การขับเคลื่อน 1 หลักสูตร 1 ชุมชน ไม่เพียงสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการจัดการเรียนรู้ หรือการปฏิรูปการศึกษาที่มุ่งสู่แนวคิด “เรียนรู้คู่บริการ” และการใช้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยมี “ชุมชน” หรือ “ท้องถิ่น” เป็นแหล่งเรียนรู้ รวมถึงการบูรณาการพันธกิจของมหาวิทยาลัยใน 4 องค์ประกอบหลัก (Four in One) ไปพร้อมๆกัน คือ ผลิตบัณฑิต วิจัย บริการวิชาการสู่สังคม และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม เท่านั้น หากแต่ยังครอบคลุมถึงการพยายามสื่อสารถึง “จุดยืน” หรือ “พันธกิจ” อันยิ่งใหญ่ที่มหาวิทยาลัย (สถาบันอุดมศึกษา) มีต่อสังคม มิใช่ตระหง่านอยู่บน “หอคอยงาช้าง”
การขับเคลื่อน 1 หลักสูตร 1 ชุมชน เน้นกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง “มหาวิทยาลัยกับชุมชน” นับตั้งแต่การพัฒนาโจทย์เพื่อนำมาสู่การบริการวิชาการ การออกแบบกิจกรรมตั้งแต่ระยะต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ภายใต้กระบวนทัศน์อันสำคัญคือ “ลงมือทำร่วมกัน” พยามยามหลีกเลี่ยงการสร้างความเลื่อมล้ำในทางการเรียนรู้ระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชน
ครับ,คำว่า “มหาวิทยาลัย” ในมิติของผมก็หมายถึง อาจารย์ เจ้าหน้าที่ และนิสิต ส่วน “ชุมชน” ก็หมายถึงชาวบ้าน หรือแม้แต่ภาคีอื่นๆ ที่อาจครอบคลุมถึงภาคีภาคส่วนต่างๆ ทั้งจากภาครัฐและเอกชน-
การขับเคลื่อน 1 หลักสูตร 1 ชุมชนไม่เพียงดำเนินการภายใต้นโยบายของการเรียนรู้คู่บริการที่เน้นกระบวนการบูรณาการภารกิจหลัก 4 ประการ (Four in One) เท่านั้น แต่ยังมุ่งที่จะศึกษา “ระบบและกลไกของการจัดตั้งศูนย์
(หน่วย) วิจัยเพื่อท้องถิ่น” ไปพร้อมๆ กัน โดยเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหาสารคามกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย วิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ด้วยการ จัดทำข้อตกลงร่วมกัน (Memo of
Understanding - MOU) ในลักษณะการร่วมทุนทั้งสองฝ่าย (Co-funding)
ด้วยเหตุนี้ การขับเคลื่อน1 หลักสูตร 1 ชุมชนของมหาวิทยาลัยมหาสารคามจึงไม่ใช่แค่ภารกิจ 4 ประการเท่านั้น หากแต่เป็นกระบวนการหนึ่งของการขับเคลื่อนเพื่อนำไปสู่การจัดตั้งศูนย์/หน่วยวิจัยเพื่อท้องถิ่น ที่เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาอาจารย์ นักวิชาการในมหาวิทยาลัยควบคู่ไปกับการพัฒนาศักยภาพของ “ชุมชน” ให้เติบโตเป็นนักพัฒนา หรือนักวิจัยที่สามารถหยิบจับเอา “ทุนทางสังคม” ของตนเองออกมาสู่การพัฒนาชุมชนหรือท้องถิ่นตนเอง โดยอาศัย “ศาสตร์” หลากมิติ และอาศัยเครือข่ายหลากระบบมาช่วยเสริมศักยภาพของชุมชนในแบบของการ “เรียนรู้ร่วมกัน”
แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าถึงแม้จะยังไม่ก้าวเดินบรรลุถึงการจัดตั้งศูนย์หรือหน่วยวิจัยเพื่อท้องถิ่นโดยตรง แต่มหาวิทยาลัยมหาสารคามกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย วิจัย (สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ก็มีกระบวนการขับเคลื่อนเพื่อเสริมพลังได้อย่างน่าสนใจ มิใช่แค่การให้ทุนสนับสนุนการบริการวิชาการในมิติ 1 หลักสูตร 1 ชุมช
จำนวน 65 หลักสูตรๆ ละ 80,000 บาท เท่านั้น หากแต่หมายถึงการสนับสนุนให้อาจารย์และชุมชนได้รับทุนการวิจัยจำนวน 5 โครงการโครงการละ 200,000 บาท อันเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อน เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งศูนย์/หน่วยวิจัยเพื่อท้องถิ่น
