ดร.กฤษฎา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษฎา สังขมณี

การเงินและการธนาคาร เทอม 2/ 2555 หมู่ 02


Good morning my lovely students Today , Monday November , the twelve , 2012. New semester and&nb...
มีต่อ

นักศึกษาแสดงความเห็นได้เลย นัดหมายกันไปโดยใช้ Blog นี้ก็ได้นะครับ

                            ผ.ศ.ดร.กฤษฎา

พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ในตำหนักใหญ่ วังบางขุนพรหม และตำหนักใหญ่วังเทวะเวสม์ ซึ่งมีความงดงามทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างยิ่ง การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินเป็นอย่างยิ่ง โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ดึงดูดความสนใจ มัทั้งการนำระบบแสง-เสียง เทคนิคฉากละคร (Diorama) ระบบมัลติมีเดีย ระบบคอมพิวเตอร์กราฟิก ฯลฯ ภายใน พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย มีห้องจัดแสดงต่างๆดังนี้ 1.ห้องจัดแสดงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เงินตราในภูมิภาคสุวรรณภูมิและวิวัฒนการเงินตราไทยจนเป็นกษาปณ์ในปัจจุบัน 2. ห้องธนบัตรไทย จัดแสดงวิวัฒนาการ การใช้เงินกระดาษในระบบเงินตราไทย ตั้งแต่ “หมาย” “ใบพระราชทานเงินตรา” “อัฐกระดาษ” “บัตรธนาคาร” “ตั๋วเงินกระดาษ” หรือ “เงินกระดาษหลวง” มาจนถึงธนบัตรที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ 3. ห้องธนบัตรต่างประเทศ มีจอภาพขนาดใหญ่ให้ความรู้เรื่องธนบัตรต่างประเทศจากทั่วโลก พร้อมจัดแสดงธนบัตรในบอร์ดกระจกที่เราสามารถพลิกชมเองได้ทั้งสองด้าน โดยจัดแสดงธนบัตรในกลุ่มประเทศที่สำคัญซึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสมาชิก อาทิ กลุ่มผู้นำประเทศอุตสาหกรรม (G8)และกลุ่มธนาคารแห่งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEACEN) 4. ห้องประวัติและการดำเนินงาน ธปท. สิ่งที่เราได้เรียนรู้เริ่มจาก ตราพระสยามเทวาธิราช ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง สิ่งจัดแสดงที่โดดเด่นได้แก่ พระปรมาภิไธยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ครั้งเสด็จมาที่วังบางขุนพรหมในปี ๒๔๘๙ เหรียญที่ระลึกในพิธีเปิดธนาคารแห่งประเทศไทยในปี ๒๔๘๕ พระเกรียงที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงใช้ในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารสำนักงานใหญ่หลังปัจจุบัน ในส่วนของเนื้อหา เราได้ทราบประวัติและการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๔๘๕ ถึงปัจจุบัน วิสัยทัศน์ พันธกิจ โครงสร้างองค์กร บทบาทหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง โดยผ่านสื่อที่น่าตื่นตาตื่นใจ เช่น Computer Kiosk 2D Animation และเกมสนุก ๆ มากมาย 5. ห้องเชิดชูเกียรติ แสดงประวัติและวัตถุที่ระลึกจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยทุกท่าน 6. ห้องสีชมพู ในอดีตเคยเป็นห้องท้องพระโรงสำหรับอาคันตุกะสำคัญของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ตลอดจนใช้ในการทำบุญเลี้ยงพระและการพิธีต่าง ๆ รวมทั้งฉายภาพยนตร์ในคืนวันเสาร์ การตกแต่งห้องสีชมพูนี้งดงามกว่าห้องอื่นด้วยมีลวดลายปูนปั้นเดินลายทองทั้งที่ผนัง กรอบของช่องเปิดและฝ้าเพดาน 7. ห้องนี้อยู่ติดกับห้องสีชมพู สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงตั้งพระทัยให้ห้องนี้เป็นห้องรับรองอาคันตุกะของหม่อมเจ้าประสงค์สม ชายา ปัจจุบันห้องนี้ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ซึ่งพระราชทานแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ 8. ห้องนี้จัดแสดงพระประวัติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตไว้อย่างสมบูรณ์ด้วยวีดิทัศน์เรื่อง “เจ้าฟ้านักบริหาร แบบอย่างของผู้ทรงนำคุณประโชยน์เพื่อแผ่นดิน” นอกจากนี้ ยังนำเสนอเพลงพระนิพนธ์ผ่านทางหุ่นจำลองวงปี่พาทย์ไม้แข็งครบวง สำหรับวัตถุประกอบการจัดแสดงนั้น ที่น่าสนใจจะเป็นของใช้ที่ มีตราประจำพระองค์ เช่น จาน เครื่องแก้ว ของที่ระลึกที่ประทาน “แหนบบริพัตร” นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบินบริพัตรจำลอง โน้ตเพลงลายพระหัตถ์ รวมทั้งหุ่นจำลองขนาดเท่าพระองค์จริงในฉลองพระองค์จอมพลทหารเรือที่โดดเด่น จุดสุดท้ายที่ดึงดูดใจผู้ชมอย่างมากคือ หุ่นจำลองตำหนักประเสบัน ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย และฉลองพระองค์ชุดสุดท้ายของพระองค์ที่มหาดเล็กคู่พระทัยถอดเก็บไว้บูชาหลังจากสิ้นพระชนม์ และทายาทได้นำมามอบให้พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อการจัดแสดงและระลึกถึงพระองค์ 9. ห้องวิวัฒนไชยานุสรณ์ อยู่ใกล้ห้องสีน้ำเงิน ครั้งสมัยที่ยังเป็นวังบางขุนพรหม ห้องนี้เคยใช้เป็นห้องบรรทมของหม่อมเจ้าประสงค์สม ชายาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เมื่อธนาคารใช้ตำหนัก วังบางขุนพรหมเป็นสถานที่ทำการนั้น ห้องนี้ใช้เป็นห้องทำงานของผู้ว่าการ ตั้งแต่พระองค์แรก “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย” ซึ่งเป็นพระอนุชาของหม่อมเจ้าประสงค์สม จนกระทั่งถึงสมัยผู้ว่าการคนที่ ๑๐ “นายนุกูล ประจวบเหมาะ” สิ่งที่น่าสนใจคือตู้ติดผนังที่มีช่องเก็บเอกสารที่พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ทรงร่างแบบเองดังปรากฏหลักฐานเป็นต้นฉบับลายพระหัตถ์ในเอกสารจดหมายเหตุของธนาคารแห่งประเทศไทย 10. ห้องประชุมเล็ก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต โปรดดนตรีทั้งไทยและสากล โดยทรง นิพนธ์เพลง ไว้ถึง39 เพลง แต่เดิมห้องนี้จึงเคยเป็นห้องเก็บเครื่องดนตรีของวังบางขุนพรหม เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยใช้ตำหนักวังบางขุนพรหมเป็นสถานที่ทำการ จึงใช้ห้องนี้เป็นที่ประชุมผู้บริหารสำหรับพิจารณากำหนดนโยบายการเงินที่สำคัญของประเทศมาโดยตลอด ห้องนี้มีรูปหล่อครึ่งตัวของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนที่ 7 ซึ่งอยู่ในตำแหน่งยาวนานกว่า 12 ปี บางครั้งห้องนี้จึงถูกเรียกว่า “ห้องดร.ป๋วย” ส่วนที่ข้าพเจ้าประทับใจ คือการแกะสลักแบบพิมพ์นั้นทางธนาคารไม่ได้นำของจริงมาจัดแสดงแต่ ได้นำแบบพิมพ์มาจัดแสดงให้ดูแทนเนื่องจากเป็นความลับ การแกะสลักแบบพิมพ์นั้นจะต้องใช้ความปราณีตและสมาธิในการแกะเป็นอย่างมาก ซึ่งการเข้าชมในครั้งนี้ข้าพเจ้าได้รับประสบการณ์และความรู้เป็นอย่างมากทำให้ข้าพเจ้ารู้คุณค่าของเงิน และการใช้เงินอย่างเป็นประโยชน์

สิ่งที่ได้รับจากการไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทย คือ การที่ได้เข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย และได้รับความรู้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในพิพิธภัณฑ์มี 2 ชั้น คือ ชั้นล่าง มีห้องเปิดโลกเงินตราไทย ห้องธนบัตรไทย ห้องธนบัตรต่างประเทศ ห้องเปิดโลกการเรียนรู้ ส่วนชั้นบน ห้องประวัติและการดำเนินงาน ธปท. ห้องเชิดชูเกียรติ ห้องบริพัตร ห้องวิวัฒนไชยานุสรณ์ ห้องของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ห้องประชุม สิ่งที่ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น คือ

การผลิตเหรียญกษาปณ์ ( The Minting Of Coinage ) 1. หลอมและหล่อโลหะ
2. รีดแผ่นโลหะ 3. ตัดเหรียญตัวเปล่า 4. ยกของเหรียญ 5. อบอ่อน 6. ล้างทำความสะอาดและอบให้แห้ง 7. รับเหรียญตัวเล่า 8. ปั้นแบบดินน้ำมัน 9. หล่อปูนพลาสเตอร์ 10. หล่ออีพ็อกซ์ 11. ย่อสลาย 12. ถอดแม่ตรา 13. แม่ตรา 14. ถอดดวงตรา 15. ดวงตรา 16. การตีตราเหรียญสำเร็จ 17. รับเหรียญสำเร็จ

อีแปะ( Ee-Pae ) เป็นเงินตราท้องถิ่นภาคใต้ในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งทำมาจากเหรียญตะกั่วผสมกับดีบุก ลักษณะเป็นเหรียญกลม มีรูเป็นรูปสีเหลี่ยมตรงกลาง ที่เหรียญมีการสลักเป็นอักษรจีน หรือ อักษรไทย บอกชื่อเมือง หรือ บริษัทที่ทำเหมืองแร่ ชื่อกิจการไว้บนเหรียญ ปี้ (Pee ) เป็นวัตถุใช้แทนเงินตราในการเล่นพนันในโรงบ่อน ทำด้วยโลหะ กระเบื้อง แก้วสีต่างๆ เมื่อเลิกเล่นแล้วแลกคืนเป็นเงินได้

มาตราเงินไทย( Monetary Units ) 50 เบี้ย = 1 โสฬส 2 โสฬส = 1 อัฐ 2 อัฐ = 1 เลี้ยว ( ไพ ) 2 เลี้ยว = 1 ซีก 2 ซีก = 1 เฟื้อง 2 เฟื้อง = 1 สลึง 4 สลึง = 1 บาท 4 บาท = 1 ตำลึง 20 ตำลึง = 1 ชั่ง

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คือ พระวรวงค์เธอพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย

กระบวนการผลิตธนบัตร ( The Bonknote Production Process) 1. การออกแบบธนบัตร Design 2. การทำแม่แบบแม่พิมพ์ Plate Making 3. การพิมพ์ Printing 4. การตรวจสอบคุณภาพและการตรวจนับจำนวน Quality Inspection and Vorification 5. การผลิตธนบัตรขั้นสำเร็จรูป Finishing เป็นต้น

สิ่งที่ประทับใจ คือ ลักษณะสถาปัตยกรรมในยุโรป มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ด้วยการตกแต่งผนังปูนปั้นอันวิจิตร นับเป็นอาคารที่มีลวดลายประดับอย่างสวยงาม มีบรรยากาศที่ร่มรื่น พระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรีพระอัครราชเทวี เพราะว่า ทำให้เห็นถึงความรัก ความภาคภูมิใจ ที่มีมีต่อลูก บทความ มีดังนี้

“…ลูกเราคนนี้ ไม่เสียคนเลยเป็นอันขาด หลักแหลม มั่งคงมาก ควรจะดีใจได้เป็นแท้…”

และพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีคำสั่งสอนให้คนไทยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ให้พออยู่พอกิน ถ้าเราทำแบบนี้ๆได้เราก็จีความสุข บทความ มีดังนี้

“ คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ไม่สิ่งที่ใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย อยู่แบบพออยู่พอกิน มีความสงบและทำงาน ตั้งจิตอธิฐาน ตั้งปณิธานในทางนี้ ที่จะให้เมืองไทย อยู่แบบพอมีพอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่มีความพออยู่พอกิน มีความสงบเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้เราก็จะยอกยิ่งยวดนี้ได้ ”

หนุ่มแรก สาวแรก ยอดเยี่ยมมาก งานถัดๆไป ต้องดีกว่านี้อีกนะ คนอื่นๆ ว่าไงครับ

จากการที่ได้ไปศึกษาประวัติศาสตร์ในพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย คือ การที่ได้เข้าไปเยี่ยมชมธนบัตรไทยแบบที่ใช้ในปัจจุบันตลอดจนธนบัตรในอตีต เหรียญกษาปณ์ และของที่เอาไว้แลกเปลี่ยนกับสินค้าในยุคสมัยต่างๆ ของลํ้าค่าในยุคโบราณ ในพิพิธภัณฑ์มี 2 ชั้น คือ ชั้นล่าง มีห้องเปิดโลกเงินตราไทย ห้องธนบัตรไทย ห้องธนบัตรต่างประเทศ ห้องเปิดโลกการเรียนรู้ ส่วนชั้นบน ห้องประวัติและการดำเนินงาน ธปท. ห้องเชิดชูเกียรติ ห้องบริพัตร ห้องวิวัฒนไชยานุสรณ์ ห้องของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ห้องประชุม และสิ่งที่ข้าพเจ้าสนในและประทับใจเป็นพิเศษ คือ ปี้ ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5เป็นวัตถุแทนเงินตราสำหรับเล่นพนัน มีทั้งทำด้วยโลหะและแก้วสีต่างๆ ตะเกียงโรมันจำลอง ศิลปะแบบโรมัน พบที่ตำบลพงตึก อำเภอทำมะกา จ.กาญจนบุรี พ.ศ.2470 ฝาด้านบนเปิดปิดได้ เป็นเศียรเทพเจ้าซิเลบัส แสดงให้เห็นว่า จังหวัดกาญจนบุรี เป็นชุมชนแวะพักของกองคาราวานที่เดินทางบนเส้นทางการค้าโบราณ ซึ่งเชื่อมโยงการติดต่อระหว่างสุวรรณภูมิ กับ อินเดีย เปอร์เซีย กรีก โรมัน เงินดอกจันทร์ เป็นเงินอาณาจักรศรีวิชัย ลักษณะกลมแบน ด้านหนึ่่งมีตราสี่แฉกตอกประทับไว้ อีกด้านหนึ่งจารึกเป็นภาษาสันสกฤตไว้ว่า วร แปลว่า ประเสริฐ นอกจากทำด้วยเงินแล้ว ยังมีชนิดที่ทำด้วยทองอีกด้วย พบในจังหวัดสุราษฏร์ธานี และสงขลา เงินพดด้วง มีสัณฐานกลม แต่ละยุคจะแตกต่างกัน ด้านบนประทับตราประจำแผ่นดินหรือประจำเมือง ด้านหน้าประทับด้วยตราประจำรัชกาล โคนขาสองข้างในยุคต้นเป็นรอยบาก ประทับตราสังข์ ด้านหลังไม่มีตราประทับ ด้านข้างทั้งซ้ายและขวาเป็นรอยค้อนตี ด้านล่างปลายขาประทับตราสังข์หรือตราเมล็ดข้าวสาร ลายพุ่มทรงข้าวบิณฑ์ เป็นภาพของลายนํ้าที่มีความโปร่งแสงเป็นพิเศษปรากฎบนธนบัตรชนิดราคา 1000 บาท เพื่อเพิ่มลักษณะพิเศษต่อต้านการปลอมแปลง สัญญาลักษณ์แห่งพระมหากษัตริย์ไทยปรากฎในเงินตราไทยอย่างชัดเจนในเงินพดด้วงสมัยอยุธยา เรียกว่าตราประจำรัชกาล คู่กับตราจักรเป็นตราแผ่นดิน จนมาถึงรัชกาลที่4 มีการผลิตเหรียญกษาปณ์แทนเงินพดด้วง สัญญาลักษณ์ด้านหนึ่งเป็นตราช้างในวงจักร อีกด้านเป็นตราพระมหาพิชัยมงกุฏ

       ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชื่อไม่เป็นทางการ แบงค์ชาติ (อังกฤษ: The Bank of Thailand: BOT) เป็นธนาคารกลางของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 เปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 มีหน้าที่หลักในการดูแลกำกับเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน นำออกหมุนเวียนซึ่งธนบัตรไทยรวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเงินตราระหว่างประเทศ และเฝ้าระวังอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น

ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้นหลังจากประเทศไทยได้มีธนาคารพาณิชย์ทั้งของรัฐและเอกชนเริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านั้นแล้ว ภารกิจและหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยเดิมซ้อนเหลื่อมอยู่กับกระทรวงการคลังและได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับหลังจากที่ระบบการเงินของโลกพัฒนาไปและมีวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญต่างๆ

      มีหน้าที่หลักคือ สร้างเสถียรภาพทางการเงิน  โดย มีนาย ประสาร  ไตตรัตน์กุล เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเ?ศไท ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ถึงปัจจุบัน    และตราของธนาคารคือ พระสยามเทวาธิราช     

