ทีมการศึกษาของไทยรัฐ (2555) สรุปได้ยอดเยี่ยมถึงการศึกษาไทยที่กำลังตกต่ำ ในช่วงที่ผ่านมาเพียงปีเศษ ๆ
เปลี่ยนรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ 3 คน ตั้งแต่นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช
และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ส่วนรัฐมนตรีช่วยว่าการหลายคนแทบจำชื่อไม่ได้ การศึกษาไทยไม่ได้ถอยหลัง
แต่การศึกษาไทยย่ำอยู่กับที่ มีการอ้างข้อมูลลำดับการศึกษาของประเทศไทยจากการจัดลำดับของบริษัทเพียร์สัน
ซึ่งทีมการศึกษาของเดลินิวส์ก็อ้างข้อมูลการจัดลำดับของเพียร์สัน ที่ให้อันดับที่ 1 ประเทศฟินแลนด์
ที่ 2 เกาหลีใต้ ที่ 3 ฮ่องกง ที่ 4 ญี่ปุ่น ที่ 5 สิงคโปร์ ที่ 6 อังกฤษ ที่ 7 เนเธอร์แลนด์ ที่ 8 นิวซีแลนด์ ที่ 9 สวิตเซอร์แลนด์ ที่ 10 แคนาดา ...... ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 37 (เพชร เหมือนพันธุ์, 2555)
การศึกษาไทยสะท้อนจากผลการจัดอันดับของบริษัทด้านการศึกษาและธุรกิจอย่างเพียร์สัน
คำถามก็คือ เพียร์สันมีวิธีการจัดลำดับอย่างไรและเทคนิควิธีการคืออะไร
เพียร์สัน (Pearson, 2012) เป็นบริษัทที่ผลิตหนังสือตำราและสิ่งพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ในประเทศอังกฤษ แต่มีสาขาอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก งานนี้เขาทำร่วมกับ The Economist Intelligence Unit (EIU) ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิจัยด้านเศรษฐกิจและธุรกิจระดับโลกวิธีการวิจัยใช้เทคนิคการเทียบสมรรถนะ (Benchmarking) เป็นรายงานขนาดหน้า 52 หน้า ขั้นตอนการวิจัยก็จะวัตถุประสงค์หลักสองอย่างคือ การตรวจสอบข้อมูลการศึกษาระหว่างประเทศและการเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างประเทศ ลำดับขั้นการวิจัยก็คือ
1. รวบรวมข้อมูลการศึกษาระดับนานาชาติให้ได้ครอบคลุมและสมบูรณ์ที่สุดจัดทำเป็นธนาคารข้อมูลเส้นโค้งการเรียนรู้
2. เลือกประเทศที่มีข้อมูลครบถ้วนและสมบูรณ์ทุกด้านได้ 40 ประเทศ
3. เลือกตัวชี้วัดที่จะใช้ในการเปรียบเทียบจากข้อมูลที่รวบรวมมามีมากกว่า 60 ตัวชี้วัด แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
ปัจจัยนำเข้าด้านการศึกษา อาทิเช่น อัตราส่วนครู-นักเรียน การใช้งบประมาณ ฯลฯ , ส่วนที่สองคือ
ผลผลิตทางการศึกษา อาทิเช่น คะแนนการวัดผลระดับนานาชาติ, ระดับความสามารถพื้นฐาน ฯลฯ
และส่วนสุดท้ายคือตัวชี้วัดสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น ความไม่เท่าเทียมกันในนังคม
อัตราอาชญากรรม, ค่า GDP กับการลงทุนการศึกษา, การว่างงาน ฯลฯ
4. การเปรียบเทียบกับค่าดัชนีด้านทักษะการคิดและความสำเร็จทางการศึกษาของโลก
(Global Index of Cognitive Skills and Edcucational Attainment) มาเป็นตัวเทียบ ทักษะการคิด
ก็ใช้ดัชนีการอ่าน, คะแนนคณิตศาสตร์ และคะแนนวิทยาศาสตร์
5. คำนวณคะแนนทั้งหมดและถ่วงน้ำหนักแต่ละปัจจัยและองค์ประกอบ โดยการกำหนดว่าจะให้
คะแนนแต่ละด้านแต่ละปัจจัยเท่าใด
