อนุสรณ์สถานท่านเฉกอะหมัด
หลายท่านที่มีโอกาสผ่านไปในบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏ
พระนครศรีอยุธยา คงสังเกตเห็นอนุสรณ์สถานสิ่งศักดิ์สิทธิ์
อันเป็นที่เคารพนับถือของมุสลิมทั่วไปเป็นเวลาช้านาน
หากย้อนไปในสมัยกรุงศรีอยุธยา จะพบว่าการเปิดสัมพันธไมตรี
กับต่างประเทศในสมัยอยุธยาเป็นผลให้เศรษฐกิจการค้า
เจริญรุ่งเรืองมาก
การดำเนินงานเกี่ยวกับการค้าของกรมท่าขวา
หรือพระยาจุฬาราชมนตรีซึ่งเป็นมุสลิมนั้น เป็นที่พอพระราชหฤทัย
ของพระมหากษัตริย์ไทยอย่างยิ่ง
มุสลิมที่เข้ามาอยู่อยุธยามีชื่อเสียงปรากฏเด่นชัดมาก
เป็นแขกเดินทางมาจากเมืองกุมประเทศอิหร่านชื่อเฉกอะหมัด
กับมหะหมัดสุอิด (เป็นพี่น้องกัน) เข้ามาค้าขายเมื่อปีพ.ศ.2145
ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้พาพวกมุสลิมเข้ามาด้วย
เป็นจำนวนมาก และตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณท่ากายี
ท่านเฉกอะหมัดได้ทำการค้าขายและใกล้ชิดกับเจ้านายและ
ขุนนางข้าราชการสมัยนั้นมาก ทั้งยังเป็นพระสหายกับพระเจ้า
ปราสาททองขณะที่ทรงเป็นพระยามหาอำมาตย์ด้วย
จึงได้เข้ารับราชการในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมได้เป็น
พระจุฬาราชมนตรี และต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็น
"เจ้าพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐี" มีตำแหน่งเป็นสมุหนายก
ท่านเฉกอะหมัดได้รับพระราชทานที่ดินให้ตั้งบ้านเรือน
อยู่บริเวณท้ายคู หรือที่เรียกว่าท่ากายี (อยู่ใกล้วัดสวนหลวง)
ลงมาทางริมน้ำ ท่านได้หญิงไทยเป็นภรรยา มีบุตร 3 คน
ท่านถึงแก่อสัญกรรมเมื่ออายุ 88 ปี
เจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) ที่สมุหนายกได้จัดการศพของบิดา
และนำไปฝังที่ป่าช้าแขกท้ายคู ท่ากายี มีหลักฐานหลายอย่าง
บริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ที่เกี่ยวข้องกับ
ชุมชนมุสลิมกลุ่มสำคัญในสมัยประวัติศาสตร์อยุธยา เช่น
มีโคกแขก ทุ่งแขก ป่าช้าแขก กุฏีทอง
แสดงให้เห็นว่า
ชุมชนมุสลิมดังกล่าวได้เคยมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างมีความสุข
ประสบความสำเร็จบนผืนแผ่นดินไทย
จวบจนถึงปัจจุบันนี้พี่น้องมุสลิมในอยุธยา
ซึ่งอาศัยอยู่รวมกัน
ในชุมชนย่านตำบลประตูชัยใกล้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏฯ
ตำบลคลองตะเคียน หรือตำบลลุมพลี ต่างก็มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่
อย่างสมานฉันท์ร่วมกันกับพี่น้องคนไทย โดยไม่มีการแบ่งแยก
เชื้อชาติ ศาสนา
ฉะนั้นจึงเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า คนไทยไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด
ล้วนแล้วแต่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
และมุ่งมั่นที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขบนผืนแผ่นดินไทย.
ไม่มีความเห็น