.
.
.
ภาพที่ 1: ขนม "สคิดเถิ่วส์ (Skittles)" ที่ใช้ในการวิจัย [ wikipedia ]
.
.
ภาพที่ 2: ขนม "กาแล็กซี มินส์เทรว (Galaxy Minstrel)" ที่ใช้ในการวิจัย [ wikipedia ]
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม (ตีพิมพ์ใน J Appetite) ทำการศึกษาพบว่า คนที่เคี้ยวอาหารช้าๆ ในมื้อเที่ยง จะกินอาหารว่าง (snacks) ในช่วงบ่ายลดลงมากถึง 1/2
.
การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า อาหารงานเลี้ยง คริสต์มาส ที่มีไก่งวงย่าง มันฝรั่งเผา ขนมปัง ไส้กรอก เบคอน และอะไรต่อมิอะไรรวมกัน ทำให้คนเรากินเข้าไปมากกว่า 1,000 แคลอรี/มื้อ
.
ต่อไปจะใช้ตัวย่อ C = calorie = แคลอรี
.
ผู้ใหญ่เกือบทุกคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองจะกินอาหารประมาณ 3,500-4,000 C/วัน
.
.
ขีดจำกัดของปริมาณกำลังงาน หรือแคลอรีในอาหารผู้ใหญ่ฝรั่ง (โครงสร้างใหญ่กว่าคนเอเชีย, คิดจากคนอายุ 35 ปีที่ไม่อ้วน หนักประมาณ 70 กิโลกรัม) = 2,500 C/วัน ในผู้ชาย, 2,000 C/วัน ในผู้หญิง
.
ขีดจำกัดในคนไทยส่วนใหญ่อยู่ที่ 1,800 C/วัน ในผู้ชาย; 1,300 C/วัน ในผู้หญิง (บวก 200 C ถ้าวันนั้นออกแรง-ออกกำลังนานกว่า 40 นาที) [ ก.สาธารณสุข ]; [ student.chula ]
.
ผู้ชายไทยที่กินเกิน 600 C/มื้อ; ผู้หญิงไทยที่กินเกิน 430 C/มื้อ จะเสี่ยงน้ำหนักเกิน-อ้วนในระยะยาว
.
การศึกษาใหม่ทำในนักศึกษามหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม อังกฤษ (UK) 43 คน, เกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิง, ให้อดอาหาร 2 ชั่วโมงก่อนทดลองให้กินแฮมรมควัน และแซนวิชเนยแข็ง
.
.
สุ่มแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 3 กลุ่มดังนี้
.
(1). ให้กินแบบเดิมๆ
.
(2). ให้เว้นวรรคระหว่างคำ 10 วินาที (ต้นฉบับ = each mouthful = คำอาหารเต็มปาก)
.
(3). ให้เคี้ยวคำละ 30 วินาทีก่อนกลืน
.
หลังทดลองยกแรก ให้กินขนมหวาน (Skittles) กับลูกอมชอคโกแล็ต (Minstrels)
.
ผลการศึกษาพบว่า การเคี้ยวอาหารช้าๆ 30 วินาที/คำ ทำให้นักศึกษากินขนมน้อยลง = 1/2
.
.
กลไกที่เป็นไปได้ คือ การเคี้ยวช้ามากๆ 2 คำ/นาที ทำให้คนเรามีความสุขกับการกินน้อยลง แถมยังทำให้สมองรับรู้ความอิ่มมากขึ้น
.
การศึกษาจากจีนในปี 2554 พบว่า การเคี้ยวอาหาร 40 ครั้ง/คำ ทำให้กลุ่มตัวอย่างกินอาหารระหว่างมื้อลดลง 12%
.
การศึกษาในปี 2553 ทำในกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน พบว่า คนอังกฤษเคี้ยวอาหารเฉลี่ย 6 ครั้ง/คำ
.
อ.แคตเตอรีน คอลลินส์ หัวหน้านักโภชนาการจากโรงพยาบาลเซนต์ จอร์จ ลอนดอน กล่าวว่า การกินอาหารมากครั้ง เพิ่มโอกาสในการกินแบบมีสติ (mindful eating)
.
.
ตรงกันข้าม, การกินแบบ "ลืมเคี้ยว" เพิ่มเสี่ยงขาดสติ
.
ท่านผู้รู้ทางการเงินแนะนำว่า ถ้าอยากได้อะไร แล้วจดไว้ รอให้เวลาผ่านไป 7 วัน... ความอยากจะลดลงมาก ทำให้ประหยัดขึ้น ใช้จ่ายอย่างมีสติมากขึ้น เป็นหนี้เกินตัวน้อยลง
.
เรื่องอาหารก็คล้ายๆ กัน คือ ถ้ากินให้ช้าลง โดยเคี้ยวเบาๆ ช้าๆ มากขึ้น (เคี้ยวแรงเพิ่มเสี่ยงฟันสึก เสียวฟัน ฟันผุจากเคลือบฟันที่สึกหรอ-บางลง)
.