6. หาความสัมพันธ์ของคะแนนแต่ละด้าน แล้วแบ่งผลคะแนนออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ค่า Z-Score สูงกว่า 1 กลุ่มที่ 2 อยู่ระหว่าง 0.51 ถึง 0.99 กลุ่มที่ 3 อยู่ระหว่าง -0.50 ถึง 0.50 กลุ่มที่ 4 อยู่ระหว่าง -0.51 ถึง -1.00
กลุ่มที่ 5 ต่ำกว่า -1.00
จากนั้นนำคะแนนมาจัดลำดับทั้ง 40 ประเทศ เรียงตามผลคะแนน ปรากฎว่า ประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 37 มีค่าคะแนน -1.46
คราวนี้ก็รู้แล้วว่า Pearson เขาจัดลำดับการศึกษาประเทศไทยอย่างไร
สิ่งที่เพียร์สันเสนอแนะเอาไว้ในบทสรุปผู้บริหาร เป็นบทเรียน 5 ประการสำหรับ
ผู้กำหนดนโยบายทางการศึกษาก็คือ
1. ไม่มียาวิเศษ ไม่มียาใด ๆ จะแก้ไขปัญหาการศึกษาได้ ไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง
2. โปรดเคารพครู ครูที่ดีเท่านั้นที่จะนำการศึกษาให้มีคุณภาพสูงได้
3. วัฒนธรรมสามารถเปลี่ยนได้ นำวัฒนธรรมเชิงบวกมาเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา
4. ผู้ปกครองเป็นทั้งศัตรูและผู้กอบกู้การศึกษา ระบบการศึกษาต้องนำผู้ปกครองมาเข้าร่วม
5. การศึกษาเพื่ออนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มาจากการศึกษาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจการจัดลำดับของเพียร์สัน และเป็นกำลังใจให้การศึกษาไทยต่อไป
....................................................................
รายการอ้างอิง
ทีมการศึกษาไทยรัฐ (2555) โอกาสเด็กไทยที่สูญเปล่า. ไทยรัฐ. วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2555.
http://www.thairath.co.th/content/edu/316928
การศึกษาเดลินิวส์ (2556). ย้อนมองการศึกษาไทยบนความหวังที่ก้าวไม่ออก. เดลินิวส์. วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ.2556.
http://www.dailynews.co.th/education/175462
เพชร เหมือนพันธุ์. (2555) การศึกษาไทยตกต่ำแล้วตกต่ำอีก โดยบริษัทเพียร์สัน. หน้า 6,มติชนรายวัน ฉบับวันพุธที่ 19 ธันวาคม 2555
Pearson. (2012) The Learning Curve : Lessons in Country, Performance in Education. London : Pearson.http://thelearningcurve.pearson.com/the-report
ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่เคยสงสัยค่ะ
ตามมาอ่านอีกครับ
ผมสบายดี ดีใจได้อ่านเรื่องของอาจารย์ชอบคำแนะนำเหล่านี้ครับ
ผู้กำหนดนโยบายทางการศึกษาก็คือ
1. ไม่มียาวิเศษ ไม่มียาใด ๆ จะแก้ไขปัญหาการศึกษาได้ ไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง
2. โปรดเคารพครู ครูที่ดีเท่านั้นที่จะนำการศึกษาให้มีคุณภาพสูงได้
3. วัฒนธรรมสามารถเปลี่ยนได้ นำวัฒนธรรมเชิงบวกมาเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา
4. ผู้ปกครองเป็นทั้งศัตรูและผู้กอบกู้การศึกษา ระบบการศึกษาต้องนำผู้ปกครองมาเข้าร่วม
5. การศึกษาเพื่ออนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มาจากการศึกษาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
โดยเฉพาะข้อ 2