      การผลิตเหรียญกษาปณ์ตั้งแต่การ หลอมโลหะ รีดแผ่นโลย์ ยกขอบเหรียญ อบอ่อน ล้างอบแห้ง ปั้นแบบ หล่อปูนปาสเตอร์ หล่ออีพ๊อกซี่ ย่อลาย ถอนแม่ตรา จนถึงรับเหรียญ และรู้ว่า เหรียญกาาปณ์มีทั้งเหรียญกษาปญ์หมุนเวียนทีืทนำมาผลิตใช้หมุนเวียนในระบบและเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกผลิตขึ้นเป็นพิเศษในโอกาสสำคัญและเหรีญญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนในปัจจุบัน มีมาตั้งแต่ พ.ศ2521ตั้งแต่ชนิดราคา 1สตางค์ถึง 10 บาท จนถึงเหรียญทองเหลืองพระบรมรูปตรารวงข้าว พ.ศ. 2523 ชนิดราคา 50 สตางค์
      และสกุลเงินตราคู่ค้าของไทยในประวัติศาสตร์ จีน เงินไซซี พม่า เงินพยู อินเดีย เงินรูปี เวียดนาม เงินฮาง และประวัติของธนบัตรจากชาตต่างๆ  เช่นแบงค์ ห้าบาท ของนิวซีแลนด์ หน้าแบงค์เป็น เซอร์เอ็กมันดื ฮิลลารี นกปีนเขาผู้พิชิตยอดเขาเอเวอเรส เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2496  เป็นต้น  และการ พิพ์ ธนบัตร คือ พิมพ์สีแห้งสีพื้น พิมพ์เส้นนูน พิมพ์เลขหมาย และรายเซ็น จาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งประเทศไทย  และตัด เก็บอย่างปลอดภัย และนำมาหมุนเวียนกับประชาชนต่อไป   


       ความประทับใจคือ สถานที่ของพิพิธภัณฑ์สวย และ สิ่งต่างๆที่จัดโชว์อยู่ภายใน ได้ ความรู้และเห็นในสิ่งที่เป็นเรื่องใกล้ตัวแต่ไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้รับจากที่นี้ ที่ประทับใจที่สุดคือห้องธนบัตรทีมีแท่นพิมหน้า ธนบัตรอยู่สี่ชนิด และมีกระดาษกับดินสอให้ระบายพิมภาพจากแท่นพิมพ์ได้     เช่นหน้ารูปเรือสำเภา ธนบัตรแบบ 15 ชนิด ราคา 500บาท นำรูปแบบมาจาก๓าพจิตรกรรมโบสถ์วัดเครือวัลย์ เพราะในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการค้าสำเภา   ซึ่งการไปครั้งนี้ได้ทั้งความรู้ความประทับใจดังข้างต้น  

ความรู้ที่ได้รับจากการไปพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ คือ ได้รู้เกี่ยวกับเหรียญในแต่ละสมัยว่ามีขนาดเท่าไหร่ ผลิตเมื่อใด ลักษณะอย่างไร มีความเป็นมาในแต่ละสมัยอย่างไร ตัวอย่างเช่น เงินพดด้วง ในสมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.๒๓๒๕ – ๑๔๔๗) ในสมัยรัตนโกสินทร์นั้น บ้านเมืองมีความเจริญ มีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ ระบบเงินตรายังคงเป็นไปในลักษณะเดียวกับอยุธยาและกรุงธนบุรี คือ มีเงินพดด้วงเป็นมูลค่าสูงและหอยเบี้ยเป็นเงินปลีก เงินพดด้วงจะมีลักษณะกลม ขาอ้วนสั้นชิดกันและมีตราประทับ ๒ ดวงเป็นสำคัญ คือ ตราพระแสงจักร เป็นตราประจำแผ่นดินและตราประจำรัชกาลต่างๆความรู้อีกอย่างที่ได้รับคือ ได้รู้ว่าวันสิ้นสุดยุคของเงินพดด้วงคือวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๑

      ได้รู้ว่าการผลิตเงินพดด้วงในสมัยรัตนโกสินทร์ตามบันทึกของนาย Reginald  Le  May เมื่อครั้งได้เข้าไปชมการแสดงวิธีการทำเงินพดด้วงที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ว่าคนทำมีชุดละ4คน
     เงินพดด้วงในสมัยสุโขทัย (พ.ศ. ๑๗๘๑ -๑๙๘๑ ) ในสมัยนั้นอาชีพหลักของคนสมัยสุโขทัยก็คือ  เกษตรกรรม  หัตถกรรมและการค้าขาย ซึ่งการค้าขายเป็นไปโดยเสรี มีการใช้เงินควบคู่กับการแลกเปลี่ยนสินค้าปรากฏในใบศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงว่า ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส ในสมัยสุโขทัยนั้นยังมีการติดต่อค้าขายกับบ้านเมืองใกล้เคียง เช่น อาณาจักรล้านนา อาณาจักรล้านช้าง เป็นต้น  เงินพดด้วงในสมัยสุโขทัยนั้นทำด้วยโลหะเงิน สัณฐานกลม ปลายขาเงินยาวและแหลมชิดกัน มีรูขนาดใหญ่ระหว่างขามีตราประทับแตกต่าง เช่น ธรรมจักร ช้าง วัว กระต่าย ราชสิงห์ ดอกไม้ เป็นต้น
   เงินพดด้วงในสมัยอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓ – ๒๓๑๐ ) ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีแม่น้ำล้อมรอบและมีแม่น้ำ 3 สายไหลมาบรรจบ ทำให้เกิดที่ราบอันอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำเกษตรกรรม ขณะเดียวกันก็มีการติดต่อคมนาคมกับต่างประเทศได้เพราะ ไม่ไกลจากทะเล
 เงินดอกจัน ในสมัยลพบุรี เป็น เงินตราซึ่งเชื่อว่ากันว่าเป็น กษาปณ์ของอาญาจักรศรีวิชัย มีลักษณะกลมแบน ด้านหนึ่งมีตราสี่แฉกตอกประทับไว้ อีกด้านหนึ่งมีจารึกเป็นภาษาสันสกฤตว่า  วร  แปลว่า ประเสริฐ เงินดอกจันนอกจากจะทำด้วยเหล็กแล้ว  เงินดอกจันทร์นี้ยังมีชนิดที่ทำด้วยหลอดทองคำอีกด้วย พบมากใน จังหวัด สุราษฏร์ธานี สงขลา รวมทั้งพบที่เกาะสุมาตราอีกด้วย
 ประโยชน์และความประทับใจที่ได้รับในการไปธนาคารแห่งประเทศไทยครั้งนี้ คือได้ทราบประวัติความเป็นมาของเงินในแต่ละสมัย  สามารถแยกแยะธนบัตรจริงและปลอมด้วยตนเองได้  ซึ่งมีประโยชน์ในชีวิตประจำวันเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งยังได้ลองทำภาพลายน้ำในธนบัตรกับเพื่อนๆ เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆเลย

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย The Bank of Thailand

ประวัติธนาคารแห่งประเทศไทย

พระสยามเทวาธิราช .....ตราธนาคารแห่งประเทศไทย

ตราธนาคารแห่งประเทศไทย คือ พระสยามเทวาธิราชในเหรียญเสี้ยว อัฐ โสฬส ที่ออกใช้ในรัชการที่ 5 มาดัดแปลง และเพิ่มถุงเงินในพระหัตถ์เบื้องขวา ซึ่งเป็นเครื่องหมายถึงผู้คุมถุงเงินของชาติ อันเป็นหน้าที่หลักของธนาคารแห่งประเทศไทย พระแสงธารพระกรในพระหัตถ์ซ้าย เพื่อคอยปัดป้องผู้ที่มารุกราน แต่ได้เปลี่ยนตอนปลายจากรูปดอกไม้มาเป็นลายดอกบัว

จากสำนักงานธนาคารชาติ...ธนาคารแห่งประเทศไทย

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีการเจริญสัมพันธไมตรีและติดต่อค้าขายกับต่างชาติมากขึ้น ในปี ๒๓๙๘ โปรดให้ทำสนธิสัญญาทางการทูตและการค้ากับประเทศอังกฤษ เรียกว่า สนธิสัญญาเบาริง ซึ่งต่อมาประเทศไทยได้ลงนามในสนธิสัญญาแบบเดียวกันนี้กับอีกหลายประเทศ อันเป็นการเปิดประเทศอย่างกว้างขวางมากขึ้น

เมื่อชาวตะวันตกติดต่อค้าขายกับไทยมากขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ ได้มีความพยายามที่จะขอจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นในประเทศไทยหลายครั้ง เพื่อสิทธิในการออกธนบัตรซึ่งให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่งดงาม แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเพราะฝ่ายไทยเห็นว่าชาวต่างประเทศเหล่านั้นคิดแต่จะเอาผลประโยชน์ฝ่ายเดียว ทำให้ประเทศไทยเห็นความสำคัญของการมีธนาคารกลางของไทย เพื่อเป็นสื่อกลางในทางการค้าและทางเศรษฐกิจ แต่โครงการก่อตั้งธนาคารกลางก็ได้หยุดชะงักไปเพราะเวลานั้นยังขาดประสบการณ์และบุคคลากรที่มีความรู้  

ความสนใจที่จะจัดตั้งธนาคารกลางได้มีขึ้นอีกครั้งภายหลังที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ สืบเนื่องจากการเสนอร่างเค้าโครงเศรษฐกิจของคณะราษฎรที่นายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) เป็นผู้ร่าง ได้กล่าวถึงความจำเป็นในการจัดตั้งธนาคารชาติ เพื่อเป็นกลไกหนึ่งในการดำเนินการเศรษฐกิจของประเทศ ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ ไม่ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจำนวนหนึ่ง พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจึงประกาศปิดสภา
ผู้แทนราษฎร

ภายหลังเมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาได้เข้ายึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงมีการสนับสนุนให้มีธนาคารชาติขึ้นอีก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้นำเรื่องเข้าหารือกับ นายเจมส์ แบกซ์เตอร์ ที่ปรึกษาการคลังในขณะนั้น ซึ่งให้ความเห็นว่า ยังไม่สมควรแก่เวลาที่จะจัดตั้งธนาคารกลางขึ้น เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีผู้รู้ผู้ชำนาญทางด้านการธนาคาร ไม่มีทุน และยังไม่มีระบบธนาคารพาณิชย์ของคนไทยด้วย

รัฐบาลได้ผลักดันเรื่องการตั้งธนาคารกลางอีกครั้งหนึ่งในปี ๒๔๗๘ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงการคลังพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งธนาคารชาติ พ.ศ. ๒๔๗๘ ซึ่งหลวงวรนิติปรีชาเป็นผู้ร่างขึ้น  เสนอให้ควบรวมบริษัทแบ๊งค์สยามกัมาจล ทุนจำกัด ให้เป็นธนาคารชาติ พระราชบัญญัติดังกล่าวมีเพียง ๘ มาตรา ซึ่งอธิบดีกรมบัญชีกลางในเวลานั้นพิจารณาแล้วเห็นว่าพระราชบัญญัตินี้ยังขาดความรอบคอบและรายละเอียดยังไม่ชัดเจน

ต่อมาเมื่อ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ พลตรีหลวงพิบูลสงครามได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี และได้แต่งตั้งนายปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อได้รับตำแหน่งแล้ว นายปรีดี พนมยงค์ ได้รื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งธนาคารชาติขึ้น ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย อธิบดีกรมศุลกากรย้ายมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของกระทรวงการคลัง ซึ่งแต่เดิมจะใช้ที่ปรึกษาชาวต่างชาติทั้งสิ้น ในครั้งนี้ นายปรีดี พนมยงค์ ได้พยายามทำความเข้าใจกับที่ปรึกษาฝ่ายต่างประเทศของกระทรวงการคลัง ให้เข้าใจถึงความจำเป็นและเจตนารมณ์ของทางการ ซึ่งในที่สุดก็ได้รับความร่วมมืออย่างดีในการช่วยร่างกฎหมายจัดตั้งธนาคารชาติไทยขึ้น นับเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การตั้งธนาคารกลางของประเทศไทยในที่สุด

ในการดำเนินการจัดตั้งธนาคารชาติไทยนั้น นายปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ที่ปรึกษากระทรวงการคลังฝ่ายไทยรับผิดชอบในการร่างกฎหมายจัดตั้งธนาคารชาติต่อจากที่ปรึกษาต่างประเทศที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว ในที่สุดก็ได้มีการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเตรียมการจัดตั้งธนาคารชาติไทยต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติแล้ว ให้เปลี่ยนชื่อพระราชบัญญัติเป็น ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทย เมื่อผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้วได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ วัตถุประสงค์ประการหนึ่งของการจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยก็เพื่อเตรียมพนักงานสำหรับการทำงานในธุรกิจธนาคารกลาง และทำหน้าที่บริหารเงินกู้ของรัฐบาล

สำนักงานธนาคารชาติไทยได้เริ่มปฏิบัติงานเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ต่อมาในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ซึ่งเป็นวันชาติในสมัยนั้น จึงได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ  สำนักงานธนาคารชาติไทยดำเนินงานได้เพียงปีเศษก็เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นนำกำลังทหารเข้ามายังประเทศไทยในวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ และได้เสนอให้รัฐบาลไทยจัดตั้งธนาคารกลางขึ้น โดยมีที่ปรึกษาและหัวหน้างานต่าง ๆ เป็นชาวญี่ปุ่น ซึ่งรัฐบาลไทยไม่อาจยอมให้เป็นเช่นนั้นได้ จึงมอบให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชยดำเนินการร่างกฎหมายเพื่อเปลี่ยนฐานะของสำนักงานธนาคารชาติไทยให้เป็นธนาคารกลาง และให้ประกาศใช้โดยเร็วที่สุด  พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย จึงได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๘๕ ต่อมาได้ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญและในวันต่อมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการ ณ อาคารที่ทำการเดิมของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ จำกัด ถนนสี่พระยา พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ทรงดำรงตำแหน่งผู้ว่าการพระองค์แรก ต่อมาได้ย้ายที่ทำการมาอยู่ ณ วังบางขุนพรหมตั้งแต่วันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ แล้วย้ายมาอาคารสำนักงานใหญ่ที่สร้างขึ้นในบริเวณวังบางขุนพรหมเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๕  และในปี ๒๕๕๐ สำนักงานใหญ่ได้ย้ายมาอยู่ ณ อาคารสำนักงานใหญ่หลังใหม่  ที่ก่อสร้างขึ้นในบริเวณเชื่อมต่อระหว่างวังบางขุนพรหมกับวังเทวะเวสม์

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย  มีหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและดูแลระบบการเงินให้มั่นคง

พันธกิจ  มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่มั่นคง  เสถียรภาพเพื่อเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน  อันนำไปสู่การยกระดับมาตราฐานการครองชีพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

วิสัยทัศน์  เป็นองค์กรที่มองการไกล  พนักงานมีความสามารถสูงมากและอุทิศตนเพื่อดูแลเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นความผันผวนได้อย่างราบรื่น

The Bank of Thailand

Function as the country’s central bank whose core purpose is to ensure and maintain monetary and financial stability

Mission  To provide a stale financial environment for sustainable economic growth in order to achieve continuous improvement in the standard of living of people of Thailand

Vision  A forward-looking organization with competent staff dedicated to ensuring the resilience of the Thai economy against shock and instability

 

พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ในตำหนักใหญ่ วังบางขุนพรหม และตำหนักใหญ่วังเทวะเวสม์ ภายในบริเวณธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ ๒๗๓ ถนนสามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐

วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง

1.  เพื่ออนุรักษ์เงินตราไทยอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทยในอดีต

2.  เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย ระบบเงินตรา ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในแต่ละยุคสมัย

3.  เพื่อเผยแพร่ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับระบบการเงินของไทย และบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะธนาคารกลางของประเทศ

4.  เพื่อแสดงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของอาคารโบราณสถานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุรักษ์ไว้ให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติต่อไป

การจัดแสดง
               การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มุ่งให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าชม โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมมีการนำระบบแสง-เสียง เทคนิคฉากละคร (Diorama) ระบบมัลติมีเดีย ระบบคอมพิวเตอร์กราฟิก ฯลฯ เข้าร่วมในการนำเสนอ
              นอกจากนี้ยังได้วางระบบต่างๆ เพื่อการสงวนรักษาวัตถุจัดแสดงและความปลอดภัยอย่างถูกต้องตามหลักวิชา ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย ประวัติบทบาทหน้าที่สำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทยและวังบางขุนพรหม ให้อนุชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม โดยช่วยกันอนุรักษ์และเชิดชูไว้ให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป

ห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ มีดังนี้

1. ห้องเปิดโลกเงินตราไทย

2. ห้องธนบัตรไทย

3. ห้องธนบัตรต่างประเทศ

4. ห้องประวัติและการดำเนินงานของ ธปท.

