ยาลดน้ำมูกให้ได้บ่อยแค่ไหน
มีคำถามจากผู้ปกครองของคนไข้ถามว่า
เด็กมีน้ำมูกไม่หาย ทำอย่างไรดี ควรใช้ยาลดน้ำมูกในเด็กถี่ห่างแค่ไหน
อย่างไร
ก่อนอื่นขอพูดถึงอาการน้ำมูกไหล
คัดจมูก และจาม หรือที่เรียกว่า เป็นหวัด ก่อน
หวัด
พบได้บ่อยในเด็ก เกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ คือ
หนึ่ง
กลุ่มโรคไข้หวัด
สอง
กลุ่มโรคภูมิแพ้ในโพรงจมูก
กลุ่มโรคไข้หวัด
ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส
มักมีอาการไข้ ตัวร้อน ปวดหัว ร่วมกับอาการหวัด คือ อาการน้ำมูกไหล คัดจมูก และจาม
การรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการพร้อมกับการรักษาร่างกายให้แข็งแรง
ไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ
เนื่องจากยาปฏิชีวนะไม่ได้มีผลต่อเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัด
ส่วนกลุ่มโรคภูมิแพ้ในโพรงจมูก
เป็นความผิดปกติ
ของระบบภูมิคุ้มกันที่มีการตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ที่มากกว่าปกติ
ทำให้มีอาการน้ำมูกไหล คัดจมูก คันจมูกและจาม โดยไม่มีอาการของการติดเชื้อ เช่น
ไข้ ตัวร้อน ปวดหัว เป็นต้น ในเด็กโตถ้ามีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และจาม
ทำให้เกิดความไม่สบายตัวและอาการรำคาญ
ในเด็กเล็กเมื่อมีอาการน้ำมูกไหล
คัดจมูก และจาม อาการเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กหายใจไม่สะดวก ร้องไห้ กวน
โยเย นอนไม่หลับ ทำให้ดื่มนมได้น้อยลง นมหรืออาหารไม่ย่อย เกิดท้องอืด เกิดอาเจียน
และอาจมีภาวะเยื่อบุลำไส้บวม เกิดอาการถ่ายเหลวร่วมด้วยได้
ในการรักษาอาการคัดจมูก
น้ำมูกไหล และจาม มี ทั้งชนิดที่ต้องใช้ยาและชนิดที่ไม่ต้องใช้ยาในการรักษา
ยาที่ใช้ในการรักษาอาการคัดจมูก
น้ำมูกไหล และจาม มี 2 กลุ่มใหญ่
1. ยาแก้แพ้
หรือ ยาต้านฮิสตามีน (antihistamines)
2. ยาลดการคั่งของน้ำมูก
(decongestants)
กลุ่มแรกคือยาแก้แพ้
หรือยาต้านฮิสตามีน (antihistamines)นั้นเป็นยาที่มีการใช้กันมานานแล้ว มีฤทธิ์ทำให้น้ำมูกแห้งแก้คันจมูก
คันตา ลมพิษ และอาการแพ้ ยากลุ่มนี้ใช้รักษาอาการเหล่านี้ได้ผลดี
แต่มีผลทำให้ง่วงนอน จึงไม่เหมาะสำหรับการใช้ในเวลาทำงาน
โดยเฉพาะทำงานเครื่องจักรหรือขับขี่รถ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
แต่เหมาะสำหรับให้กับผู้ป่วยตอนก่อนนอน
ที่ต้องการให้ง่วงนอน นอกจากนี้ยากลุ่มนี้ยังมีระยะเวลาการออกฤทธิ์ที่สั้นทำให้ต้องใช้วันละ
3-4 ครั้ง
ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงทำให้ปากแห้ง
คอแห้ง เสมหะเหนียวข้นมากขึ้นด้วยจึงได้มีการพัฒนายาต้านฮิสตามีนรุ่นใหม่ที่ไม่ทำให้เกิด
ผลข้างเคียงเรื่องง่วงนอนเช่นยารุ่นเก่า ทั้งยังออกฤทธิ์ได้นาน ทำให้ใช้ยาเพียงวันละ
1-2 ครั้งเท่านั้น
ทำให้สะดวกสบาย ในการใช้ยา โดยไม่ส่งผลกระทบกับการทำงานตามปกติ
ปัจจุบันมีการใช้ยากลุ่มนี้กันอย่างแพร่หลายในกลุ่มโรคไข้หวัด
และกลุ่มโรคภูมิแพ้ในโพรงจมูก เพื่อบรรเทาอาการน้ำมูกไหลในเด็ก แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าได้ผลดีในโรคไข้หวัดในเด็ก
ทั้งยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ง่วง ซึม และชักได้ ดังนั้นในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า
1 ขวบ
จึงไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้
การมีอาการหวัดในเด็กเล็ก
แนะนำให้ดูแลในการกำจัดน้ำมูกออกพร้อมทั้งทำให้จมูกโล่งด้วยวิธีอื่น ๆ แทนเช่น
ใช้ลูกยางดูดออก ให้ดูดน้ำมาก ๆ เพื่อให้น้ำมูกไม่เหนียวจะปลอดภัยกว่า
ยากลุ่มที่สอง
ยาลดการคั่งของน้ำมูก (decongestants)
ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์ลดการคัดจมูก
จึงทำให้โล่งจมูก และยาบางชนิดอาจมีฤทธิ์ขยายหลอดลมด้วย
จึงทำให้หายใจสะดวกยิ่งขึ้น ยากลุ่มนี้ที่มีใช้กันมี 2 ชนิด คือ
1.ชนิดกิน
2.
ชนิดทาภายนอกโดยการเช็ดจมูก
ยากลุ่มนี้เป็นยาที่ได้ผลดี
ทำให้โล่งจมูก หายใจได้สะดวก แต่ในเด็กบางคนที่ไวต่อยากลุ่มนี้
อาจมีอาการข้างเคียงทำให้หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น ร้องกวน โยเยได้
ยาลดการคั่งของน้ำมูกอีกชนิดหนึ่งเป็นชนิดทาภายนอก
เช่น ephedrine เป็นยาที่ได้ผลดี
ทำให้โล่งจมูก หายใจได้สะดวก ถ้าใช้อย่างถูกวิธีและไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 3-5
วัน เพราะถ้าใช้ติดต่อกันนานๆ
อาจทำให้เกิดอาการกลับมาคัดจมูกได้เนื่องจากอาการข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยานานเกินไป
สรุปว่า
ในเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 1 ขวบ ไม่ควรใช้ยาในการลดน้ำมูก แก้คัดจมูก ที่เกิดจากกลุ่มโรคไข้หวัด
เนื่องจากข้อควรระวังเรื่องผลข้างเคียงของยาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
แต่แนะนำให้แก้ไขปัญหาอาการหวัดได้ด้วยการดูแลรักษาเบื้องต้น
การดูแลเบื้องต้นเมื่อเด็กเป็นหวัด
คัดจมูก น้ำมูกไหล
1.ถ้าน้ำมูกมาก แนะนำให้ใช้ไม้พันสำลีหรือผ้านุ่มๆ ที่ม้วนปลาย
