ดิฉันและคุณพิชฎา อารยานุรักษ์ ได้มีโอกาสไปสังเกตการณ์การสัมมนาเชิงปฎิบัติการการจัดการความรู้ โครงการส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยและได้มาตรฐาน ปี 2549 จังหวัดอุบลราชธานีวันที่ 18-19 กันยายน 2549 โดยเข้าร่วม 2 สายอำเภอจากทั้งหมด 3 สายคือ
สาย A อุบลเหนือ ได้แก่ ตระการพืชผล ม่วงสามสิบ โขงเจียม โพธิ์ไทร กุดข้าวปุ้น ศรีเมืองใหม่ เขมราฐ นาตาล รวม 8 อำเภอ
สาย B อุบลกลาง ได้แก่ เมือง วารินชำราบ เขื่องใน พิบูลมังสาหาร ดอนมดแดง สิรินธร ตาลสุม เหล่าเสือโก้ก สว่างวีระวงศ์ รวม 9 อำเภอ
วันที่ 18 ก.ย.2549 เราได้พูดคุยกับคุณกมล โสพัฒน์ นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร และคุณดำรง อินศร หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์และสารสนเทศ ที่สำนักงานเกษตรจังหวัด ถึงความก้าวหน้าการจัดการความรู้ของจังหวัด แล้วเดินทางจากสำนักงานเกษตรจังหวัดไปที่โรงพยาบาลม่วงสามสิบ อ.ม่วงสามสิบ ซึ่งเป็นสถานที่สัมมนาฯสายA ถึงประมาณ 9 โมง ได้พบกับอาจารย์ภาสกร นันทพานิช จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ซึ่งท่านได้มาช่วยการทำKM ของจังหวัดอุบลราชธานีมาตั้งแต่แรกเริ่ม และวันนี้ท่านได้มาเป็นผู้ดำเนินรายการในเวทีการสัมมนาตลอดทั้งวัน
เวทีการสัมมนาเริ่มจากคุณดำรง อินศร ได้กล่าวถึงความสำคัญของการจัดการความรู้ โดยได้เปรียบเปรยว่าการจัดการความรู้เปรียบเสมือนการ "อมหาย คายรอด" ความรู้ถ้ามีอยู่ในตัวอมความรู้ไว้คนเดียวไม่เกิดประโยชน์ แต่ถ้าคายความรู้ออกมาจะเกิดประโยชน์ต่อคนอื่นและตนเองมากกว่า
คุณดำรง อินศร
จากนั้นอาจารย์ภาสกร นันทพานิช ได้กล่าวถึงความสำคัญของการจัดการความรู้ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของงานส่งเสริมการเกษตร การสัมมนาวันนี้อาจารย์ได้แนะนำการใช้สุนทรียสนทนาในการ ลปรร.
อาจารย์ภาสกร นันทพานิช
เกษตรกร 3 ท่าน คือพ่อสมาน กิ่งแสง ต.หนองเมือง พ่อไพฑูรย์ สมสมัย ต.โพนแพง และคุณเสริม แสงสุข ต.หนองเมือง เล่าประสบการณ์ในการผลิตพืชปลอดภัย โดยอาจารย์ภาสกรเป็นผู้ดำเนินรายการคือ
พ่อสมาน กิ่งแสง
พ่อสมานเล่าว่ามีแรงบันดาลใจในการปลูกข้าวปลอดสารพิษ มีการแพ้สารพิษ เริ่มเดิมทีไม่สนใจการผลิตข้าวปลอดสารพิษ ปี2540ได้รับการอบรมเกษตรอินทรีย์จากธกส. 4 คืน 5 วัน หลังการอบรม 1 ปีมีการติดตามสอบถามว่าทำหรือยัง ปี 2541 จึงทดลองทำ เพียงพื้นที่ 1 ไร่ 2 ร่อง ช่วงแรกแม่บ้านไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าใดนัก ปีแรกที่ทำข้าวไม่งาม ปีที่ 2 เริ่มดี และปีที่ 3 ดีกว่าการใช้สารเคมี จากประสบการณ์ตรงนี้พ่อสมานสรุปว่าเกษตรอินทรีย์ง่าย แต่ถ้าไม่รู้วิธียาก มีผู้ใหญ่บ้านมาถามว่าข้าวปลอดภัยเป็นอินทรีย์แท้หรือไม่ ถ้าหากเราไปตรวจต้องเสียค่าใช้จ่ายเป้นน้ำยามีราคาแพงครั้งละสองพันบาท พ่อสมานจึงคิดวิธีพิสูจน์ด้วยตนเองด้วยวิธีง่าย ๆโดย
นำข้าวเคมีและข้าวอินทรีย์มาหุง
ผักปลอดสารและไม่ปลอดสาร
และพ่อสมานยังเล่าอีกว่าการทำเกษตรอินทรีย์มีข้อดีหลายประการเช่นลดต้นทุน ปุ๋ยอินทรีย์ผลิตเองไม่เสียเงินซื้อปุ๋ยเคมี สุขภาพดีทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค สัตว์เลี้ยง ปัญหาเรื่องโรคพืชหมดไป สภาพแวดล้อมกลับคืนมาเช่นปู ปลา สุดท้ายท่านได้พูดว่าขอวิงวอนให้ช่วยกัน ทำอย่างไรจะลดสารเคมีได้ ภูมิปัญญามีมากมายแม้แต่หญ้าก็เป็นปุ๋ยได้ เราจะหวนกลับสู่ธรรมชาติเสียที
ยังมีอีก 2 ท่านแล้วจะเล่าต่อไปคะ น่าสนใจที่มีคุณเอื้อ(คุณดำรง)อยู่ในเวทีตลอดเวลา คอยสร้างบรรยากาศการเรียนรู้และเติมเต็มในเวทีเช่นเวลาเครียดก็สร้างมุขให้เกิดการผ่อนคลาย เป็นต้น อาจารย์ภาสกรคอยช่วยในการนำเสนอ ทำหน้าที่คุณอำนวยได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ และยังมีคุณกมลเป็นผู้ประสานงานในเวทีตลอดเวลา และในการคุยนอกรอบทราบว่าจังหวัดศรีสะเกษได้เข้ามาสังเกตุการณ์ที่อุบลฯและอาจารย์ได้ไปช่วยศรีสะเกษด้วยในฐานะเพื่อนช่วยเพื่อนทำได้ดีมาก
ธุวนันท์ พานิชโยทัย
22 ก.ย.49
ส่วนมากมักจะ หวานอม ขมคาย คือที่วิจัยหรือทดลองสำเร็จ มักจะ อม หรือนำไปขายภาคธุรกจ ส่วน ขมคาย คือประกาศว่าล้มเหลว แต่ก็ยังดีครับ เพราะคนอื่นจะได้ไม่ผิด หรือหางด้วนตาม ข้อหลังนี้คือสิ่งที่บ้านเรายังขาดการรวบรวมเป็นหลักเป็นการ
น่าจะมีในขบวนการ KM
ขอบพระคุณมากครับที่กรุณาบันทึกมาแบ่งปัน
เรียนคุณไชยยงค์
ขอบคุณคะ เราต้องช่วยกันขจัดให้หมดไป
เรียนคุณเพชรตาปี
เป็นได้คะ ทุกจังหวัดจะต้องทำอยู่แล้ว
เรียนคุณสิงห์ป่าสัก
ขอบคุณคะ