5. ห้องบริบัติ

ห้องเปิดโลกเงินตราไทย

จัดแสดงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์  เงินตราในภูมิภาคสุวรรณภูมิและวิวัฒนการเงินตราไทยจนเป็นกษาปณ์ในปัจจุบันคือ

1. เงินตราโบราณ  เงินตราสมัยทวาราวดี เหรียญลวปุระที่หาชมได้ยาก เงินดอกจันทน์ของอาณาจักรศรีวิชัย  นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงเงินตราอาณาจักรล้านนา เช่น เงินเจียง เงินท้อก  เงินปากหมู  เงินใบไม้  เงินอาณาจักรล้านช้าง เช่น   เงินลาด เงินฮ้อย ในส่วนที่จัดแสดงเกี่ยวกับเงินตราโบราณนี้มีการจัดแสดงเงินตราโบราณของอาณาจักรใกล้เคียงที่มีหลักฐานว่ามีการนำมาใช้ในสมัยโบราณของบริเวณที่เป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน เช่น เงินไซซี  เงินฮาง  เงินตู้   

ตราสัญลักษณ์ในสมัยทวาราวดี

ศรีวัตสะ  มงคลแห่งความอุดมสมบรณ์ของอินเดีย

พระอาทิตย์อุทัย  ความอุดมสมบูรณ์ของพ์ชพรรณธัญญาหาร

สังข์  ความอุดมสมบูรณ์บ่อน้ำ

กลศ  หม้อน้ำ

แม่และลูกโค  ความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร ปศุสัตว์

ฑมรุ  การสร้างโลก

ธรรมจักร  คำสั่งสอนสัมมาสัมพุทธเจ้า

จามร (แส้)  บัลลังก์ ราชูปโภคของกษัตริย์

สวัสดิกะ  ความมีโชค

วัชระ  สายฟ้า

2. เงินพดด้วง  เป็นเงินที่ผลิตขึ้นมาใช้กว่า ๖๐๐ ปีนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึง  สมัยรัตนโกสินทร์ และยกเลิกการใช้ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

3. กษาปณ์ไทย  จัดแสดงเรื่องราวของเหรียญกษาปณ์ในสมัยต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ “เหรียญช้าง เมืองไท” “เหรียญดอกบัว เมืองไท” จนถึงเหรียญกษาปณ์ในสมัยรัชกาลปัจจุบัน

ห้องธนบัตรไทย

  ประเทศไทยนำธนบัตรออกใช้เป็นครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๕ ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยามรัตนโกสินทร ศก ๑๒๑  โดยมีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (กระทรวงการคลัง ในปัจจุบัน) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุม ดูแล การสั่งพิมพ์และนำออกใช้ธนบัตรภายในประเทศ จนกระทั่ง มีการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๕ กิจการทั้งปวงและอำนาจในการดำเนินการเกี่ยวกับธนบัตร จึงถูกโอนมาอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย   ต่อมาเมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรขึ้นเป็นผลสำเร็จ จึงได้พิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้เองภายในประเทศ ได้แก่ ธนบัตรแบบ ๑๑ รวมทั้งแบบอื่น ๆ เป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน 

การจัดทำและนำออกใช้ธนบัตร เป็นหน้าที่หลักสำคัญอีกด้านหนึ่งของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศเป็นอย่างยิ่ง ด้วยธนบัตรเป็นเงินตราที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และได้มาตรฐาน เพื่อให้ธนบัตรไทยคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือสมเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่สำคัญในปัจจุบัน     

เงินกระดาษชนิดแรก เริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  ได้มีการผลิตเงินกระดาษขึ้นใช้เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๓๙๖ เรียกว่า “หมาย” ซึ่งนับเป็นเงินกระดาษชนิดแรกในระบบเงินตราไทย  และมีการผลิตใบสั่งจ่ายขึ้นหลายชนิดราคาเรียกว่า “ใบพระราชทานเงินตรา”  ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำ “อัฐกระดาษ” ออกใช้ระยะสั้นๆ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนเงินปลีกระยะหนึ่ง  หลังจากนั้นได้มีการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ระหว่างธนาคารและลูกค้า เรียกว่า “บัตรธนาคาร”  ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๓๓ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้พิมพ์ “เงินกระดาษหลวง” ขึ้น เพื่อใช้เป็นธนบัตรแต่มิได้นำออกใช้เพราะขาดความพร้อม จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๔๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจัดทำตั๋วสำคัญที่ใช้แทนเงินตรา  ประกาศออกใช้เมื่อวันที่ 7 กันยายน ธนบัตรไทยจึงถือกำเนิด ขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา 

 ห้องธนบัตรต่างประเทศ

จัดแสดงธนบัตรในกลุ่มประเทศที่สำคัญซึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสมาชิก อาทิ กลุ่มผู้นำประเทศอุตสาหกรรม (G8)และกลุ่มธนาคารแห่งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEACEN)

ห้องบริบัติ

จัดแสดงพระประวัติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตไว้อย่างสมบูรณ์ด้วยวีดิทัศน์เรื่อง “เจ้าฟ้านักบริหาร แบบอย่างของผู้ทรงนำคุณประโชยน์เพื่อแผ่นดิน”  ซึ่ง  เพลงประกอบที่ไพเราะของเรื่องนี้จัดทำโดยพระนัดดาของพระองค์เอง   สำหรับเรื่องราวของพระอัจฉริยภาพทางดนตรีนั้น นำเสนอด้วยเทคนิค Ghost Box ที่ถ่ายทอดเรื่องราวโดยพระธิดาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต คือ  “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทุรัตนา”  ซึ่งผู้ชมจะได้ฟัง เพลงมาร์ชบริบัตรและฮังกาเรียนราฟโซดีอันมีชื่อเสียง นอกจากนี้ ยังนำเสนอเพลงพระนิพนธ์ผ่านทางหุ่นจำลองวงปี่พาทย์ไม้แข็งครบวง  สำหรับวัตถุประกอบการจัดแสดงนั้น ที่น่าสนใจจะเป็นของใช้ที่ มีตราประจำพระองค์ เช่น จาน  เครื่องแก้ว  ของที่ระลึกที่ประทาน “แหนบบริพัตร” นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบินบริพัตรจำลอง  โน้ตเพลงลายพระหัตถ์ รวมทั้งหุ่นจำลองขนาดเท่าพระองค์จริงในฉลองพระองค์จอมพลทหารเรือที่โดดเด่น  จุดสุดท้ายที่ดึงดูดใจผู้ชมอย่างมากคือ หุ่นจำลองตำหนักประเสบัน ที่เมืองบันดุง  ประเทศอินโดนีเซีย และฉลองพระองค์ชุดสุดท้ายของพระองค์ที่มหาดเล็กคู่พระทัยถอดเก็บไว้บูชาหลังจากสิ้นพระชนม์ และทายาทได้นำมามอบให้พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อการจัดแสดงและระลึกถึงพระองค์

 

สิ่งทีประทับใจในการชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

คือ  การได้เข้าชมสถานที่นี้ ทำให้ดิฉันได้ทราบถึงข้อมูลเงินตราของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ให้ความรู้ได้ในระดับดีมาก โดยในสถานที่นี้ยังมีการแนะนำการวางแผนทางการเงิน มีรูปแบบการออม ซึ่งเราสามารถนำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติใช้ในชีวิตของเราได้  และสิ่งที่ประทับใจมากที่สุดในการเช้าชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยครั้งนี้ก็คือ  การจัดแสดงห้องธนบัตรไทยและห้องธนบัตรต่างประเทศ ซึ่งเป็นห้องที่จัดแสดงในเรื่องของการผลิตธนบัตร มีการจัดแสดงทองคำแท่ง และยังมีกิจกรรมที่ทำให้เพลิดเพลินคือ มีการระบายบนแท่นพิมพ์ที่มีรูปสัญลักษณ์ต่างๆ อาทิ ลายดอกพุดตาน ลายสิงห์ ลายเรือสำเภา และลายรูปรัฐธรรมนูญ โดยรูปสัญลักษณ์ก็มีที่มาที่แตกต่าง ทั้งนี้นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินยังได้ความรู้อีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (วังบางขุนพรหม) จะมีอยู่สองชั้น ชั้นล่างได้เข้าชมเกี่ยวกับ เงินตรา ธนบัตรของไทยและต่างประเทศ ซึ่งมีการจัดแสดงเงินตราและธนบัตรในหลายสมัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนชั้นบนจะเป็นห้องที่เกี่ยวกับประวัติและการดำเนินงานของธนาคารแหงประเทศไทย

ความรู้ที่ได้จาการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (วังบางขุนพรหม) คือ ได้รู้เกี่ยวกับเงินตราและธนบัตรของไทย ได้รู้เกี่ยวกับธนบัตรต่างประเทศ ได้รู้ประวัติและการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เห็นเงินตรา ธนบัตร และเครื่องมือในการดำเนินวานในธนาคารของจริง เช่น

ห้องเปิดโลกเวินตราไทย : จัดการแสดงเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เงินตราในภูมิภาคสุวรรณภูมิและวิวัฒนการเงินตราไทยจนเป็นกษาปณ์ในปัจจุบัน

เงินตราโบราณ เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสุวรรณภูมิ...ดินแดนทองแห่งการค้า จุดบรรจบของโลกตะวันตกและตะวันออกนำเสนอด้วยวีดิทัศน์ ในรูปแบบของ Animation ส่วนวัตถุพิพิธภัณฑ์ประกอบการจัดแสดงเป็นโบราณวัตถุก่อนประวัติศาสตร์ อาทิ สร้อยลูกปัดสีน้ำเงิน กำไลหิน ต่างหูหิน ขวานหิน ขวานสำริด ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนก่อนมีเงินตรา สำหรับเงินตราโบราณที่จัดแสดงในห้องนี้ ได้แก่ เงินตราสมัยทวาราวดี เหรียญลวปุระที่หาชมได้ยาก เงินดอกจันทน์ของอาณาจักรศรีวิชัย นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงเงินตราอาณาจักรล้านนา เช่น เงินเจียง เงินท้อก เงินปากหมู เงินใบไม้ เงินอาณาจักรล้านช้าง เช่น เงินลาด เงินฮ้อย ในส่วนที่จัดแสดงเกี่ยวกับเงินตราโบราณนี้มีการจัดแสดงเงินตราโบราณของอาณาจักรใกล้เคียงที่มีหลักฐานว่ามีการนำมาใช้ในสมัยโบราณของบริเวณที่เป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน เช่น เงินไซซี เงินฮาง เงินตู้

ห้องธนบัตรไทย : จัดแสดงวิวัฒนาการ การใช้เงินกระดาษในระบบเงินตราไทย ตั้งแต่ “หมาย” “ใบพระราชทานเงินตรา” “อัฐกระดาษ” “บัตรธนาคาร” “ตั๋วเงินกระดาษ” หรือ “เงินกระดาษหลวง” มาจนถึงธนบัตรที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้

เงินกระดาษชนิดแรก เริ่มในรัชกาลที่ ๔ ได้มีการผลิตเงินกระดาษขึ้นใช้เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๓๙๖ เรียกว่า “หมาย” ซึ่งนับเป็นเงินกระดาษชนิดแรกในระบบเงินตราไทย และมีการผลิตใบสั่งจ่ายขึ้นหลายชนิดราคาเรียกว่า “ใบพระราชทานเงินตรา” ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำ “อัฐกระดาษ” ออกใช้ระยะสั้นๆ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนเงินปลีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้นได้มีการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ระหว่างธนาคารและลูกค้า เรียกว่า “บัตรธนาคาร” ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๓๓ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้พิมพ์ “เงินกระดาษหลวง” ขึ้น เพื่อใช้เป็นธนบัตรแต่มิได้นำออกใช้เพราะขาดความพร้อม จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๔๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจัดทำตั๋วสำคัญที่ใช้แทนเงินตรา ประกาศออกใช้เมื่อวันที่ 7 กันยายน ธนบัตรไทยจึงถือกำเนิด ขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

 ความประทับใจที่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (วังบางขุนพรหม) คือ 

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างความประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่สัมผัส ด้วยอากาศจากเครื่องปรับอากาศที่เย็นสบาย และการใช้แสงสีที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น ได้ความรู้มากมายในการเดินชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ เราสามารถนำความรู้ที่ได้จากการเข้าชมนี้บอกต่อกับคนรอบข้างได้ สิ่งที่ประทับใจอีกอย่าวคือบรรยากาศรอบๆสวยงามและอากาศเย็นมาก มีความสุขมากๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ

                                             ความรู้ที่ได้รับจากการไปพิพิธภัณฑ์

จากการที่กระผมได้ไปศึกษาที่ พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น กระผมได้รู้ถึงประวัติความเป็นมาของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 เปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 มีหน้าที่หลักในการดูแลกำกับเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน นำออกหมุนเวียนซึ่งธนบัตรไทยรวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเงินตราระหว่างประเทศ และเฝ้าระวังอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่นและทำให้รู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีผู้ว่าทั้งหมด 19 คน มีรายชื่อดังต่อไปนี้
1 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย 2 เล้ง ศรีสมวงศ์ 3 หลวงเดชสหกรณ์ 4 ดร. เสริม วินิจฉัยกุล 5 เกษม ศรีพยัคฆ์ 6 โชติ คุณะเกษม 7 ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ 8 พิสุทธิ์ นิมมานเหมินท์ 9 ดร. เสนาะ อูนากูล 10 นุกูล ประจวบเหมาะ 11 ดร. กำจร สถิรกุล 12 ชวลิต ธนะชานันท์ 13 วิจิตร สุพินิจ 14 เริงชัย มะระกานนท์ 15 ดร. ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ 16 หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล 17 หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล 18 ดร. ธาริษา วัฒนเกส 19 ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล และในพิพิธภัณฑ์นั้นยังจัดแสดง เงินตราของไทยในสมัยโบราณ อาทิเช่น

 เงินตราของภาคเหนือ

เงินแท่งและเงินก้อน

          มีรูปลักษณ์ต่างๆกัน เช่น รูปเรือสำเภา อานม้า ขนมครก ฯลฯ เป็นเงินตราที่จีนนำมาใช้ ในอาณาจักรล้านนาไทย ราคาคิดตามน้ำหนักเงิน เป็นตำลึงจีน (10 สลึง เท่ากับ1 ตำลึงจีน) เนื่องจากเงินนี้มีเนื้อเงินบริสุทธิ์สูงเกือบ 100 เปอร์เซนต์ จึงมีผู้นำไปใช้เป็นเครื่องประดับ และภาชนะใช้สอยกันมาก 

เงินใบไม้ เงินวงตีนม้า เงินปากหมู เงินหอยโข่ง เงินท้อกเชียงใหม่ เงินท้อกเมืองน่าน

            เป็นเงินตราของล้านนาไทย เนื้อเงินมีความบริสุทธิ์น้อย เรียกชื่อตามรูปลักษณ์ที่ทำต่างๆกัน ราคาคิดตามค่าของน้ำหนักโลหะที่นำมาหลอม สำหรับเงินท้อกเชียงใหม่นั้น กล่าวกันว่าทำขึ้นเพื่อใช้ในการแต่งงาน และการหย่าร้าง มิใช่เพื่อจับจ่ายใช้สอย 

เงินกำไลมือ หรือเงินเจียง เงินดอกไม้ หรือเงินผักชี

                เป็นเงินที่ใช้กันทางภาคเหนือของไทย เงินเจียง (เชียง) ดัดแปลงมาจากกำไลมือ มาเป็นรูปคล้ายเกือกม้าสองวง ปลายต่อกัน มีตราอักษรไทย บอกชื่อเมืองที่ทำเงินนี้ขึ้น เช่น แสน (เชียงแสน) หม (เชียงใหม่) กก (เชียงราย) ส่วนเงินดอกไม้หรือเงินผักชี นั้นทำด้วยเงินผสมโลหะอื่นเล็กน้อย ด้านหนึ่งมีลวดลาย รูปก้นหอยหรือผักชี คล้ายดอกไม้และมีขนาดต่างๆกัน 
เงินตราของภาคอีสาน
  เงินฮาง  เป็นเงินตราที่ใช้กันทางภาคอีสานของไทย รูปลักษณ์เหมือนรางหญ้าหรือรางข้าวหมู มีขอบโดยรอบเหมือนแคมเรือทางด้านหน้า และมีตราประทับทางมุมด้านหัว เนื่องจากเงินนี้มีเนื้อเงินบริสุทธิ์สูงมาก จึงนิยมนำไปหลอมเป็นเครื่องประดับ เครื่องใช้สอย 
  เงินฮ้อย  เป็นเงินตราที่ใช้กันอยู่ในอาณาจักรลานช้าง ซึ่งเป็นเมืองในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง เช่น เวียงจันทร์ หลวงพระบาง สกลนคร อุดรธานี และอุบลราชธานี รูปลักษณ์คล้ายเรือแคนนู หัวท้ายเรียวเล็กน้อย ด้านบนมีตุ่มทั่วไปเป็นท้องบุ้ง และมีราคาแตกต่างกันไปตามส่วนผสมของเนื้อเงิน 
  เงินลาด  เป็นเงินตราที่ใช้กันอยู่ในอาณาจักรลานช้าง หรือเมืองในแถบภาคอีสาน เช่นเดียวกับเงินฮ้อย เงินลาดนี้ทำด้วยทองแดงผสมทองเหลือง มีเนื้อเงินเล็กน้อย บางชิ้นมีเนื้อเงินหุ้มเฉพาะภายนอกเท่านั้น รูปลักษณ์คล้ายเงินฮ้อยแต่เรียวเล็กกว่า มีร่องตรงกลางและมีตราประทับอยู่ ด้านบน 3 ตรา มีขนาดต่างๆกัน บางคนเรียกว่า เงินปลิง 
  เงินตราของภาคใต้

เหรียญเงินอาหรับและเหรียญทองคำ พบที่จังหวัดปัตตานี เป็นเงินตราของพ่อค้าชาวอาหรับ นำติดตัวมาจากประเทศของตน อาจใช้แลกเปลี่ยนสินค้ากับพ่อค้าคนไทย แถบหัวเมืองชายทะเลภาคใต้ แต่คงไม่ถึงกับใช้ในการซื้อขายสินค้า สำหรับเหรียญนี้มีอักษรเปอร์เซียจารึกไว้ อ่านได้ความว่า จัดทำขึ้นเป็นเหรียญที่ระลึก เงินนโม เป็นเงินตราที่มีบนาดเท่าเม็ดกาแฟขนาดเล็ก ด้านหนึ่งมีอักษรสันสกฤตโบราณ "น" อีกด้านหนึ่งเป็นร่องคล้ายเม็ดกาแฟ ทำด้วยเงินแต่ไม่ขาวเหมือนเงินบริสุทธิ์ เข้าใจว่าคงผสมแร่พลวง เงินนโมนี้นิยมใช้เป็นเครื่องรางของขลัง คุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บ พบมากที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และที่เกาะชวา อีแปะ เป็นเงินตราที่มีรูปลักษณ์เหมือนเงินเหรียญของจีน ทำด้วยตะกั่วผสมดีบุก บรรดานายเหมือง และเจ้าเมืองแถบภาคใต้ของไทย เป็นผู้ทำขึ้นในอาณาเขตของตน โดยมีอักษรไทย - จีน บอกชื่อเมืองกำกับไว้เป็นสำคัญ จึงมักเรียกอีแปะเหล่านี้ตามชื่อเมืองที่ผลิต เช่น อีแปะสงขลา อีแปะพัทลุง อีแปะปัตตานี