ท่านพระอาจารย์เรตวะ (โยมพ่อของท่านเป็นชาวแม่ฮ่องสอน, โยมแม่เป็นชาวพม่า, เป็นพระอาจารย์กรรมฐานที่วัดพะเอ้า ตอย่า, เมาะละแหม่ง พม่า) แนะนำเคล็ดลับสุขภาพง่ายๆ คือ ฝึกเคี้ยวให้ได้ 30 ครั้ง/คำ
.
.
ถ้ารู้สึกว่า ทำยาก... ให้เปลี่ยนข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง หรือ "ข้าวที่มีชีวิต" (ข้าวกล้องที่ดีจะมีจุดขาวขุ่นๆ ด้านข้าง เป็นจมูกข้าวที่มีคุณค่าทางอาหารสูงที่สุด)
.
เวลากินข้าวให้ฝึกนับว่า "คำนี้เคี้ยวกี่ครั้ง" จะเพิ่มโอกาสกินอย่างมีสติได้ไม่ยาก (ถ้ายืนหยัดทำนานพอ)
.
วิศวกรท่านหนึ่งอ้วน+อ้วนลงพุง ควบคุมอาหารและออกกำลังจนระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงจากระดับก่อนเบาหวาน หรือว่าที่เบาหวาน (pre-diabetes; ระดับที่สูงกว่าคนทั่วไป แต่ไม่ถึงเกณฑ์เป็นเบาหวานเต็มตัว) เป็นระดับปกติได้
.
ท่านลองมาหลายสูตรแล้วพบว่า สูตรของว่างลดความอ้วนระหว่างมื้อที่ทำได้ง่าย และไม่ทรมาน คือ ไปซื้อข้าวโอ๊ตที่ห้างสรรพสินค้า 2 ช้อนกินข้าว นำไปต้มหรือใส่ในไมโครเวฟ
.
.
รอให้เย็น กรองหรือเทข้าวออก ดื่มแต่ส่วนที่เป็นน้ำข้าวโอ๊ต
.
หิวอีกก็นำข้าวโอ๊ตเดิมไปทำน้ำข้าวใหม่ ดื่มเข้าไปอีก (แนะนำให้บ้วนปากหลายๆ ครั้งหลังดื่ม เพื่อป้องกันฟันผุ)
.
อีกวิธีที่ดีพอๆ กัน คือ ต้มข้าวโอ๊ต แล้วเติมน้ำไปเป็น 1-1.5 ลิตร ใส่ขวดไว้ ดื่มระหว่างมื้อ เพื่อลดความอยากอาหาร
.
ข้าวโอ๊ตมีโปรตีน และเส้นใยชนิดละลายน้ำสูง ทำให้อิ่มได้นาน ช่วยลดโคเลสเตอรอล (จับกับโคเลสเตอรอลในน้ำดี แล้วถ่ายออกไปพร้อมอุจจาระ)
.
.
คนอายุยืนส่วนใหญ่จะกินอาหารที่มีเส้นใยชนิดละลายน้ำ เช่น ข้าวโอ๊ต กล้วย แอปเปิ้ล ฯลฯ
.
ผักผลไม้ที่มีเมือก เช่น กระเจี๊ยบ ฯลฯ ก็มีเส้นใยชนิดละลายน้ำค่อนข้างสูงเช่นกัน
.
แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ย่อยเส้นใยชนิดนี้ ทำให้เกิดกรดไขมันโมเลกุลสั้น (short chain fatty acids) ที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของเยื่อบุลำไส้ใหญ่
.
เยื่อบุลำไส้ใหญ่ที่แข็งแรง ทำให้ระบบภูมิต้านทานโรคดีขึ้น
.
.
น้ำข้าวโอ๊ตใช้ลดอาการอ่อนเพลีย เช่น คนสูงอายุ ฯลฯ ได้ดี เนื่องจากข้าวโอ๊ตทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้าๆ - ลดลงช้าๆ
.
อีกสูตรที่น่าลอง คือ ให้กินแอปเปิ้ล ฝรั่ง หรือชมพู่ (แอปเปิ้ลดีกว่า ตรงที่มีเส้นใยชนิดละลายน้ำสูง) 1-2 ลูก แล้วทำน้ำข้าวโอ๊ตดื่มตาม (กี่แก้วก็ได้ ใช้ข้าวโอ๊ต 2 ช้อนกินข้าวเท่าเดิม) = 1 มื้อ/วัน
.
เดินสะสมเวลาให้ได้ 40 นาที/วัน, ขึ้นลงบันไดตามโอกาส 4 นาที/วัน
.
ถ้าค่อยๆ เพิ่มความเร็วในการเดินทีละน้อย จนถึง 100 ก้าว/นาที ขึ้นไป, จะได้ผลในการบริหารหัวใจ-ระบบไหลเวียนเลือดดีมาก
.
.
ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
.
> [ Twitter ]
- นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ รพ.ห้างฉัตร ลำปาง. 31 ธันวาคม 55. ยินดีให้ท่านนำบทความไปใช้ได้ โดยอ้างที่มา และไม่จำเป็นต้องขออนุญาต... ขอบคุณครับ > CC: BY-NC-ND.
- ข้อมูล ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ ไม่ใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรค; ท่านที่มีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงต่อโรคสูง จำเป็นต้องปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนนำข้อมูลไปใช้