษใบไม้ ฟางข้าว
ทั้งนี้ก็แล้วต่อว่าในท้องถิ่นใดจะมีอะไรเป็นอย่างไร
การต่อขยายเชื้อจุลินทรีย์จึงมีมากมายหลายสูตร
ตัวอย่างที่จะนำมาเสนอจะเป็นการใช้รำอ่อน
ในกรณีใช้รำอ่อนเป็นอาหาร มีส่วนผสม
ดังนี้
- เศษใบไม้ที่มีเชื้อจุลินทรีย์ จำนวน
1 กิโลกรัม
- กากน้ำตาล จำนวน 2 ช้อน
ผสมน้ำ 2 ลิตร
- รำอ่อน จำนวน 5
กิโลกรัม
วิธีการผสมอย่างง่ายๆ คือ นำเอารำอ่อน เศษใบไม้ที่มีเชื้อจุลินทรีย์ และกากน้ำตาลที่ผสมน้ำแล้ว มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วจึงเอากระสอบป่าน (หรือถุงปุ๋ย) ห่อไว้ใต้ร่มไม้ ทิ้งระยะไว้ประมาณ 7 วัน
ภาพที่ 80 คุณประทิน ห้อยมาลา แสดงผลการต่อขยายเชื้อจุลินทรีย์ |
เมื่อระยะเวลาผ่านไปได้ประมาณ 7 วันแล้ว
ลองเปิดห่อดูจึงจะพบว่า
มีเชื้อจุลินทรีย์สีขาวแพร่กระจายไปทั่ว
นักเรียนชาวนาบอกว่าอย่างนี้แหละที่เรียกกันว่า
“เชื้อเดิน”
นี่จึงเป็นการต่อขยายเชื้อหรือเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์ให้ได้มีปริมาณมากขึ้น
โดยหาวัสดุมาเป็นอาหารให้จุลินทรีย์เกาะกินขยายตัวต่อไปเรื่อยๆ
ภาพที่ 81 การต่อขยายเชื้อจุลินทรีย์โดยใช้รำอ่อนและกากน้ำตาล | ภาพที่ 82 เชื้อจุลินทรีย์ที่เกาะตามก้อนรำอ่อนผสมกากน้ำตาล |
นักเรียนชาวนาได้เชื้อจุลินทรีย์มาแล้ว ซึ่งอุตส่าห์เดินทางขึ้นไปเก็บมาจากแหล่งน้ำตก ไซเบอร์ แล้วก็ทำการขยายต่อเชื้อแล้ว นักเรียนชาวนาจึงแบ่งเชื้อจุลินทรีย์ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งก็แบ่งส่วนเอาไว้ขยายเชื้อไปอีกเรื่อยๆ และอีกส่วนหนึ่งก็นำไปใช้ประโยชน์ อาทิเช่น นำไปทำน้ำหมักและฮอร์โมน เป็นต้น
ภาพที่ 84 เชื้อจุลินทรีย์ที่ต่อขยายเชื้อ ด้วยฟางข้าวผสมกากน้ำตาล |
ภาพที่ 83 คุณนิพนธ์ คล้ายพุก แสดงผลการต่อขยายเชื้อจุลินทรีย์ |
ภาพที่ 85 – 86 ใช้ใบไผ่ผสมกากน้ำตาลเป็นอาหารในการต่อขยายเชื้อจุลินทรีย์ |
กล่าวถึงใบไผ่แล้ว
ก็ต้องมาเรียนรู้กับเรื่องของไม้ไผ่ด้วย
นักเรียนชาวนาได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติจริงไปแล้ว
เป็นการเพาะเชื้อจุลินทรีย์ท้องถิ่นจากปล้องไม้ไผ่
นักเรียนชาวนาจะต้องเลือก
ต้นไผ่ที่อยู่บริเวณตรงกลางป่าไผ่
เลือกแล้วตัดต้นไผ่ให้สูงจากพื้นประมาณ 10
เซนติเมตร แต่งปากขอบกระบอกด้วยการตัดเฉียง
จากนั้นนำข้าวเหนียวนึ่งใส่ลงในกระบอก
ใส่ให้พูนขึ้นมาเหนือรอยตัด
ทั้งก็เพื่อให้ข้าวดูดซับน้ำเลี้ยงที่บริเวณรอยตัดปล้องไผ่
แล้วนำกล่องไม้บนครอบปากปล้องเป็นชั้นแรก
และนำใบไม้มาคลุมไว้ด้านบนเป็นชั้นที่ 2
ตามมาด้วยการคลุมชั้นที่ 3 ด้วยผ้าพลาสติก
เพื่อกันน้ำฝนซึมลงไป
อาจจะหาวัตถุที่มีน้ำหนักมาวางทับผ้าพลาสติกไม่ให้ลมพัดปลิวไป
รอเวลานานประมาณ 3 – 5 วัน กลับมาเปิดดู
ก็จะพบว่า ทั่วบริเวณจะเกิดมีจุดสีต่างๆ อย่างเช่น
สีเหลือง ขาว ดำ
