ปักกิ่งมหานครแห่งอดีตกาลอันยาวนาน
ระหว่างวันที่ 11-15 กันยายน 2549 คณะนักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี นำโดยท่าน ผศ.ดร.ไชยวัฒน์ บุณฑริก ท่านอาจารย์จันทนา ลิ้มสุวรรณ ท่าน ผศ.มยุรี ภูผิวทอง ได้จัดสัมมนาสัญจรไปที่กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศจีน เพื่อศึกษาดูงานการจัดการศึกษาระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา ตลอดจน ศึกษาวัฒนธรรม วิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุ โบราณสถานของจีน จากอดีตถึงปัจจุบัน
จีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกรองจากแคนนาดา และออสเตรเลีย มีประชากรมากที่สุดในโลก ประมาณ 1,300 ล้านคน เฉพาะในกรุงปักกิ่งมีประชากรประมาณ 14 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชาวฮั่น
เมื่อตอนที่คณะพวกเราไปดูงานครั้งนี้เราไปที่กรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีน อันดับแรกที่เหยียบย่างถึง ก็คือสนามบินของกรุงปักกิ่งผู้คนมากมาย ที่มารอรับญาติ และมัคคุเทศก์ท้องถิ่น 2 คน ก็มารอรับเราไปขึ้นรถบัสท่มารออรับส่งเราตลอดระยะเวลาที่เรามาเยือนปักกิ่ง อันดับแรกที่ได้ลิ้มลองก็คืออาหารมื้เย็นที่ภัตาคารหรูแห่งหนึ่ง มื้อแรกก็อร่อยรสชาดแปลกล้น จืด มัน เลี่ยน ดี หลังจากนั้นชมปักกิ่งในยามราตรี โดยเฉพาะจตุรัสเทียนอันเหมินในยามค่ำคืนนั้นสวยงามมากเรียกว่าที่สุดของกรุงปักกิ่งทีเดียว
ภาพที่ 1 อาหารมือเย็นที่ภัตตราจีน ในภาพอาจารย์ทศพร คนซ้ายสุด ดูเหมือนจะหมดแรง
หลังจากรับประททานอาหารเย็นเสร็จก็เดินทางเข้าที่พัก ที่ โรงแรม Bay Spa Hotel ก็จัดว่าเป็นโรงแรมในระดับ 4 ดาวบ้านเราเหมือนกัน และเป็นย่านที่คณะทัวส์จากเมือไทยไปพักกันเป็นส่วนใหญ่
มัคคุเทศก์แนะนำเราว่าอากาศที่กรุงปักกิ่งเป็นแบบหนาวแห้ง ตอนเย็นควรเอาน้ำใส่แก้วมาวางไว้ภายในห้องเรียนเพื่อให้อาศมีความชื้น ไม่เช่นนั้น อาจจะไม่สบาย แต่พอตื่นเช้าอากาศตอนเช้าๆนี้เย็นสบายดี ดูวิถีชีวิตของคนปักกิ่งที่ปั่นจักรยานไปตลาดบ้าง นั่งรถเมล์ ซึ่งมีหลายระดับให้เลือกใช้บริการ ตั้งแต่ รถไฟฟ้าราคาถูกที่สุด รถธรรมดา และรถปรับอากาศ เช้าๆมีพ่อค้าเร่มาขายของที่ระลึก เช่นหมวก ผ้าพันคอ
ภาพที่ 2 ทัศนียภาพในตอนเช้าของกรุงปักกิ่ง
อาหารเช้าของโรงแรมที่พัก 90 % ก็เป็นอาหารจีน ที่ต่างจากบ้านเราคือ น้ำดื่มจะไม่มีน้ำเปล่าให้เลยทุกมื้จจะมีแต่น้ำชา น้ำหวาน เป็นส่งที่พวกเราไม่ค่อยคุ้นเคยและคิดว่าโรงแรมในจีนควรจะปรับปรุงตรงนี้ เพราะชาวต่างชาติต้องดื่มน้ำเปล่า ยกเว้นคนที่เป็นเชื้อสายจีน ก็น่าจะประทับใจนักท่องเที่ยวทั้งหลายมากขึ้น