โดยผู้ที่ได้รับทุนก็ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะอาจารย์หรือบุคลากรของมหาวิทยาลัยเท่านั้นแต่ยังเปิดกว้างให้อาจารย์จากสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษาของจังหวัดมหาสารคามได้เสนอโครงการเข้ามาของรับทุนการวิจัยด้วยเช่นกัน
วิธีคิดเช่นนี้ จึงสื่อให้เห็นถึงเค้าลางอันเป็นบทบาทและสถานะของศูนย์หรือหน่วยวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่กำลังจัดตั้งขึ้นด้วยเหมือนกันทั้งในระบบการให้ทุน ติดอาวุธทางปัญญาหนุนเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาชุมชนผ่านการวิจัยแบบมีส่วนร่วม
ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหาสารคามและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ไม่เพียงให้ทุนสนับสนุนต่อการทำวิจัยเท่านั้น แต่ได้สร้างกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายให้กับคณะผู้วิจัย (อาจารย์-ชาวบ้าน) รวมถึงคณะทำงาน 1 หลักสูตร 1 ชุมชน ตั้งแต่การพัฒนาโจทย์ การออกแบบกระบวนการเรียนรู้/วิจัยแบบมีส่วนร่วม การถอดบทเรียน การจัดกระทำกับข้อมูล-ความรู้สู่ “นวัตกรรม” ในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถเอื้อประโยชน์ต่อผู้คนหลากวัย หลากสถานะ ไม่ใช่นวัตกรรมหรืองานสร้างสรรค์ที่อ่านได้เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้การสกัดข้อมูลหรือชุดความรู้สู่การเผยแพร่นั้น จึงคิดคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายหลากหลายมิติ เช่น นักวิชาการ ผู้เรียน เด็กเยาวชน ชาวบ้าน ฯลฯ เป็นที่ตั้ง เสมือนการย้ำถึงแนวคิดของการ “...สื่อสารสร้างสุข..สื่อสารเพื่อให้เกิดพลังสื่อสารให้ตรงตามคุณลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย....”
ครับ,ในกระบวนการหนุนเสริมเหล่านี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยฯ ขันอาสาเป็น “พี่เลี้ยงใหญ่” ด้วยการระดมนักวิชาการที่เคยทำวิจัย/โครงการวิจัยแบบ CBR (เชิงลึก) มาคอยให้คำแนะนำ กระตุ้นให้ผู้ขับเคลื่อนงานวิจัยและงานบริการ 1 หลักสูตร 1 ชุมชนไปอย่างใกล้ชิด ภายใต้หลักคิดคือการเรียนรู้ร่วมกันจัดการความรักคู่กับการจัดการความรู้...
ซึ่งกระบวนการเช่นนี้ปรากฏหลายรูปลักษณ์ เช่น กลั่นกรองโครงการ บรรยายให้ความรู้และร่วมฝึกปฏิบัติการภาคสนาม ลงพื้นที่เยี่ยมยามถามข่าว จัดเวทีถอดบทเรียนเป็นระยะๆ ประเมินผลการขับเคลื่อนของแต่ละโครงการฯ
ครับ, เมื่อเดินทางมาถึงจุดนี้ ถึงแม้จะยังไม่ก้าวย่างไปสู่การจัดตั้ง“ศูนย์/หน่วยวิจัยเพื่อท้องถิ่น” กระบวนการทำงานร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยมหาสารคามกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ฝ่ายวิจัยเพื่อท้องถิ่น ก็ยังขับเคลื่อนอย่างค่อยเป็นค่อยไป ...(ทำไปเรียนรู้ไป)
เฉกเช่นกับการขับเคลื่อนในระยะนี้ก็อยู่ระหว่างการออกแบบเวทีของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ออกแบบการโสเหล่
ออกแบบการประเมินผลเพื่อเชิดชูกระบวนการเรียนรู้ คัดเลือกชุมชนต้นแบบและชุมชนต้นแบบ เพื่อเป็น “โมเดล” ของการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม รวมถึงพัฒนาต่อยอดสู่การ “วิจัย” และ “การบริการวิชาการ” อีกรอบ เพื่อก่อให้เกิดความ “ต่อเนื่อง” หรือแม้แต่การกลับไปปรับแต่งเรื่องบางเรื่องที่ยังตกค้างอยู่ในวิถีของการทำงานในรอบที่ผ่านมา
ครับ, ผมเชื่อว่ากระบวนการเล็กๆ เช่นนี้แหละ คือแนวโน้มสำคัญที่หมายถึงความเข้มแข็งของชุมชนอันหมายถึง “มหาวิทยาลัย” และ “ชุมชน” รวมถึงความเข้มแข็งของกระบวนการจัดการเรียนรู้...