 เงินตราของภาคกลาง

เงินพดด้วงสุโขทัย ทำด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ รูปลักษณ์เป็นก้อนกลม ปลายงอเข้าหากัน มีตราประทับอยู่ด้วย ส่วนใหญ่เป็นตราช้าง ราชสีห์ ราชวัตร สังข์ และดอกไม้ มีราคา บาท สองสลึง สลึง อีกชนิดหนึ่งเรียกว่า เงินคุบหรือเงินคุด ทำด้วยเนื้อชิน ซึ่งอาจใช้เป็นเงินตรา หรือใช้เป็นลูกตุ้มชั่งน้ำหนัก เงินพดด้วงอยุธยา ป็นเงินที่มีรูปลักษณ์ขดกลมคล้ายตัวด้วง มีตราประทับต่างๆกัน กว่า 50 ตรา ส่วนใหญ่เป็น ตราจักร หรือธรรมจักร หรือตราสังข์ ครุฑ ช้าง ดอกบัว พุ่มดอกไม้ ราชวัตร ฯลฯ ทำด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ คิดราคาตามค่าของน้ำหนักเงิน ใช้เป็นเงิตรา ราคาสูงขนาด บาท สองสลึง เฟื้อง 2 ไพ และไพ ส่วนเงินปลีกที่มีราคาต่ำสุดใช้เบี้ยหอย เงินพดด้วงรัตนโกสินทร์ เป็นเงินตราที่ใช้กันในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น รูปลักษณ์เหมือนกับพดด้วงสมัยอยุธยา ทำด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ตราจักรประทับไว้หนึ่งตรา พร้อมตราประจำรัชกาลที่ผลิตเงินนี้ขึ้นใช้ประทับไว้ด้วย เช่น เงินพดด้วงในรัชกาลที่ 4 ใช้ตรามงกุฎ เป็นต้น นอกจากจะผลิตขึ้นใช้เป็นเงินตราแล้ว ยังใช้เป็นเงินที่ระลึกในโอกาสต่างๆอีกด้วย ราคาคิดตามค่าของน้ำหนักเงิน เช่นเดียวกับเงินพดด้วงอยุธยา เงินนี้เลิกใช้เมื่อ ปี พ.ศ. 2447 และนอกจากนี้ในพิพิธภัณฑ์ ยังมีการจัดแสดง เงินตราต่างประเทศ อีกหลายๆสุกลเงินอีกด้วย ในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงธนบัตรชนิดต่างในสมัยต่างๆ และมีวีดีโอ แสดงการทำธนบัตรชนิดต่างๆ

                                   สิ่งที่ประทับใจที่ได้จากการไปพิพิธภัณฑ์ครั้งนี้

ทำให้กระผมทราบถึงประวัติการเป็นมาของเงินชนิดต่างๆ และรวมไปถึงประวัติความเป็นมาของ ธนาคารแห่งประเทศไทย และได้เพลิดเพลินกับการที่ได้ชม วังเก่าที่มีความวิจิตรงดงาม และข้าวของเครื่องใช้ในสมัยก่อน และยังเพลิดเพลินกับการทำกิจกรรมต่างๆภายในนั้นอีกด้วย ได้ความรู้แล้วยังสนุกสนานกับกิจกรรมภายในนั้ัน

ธนาคารแห่งประเทศไทย The Bank of Thailand ประวัติธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชื่อไม่เป็นทางการ แบงค์ชาติ (อังกฤษ: The Bank of Thailand: BOT) เป็นธนาคารกลางของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 เปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 มีหน้าที่หลักในการดูแลกำกับเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน นำออกหมุนเวียนซึ่งธนบัตรไทยรวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเงินตราระหว่างประเทศ และเฝ้าระวังอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้นหลังจากประเทศไทยได้มีธนาคารพาณิชย์ทั้งของรัฐและเอกชนเริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านั้นแล้ว ภารกิจและหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยเดิมซ้อนเหลื่อมอยู่กับกระทรวงการคลังและได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับหลังจากที่ระบบการเงินของโลกพัฒนาไปและมีวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญต่างๆ

     ในปี พ.ศ. 2482 เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามและเหตุการณ์ที่เกิดจากสงครามได้เร่งรัดความจำเป็นต้องจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นในประเทศไทย ปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมมือกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เริ่มจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติขึ้นในปี พ.ศ. 2482 อันเป็นแนวทางไปสู่การตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2485 ในสมัยที่ พลเอกเภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (2484 - 2487) ได้มีการตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 จัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ขึ้นเป็นองค์กรอิสระ และ จากพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มประกอบธุรกิจได้ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2485 เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นผู้ว่าการธนาคารพระองค์แรก (พ.ศ. 2485 - 2489) พระองค์ได้ทรงวางระเบียบแบบแผนและดำเนินการจนธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำรงอยู่เป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดมาจนปัจจุบัน

พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ย มีอนุสนธิมาจากคำสั่งที่ ๙๖/๒๕๒๑ ลงวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๑ เรื่องตั้งคณะทำงานพิจารณาจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ของธนาคาร ทำหน้าที่ดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงวังบางขุนพรหม เพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑ์เงินตราและจัดแสดงประวัติวังบางขุนพรหม ซึ่งเดิมวังบางขุนพรหมเป็นอาคารที่ทำการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาในปี ๒๕๒๕ เมื่ออาคารสำนักงานใหญ่หลังแรกได้เปิดดำเนินการ วังบางขุนพรหมจึงมิได้ใช้งาน ประกอบกับมีความงดงามทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างยิ่ง จึงได้รับความเห็นชอบจากธนาคารที่จะตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๖ ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ในตำหนักใหญ่ วังบางขุนพรหม และตำหนักใหญ่วังเทวะเวสม์ ภายในบริเวณธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ ๒๗๓ ถนนสามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง เพื่ออนุรักษ์เงินตราไทยอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทยในอดีต เป็นศูนย์กลางการค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย ระบบเงินตรา ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในแต่ละยุคสมัย อเผยแพร่ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับระบบการเงินของไทย และบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะธนาคารกลางของประเทศ อืกทั้งแสดงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของอาคารโบราณสถานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุรักษ์ไว้ให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติต่อไป การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มุ่งให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าชม โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมมีการนำระบบแสง-เสียง เทคนิคฉากละคร (Diorama) ระบบมัลติมีเดีย ระบบคอมพิวเตอร์กราฟิก ฯลฯ เข้าร่วมในการนำเสนอ

          นอกจากนี้ยังได้วางระบบต่างๆ เพื่อการสงวนรักษาวัตถุจัดแสดงและความปลอดภัยอย่างถูกต้องตามหลักวิชา ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย ประวัติบทบาทหน้าที่สำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทยและวังบางขุนพรหม ให้อนุชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม โดยช่วยกันอนุรักษ์และเชิดชูไว้ให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป

จากที่ดิฉันได้เข้าไปศึกษามีด้วยกันทั้งหมด2ห้อง ห้องแรกจะจัดแสดงเกี่ยวกับ เหรียญในสมัยต่างๆในประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือของต่างประเทศ ห้องที่2จัดแสดงเกี่ยวกับ ธนบัตรในสมัยต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ

ระบบสกุลเงินไทยในปัจจุบัน ซึ่งเงิน หนึ่งบาท มีค่าเท่ากับ 100 สตางค์ เริ่มใช้ปี พ.ศ. 2440 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ในปัจจุบัน มีการผลิตเหรียญกษาปณ์อยู่ทั้งหมด 9 ชนิดคือ เหรียญ 1, 5, 10, 25 และ 50 สตางค์, 1, 2, 5 และ 10 บาท โดยเหรียญ 25 และ 50 สตางค์, 1, 2, 5 และ 10 บาท เป็นเหรียญที่ออกใช้หมุนเวียนทั่วไป ส่วนเหรียญ 1, 5 และ 10 สตางค์ ไม่ได้ออกใช้หมุนเวียนทั่วไป แต่ใช้ภายในธนาคารเท่านั้น ดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ก่อน พุทธศตวรรษที่ 6 ซึ่งกลุ่มชนเหล่านี้ได้มีการติดต่อกับชุมชนอื่นในบริเวณใกล้เคียง โดยใช้สื่อกลางใน การแลกเปลี่ยนหลายรูปแบบ เช่น ลูกปัด เปลือกหอย เมล็ดพืช เป็นต้น สำหรับชนชาติไทยสันนิษฐานว่าได้มีการนำโลหะเงินมาใช้เป็นเงินตรามาตั้งแต่ในสมัยสุโขทัย เรียกกันว่า เงินพดด้วง ซึ่งมีเอกลักษณ์ เป็นของตัวเอง และแสดงให้เห็นถึงความเจริญของชนชาติไทยที่ได้ผลิตเงินตราขึ้นใช้เองเป็นเวลาหลายร้อยปีจวบจนมีการนำเงินเหรียญตามแบบสากลเข้ามาใช้ - อาณาจักรฟูนันก่อตัวขึ้นบริเวณทางใต้ของลุ่มน้ำโขง ประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 และล่มสลายลง ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 เงินตราที่ใช้จะมีสัญลักษณ์ เกี่ยวกับกษัตริย์ การปกครอง และศาสนา โดยมีลักษณะเป็นเหรียญเงินด้านหนึ่งมีสัญลักษณ์พระอาทิตย์ครึ่งดวงเปล่งรัศมี อีกด้านหนึ่งเป็นรูปพระศรีวัตสะ กลองบัณเฑาะว์ที่พราหมณ์ใช้ในพิธีต่างๆ และมีเครื่องหมายสวัสดิกะซึ่งหมายถึงความโชคดี - อาณาจักรทวารวดีเริ่มมีความสำคัญขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 12 และล่มสลายลงในพุทธศตวรรษที่ 16 สันนิษฐานว่ามีศูนย์กลางการปกครองอยู่บริเวณจังหวัดนครปฐม เงินตราที่พบยังคงมีสัญลักษณ์เกี่ยวกับกษัตริย์ อำนาจการปกครอง ความอุดมสมบูรณ์ และศาสนา เช่น เหรียญเงินด้านหนึ่งเป็นรูปบูรณกลศ (หม้อน้ำที่มีน้ำเต็ม) ซึ่งหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ อีกด้านเป็นภาษาสันสกฤตโบราณ อ่านว่า "ศรีทวารวดี ศวรปุณยะ" แปลว่า "บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี" -ราชอาณาจักรสุโขทัยได้ผลิตเงินตราขึ้นใช้ในระบบเศรษฐกิจ คือ เงินพดด้วง นอกจากนี้ยังใช้ "เบี้ย" เป็นเงินปลีกสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าราคาต่ำ เงินพดด้วงสันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย และใช้ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

  • ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่สำคัญ พระองค์มีพระราชดำริว่า มาตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คือ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง เป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณ และการจัดทำบัญชี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงใหม่ โดยใช้หน่วยเป็นบาท และสตางค์ คือ 100 สตางค์ เป็น 1 บาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2441 แล้วรู้หรือไม่ว่าในสมัยของพระองค์ได้เริ่มนำรูปของพระมหากษัตริย์ประทับลงบนหน้าเหรียญกษาปณ์
  • เงินกระดาษที่ออกครั้งแรกในประเทศไทย เรียกว่า "หมาย มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด ชนิดแรกเป็นหมายขนาดใหญ่มี 4 ราคา คือ 3 ตำลึง , 4 ตำลึง , 6 ตำลึง และ 10 ตำลึง หมายชนิดที่ 2 มีราคา 1 บาท , 3 สลึง, 2 สลึง ,สลึงเฟื้อง , หนึ่งสลึง และหนึ่งเฟื้อง หมายชนิดที่ 3 เป็นหมายราคาสูง มี 2 ราคา เท่านั้นคือ ราคา 20 บาท และ 80 บาท
  • กระดาษอัฐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4 โปรดเกล้าฯ ให้ใช้กระดาษแทนเบี้ย เพราะเหรียญกษาปณ์ไม่มีพอใช้ประจำวัน
  • บัตรธนาคาร ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มี 3 ธนาคารต่างประเทศ ออกบัตรธนาคารใช้แทนเงินอยู่ในท้องตลาด คือ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารชาร์เตอร์ และธนาคารแห่งอินโดจีน บัตรที่ออกเรียกว่า แบงค์โน้ต (Bank Note) แต่คนไทยเรียกสั้นๆว่า แบงค์ เลยติดปากเรียกธนบัตรของรัฐบาลว่า แบงค์มาจนถึงทุกวันี้ ธนบัตรต่างประเทศ -ธนบัตรของประเทศอังกฤษ เป็นรูปของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่2 -ธนบัตรดอลล่าสหรัฐของอเมริกาเป็นรูปของเบจามิน แฟรงเคลิน -ธนบัตรรูปีของอินเดียเป็นรูปของมหาตมะ คานที ผูเรียกร้องเอกราชอินเดีย2490 เป็นการเรียกร้องอย่างสันติวิธี -ธนบัตรเยน ญี่ปุ่นเป็นรูปของยูกิชิ ฟุกุซาวะ -ดอลล่าสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น Abraham Lincoln ปธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา บิดาระบอบประชาธิปไตยยุคใหม่ -ธนบัตรดอลล่าสิงคโปร์เป็นรูปของ ยูซุปบิน ไอซัค ปธานธิบดีคนแรกของสิงคโปร์หลังจากรับเอกราชจากประเทศอังกฤษ -ธนบัตรวอนของ ประเทศเกาหลี เป็นรูปของกษัตริย์เซจอง ราชวงศ์โชชอน ผู้ประดิษฐ์อักษรเกาหลี -ดอลล่าออสเตเลีย เป็นรูปของเนลลี เมลบา -ดอลล่านิวซีแลนด์ เป็นรูปของ เซอร์เอ็ดมัน ฮิลลารี ผู้พิชิตยอดเขาเอฟเวอเรส -เงินหยวนของจีน เป็นรูปของ เหมา เจ๋อ ตุ๋ง ปธานาธิบดี แห่งจีนคนแรก นำปฏิวัติสู่สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ สถาปนาสาธารณรัฐจีน
    นี่ก็เป็นความรู้ที่ฉันได้รับ จากการไปทัศนศึกษานอกสถานที่ในครั้งนี้ และได้รับความประทับใจคือได้เห็นสิ่งที่หลงเหลือจากอดีต มาจัดแสดงให้คนรุ่นหลังได้ดู อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เเคยเห็น แต่ก็เป็นบุญครั้งหนึ่งที่เคยเห็นสิ่งที่ล้ำค่า ที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้เราได้ดู ถ้าไม่มีพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ดิฉันก็คงไม่เคยเห็นสิ่งที่มีมานับร้อยๆปี และยังมีอยู่จริงที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

ชื่อ slowly ของ นาย ชานนท์ จันทร์ดีสุขใจ

ธนาคารแห่งประเทศไทย The Bank of Thailand ประวัติธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชื่อไม่เป็นทางการ แบงค์ชาติ (อังกฤษ: The Bank of Thailand: BOT) เป็นธนาคารกลางของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 เปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 มีหน้าที่หลักในการดูแลกำกับเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน นำออกหมุนเวียนซึ่งธนบัตรไทยรวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเงินตราระหว่างประเทศ และเฝ้าระวังอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้นหลังจากประเทศไทยได้มีธนาคารพาณิชย์ทั้งของรัฐและเอกชนเริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านั้นแล้ว ภารกิจและหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยเดิมซ้อนเหลื่อมอยู่กับกระทรวงการคลังและได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับหลังจากที่ระบบการเงินของโลกพัฒนาไปและมีวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญต่างๆ

     ในปี พ.ศ. 2482 เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามและเหตุการณ์ที่เกิดจากสงครามได้เร่งรัดความจำเป็นต้องจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นในประเทศไทย ปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมมือกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เริ่มจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติขึ้นในปี พ.ศ. 2482 อันเป็นแนวทางไปสู่การตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2485 ในสมัยที่ พลเอกเภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (2484 - 2487) ได้มีการตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 จัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ขึ้นเป็นองค์กรอิสระ และ จากพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มประกอบธุรกิจได้ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2485 เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นผู้ว่าการธนาคารพระองค์แรก (พ.ศ. 2485 - 2489) พระองค์ได้ทรงวางระเบียบแบบแผนและดำเนินการจนธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำรงอยู่เป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดมาจนปัจจุบัน

พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ย มีอนุสนธิมาจากคำสั่งที่ ๙๖/๒๕๒๑ ลงวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๑ เรื่องตั้งคณะทำงานพิจารณาจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ของธนาคาร ทำหน้าที่ดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงวังบางขุนพรหม เพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑ์เงินตราและจัดแสดงประวัติวังบางขุนพรหม ซึ่งเดิมวังบางขุนพรหมเป็นอาคารที่ทำการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาในปี ๒๕๒๕ เมื่ออาคารสำนักงานใหญ่หลังแรกได้เปิดดำเนินการ วังบางขุนพรหมจึงมิได้ใช้งาน ประกอบกับมีความงดงามทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างยิ่ง จึงได้รับความเห็นชอบจากธนาคารที่จะตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๖ ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ในตำหนักใหญ่ วังบางขุนพรหม และตำหนักใหญ่วังเทวะเวสม์ ภายในบริเวณธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ ๒๗๓ ถนนสามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง เพื่ออนุรักษ์เงินตราไทยอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทยในอดีต เป็นศูนย์กลางการค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย ระบบเงินตรา ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในแต่ละยุคสมัย อเผยแพร่ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับระบบการเงินของไทย และบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะธนาคารกลางของประเทศ อืกทั้งแสดงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของอาคารโบราณสถานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุรักษ์ไว้ให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติต่อไป การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มุ่งให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าชม โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมมีการนำระบบแสง-เสียง เทคนิคฉากละคร (Diorama) ระบบมัลติมีเดีย ระบบคอมพิวเตอร์กราฟิก ฯลฯ เข้าร่วมในการนำเสนอ

          นอกจากนี้ยังได้วางระบบต่างๆ เพื่อการสงวนรักษาวัตถุจัดแสดงและความปลอดภัยอย่างถูกต้องตามหลักวิชา ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย ประวัติบทบาทหน้าที่สำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทยและวังบางขุนพรหม ให้อนุชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม โดยช่วยกันอนุรักษ์และเชิดชูไว้ให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป

จากที่ดิฉันได้เข้าไปศึกษามีด้วยกันทั้งหมด2ห้อง ห้องแรกจะจัดแสดงเกี่ยวกับ เหรียญในสมัยต่างๆในประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือของต่างประเทศ ห้องที่2จัดแสดงเกี่ยวกับ ธนบัตรในสมัยต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ

ระบบสกุลเงินไทยในปัจจุบัน ซึ่งเงิน หนึ่งบาท มีค่าเท่ากับ 100 สตางค์ เริ่มใช้ปี พ.ศ. 2440 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ในปัจจุบัน มีการผลิตเหรียญกษาปณ์อยู่ทั้งหมด 9 ชนิดคือ เหรียญ 1, 5, 10, 25 และ 50 สตางค์, 1, 2, 5 และ 10 บาท โดยเหรียญ 25 และ 50 สตางค์, 1, 2, 5 และ 10 บาท เป็นเหรียญที่ออกใช้หมุนเวียนทั่วไป ส่วนเหรียญ 1, 5 และ 10 สตางค์ ไม่ได้ออกใช้หมุนเวียนทั่วไป แต่ใช้ภายในธนาคารเท่านั้น ดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ก่อน พุทธศตวรรษที่ 6 ซึ่งกลุ่มชนเหล่านี้ได้มีการติดต่อกับชุมชนอื่นในบริเวณใกล้เคียง โดยใช้สื่อกลางใน การแลกเปลี่ยนหลายรูปแบบ เช่น ลูกปัด เปลือกหอย เมล็ดพืช เป็นต้น สำหรับชนชาติไทยสันนิษฐานว่าได้มีการนำโลหะเงินมาใช้เป็นเงินตรามาตั้งแต่ในสมัยสุโขทัย เรียกกันว่า เงินพดด้วง ซึ่งมีเอกลักษณ์ เป็นของตัวเอง และแสดงให้เห็นถึงความเจริญของชนชาติไทยที่ได้ผลิตเงินตราขึ้นใช้เองเป็นเวลาหลายร้อยปีจวบจนมีการนำเงินเหรียญตามแบบสากลเข้ามาใช้ - อาณาจักรฟูนันก่อตัวขึ้นบริเวณทางใต้ของลุ่มน้ำโขง ประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 และล่มสลายลง ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 เงินตราที่ใช้จะมีสัญลักษณ์ เกี่ยวกับกษัตริย์ การปกครอง และศาสนา โดยมีลักษณะเป็นเหรียญเงินด้านหนึ่งมีสัญลักษณ์พระอาทิตย์ครึ่งดวงเปล่งรัศมี อีกด้านหนึ่งเป็นรูปพระศรีวัตสะ กลองบัณเฑาะว์ที่พราหมณ์ใช้ในพิธีต่างๆ และมีเครื่องหมายสวัสดิกะซึ่งหมายถึงความโชคดี - อาณาจักรทวารวดีเริ่มมีความสำคัญขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 12 และล่มสลายลงในพุทธศตวรรษที่ 16 สันนิษฐานว่ามีศูนย์กลางการปกครองอยู่บริเวณจังหวัดนครปฐม เงินตราที่พบยังคงมีสัญลักษณ์เกี่ยวกับกษัตริย์ อำนาจการปกครอง ความอุดมสมบูรณ์ และศาสนา เช่น เหรียญเงินด้านหนึ่งเป็นรูปบูรณกลศ (หม้อน้ำที่มีน้ำเต็ม) ซึ่งหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ อีกด้านเป็นภาษาสันสกฤตโบราณ อ่านว่า "ศรีทวารวดี ศวรปุณยะ" แปลว่า "บุญกุศลของพระราชาแห่งศรีทวารวดี" -ราชอาณาจักรสุโขทัยได้ผลิตเงินตราขึ้นใช้ในระบบเศรษฐกิจ คือ เงินพดด้วง นอกจากนี้ยังใช้ "เบี้ย" เป็นเงินปลีกสำหรับแลกเปลี่ยนสินค้าราคาต่ำ เงินพดด้วงสันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย และใช้ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

  • ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงินที่สำคัญ พระองค์มีพระราชดำริว่า มาตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คือ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง เป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณ และการจัดทำบัญชี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงใหม่ โดยใช้หน่วยเป็นบาท และสตางค์ คือ 100 สตางค์ เป็น 1 บาท ตั้งแต่ พ.ศ. 2441 แล้วรู้หรือไม่ว่าในสมัยของพระองค์ได้เริ่มนำรูปของพระมหากษัตริย์ประทับลงบนหน้าเหรียญกษาปณ์
  • เงินกระดาษที่ออกครั้งแรกในประเทศไทย เรียกว่า "หมาย มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด ชนิดแรกเป็นหมายขนาดใหญ่มี 4 ราคา คือ 3 ตำลึง , 4 ตำลึง , 6 ตำลึง และ 10 ตำลึง หมายชนิดที่ 2 มีราคา 1 บาท , 3 สลึง, 2 สลึง ,สลึงเฟื้อง , หนึ่งสลึง และหนึ่งเฟื้อง หมายชนิดที่ 3 เป็นหมายราคาสูง มี 2 ราคา เท่านั้นคือ ราคา 20 บาท และ 80 บาท
  • กระดาษอัฐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4 โปรดเกล้าฯ ให้ใช้กระดาษแทนเบี้ย เพราะเหรียญกษาปณ์ไม่มีพอใช้ประจำวัน
  • บัตรธนาคาร ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มี 3 ธนาคารต่างประเทศ ออกบัตรธนาคารใช้แทนเงินอยู่ในท้องตลาด คือ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารชาร์เตอร์ และธนาคารแห่งอินโดจีน บัตรที่ออกเรียกว่า แบงค์โน้ต (Bank Note) แต่คนไทยเรียกสั้นๆว่า แบงค์ เลยติดปากเรียกธนบัตรของรัฐบาลว่า แบงค์มาจนถึงทุกวันี้ ธนบัตรต่างประเทศ -ธนบัตรของประเทศอังกฤษ เป็นรูปของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่2 -ธนบัตรดอลล่าสหรัฐของอเมริกาเป็นรูปของเบจามิน แฟรงเคลิน -ธนบัตรรูปีของอินเดียเป็นรูปของมหาตมะ คานที ผูเรียกร้องเอกราชอินเดีย2490 เป็นการเรียกร้องอย่างสันติวิธี -ธนบัตรเยน ญี่ปุ่นเป็นรูปของยูกิชิ ฟุกุซาวะ -ดอลล่าสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น Abraham Lincoln ปธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา บิดาระบอบประชาธิปไตยยุคใหม่ -ธนบัตรดอลล่าสิงคโปร์เป็นรูปของ ยูซุปบิน ไอซัค ปธานธิบดีคนแรกของสิงคโปร์หลังจากรับเอกราชจากประเทศอังกฤษ -ธนบัตรวอนของ ประเทศเกาหลี เป็นรูปของกษัตริย์เซจอง ราชวงศ์โชชอน ผู้ประดิษฐ์อักษรเกาหลี -ดอลล่าออสเตเลีย เป็นรูปของเนลลี เมลบา -ดอลล่านิวซีแลนด์ เป็นรูปของ เซอร์เอ็ดมัน ฮิลลารี ผู้พิชิตยอดเขาเอฟเวอเรส -เงินหยวนของจีน เป็นรูปของ เหมา เจ๋อ ตุ๋ง ปธานาธิบดี แห่งจีนคนแรก นำปฏิวัติสู่สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ สถาปนาสาธารณรัฐจีน
    นี่ก็เป็นความรู้ที่ฉันได้รับ จากการไปทัศนศึกษานอกสถานที่ในครั้งนี้ และได้รับความประทับใจคือได้เห็นสิ่งที่หลงเหลือจากอดีต มาจัดแสดงให้คนรุ่นหลังได้ดู อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เเคยเห็น แต่ก็เป็นบุญครั้งหนึ่งที่เคยเห็นสิ่งที่ล้ำค่า ที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้เราได้ดู ถ้าไม่มีพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ดิฉันก็คงไม่เคยเห็นสิ่งที่มีมานับร้อยๆปี และยังมีอยู่จริงที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

     จากการที่ข้าพเจ้าได้เข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้ศึกษาเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างอาทิประวัติของเงินตรานับตั้งแต่ยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบันนี้ประวัติศาสตร์ของเงินตรานับว่าเป็นประวัติศาสตร์อย่างหนึ่งที่มีคุณค่ามากยิ่งนัก

     "ดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นทีี่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่6 ซึ่งกลุ่มชนเหล่านี้ได้มีการติดต่อกับชุมชนใกล้เคียง โดยใใช้สื่อกลางในการเเลกเปลี่ยนหลากหลายรูปแบบเช่น เปลืกหอย เมล็ดพืช เป็นต้นสำหรับชนชาติไทยสันนิาฐานว่าได้มีการนำโลหะเงินมาใช้เป็นเงินตราตั้งแต่สมัยสุโขทัย เรียกกันว่าเป็นเงิน พดด้วง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เป็นของตัวเองและเเสดงถึงความเจริญของชนชาติไทยที่ผลิตเงินตรามาใช้เองเป็นเวลาหลายร้อยปีจวบจนมีการนำเงินตามแบบสากลมาใช้

 วิวัฒนาการเงินตราไทย

     เงินตราฟูนัน  เหรียญเงินด้านหนึ่งมีลักษณะเป็นพะอาทิตย์ครึ่งดวงเปล่งรัศมี อีกด้านหนึ่งเป็นรูปพระศรีวัตสะ กลองบัณเทาะว์ที่พราหมณ์ใช้ในพิธีต่างๆและมีเครื่องหมายสวัสดิกะวึ่งหมายถึงความโชคดี

     เงินตราทวาราวดี  เป็นเงินตราที่พบยังคงมีลักษณะเป็นกษัตริย์ อำนาจการปกครอง ความอุดมสมบูรณ์และศาสนาเช่น เหรียญเงิน อีกด้านหนึ่งเป็นรูปบูรณกลศ

    เงินตราศรีวิชัย  ประมาณพุทธศตวรรษที่13 การค้าทางทะเลมีความสำคัญมากขึ้น ส่งผลให้เมืองที่อยู่บน คาบสมุทรสุวรรณภูมิ ได้แก่ ไชยาและนครศรีธรรมราชมีความเจริญในทางการค้า

    เงินตราสุโขทัย  การผลิตเงินพดด้วงในสมัยนี้ ทางราชการเปิดโอกาสให้เจ้าเมืองประเทสราช ตลอดจนพ่อค้าและประชาชนสามารถผลิตขึ้นมาใช้เองได้ เพื่อความสะดวกและคล่องตัวในการติดต่อค้าขาย จึงพบเงินพดด้วงที่มีตราประทับหลาหลายตรากันไป ดดยอาจเป็นตราของผู้ผลิต ของเจ้าเมืองหรือผู้มีอำนาจในการรับรองของเนื้อเงินก็ได้ ตราที่พบส่วนใหญ่ได้แก่ ราชสีห์ ช้าง หอยสังข์ ธรรมจักร บัว กระต่ายและราชวัต

    เงินตราสมัยกรุงธนบุรี  สมัยนี้ยังใช้เงินพดด้วงอย่างกรุงเก่า สันนิษฐานมีการผลิตใช้เงินพดด้วงขึ้นมาใช้เพียง 2 ชนิด คือ เงินพดด้วงตราตรีศูลและตราทวิวุธ

    สมัยราชกาลที่๑  เงินพดด้วงสมัยราชกาลที่๑ เดิมประทับตราจักร และตราตรีศูล แต่หลังจากบรมราชาภิเษกแล้วได้โปรดเกล้าฯให้ผลิตเงินพดด้วงประจำราชกาลและประทับตราพระแสงจักร-บัวอุณาโลม

    สมัยราชกาลที่๒  ตราที่ประทับบนเงินพดด้วงคือ ตราจักรและตราครุฑ สันนิษฐานว่าครุฑมาจากพระนามเดิมของราชกาลที่๒ คือ "ฉิม" ซึ่งเป็นวิมารของพญาครุฑ

    สมัยราชกาลที่๓  ตราปราสาทเป็นตราประจำพระองค์ของราชกาลที่๓ ผลิตขึ้นมาเมื่อพระองค์เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติในปี พ.ศ.2367 นอกจากนี้ยังมีการผลิตเงินพดด้วงเป็นที่ระลึกในโอกาสสำคัญๆ

    สมัยราชกาลที่๔  พระองค์จึงมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนรูปเงินตราของไทยจากเงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญ ในสมัยนี้จึงถือว่ามีการใช้เหรียญกษาปณ์แบบสากลนิยมเป็นครั้งแรก ทรงประกาศให้เลิกใช้เงินพดด้วงทุกชนิด ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2447 เป็นต้นมา

    สมัยราชกาลที่๕  ในราชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน ที่สำคัญพระองค์มีพระราชดำริว่า มาตราของไทยที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คือ ชั่ง ตำลึง บาท สลึง เฟื้อง เป็นระบบที่ยากต่อการคำนวณและการทำบัญชี

    สมัยราชกาลที่๖  มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ไปใช้แต่ไม่มีการเปลี่ยนรูปแบบมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเงินกษาปณ์ที่มีราคาไม่สูงนัก คือ 1บาท,50 สตางค์,10 สตางค์,5 สตางค์ และ 1 สตางค์

    สมัยราชกาลที่๗  ในราชกาลนี้มีการผลิตเหรียญออกไปใช้ไม่มากนัก เนื่องจากอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เหรียญประจำราชกาลที่นำออกไปใช้เป็นเหรียญชนิดราคา 50 และ 25 สตางค์ ตราพระบรมรูป-ช้างทรงเครื่อง

   สมันราชกาลที่๘  เหรียญประจำราชกาลที่ผลิตออกมาใช้หมุนเวียน เป็นเหรียญตราพระบรมรูป-พระครุฑพ่าห์ ชนิดราคา 50,25,10 และ 5 สตางค์ 

    สมัยราชกาลที่๙  ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์รุ่นเเรกออกไปใช้ เป็นเหรียญอะลูมิเนี่ยมบรอนซ์ หรือทองแดง ชนิดราคา5 สตางค์ ,10 สตางค์,25 สตางค์,50 สตางค์ ลวดลายด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ด้านหลังเป็นตราแผ่นดินของไทย

นอกจากนี้ยังมีเงินตราท้องถิ่นของภาคใต้ในสมัยรัฒนโกสินทร์ที่เรียกกันว่า "อีแปะ"  ตั้งแต่สมัยราชกาลที่๒ถึงสมัยราชกาลที่๕(ตอนปลาย)แห่งกรุงรัฒนโกสินทร์(ค.ศ.1879-1970) ได้มีการผลิตและใช้อีแปะดีบุก หรือที่ชาวใต้เรียกว่า "เบี้ย"ซึ่งเกิดขึ้นเพราะความต้องการใช้เงินปลีกย่อยในเมืองหรืือในอณาเขตเมืองต่างๆ ได้แก่ สงขลา พัทลุง ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และปัตตานี โดยเป็นทีี่ยอมรับให้ใช้เฉพาะท้องถิ่น สันนิษฐานว่าชาวจีนเป็นผู็ริเริ่มผลิตอีแปะขึ้นมา ชาวใต้เลียนแบบชาวจีนโดยใช้ตะกั่วผสมดีบุกหล่อในแม่พิมพ์คล้ายกิ่งไม้ ตัวอีแปะมีลักษณะกลมบาง มีรูตรงกลางบ้างก็เรียกเหรียญกงสี เหรียญกงสีเป็นวิวิฒนาการมาจากอีแปะทำด้วยโลหะดีบุค+ตะกั่ว กลางเหรียญมีรูกลมบ้าง รูสี่เหลี่ยมบ้าง บนเหรียญส่วนใหญ่มีอักษรจีน ระบุสถานที่ใช้หรือที่ผลิต เหรียญกงสีทั้งน่าจะริเริ่มใช้ในปลายสมัยราชกาลที่๓เป็นต้นมาจนถึงสมัยราชกาลที่๕ซึ่งเป็นสมันที่ไทยเริ่มเปิดประเทศ และมีชาวจีนเป็นผู็รับเหมาเก็บภาษี กิจกรรมใหญ่ๆที่มีลูกจ้างมาก เช่นเหมืองแร่ โรงสี โรงเลื่อย เป็นต้น ต่อมาราชกาลที่๕ได้ทรงปรับเปลี่ยนระบบกาารปกครอง เศรษฐกิจการเมืองให้ทันสมัยในเรื่องของการคลัง ทางการได้ตราพระราชบัญญัติมาตราทองคำ ร.ศ.127 เมื่อ11 พฤศจิกายน 2451 ทำให้ไทยเข้าสู่ระบบการใช้ทองคำเป็นทุนสำรองและกำหนดอัตราเงินบาทเทียบเท่าทองคำ ส่วนเงินนอกระบบไม่ว่าจะเป็นเงินท้องถิ่นหรือเงินต่างประเทศจึงถูกห้ามใช้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาอีกทั้งข้าพเจ้าได้รู็ถึง