ค่อยๆ สอดเข้าไปในรูจมูก เพื่อซับน้ำมูกออกมา หรือใช้ลูกยางแดง
(ที่ดูดน้ำมูกสำหรับเด็ก) ค่อยๆ ดูดน้ำมูก ออกทีละน้อยๆ อย่างสม่ำเสมอ
จะช่วยลดการอุดตันของรูจมูก เด็กจะหายใจได้ดีขึ้น ถ้าเป็นเด็กโตก็ควรแนะนำหรือ
สอนวิธี การสั่งน้ำมูก เพื่อช่วยให้ทางเดินหายใจในจมูกโล่งดียิ่งขึ้นได้ด้วยตนเอง
2. ถ้ามีการอุดตันของรูจมูก หรือน้ำมูกแห้งกรัง
แนะนำให้ใช้ไม้พันสำลีหรือผ้านุ่มๆ ที่ม้วนปลายชุบน้ำเกลือ ร้อยละ 9 (Normal saline solution) เช็ดหรือหยดในรูจมูกให้ชุ่ม
แล้วทิ้งไว้สักพัก เพื่อช่วยให้น้ำมูกที่แห้งกรัง ค่อยๆ อ่อนนุ่มลง
แล้วจึงใช้ไม้พันสำลีค่อยๆ เช็ดออกไป นอกจากนี้ ควรแนะนำให้เด็กดื่มน้ำมากๆ
กินอาหาร ตามปกติ และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
และสร้างภูมิต้านทานมาต่อสู้กับโรคเหล่านี้ ในเด็กที่มีเคยมีประวัติโรคหืด
หูชั้นกลางอักเสบ และไซนัสอักเสบ ควรระวังมากขึ้นเมื่อเป็นหวัด
เพราะอาจทำให้กลับมาเป็นโรคเหล่านี้ได้อีกหรือทำให้โรคลุกลามรุนแรงมากขึ้น
สรุป
การให้ยาลดอาการคัดจมูก ลดน้ำมูก ลดคั่งบวมของจมูก
ให้ตามกลุ่มยาที่ใช้ หากเป็นกลุ่มแรก คือ แอนตี้ฮีสตามีนรุ่นเก่า ให้ได้วันละสามถึงสี่ครั้ง
คือ ทุกหกชั่วโมง
หากเป็นยาแอนตี้ฮีสตามีนรุ่นใหม่
ๆ ให้ได้วันละสองครั้ง
อย่าให้ยาทุกครั้งที่เห็นว่ามีอาการกำเริบขึ้นมา
เพราะการให้ยามากเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียงของยาเช่น เยื่อบุจมูกหรือเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนอื่น
เช่น เยื่อบุหลอดลมแห้งเกินไป อาจเกิดผลอื่น ๆ เช่น อาการระคาย คัน หรือไอ
แถมเพิ่มเติมมาค่ะ
ให้ยามากเกินไปไม่เกิดประโยชน์และยังก่อให้เกิดผลเสียได้
อย่าลืมนะคะ และเลยราตรีสวัสดิ์ค่ะ นอนหัวค่ำ ทำร่างกายให้อบอุ่นในช่วงอากาศ ฝนกำลังจะไป หนาวกำลังจะมา(จริงหรือเปล่านะ) เพื่อป้องกันการติดเชื้อหวัดค่ะ
แวะมารับความรู้จากผู้เีชี่ยวชาญครับ พี่หมอเล็ก ;)...
ขอบคุณอาจารย์วัสค่ะ
ขอบคุณมากๆ เลยครับ สำหรับคำแนะนำดีๆ และเป็นประโยชน์นี้
เอาไว้ผมจะนำไปปฏิบัติตามนะครับ อาจารย์
ขอบคุณคุณอักขณิชค่ะ คุณอักขริชกินอาหารสุขภาพ อยู่ในอากาศบริสุทธิ์ คงไม่ค่อยต้องอาศัยยารักษาอาการหวัดค่ะ
กดแป้นพิมพ์ผิดไปคำหนึ่งค่ะ คุณอักขณิช
ขอโทษด้วยค่ะ
ได้ความรู้มากมายเลยครับ อ่านง่าย เข้าใจง่าย -
เหมือนความรู้สามัญประจำบ้าน ก็ไม่ปาน
ขอบพระคุณครับ
แผ่นดิน ขอบคุณคำชมค่ะ เรื่องนี้ไม่ยาก เป็นเรื่องสามัญประจำบ้านได้ ขอบคุณค่ะ