ทั้งแนวคิด..กระบวนการ และการขับเคลื่อนร่วมกันเช่นนี้ สะท้อนแบบอย่างดีๆของมหาวิทยาลัยเพื่อชุมชนเป็นสุข..ขอให้กำลังใจค่ะ
หากประเทศไทย มีคนที่ีมีความคิดริเริ่มและมีศักยภาพแบบนี้เยอะก็คงขับเคลื่อนไปได้เยอะนะคะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
สวัสดีครับ พี่ใหญ่นงนาท สนธิสุวรรณ
การบริการวิชาการแก่สังคมในมิติ 1 หลักสูตร 1 ชุมชน เน้นให้แต่ละหลักสูตรนำจุดแข็ง/ศักยภาพของตนเองไปสู่การพัฒนาชุมชนแบบมีส่วนร่วม โดยเริ่มตั้งแต่การหาโจทย์ของการทำงานร่วมกัน ส่วนนิ
สิตก็จะมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการชุมชน เป็นการเรียนการสอนที่ไม่จมอยู่แต่ในห้องเรียน นิสิตมีอิสระในการออกแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง ขณะที่ผู้สอนทำหน้าที่เป็น "โค้ช" ...
1 หลักสูตร 1 ชุมชน จึงเป็นกระบวนการเรียนรู้และบ่มเพาะอันสำคัญตามเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่ว่า
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ พี่Bright Lily
การได้คิดแล้วมีโอกาสได้ลงมือทำ ผมถือว่าเป็นเรื่องวิเศษสุดของชีวิต เพราะปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ ดังนั้นการเรียนรู้ในบริบทของกิจกรรม 1 หลักสูตร 1 ชุมชน จึงเป็นทางอันยิ่งใหญ่ เพราะนิสิต หรือผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ เป็นการเรียนรู้และปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมทั้งนิสิต อาจารย์ ชาวบ้าน หรือแม้แต่เครือข่ายอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ ผมเชื่อว่านิสิตจะเกิดกระบวนทักษะของการการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี
ขอบพระคุณครับ
เชื่อว่าชุมชนยังอยากให้มหาวิทยลัยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเช่นเดียวกัน...เห็นๆได้จากที่นิสิตลงชุมชนแล้ว..เห็นความสุขออกมาจากร้อยยิ้ม
สวัสดีครับ คุณ แดนไท
หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน เสมือนสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยกับชุมชน ด้วยการที่มหาวิทยาลัยเดินออกสู่สังคมอย่างเป็นระบบ ไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง...แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ลดความเหลื่อมล้ำในทางความรู้...
คิดว่า มมส. เดินทางถูกทาง แล้วครับ
สุดยอด อ.แผ่นดินเป๊ะมาก อย่างนี้ซิ blogger ในใจชลัญ
-สวัสดีครับ..
-หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน...เป็นแนวคิดที่ดีครับ..
-ร่วมสนับสนุนครับ..
-ค่อยเป็นค่อยไป...ร่วมเรียนรู้..ไปด้วยกัน..ครับ...
-ขอบคุณครับ..
เห็นด้วยค่ะ cheer!!
สวัสดีค่ะ พี่พนัส
ด้วยความระลึกถึงค่ะ