 กระบวนการผลิตธนบัตร

  1. การออกแบบธนบัตร
  2. การทำแม่แบบแม่พิมพ์
  3. การพิมพ์
  4. การตรวจสอบคุณภาพและตรวจนับจำนวน
  5. การผลิตธนบัตรขั้นสำเร็จรุป

ระบบการจัดการธนบัตรที่มีประสิทธิภาพ

  1. โรงพิมพ์ธนบัตร
  2. ฝ่ายจัดการธนบัตร
  3. ศูนย์จัดการธนบัตร (ธปท.)
  4. ศูนย์เงินสดกลางธนาคารพาณิชย์
  5. ธนาคารพาณิชย์
  6. ประชาชน

ขั้นตอนในการวางแผนทางการเงิน

  1. ประเมินฐานะทางการเงิน
  2. ระบุเป้าหมายที่ต้องการ
  3. จัดทำแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเงิน
  4. มุ่งมั่นปฏิบัติตามแผน
  5. ติดตามประเมินผลทบทวนและปรับปรุงแผน

รูปแบบการออม

  1. การออมเพื่อไว้ใช้ยามเกษียณ
  2. การออมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายยามฉุกเฉิน
  3. การออมเพื่อสิ่งที่อยากได้หรืออยากทำ
  4. การออมเพื่อใช้เป็นการลงทุน

           I was very impressed with The Museum of The Bank of Thailand,and i can take the knowledge gained applied in my everyday lifestyle whether it is a matter of process in financial planning , forms saving money and payment systems

Name: Madihah  Sa-it

ID:55127326080

พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

   จากการได้ไปศึกษาและเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ดิฉันได้รับความรู้มากมายว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชื่อไม่เป็นทางการ แบงค์ชาติ จัดตั้งขึ้นพ.ศ. 2485 เปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485หน้าที่หลักในการดูแลกำกับเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน นำออกหมุนเวียนซึ่งธนบัตรไทยรวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเงินตราระหว่างประเทศ และเฝ้าระวังอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้นหลังจากประเทศไทยได้มีธนาคารพาณิชย์ทั้งของรัฐและเอกชนเริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านั้นแล้ว ภารกิจและหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยเดิมซ้อนเหลื่อมอยู่กับกระทรวงการคลังและได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับหลังจากที่ระบบการเงินของโลกพัฒนาไปและมีวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญต่างๆ
   พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่ดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงวังบางขุนพรหม เพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑ์เงินตราและจัดแสดงประวัติวังบางขุนพรหม ซึ่งเดิมวังบางขุนพรหมเป็นอาคารที่ทำการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาในปี ๒๕๒๕ เมื่ออาคารสำนักงานใหญ่หลังแรกได้เปิดดำเนินการ  วังบางขุนพรหมจึงมิได้ใช้งาน ประกอบกับมีความงดงามทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างยิ่ง จึงได้รับความเห็นชอบจากธนาคารที่จะตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

เมื่อการจัดทำพิพิธภัณฑ์แล้วเสร็จ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๖

ต่อมาภายหลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์วังเทวะเวสม์ในปี ๒๕๔๑ จึงได้มีการปรับปรุงและอนุรักษ์ตำหนักใหญ่ วังเทวะเวสม์ และได้จัดทำห้องจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยที่ตำหนักนี้ด้วย โดยแสดงพระประวัติของสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการและแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับวังเทวะเวสม์ ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มีพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดตำหนักใหญ่ วังเทวะเวสม์ เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗ ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ในตำหนักใหญ่ วังบางขุนพรหม และตำหนักใหญ่วังเทวะเวสม์ ภายในบริเวณธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ ๒๗๓ ถนนสามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มุ่งให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าชม โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมมีการนำระบบแสง-เสียง เทคนิคฉากละคร (Diorama) ระบบมัลติมีเดีย ระบบคอมพิวเตอร์กราฟิก ฯลฯ เข้าร่วมในการนำเสนอ

   นอกจากนี้ยังได้วางระบบต่างๆ เพื่อการสงวนรักษาวัตถุจัดแสดงและความปลอดภัยอย่างถูกต้องตามหลักวิชา ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย ประวัติบทบาทหน้าที่สำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทยและวังบางขุนพรหม ให้อนุชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม โดยช่วยกันอนุรักษ์และเชิดชูไว้ให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป

สิ่งที่ดิฉันประทับใจคือ การได้รับรู้ว่าประเทศไทย มรดกที่สืบติ่กันมาช้านาน นั่นคือเรื่องของเงินตรา ซึ่งประเทศไทยเรามีการคิดค้นเงินตราต่างๆมากมายแต่ละสมัย เพื่อใช้เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนสินค้า เงินพดด้วงในสมัยสุโขทัย เงินพดด้วงในสมัยอยุธยา เงินดอกจัน ในสมัยลพบุรี และที่ไม่เคยรู้มาก่อนคือ ห้องธนบัตรทีมีแท่นพิมหน้ามีกระดาษกับดินสอให้ระบายพิมภาพจากแท่นพิมพ์ได้ จากการศึกษาดูงานครั้งนี้ช่วยให้ดิฉันอยากสะสมเงินมากขึ้นๆ และมากขึ้น เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง และคนรุ่นหลังต่อไปค่ะ

จากที่ดิฉันได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ก้าวแรกที่เดินเข้าไปประทับใจในบรรยากาศที่สงบร่มรื่นและสวยงามเป็นอย่างมาก และต่อมาดิฉันได้เดินเข้าไปเยี่ยมชมภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์ ภายในพิพิธภัณฑ์ได้มีการจัดแสดงนิทรรศการไว้มากมาย และทำให้ดิฉันรับรู้ถึงประวัติความเป็นมาของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าธนาคารแห่งประเทศไทยสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่10 ธันวาคม 2585 สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในวังบางขุนพรหม ตั้งแต่ พ.ศ. 2541 ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงอยู่ในอาณาบริเวณของวังอันงดงาม ท่ามกลางภูมิทัศน์อันร่มเย็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา สำหรับการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มุ่งให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าชม โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมมีการนำระบบแสง-เสียง เทคนิคฉากละคร (Diorama) ระบบมัลติมีเดีย ระบบคอมพิวเตอร์กราฟิก ฯลฯ เข้าร่วมในการนำเสนอ

        นอกจากนี้ยังได้วางระบบต่างๆ เพื่อการสงวนรักษาวัตถุจัดแสดงและความปลอดภัยอย่างถูกต้องตามหลักวิชา ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย ประวัติบทบาทหน้าที่สำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทยและวังบางขุนพรหม ให้อนุชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม โดยช่วยกันอนุรักษ์และเชิดชูไว้ให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป

ห้องเปิดโลกเงินตราไทย จัดแสดงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เงินตราในภูมิภาคสุวรรณภูมิและวิวัฒนการเงินตราไทยจนเป็นกษาปณ์ในปัจจุบันคือ 1. เงินตราโบราณ นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสุวรรณภูมิ...ดินแดนทองแห่งการค้า จุดบรรจบของโลกตะวันตกและตะวันออกนำเสนอด้วยวีดีทัศน์ ในรูปแบบของ Animation ส่วนวัตถุพิพิธภัณฑ์ประกอบการจัดแสดงเป็นโบราณวัตถุก่อนประวัติศาสตร์ อาทิ หม้อบ้านเชียง สร้อยลูกปัดสีน้ำเงิน ลูกปัดดินเผาบ้านเชียง กำไลหิน ต่างหูหิน ขวานหิน ขวานสำริด ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนก่อนมีเงินตรา สำหรับเงินตราโบราณที่จัดแสดงในห้องนี้ ได้แก่ เงินตราสมัยทวาราวดี เหรียญลวปุระที่หาชมได้ยาก เงินดอกจันทน์ของอาณาจักรศรีวิชัย นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงเงินตราอาณาจักรล้านนา เช่น เงินเจียง เงินท้อก เงินปากหมู เงินใบไม้ เงินอาณาจักรล้านช้าง เช่น เงินลาด เงินฮ้อย ในส่วนที่จัดแสดงเกี่ยวกับเงินตราโบราณนี้มีการจัดแสดงเงินตราโบราณของอาณาจักรใกล้เคียงที่มีหลักฐานว่ามีการนำมาใช้ในสมัยโบราณของบริเวณที่เป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน เช่น เงินไซซี เงินฮาง เงินตู้
2. เงินพดด้วง จัดแสดงเรื่องราวของเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินที่ผลิตขึ้นมาใช้กว่า ๖๐๐ ปีนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึง สมัยรัตนโกสินทร์ และยกเลิกการใช้ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในห้องจัดแสดงนี้มีเงินพดด้วงครบทุกยุคทุกสมัย เงินพดด้วงที่ถือว่าเด่นและดึงดูดสายตาผู้ชมมากคือ “พดด้วงตราพระมหามงกุฎ” “พดด้วงตราช่อรำเพย” ซึ่งเป็นพดด้วงเถาครบชุด หาชมได้ยากและ “พดด้วงทองคำ” ซึ่งมีสภาพสมบูรณ์และหาชมได้ยากเช่นกัน ส่วนรายละเอียดของกระบวนการทำเงินพดด้วงนั้นจัดแสดงในสื่อที่เรียกว่า Diorama มีเสียงบรรยายประกอบ รวมทั้งจัดแสดงอุปกรณ์การจัดทำเงินพดด้วง นอกจากนี้ยังมีMultimedia ที่แสดงเรื่องราวของการค้าสมัยอยุธยา โดยมีเรือสำเภาโปรตุเกสจำลองที่สามารถแล่นไปมาได้ นอกจากนี้ยังมีการแสดงองค์ประกอบของเงินพดด้วง ตราสัญลักษณ์ของเงินพดด้วงสมัยต่างๆ พดด้วงจำลองขนาดยักษ์ที่หมุนได้รอบทิศ Jigsaw ที่เป็นตราพดด้วงที่ผู้เข้าชมสามารถต่อเล่นได้ มุมทดสอบน้ำหนักเงินพดด้วง เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องน้ำหนักและมูลค่าของพดด้วง และเกมคอมพิวเตอร์เพื่อทดสอบความรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของการจัดแสดงในส่วนเปิดโลกเงินตรา 3. กษาปณ์ไทย จัดแสดงเรื่องราวของเหรียญกษาปณ์ในสมัยต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ “เหรียญช้าง เมืองไท” “เหรียญดอกบัว เมืองไท” จนถึงเหรียญกษาปณ์ในสมัยรัชกาลปัจจุบัน เหรียญกษาปณ์ที่เด่นและมีชื่อเสียงในแต่ละสมัย เช่น

เหรียญแต้เม้ง”  สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔

เหรียญหนวด” สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
เหรียญทองคำต้นแบบ” สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

      นอกจากนี้ ผู้ชมยังสามารถเรียนรู้เรื่องเงินตราในยุคสมัยต่าง ๆ ผ่านจอ Computer  Kiosk ซึ่งมีเนื้อหาในการสืบค้นอย่างละเอียดรอบด้านและส่งท้ายของการเรียนรู้ในห้องเปิดโลกเงินตราด้วยตู้หยอดเหรียญกษาปณ์ที่ผู้ชมสามารถเรียนรู้ขั้นตอนการผลิตเหรียญกษาปณ์โดยย่อ  แต่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างชัดเจนพร้อมรับเหรียญที่ระลึกวังบางขุนพรหมเป็นของฝากเพียงหยอดเหรียญ ๑๐ บาท จำนวน ๒ เหรียญ

ห้องธนบัตรไทย จัดแสดงวิวัฒนาการ การใช้เงินกระดาษในระบบเงินตราไทย ตั้งแต่ “หมาย” “ใบพระราชทานเงินตรา” “อัฐกระดาษ” “บัตรธนาคาร” “ตั๋วเงินกระดาษ” หรือ “เงินกระดาษหลวง” มาจนถึงธนบัตรที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เงินกระดาษชนิดแรก เริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้มีการผลิตเงินกระดาษขึ้นใช้เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๓๙๖ เรียกว่า “หมาย” ซึ่งนับเป็นเงินกระดาษชนิดแรกในระบบเงินตราไทย และมีการผลิตใบสั่งจ่ายขึ้นหลายชนิดราคาเรียกว่า “ใบพระราชทานเงินตรา” ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำ “อัฐกระดาษ” ออกใช้ระยะสั้นๆ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนเงินปลีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้นได้มีการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ระหว่างธนาคารและลูกค้า เรียกว่า “บัตรธนาคาร” ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๓๓ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้พิมพ์ “เงินกระดาษหลวง” ขึ้น เพื่อใช้เป็นธนบัตรแต่มิได้นำออกใช้เพราะขาดความพร้อม จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๔๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจัดทำตั๋วสำคัญที่ใช้แทนเงินตรา ประกาศออกใช้เมื่อวันที่ 7 กันยายน ธนบัตรไทยจึงถือกำเนิด ขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ธนบัตรที่นำมาจัดแสดงนี้ มีครบทุกแบบตั้งแต่ธนบัตรแบบหนึ่งเป็นต้นมา รวมทั้งธนบัตรที่ระลึกและบัตรธนาคาร ไม่แต่เท่านั้นยังแสดงรายละเอียดของธนบัตรแต่ละรุ่นว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร แสดงแบบร่างสีก่อนที่จะนำมาตีพิมพ์ หรือ มิได้นำมาตีพิมพ์ ธนบัตรที่ตีพิมพ์แล้วแต่มิได้นำออกใช้ ธนบัตรที่หายากเป็นพิเศษ เบื้องหลังของธนบัตรที่น่าสนใจใคร่รู้ เช่น แบ็งก์กงเต็ก ธนบัตรไว้ทุกข์ เป็นต้น ห้องธนบัตรต่างประเทศ มีจอภาพขนาดใหญ่ให้ความรู้เรื่องธนบัตรต่างประเทศจากทั่วโลก พร้อมจัดแสดงธนบัตรในบอร์ดกระจกที่ผู้ชมสามารถพลิกชมเองได้ทั้งสองด้าน โดยจัดแสดงธนบัตรในกลุ่มประเทศที่สำคัญซึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสมาชิก อาทิ กลุ่มผู้นำประเทศอุตสาหกรรม (G8)และกลุ่มธนาคารแห่งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEACEN) ห้องบริพัตร จัดแสดงพระประวัติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตไว้อย่างสมบูรณ์ด้วยวีดีทัศน์เรื่อง “เจ้าฟ้านักบริหาร แบบอย่างของผู้ทรงนำคุณประโชยน์เพื่อแผ่นดิน” ซึ่ง เพลงประกอบที่ไพเราะของเรื่องนี้จัดทำโดยพระนัดดาของพระองค์เอง สำหรับเรื่องราวของพระอัจฉริยภาพทางดนตรีนั้น นำเสนอด้วยเทคนิค Ghost Box ที่ถ่ายทอดเรื่องราวโดยพระธิดาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต คือ “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทุรัตนา” ซึ่งผู้ชมจะได้ฟัง เพลงมาร์ชบริบัตรและฮังกาเรียนราฟโซดีอันมีชื่อเสียง นอกจากนี้ ยังนำเสนอเพลงพระนิพนธ์ผ่านทางหุ่นจำลองวงปี่พาทย์ไม้แข็งครบวง สำหรับวัตถุประกอบการจัดแสดงนั้น ที่น่าสนใจจะเป็นของใช้ที่ มีตราประจำพระองค์ เช่น จาน เครื่องแก้ว ของที่ระลึกที่ประทาน “แหนบบริพัตร” นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบินบริพัตรจำลอง โน้ตเพลงลายพระหัตถ์ รวมทั้งหุ่นจำลองขนาดเท่าพระองค์จริงในฉลองพระองค์จอมพลทหารเรือที่โดดเด่น จุดสุดท้ายที่ดึงดูดใจผู้ชมอย่างมากคือ หุ่นจำลองตำหนักประเสบัน ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย และฉลองพระองค์ชุดสุดท้ายของพระองค์ที่มหาดเล็กคู่พระทัยถอดเก็บไว้บูชาหลังจากสิ้นพระชนม์ และทายาทได้นำมามอบให้พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อการจัดแสดงและระลึกถึงพระองค์

      นับว่าการที่ได้มาเยี่ยมชมในครั้งนี้ทำให้ดิฉันได้รับความรู้เป็นอย่างมาก เพราะภายในห้องเรียนไม่สามารถหาความรู้ได้ขนาดนี้ เพราะการได้มาสถานที่จริงทำให้เราตื่นเต้น กระตือรือร้น อยากได้ความรู้อยู่ใหม่ๆ ได้สัมผัสกับสิ่งที่ได้เรียนรู้จริง ภายในห้องยังมีคอมพิวเตอร์ไว้ให้สำหรับเล่นเกมส์ ส่วนเกมส์นั้นก็จะแทรกความรู้ต่างๆเกี่ยวกับการเงินในสมัยต่าง ๆไว้เพื่อเพิ่มพูนความรู้สำหรับผู้ที่มาเยี่ยมชม และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในบทเรียนต่อไปได้ค่ะ