ซึ่งก็เป็นเชื้อราต่างๆเกิดขึ้น
จากนั้นจึงตัดปล้องไม้ไผ่ออกจากกอ
เทข้าวที่มีอยู่ในปล้องไม้ไผ่ใส่ในโอ่งดิน
เราๆท่านๆก็จะได้จุลินทรีย์ธรรมชาติที่มีอยู่ตามท้องถิ่น
เรียกว่า ไอเอ็มโอ 1
ซึ่งสามารถนำมาผสมลงในกากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดง
ในอัตราส่วน 1 : 1
ก็จะได้จุลินทรีย์ธรรมชาติอีก เรียกว่า ไอเอ็มโอ
2 ให้ปิดโอ่งดินด้วยผ้าขาวบาง มัดด้วยเชือก
เรื่องจุลินทรีย์ในธรรมชาติยังมีอีกวิธีการเพาะเชื้ออีกอย่างหนึ่ง
ได้มาจากตอซังข้าว
โดยนำเอาข้าวกึ่งสุกกึ่งดิบมาใส่ในภาชนะขนาด 1
กิโลกรัม แล้วใช้กระดาษขาวๆบางๆปิดปากภาชนะนั้นไว้
จากนั้นจึงนำไปวางคว่ำหน้าลงไปในตอซังข้าวที่ผ่านการเก็บเกี่ยวมาแล้ว
มีข้อระวังเล็กน้อยคือ
ไม่ควรวางลงในบริเวณพื้นนาที่แฉะจนเกินไป
ควรจะวางไว้ในบริเวณที่แห้งๆ
แล้วใช้ตอซังคลุมภาชนะใส่ข้าวนั้น รอระยะเวลาสัก 3
วัน ก็สามารถเก็บจุลินทรีย์มาเพาะขยาย
เพื่อนำไปใช้ในแปลงนา
ภาพที่ 87 สาธิตการเพาะขยายเชื้อจุลินทรีย์จากตอซังข้าว | ภาพที่ 88 เชื้อจุลินทรีย์ที่มาจากตอซังข้าว |
เรื่องราวของจุลินทรีย์ยังไม่จบเพียงเท่านี้
เมื่อมีการนำเชื้อจุลินทรีย์ที่นักเรียนชาวนาเพาะเลี้ยงไปทำการศึกษาวิจัยในเบื้องต้น
โดยได้รับการช่วยเหลือทางวิชาการจากรองศาสตาจารย์ ดร.ก้าน
จันทร์พรหมมา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
ได้เก็บตัวอย่างเชื้อจุลินทรีย์ที่เพาะเลี้ยงกับใบไม้จากโรงเรียนชาวนาวัดดาว
(อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี)
ผลจากการศึกษาวิจัยในเบื้องต้นนั้น พบว่า
มีเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อการเกษตรชีวภาพ ได้แก่
เชื้อราไตรโครเดอร์มา
ซึ่งสามารถปลดปล่อยสารที่เพิ่มการเจริญเติบโตของพืชและสร้างเชื้อจุลินทรีย์จากใบไผ่สามารถแยกจุลินทรีย์ได้หลายกลุ่ม
โดยแยกเป็นเชื้อราและยีสต์ หลังจากความทนทานต่อสภาพแวดล้อมสูง
และความสามารถในการสร้างเอนไซม์ต่างๆอีกจำนวนมาก
แบคทีเรียบาซีลัสและยีสต์ที่แยกได้ยังสามารถสร้างสารยับยั้งเชื้อราและแบคทีเรียโรคพืชได้อีกด้วย
และหากนำใบไผ่ไปใช้ในแปลงปลูกพืชจะเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อการปลูกพืชของเกษตรกร
ไม่ว่าจะเป็นลดปัญหาด้านโรคพืช
และยังช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตได้อีกด้วย
ภาพที่ 89 นักเรียนชาวนาแลกเปลี่ยน ความรู้กับ รศ.ดร.ก้าน จันทร์พรหมมา เรื่องการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ |
ภาพที่ 90 เรียนรู้จุลินทรีย์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นของนักเรียนชาวนา |
ภาพที่ 91 – 92 นำใบไผ่ที่ได้จากการเพาะขยายเชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ |
ไม่มีความเห็น