หลังจากนั้นวันแรกที่เราไปเยี่ยมชมก็คือ จตุรัสเทียนอันเหมิน พระราชวังต้องห้าม พระราชวังฤดูร้อน ที่จตุรัสเทียนอันเหมินที่น่าทึ่งก็คือสุสานของประธานเหมาเจอตุง มีผู้คนเขาแถวเพื่อขึ้นไปคารวะศพแถวยาวสุดสายตาเลยทีเดียวสอบถามมัคคุเทศก์ท้องถิ่นของเราได้ความว่าแต่ละปีจะมีคนขึ้นไปคารวะศพท่านประธานเหมาประมาณ 30 ล้านคน ดูๆบริเวณแหล่งท่องเที่ยวของจีนในวันที่คณะเราไปเยือน เหมือนๆไปเที่ยวงานกาชาดวันที่เขามีรายการพิเศษและออกรางวัลยังไงยังงั้น ผู้คนมากมายแออัดยัดเยียด อะไรจะปานนั้น นักท่องเที่ยวแต่ละคณะจะเดินเป็นแถวตามมัคคุเทศก์ท้องถิ่นที่เดินนำหน้ามีธงของแต่ละชาติชูไว้บนศรีษะเป็นสัญลักษณ์กันหลง แล้วก็บรรยายสถานที่ท่องเที่ยวตามสคริปที่อบรมมาจากรัฐบาล แต่มัคคุเทสก์ของคณะเราก็อาจจะดีกรีสูงหน่อยเพราะเป็นบัณฑิตจบทางประวัติศาสตร์จีนโดยตรง การใช้ภาษาไทยอยู่ในระดับดีสมกับเป็นศิษย์ จาก ม.นเรศวร ของไทยเรา
ภาพที่ 3 บริเวณจตุรัสเทียนอันเหมิน
ภาพที่ 4 ผู้คนเข้าแถวเพื่อไปคารวะศพท่านประธานเหมาเจอตุง
สิ่งที่น่าทึ่งในสถาปัตยกรรม ปฏิมากรรมของคือพระราชวังต้องห้าม หรือพระราชวังกู้กง ที่มีถึง 9999 ห้อง มีพระมหากษัตริย์ทั้งราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ชิง ที่มาประทับที่พระราชวังแห่งนี้ ประตูเข้าวังนั้นมี 3 ช่อง ตรงกลางให้ฮ่องเต้เสด็จ ด้านขวาเป็นฝ่ายบุน ด้านซ้ายเป็นฝ่ายบู๊ ในเขตพระราชฐานชั้นในมีโอ่งขนาดใหญ่ตั้งเต็มไว้หมด ทราบว่าเอาไว้ดับเพลิงเวลาเกิดไฟไหม้ และเวลาอากาศหนาวก็ต้มน้ำให้ความอบอุ่น ประตูในวังด้านทิศตะวันออกนั้นเอาไว้ปล่อยนักโทษ ถ้านักโทษคนใดถูกปล่อยออกด้านทิศตะวันออก ถือว่าโทษไม่ร้ายแรงปล่อยตัวไป ส่วนนักโทษประหารก็ปล่อยออกด้านตะวัน คือต้องตายสถานเดียว ที่ประทับของฮองเฮา ทางด้านทิศตะวันออก เป็นมเหสีฝ่ายซ้าย สามารถช่วยดูแลราชกิจของฮ่องเต้ ส่วนด้านทิศตะวันตกเป็นมเหสีฝ่ายขวา ดูแลและปกครองฝ่ายในทั้งหมด ที่น่าแปลกในพระราชวังไม่มีต้นไม้เลย มัคคุเทศก์เราบอกว่า ฮ่องเต้ กลัวมีผู้ปีนต้นไม้มาลอบปลงพระชนม์ จึงไม่ให้ปลูก ส่วนท้ายวังก็เป็นสวนไม้แต่ไม่มีไม้ดอกเป็นเขตพระราชฐานส่วนใน ทราบว่าเป็นที่พักผ่อน มีต้นไม้ต้นหนึ่ง เป็นไม้ขนาดใหญ่ มีก่งก้านที่ยื่นมาเกาะเกี่ยวกัน เขาเรียกว่าต้นรัก ที่ประทับใจในพระราชวังกู้กง คือ ได้ เห็นบัลลังก์ฮ่องเต้ของจริง ไม่ใช่ของปลอมที่เขาถ่ายภาพยนตร์ไปให้ดู
ภาพที่ 5 บัลลังก์ฮ่องเต้
ขอแก้ข่าวนะค่ะ ไม่ได้หมดแรงแต่ยังตื่นเต้นอยู่กับความยิ่งใหญ่ของนครปักกิ่ง อยู่คะ
นหนูอยากไปปักกิ่งจัง คงสวยมากโดยเฉพาะพระราชวังหลวงช่วยตอบเมลลืกลับด้วยนะค่ะ