สิ่งที่ได้รับจากการไปศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

      ประเทศไทยนำธนบัตรออกใช้เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2445 ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยามรัตนโกสินทร ศก 121 โดยมีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (กระทรวงการคลัง ในปัจจุบัน) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุม ดูแล การสั่งพิมพ์และนำออกใช้ธนบัตรภายในประเทศ จนกระทั่ง มีการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นเมื่อพ.ศ. 2485 กิจการทั้งปวงและอำนาจในการดำเนินการเกี่ยวกับธนบัตร จึงถูกโอนมาอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาเมื่อพ.ศ. 2512 ธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรขึ้นเป็นผลสำเร็จ จึงได้พิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้เองภายในประเทศ ได้แก่ ธนบัตรแบบ 11 รวมทั้งแบบอื่น ๆ เป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน

ก่อนที่จะมีการนำธนบัตรเข้ามาใช้ร่วมกับเงินตราชนิดอื่น ๆ ในระบบการเงินของประเทศ ชนชาติไทยได้ใช้หอยเบี้ย ประกับ (ดินเผาที่มีตราประทับ) เงินพดด้วง ปี้กระเบื้อง และเหรียญกษาปณ์เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน จนกระทั่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติและเปิดเสรีทางการค้า ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น จนไม่สามารถผลิตเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินตราหลักในขณะนั้นได้ทันต่อความต้องการ ทั้งยังมีผู้ทำเงินพดด้วงปลอมออกใช้ปะปนในท้องตลาด จนเป็นปัญหาเดือดร้อนกันทั่วไป ในพ.ศ. 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดแรกขึ้นใช้ในระบบเงินตราของประเทศ เรียกว่า หมาย ต่อมาระหว่างพ.ศ. 2415 - 2416 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เกิดปัญหาเหรียญกษาปณ์ชนิดราคาต่ำซึ่งเป็นเงินปลีกที่ทำจากดีบุกและทองแดงขาดแคลน ประกอบกับมีการนำ ปี้ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ใช้แทนเงินในบ่อนการพนันมาใช้แทนเงินตรา ในพ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้จัดทำเงินกระดาษชนิดราคาต่ำเรียกว่า อัฐกระดาษ ให้ราษฎรได้ใช้จ่ายแทนเงินเหรียญที่ขาดแคลน แต่อัฐกระดาษก็ไม่เป็นที่นิยมใช้เช่นเดียวกับหมาย เงินกระดาษชนิดต่อมา คือ บัตรธนาคาร ซึ่งธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามธนาคารที่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ธนาคารชาร์เตอร์แห่งอินเดีย ออสเตรเลีย และจีน และธนาคารแห่งอินโดจีน ได้ขออนุญาตนำบัตรธนาคารออกใช้ เมื่อพ.ศ. 2432, 2441, และ 2442 ตามลำดับ เนื่องจากในช่วงเวลานั้นรัฐบาลประสบปัญหาไม่สามารถผลิตเหรียญกษาปณ์ได้ทันต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจ บัตรธนาคาร มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินชนิดหนึ่งที่ใช้อำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ระหว่างธนาคารกับลูกค้า ดังนั้น การหมุนเวียนของบัตรธนาคารจึงจำกัดอยู่ในวงแคบเฉพาะบุคคลที่มีความจำเป็นต้องติดต่อธุรกิจกับธนาคารดังกล่าวเท่านั้น อย่างไรก็ดี บัตรธนาคารมีส่วนช่วยให้ประชาชนรู้จักคุ้นเคยกับเงินที่เป็นกระดาษมากขึ้น และเนื่องจากมีระยะเวลาการนำออกใช้นานกว่า 13 ปี (พ.ศ. 2432 - 2445) ทำให้การเรียกบัตรธนาคารทับศัพท์ว่า แบงก์โน้ต หรือ แบงก์ ในขณะนั้น สร้างความเคยชินให้คนไทยเรียกธนบัตรของรัฐบาลที่ออกใช้ในภายหลังว่า แบงก์ จนติดปากมาถึงทุกวันนี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลในสมัยนั้นได้พิจารณาเห็นว่าบัตรธนาคารที่สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศออกใช้อยู่ในขณะนั้น มีลักษณะคล้ายกับเงินตราที่รัฐบาลควรจัดทำเสียเอง ในพ.ศ. 2433 จึงได้เตรียมการออกตั๋วเงินของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เรียกว่า เงินกระดาษหลวง โดยสั่งพิมพ์จากห้างกีเชคเก้ แอนด์ เดวรีเอ้นท์ ประเทศเยอรมนี จำนวน 8 ชนิดราคา เงินกระดาษหลวงได้ส่งมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อพ.ศ. 2435 แต่เนื่องจากความไม่พร้อมของทางการในการบริหาร จึงมิได้นำเงินกระดาษหลวงออกใช้ จนกระทั่งพ.ศ. 2445 จึงเข้าสู่วาระสำคัญในการออกธนบัตร กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการให้ตรา พระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก 121 ขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2445 อีกทั้งโปรดให้จัดตั้ง กรมธนบัตร ในสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อทำหน้าที่ออกธนบัตรและรับจ่ายเงินขึ้นธนบัตร และเปิดให้ประชาชนนำเงินตราโลหะมาแลกเปลี่ยนเป็นธนบัตรตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2445 จึงนับว่าธนบัตรได้เข้ามามีบทบาทในระบบการเงินของไทยอย่างจริงจังนับแต่นั้นมา ธนบัตรที่นำออกใช้ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยาม รัตนโกสินทรศก 121 นั้น มีลักษณะเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินของรัฐบาลที่สัญญาจะจ่ายเงินตราให้แก่ผู้นำธนบัตรมายื่นโดยทันที ต่อมา ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2471 ซึ่งกำหนดให้เงินตราของประเทศประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ ตลอดจนให้ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์เป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย จึงเป็นการเปลี่ยนลักษณะของธนบัตรจากตั๋วสัญญาใช้เงินมาเป็นเงินตราอย่างสมบูรณ์

       ซึ่งในห้องธนาบัตรไทย จะมีให้ผู้เยี่ยมชมพิมลายธนาบัตร

จากการที่ได้ไปชมพิพิธภัณฑ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (The Bank of Thailand: BOT) ได้รับความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเหรียญกษาปณ์ที่มีการพัฒนาให้มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ของแต่ละสมัย จนถึงปัจจุบันที่เห็นกันบ่อยๆ และมีการผลิตธนบัตรที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน การผลิตเหรียญกษาปณ์และธนบัตรที่เห็นในแต่ละสมัยเกิดจากวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาจากชีวิตและวัฒนธรรมของมนุษย์ตลอดเวลาอันยาวนาน เหรียญกษาปณ์และเหรียญที่ระลึกผลิตขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะโอกาสสำคัญเกี่ยวกับสถาบันชาติ ทำขึ้นด้วยโลหะที่มีค่า เป็นเหรียญที่ผลิตเพื่อนำออกใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเป็นเงินปลีก ผลิตในปริมาณเพียงพอสำหรับความต้องการใช้ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ก็จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและลวดลายไปตามแต่ละยุคสมัย ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เริ่มนำพระบรมรูปพระมหากษัตริย์ประทับบนหน้าเหรียญตามแบบสากลนิยมครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2419 ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าในธนบัตรหรือเหรียญนั้นจะมีลวดลายที่สื่อความหมายได้ชัดเจน จากด้านหน้านั้น ก็จะเห็นได้ว่ามีรูปพระบรมรูปรัชกาลที่ 9 (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) หมายถึง สถาบันกษัตริย์ ด้านหลังก็จะเห็นเป็นภาพวัดสำคัญ สื่อความหมาย สถาบันศาสนา ประเทศไทย สื่อความหมาย สถาบันชาติ และได้ทราบประวัติเกี่ยวกับการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย เบี้ยหอย เป็นเงินปลีกที่ใช้เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนสมัยโบราณ แต่มีราคาต่ำ มีสุภาษิตเกี่ยวกับเบี้ยไว้ว่า เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน เก็บเบี้ยที่ตกอยู่ตามใต้ถุนร้าน หรือแผงลอยวางของขายซึ่งตกหล่นอยู่บ้าง เพราะมีการซื้อขายแลกเปลี่ยนเบี้ยกับของโดยไม่เห็นว่าจะเป็นเบี้ยมีราคาต่ำ เบี้ยปรับ เบี้ยบ้ายรายทาง เบี้ยต่อไส้ หอยเบี้ย เบี้ยหัวแตก สิบเบี้ยใกล้ เบี้ยหัวแหล เป็นต้น เมื่อ วันที่ 26 ตุลาคม 2482 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทย วันที่ 13 พฤษภาคม 2483 สำนักงานธนาคารชาติไทยเริ่มปฏิบัติงานเป็นวันแรก วันที่ 26 มิถุนายน หลวงประดิษฐมนูธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ทำพิธีเปิดสำนักงานธนาคารชาติไทย และเมื่อ พ.ศ. 2485 ได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย การผลิตเหรียญกษาปณ์ ก็จะมีภาพประกอบการผลิตทีละขั้นตอน เริ่มจากการผลิตเหรียญตัวเปล่า มีขั้นตอนที่หลากหลายดังนี้ หลอมและหล่อโลหะ รีดแผ่นโลหะ ตัดเหรียญตัวเปล่า ยกขอบเหรียญ อบอ่อน ล้างทำความสะอาดและอบให้แห้ง -รับเหรียญตัวเปล่า
การทำแม่แบบ เริ่มจาการ ปั้นแบบดินน้ำมัน หล่อปูนพลาสเตอร์
ต่อด้วยการทำแม่ตรา หล่ออีพ็อกซี่ ย่อลาย ถอนแม่ตรา
การทำดวงตรา เริ่มจากการนำ แม่ตรา ถอนดวงตรา ดวงตรา การตีตราเหรียญสำเร็จ รับเหรียญสำเร็จ จากขั้นตอนทั้งหมดนั้นทำให้เห็นว่าการทำเหรียญในแต่ละเหรียญนั้นมีขั้นตอนที่ยากลำบากในการผลิตและมีขั้นตอนมากมายต้องใช้เวลาในการผลิต เพื่อที่จะให้เหรียญนั้นมีคุณภาพ ทนทาน สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจ คือ สถานที่ตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสถานที่ที่มีความงดงามมาก และเป็นการที่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เห็นได้สัมผัสกับการเรียนรู้เกี่ยวกับวิวัฒนากการของเงินตราของแต่ละยุคแต่ละสมัยจนถึงเงินตราที่ใช้ในปัจจุบันด้วยตนเอง การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นั้นจะมีเกมส์เกี่ยวกับการผลิตเหรียญทำให้เข้าเจ้ามีความเพลิดเพลินที่จะเรียนรู้ข้อมูลการผลิต ได้เห็นภาพขั้นตอนการผลิตเหรียญมากขึ้น ทำให้รู้ว่าเหรียญแต่ละเหรียญนั้นมีขั้นตอนที่หลาหลาย กว่าจะผลิตให้เป็นเหรียญที่มีคุณภาพ มาตรฐานนั้นต้องใช้เวลา ในการศึกษานอกสถานที่ในครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเงินมากขึ้น

ประภาพร เหลือถนอม 55127326047

 

ความรู้ที่ได้จากการศึกษาดูงานที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

 มาตราเงินไทยโบราณ

ในอดีตที่สังคมไทยใช้สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทั้งหอยและพดด้วง การกำหนดมูลค่าของเงินแต่ละชนิด ต้องใช้วิธีชั่งน้ำหนัก มาตราเงินไทยจึงเป็นหน่วยเดียวกับมาตราชั่งน้ำหนัก โดยเขียนเลขจำนวนเงินลงตามตำแหน่งของหน่วยเงินลงตามตำแหน่งของหน่วยเงิน ซึ่งขีดเป็นรูป กากบาท หรือที่เรียกว่า “ครุตีนกา” หรือ “ครุเรือนเงิน”

 เงินพดด้วงเอกลักษณ์เงินตราไทย

จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในดินแดนประเทศไทยมีการขุดพบกำไลที่มีตราประทับในพื้นที่ ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองศรีสัชนาลัย เมืองสำคัญก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย ด้วยลักษณะของเงินกำไลที่เป็นวงโค้ง และมีพัฒนาการของปลายขาทั้งสองข้างที่ค่อยๆขดเข้าหากัน จนมีขนาดกะทัดรัด สันนิษฐานว่าเงินกำไลเป็นต้นกำเนิดของเงินพดด้วงสมัยสุโขทัย

สัญลักษณ์แห่งพระมหากษัตริย์ในธนบัตรไทย

-ธนบัตรไทยออกใช้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เรียกว่าธนบัตรแบบหนึ่ง โดยมีรูปครุฑพ่าห์ ซึ่งเป็นตราแผ่นดิน และใช้เป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์พระมหากษัตริย์ปรากฏในธนบัตรแบบหนึ่งตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๑ นับแต่นั้นมาธนบัตรไทยทุกแบบจะมีรูปพระครุฑห่าห์ ปรากฏอยู่ในธนบัตรเสมอมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์นั้น เชิญมาเป็นภาพประธานด้านหน้าธนบัตรครั้งแรกในธนบัตรแบบสามออกใช้สมัยรัชกาลที่ ๗ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ และตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ ธนบัตรที่ใช้หมุนเวียนได้เริ่มใช้ลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ดังนั้น นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา สัญลักษณ์หลักแทนพระองค์พระมหากษัตริย์ในธนบุตรไทยประกอบด้วย ๑. พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์(ที่เป็นภาพประธานด้านหน้า) ๒. ลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ๓. รูปพระครุฑพ่าห์

สัญลักษณ์แห่งพระมหากษัตริย์ปรากฏในเงินตราไทยอย่างชัดเจนในเงินพดด้วงสมัยอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๑๐) ในรูปแบบที่เรียกว่าตราประจำรัชกาล โดยปรากฏคู่กับตราจักร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตราแผ่นดิน ระบบสัญลักษณ์นี้ดำรงอยู่มาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๔

เมื่อมีการใช้เงินกระดาษเป็นครั้งแรก ใน พ.ศ. ๒๓๙๖ เรียกว่า “หมาย” สัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์เป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์ รูปพระมหาพิชัยมงกุฎ รวมทั้งมีรูปแสงพระจักร และพระราชลัญจกรอื่นๆ

สัญลักษณ์แทนพระองค์พระมหากษัตริย์ในเงินตราไทย ได้ส่งต่อมาถึงธนบัตรที่ใช้หมุนเวียนในทุกวันนี้ โดยวิวัฒนาการเป็นพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ และรูปพระครุฑพ่าห์เป็นหลัก และมีสัญลักษณ์อื่นเป็นด้านรอง ซึ่งการเลือกใช้สัญลักษณ์แห่งพระมหากษัตริย์ในธนบัตรชนิดราคาใดไม่มีกฎเกณฑ์โดยเฉพาะ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายในการออกแบบธนบัตร องค์ประกอบธนบัตร ความสอดคล้องกับภาพหรือสัญลักษณ์ด้านหลังธนบัตร ทั้งนี้ เมื่อได้ใช้สัญลักษณ์แทนพระองค์พระมหากษัตริย์ ทั้ง ๓ สัญลักษณ์ที่เป็นหลักครบถ้วนแล้ว สัญลักษณ์อื่นๆ อาจนำมาใช้ได้ตามความเหมาะสม

ตราจักรี  เริ่มใช้ครั้งแรกในธนบัตรแบบสิบสาม ซึ่งประกอบด้วยชนิดราคา ๕๐ บาท และ๕๐๐ บาท มีวัตถุประสงค์ เพื่อร่วมฉลองงามสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ จึงมีตราจักรีที่เป็นเครื่องหมายแห่งพระบรมจักรีราชวงศ์เป็นภาพประกอบ ตราจักรีนี้ยังคงปรากฏอยู่ในธนบัตรแบบสิบห้า ชนิดราคา ๕๐ บาทด้วย เพราะเป็นชนิดราคาที่ออกใช้ต่อเนื่องกัน

พระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ปรากฏบนธนบัตรหมุนเวียนครั้งแรกในธนบัตรแบบสิบสี่ ชนิดราคา ๑๐๐๐ บาท ออกใช้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้สอดคล้องกับภาพประธานด้านหลังที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ ซึ่งพระราชลัญจกรนี้ยังปรากฏสืบต่อมาในธนบัตรแบบสิบห้า ชนิดราคา ๑๐๐๐ บาทด้วย เพราะมีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกัน

ตราอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. ปรากฏใช้ครั้งแรกในธนบัตรแบบสิบสี่ ชนิดราคา ๑๐๐ บาท เพื่อให้สอดคล้องกับภาพประกอบด้านหลังที่มีตราอักษรปรมาภิไธย จ.ป.ร. และ ว.ป.ร. ของรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ ตามลำดับ ตราอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. ยังมีปรากฏต่อเนื่องในธนบัตรแบบสิบห้า ชนิดราคา ๒๐ บาท ๑๐๐ บาท และ ๕๐๐ บาท เพื่อความสอดคล้องกับภาพประกอบด้านหลังธนบัตรที่มีพระราชลัญจกรหรือตราอักษรปรมาภิไธยกำกับอยู่

ธนบัตรเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทย ธนบัตรแบบใหม่ที่เริ่มออกใช้ในปัจจุบัน คือ ธนบัตรแบบสิบหก มีจุดมุ่งหมายเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณูปการแก่ประเทศชาติ ชนิดราคาแรกที่ออกใช้คือ ๕๐ บาท ออกใช้เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ธนบัตรนี้ยังคงมี ๓ สัญลักษณ์หลักแทนพระองค์พระมหากษัตริย์ คือ  พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นภาพประธานด้านหน้า ลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ และรูปพระครุฑพ่าห์ ส่วนภาพประธานด้านหลังเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงหลั่งทักษิโณทก ภาพจิตรกรรมฝาผนังทรงพระแสงดาบ นำทหารเข้าตีค่ายพม่า พระบรมราชานุสาวรีย์ ณ อนุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี และพระเจดีย์ชัยมงคล วัดใหญ่ชัยมงคล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  โดยเหตุที่พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตบางพระองค์ไม่มีตราสัญลักษณ์ของราชวงศ์ จึงมิได้เชิญตราสัญลักษณ์มาพิมพ์บนด้านหน้าธนบัตร ดังนั้นธนบัตรแบบสิบหก ชนิดราคา ๕๐ บาทจึงไม่ได้แสดงสัญลักษณ์ เช่น ตราจักรี ดังเช่นธนบัตรอื่นๆ

 

 

      สิ่งที่ได้รับจากการเข้าเยี่ยมชมที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย  คือการแสดงเงินตราไทย  ธนบัตรต่างประเทศ  ธนบัตรไทยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันและอดีตที่ผ่านมาจะมีขั้นตอนการแสดงขั้นตอนการผลิตเหรียญและขั้นตอนการผลิตธนบัตรที่เราใช้กันในปัจจุบัน เช่น

ขั้นตอนการผลิตธนบัตรมี1.ขั้นตอนการผลิตธนบัตร 2. การผลิตแม่แบบแม่พิมพ์ 3. การพิมพ์ธนบัตร >การพิมพ์สีพื้น >การพิมพ์เส้นนูน >การพิมพ์เลขหมายลายเซ็น 4.การตรวจสอบคุณภาพ 5.การผลิตธนบัตรสำเร็จรูป และเงินตราที่ใช้ในสมัยต่างๆ ที่ผ่านมาเช่น อีแปะ เป็นเงินตราที่ใช้กันในภาคใต้ในสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น พัทลุง สงขลา ปัตตานีการผลิตพดเงินพดด้วงในสมัยรัตนโกสินทร์ ตามที่บันทึกของนาย Reginald Le May เมื่อครั้งได้เข้าไปชมการแสดงวิธีทำเงินพดด้วงที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัตรพดด้วงกับวิธีการค้าสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 1893-2310 เงินพดด้วงสมัยอยุธยาด้วยสภาพเอื้อทางภูมิศาสตร์ของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีแม่น้ำรอบ 3 สายไหลบรรจบกัน ทำให้เกิดเป็นที่ราบและเกิดความอุดมสมบรูณ์ กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองท่านานาชาติที่สำคัญของเอเชีย พดด้วงเอกลักษณ์เงินตราของไทย จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในดินแดนประเทศไทย มีการขุดกำไรที่มีตราประทับพื้นที่ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองศรีสัชนาลัย ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย ด้วยลักษณะกลมคล้ายลูกปืนโบราณ ชาวต่างประเทศจึงเรียนว่า Bullet coin หรือ Bullet Money และ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB)มีหน่วยงานที่รับผิดชอบกิจการธนบัตร นับตั้งแต่เริ่มมีธนบัตรออกใช้ครั้งแรก พ.ศ. 2445 ได้มีการจัดตั้งกรมธนบัตร - พ.ศ. 2452 กรมธนบัตรขึ้นต่อกรมตรวจและกรมบัญชี - พ.ศ. 2548 กรมธนบัตรขึ้นต่อกรมบัญชีกลาง - พ.ศ. 2471 เปลี่ยนชื่อเป็นกรมเงินตราขึ้นต่อกรมบัญชีกลาง สังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ - พ.ศ. 2476 ลดฐานะเป็นกองเงินตรา ขึ้นต่อกรรมกรมคลังซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นเป็นกระทรวงการคลัง - พ.ศ. 2485 งานด้านกิจการธนบัตรทั้งหมดถูกโอนมาให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติธนาคาร แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 ซึ่งได้จัดตั้งฝ่ายออกบัตรธนาคาร ขึ้นเป็นหน่วยงานรับผิดชอบต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น ลายออกบัตรธนาคารและธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นธนาคารกลางของประเทศ มีบทบาทหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและดูแลระบบการเงินให้มั่นคงพันธกิจมุ่งเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่มั่งคง มีเสถียรภาพเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน อันจะนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง วิสัยทัศน์ เป็นองค์กรที่มองก้าวไกล พนักงานมีความสามารถสูง และอุทิศตนเพื่อดูแลเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นความผันผวนได้อย่างราบรื่น สิ่งที่ประทับใจที่ได้ไปที่ พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดแสดงเงินตรา และธนบัตรในสมัยต่างๆที่ผ่านมาที่ไม่เคยเห็นก็มีเห็นจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยแห่งนี้ และได้รับประโยชน์ความรู้อีกมากมาย สิ่งได้เห็นครั้งแรกก็ประทับใจในพิพิธภัณฑ์ที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและบรรยากาศที่สดชื่น

      พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ 273 ถนนสามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

      ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นธนาคารกลางของประเทศ มีบทบาทหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและดูแลระบบการเงินให้มั่นคง

พันธกิจ   มุ่งเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่มั่นคง  มีเสถียรภาพ  เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน  อันจะนำไปสู่การยกระดับมาตรฐาน  การครองชีพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

วิสัยทัศน์  เป็นองค์กรที่มองการณ์ไกล  พนักงานมีความสามารถสูง  และอุทิศตนเพื่อการดูแลเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นความผันผวนได้อย่างราบรื่น

ตราธนาคารแห่งประเทศไทย   พระสยามเทวาธิราช

ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยปัจจุบัน  นายประสาร  ไตรรัตน์วรกุล

      การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย  ได้รู้ว่าสมัยโบราณใช้หอยเบี้ย  เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน  หอยเบี้ยที่ใช้อยู่ในประเทศไทยสมัยโบราณ  ส่วนใหญ่ใช้ชนิดเบี้ยจั่นและเบี้ยนางและได้รู้ว่า

เงินพดด้วงสมัยสุโขทัย(1781-1981)  ทำด้วยแท่งโลหะเงิน สันฐานกลม  ปลายขาเงินยาวและแหลมชิดกัน  มีรูขนาดใหญ่ระหว่่างขา  มีตราประทับแตกต่าง  เช่น  ธรรมจักร  ช้าง  วัว  กระต่าย  ราชสีห์  ดอกไม้  เป็นต้น

เงินพดด้วงสมัยอยุธยา(1893-2310)   มีแม่น้ำ 3 สายไหลมาประจบกัน  ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ มีเส้นทางติดต่อทางคมนาคมกับต่างประเทศ  มีความเจริญรุ่งเรือง  ลักษณะเหรียญมีสันฐานกลม  ขาสั้นโค้งปลายชิดกัน  มีตราประทับ 2 ตรา  ด้านบนส่วนใหญ่เป็นตราธรรมจักรเป็นตราประจำแผ่นดิน  ด้านหน้าเป็นตรารัชกาล

เงินพดด้วงสมัยธนบุรี(2310-2325)   มีลักษณะเหมือนพดด้วงสมัยอยุธยาตอนปลาย  มีลักษณะกลม  ขาอ้วนสั้นชิดกัน  ประทับตราแสงจักรเป็นตราประจำแผ่นดิน  และตราตรีศูลเป็นตราประจำรัชกาล

ห้องธนบัตรไทย

   มีการจัดแสดงตั้งแต่เงินกระดาษแบบแรกที่เรียกว่า  หมาย  ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธนบัตรแบบแรกของไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงธนบัตรแบบที่ใช้ในปัจจุบัน  ตลอดจนธนบัตรที่ระลึกชมวัตถุจัดแสดงที่ล้ำค่า  เช่น  ทองคำแท่ง  ซึ่งเป็นทุนสำรองเงินตราสำคัญของประเทศ

กระบวนการผลิตธนบัตร

  1. การออกแบบธนบัตร
  2. การทำแม่แบบ  แม่พิมพ์
  3. การพิมพ์
  4. การตรวจสอบคุณภาพและการตรวจนับจำนวน
  5. การผลิตธนบัตรขั้นสำเร็จรูป

สัญลักษณ์แห่งพระมหากษัตริย์ในธนบัตรไทย

    ธนบัตรไทยออกใช้ครั้งแรกเมื่อ  พ.ศ.  2445  ในสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกว่าธนบัตรแบบหนึ่ง  โดยมีรูปพระครุฑพ่าห์  ซึ่งเป็นตราแผ่นดิน  และใช้เป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์พระมหากษัตริย์ปรากฏในธนบัตรแบบหนึ่งตั้งแต่ พ.ศ.  2461  นับแต่นั้นมาธนบัตรไทยทุกแบบจะมีรูปพระครุฑพ่าห์  ปรากฏอยู่ในธนบัตรเสมอมาจนถึงปัจจุบัน  ส่วนพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์นั้น  เชิญมาเป็นภาพประธานด้านหน้าธนบัตรครั้งแรกในธนบัตรแบบสามออกใช้สมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2477  และตั้งแต่ พ.ศ. 2500  ธนบัตรที่ใช้หมุนเวียนได้เริ่มใช้ลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์  ดังนั้น  นับตั้งแต่  พ.ศ. 2500  เป็นต้นมา  สัญลักษณ์หลักแทนพระองค์พระมหากษัตริย์ในธนบัตรไทยประกอบด้วย

  1. พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์  ที่เป็นภาพประธานด้านหน้า
  2. ลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์
  3. รูปพระครุฑพ่าห์

 วิธีการสังเกตธนบัตรปลอม 

    สัมผัส

       กระดาษธนบัตร  แกร่ง  ทนทาน  ไม่ยุ่ยง่าย

       ลวดลายเส้นนูน  ตัวเลขแจ้งราคามุมขวาบน  และตัวอักษรไทยด้านหน้าธนบัตร  เมื่อลูบด้วยนิ้วมือจะรู้สึกสะดุดกับหมึกพิมพ์

    ยกส่อง

       ลายน้ำ  พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ชัดเจนทั้งสองด้าน  ประดับด้วยรูปลายไทยที่โปร่งแสงเป็นพิเศษ

       แถบสีโลหะในเนื้อกระดาษ  มีตัวเลขและตัวอักษรขนาดจิ๋วโปร่งแสงแจ้งราคา

    พลิกเอียง

       หมึกพิมพ์พิเศษสลับสี  ตัวเลข 500 เปลี่ยนจากสีเขียวเป็ฯสีม่วง  ตัวเลข 1000 ส่วนที่เป็นสีทองเปลี่ยนเป็นสีเขียว

       แถบฟอยล์สีทอง  บนธนบัตร 1000 500 และ 100 บาท  จะเห็นลวดลายหลายสีและสะท้อนแสงเมื่อพลิกธนบัตรไปมา

      ความประทับใจพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย   ประทับใจตั้งแต่ที่ได้เห็นสถานที่ มีความสวยงามมาก สะอาด อากาศดี  และทำให้เรามีความรู้เกี่ยวกับเงินตราประเทศเรามากขึ้น  ได้รู้วิธีการผลิตเหรียญกษาปณ์และการผลิตธนบัตรว่าผลิตอย่างไร  และทำให้รู้เรื่องเงินตราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  และประทับใจห้องธนบัตร  ที่มีกิจกรรมให้ทำและเพลิดเพลิน  เช่น  การระบายบนแท่นพิมพ์ที่มีรูปสัญลักษณ์ต่างๆ อาทิเช่น  ลายดอกพุดตาน  เรือสำเภา  สิงห์  รูปรัฐธรรมนูญ  เป็นต้น  ในการได้มาศึกษาหาความรู้ในที่นี้  ทำให้รู้สึกมีความสนุก ไม่น่าเบื่อ และได้ความรู้อีกด้วย

      

  ธนาคารแห่งแระเทศไทยตั้งอยู่ที่วังบางขุนพรหม  จากที่ข้าพเจ้าไปสัมผัสเป็นสถานที่ที่งดงามอย่างยิ่ง  ธนาคารแห่งประเทศไทย  มีผู้ว่าการธนคารคนแรก  คือ  พระวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย  และผู้ว่าการธนคารคนปัจจุบันคือ  นายประสาน  ไตรรัตน์วรกุล  และตราสัญลักษญ์ของธนคารแห่งประเทศไทย  คือ พระสยามเทวาธิราช
  จากที่ข้าพเจ้าได้ไปทัศนะศึกษาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยในครั้งนี้  ได้รับความรู้มากมาย   แต่จะขอยกมาเพียงบางส่วน  ดังนี้
   1.ได้เรียนรู้ถึงวิธีการใช้ธนบัตรที่ถูกต้อง  เพื่อที่จะช่วยชาติประหยัดงบประมาณในการพิมพ์ธนบัตร
  • ควรเก็บธนบัตรเหยียดตรงหลีกเลี่ยงการพับ และกรีดจนเป็นรอย
  • หลีกเลี่ยงการเย็บด้วยลวดเย็บกระดาษ การขีดเขียน การประทับตราหรือนำธนบัตรไปใช้ในการประดิษฐ์
  • เก็บธนบัตรให้ห่างจากความร้อนและความชื้น
    2.ได้รู้ว่าะนบัตรที่ชำรุดสามารถนำไปแลกคืนจากธนคารได้ในอัตราต่างๆตามสภาพที่ชำรุด  ดังนี้้ 
    
    -ขาดครึ่งฉบับแยกตรงกลางตามแนวตั้งมีค่าครึ่งราคา -ต่อท่อนผิดไม่เกินสองท่อน แบบชนิดและราคาเดียวกัน เนื้อที่เหลือเกินครึ่งฉบับ ราคาเต็ม -ขาดวิ่น ธนบัตรเหลือเกินครึ่งฉบับ มีค่าเต็มราคา -ลบเลือน แต่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ว่าเป็นธนบัตรรัฐบาลม่ค่าเต็มราคา 3.รู้ขั้นตอนการผลิตธนบัตร -ออกแบบ -ทำแม่พิมพ์ -การพิมพ์ -ตรวจสอบคุณภาพและนับจำนวน -ผลิตธนบัตรขั้นสำเร็จรูป 4.ได้รู้ถึงบทบาทของธนคารแห่งประเทศไทย -รักษาเสถียรภาพทางการเงิน -กำกับดูแลสถาบันการเงิน -เป็นนายธนาคารและเป็นที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐ -บริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ -จัดพิมพ์และออกใช้ธนบัตร 5.ได้รู้ถึงสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย -ธนาคารพาณิชย์ไทย -ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย -ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ -สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ -บริษัทเงินทุน -บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ -สถาบันการเงินเฉพาะกิจ -บริษัทบริหารสินทรัพย์ -ผู้ประกอบธุรกิจการเงินที่มิใช่สถาบันการเงิน ปัจจุบันอนุญาตธุรกิจ 3 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจสินเชื่อ-ส่วนบุคคล และธุรกิจให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ -บริษัทข้อมูลเครดิต
     ยังมีความรู้เล็กๆน้อยอีกมากมายที่ไม่เคยรู้มาก่อน  แต่เมื่อได้ไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วก็ได้รู้เพิ่มเติมอีกมากมาย แต่ขอยกตัวอย่างมาเพียงเท่านี้ก่อน
      สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์  ผศ.ดร กฤษฎา  สังขมณี  เป็นอย่างสูงที่จัดกิจกรรมดีๆแบบนี้ขึ้นและข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโครงการดีๆแบบนี้อีกค่ะ  
    

ความรู้ที่ได้รับ

1.เหรียญกษาปณ์และเหรียญที่ระลึก (Coins and medals) 1.1เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน ผลิตเพื่อนำออกใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เป็นเงินปลีกใช้ชำระหนี้ได้ตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้สามารถจ่าย แลก ซื้อ ขายได้ตามราคา ที่ปรากฏบนเหรียญ ผลิตให้มีปริมาณเพียงพอสำหรับความต้องการใช้ในระบบเศรษฐกิจของประเทศและมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและลวดลายไปตามยุคสมัย ในปัจจุบันได้มีการปรับรูปแบบลวดลายให้สื่อความหมายชัดเจน ด้านหน้าของเหรียญเป็นพระบรมรูปรัชกาลที่๙ หมายถึงสถาบันกษัตริย์ ด้านหลังเป็นภาพวัดสำคัญสื่อความหมายถึง สถาบันศาสนา และมีคำว่า “ประเทศไทย”สื่อความหมายถึง สถาบันชาติ 1.2เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก (Commemorative coins) เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ผลิตออกใช้ในวโรกาสและโอกาสที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือเหตุการณ์ระหว่างประเทศ โดยจัดทำ 2 ประเภท คือ ขัดเงา และไม่ขัดเงา ข้อแตกต่างระหว่างเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนและเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก ก็คือการวางลวดลายด้านหน้าและด้านหลัง โดยเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนจะวางลวดลายแบบ American Turning ซึ่งจะต้องพลิกดูลวดลายด้านหลังในแนวดิ่ง สำหรับเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกได้จัดวางลวดลายแบบ Europan Turning ซึ่งจะต้องพลิกในแนวนอนเพื่อดูลวดลายด้านหลัง หอยเบี้ย คือ เป็นเงินปลีกที่ใช้เป็นเครื่องประดับและเป็นสิ่งของเพื่อแลกเปลี่ยนตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้มีการขุดค้นพบตามหลุมศพต่างๆ หอยถูกตีค่าในความหมายของเครื่องประดับที่มีค่า วัสดุอันทรงพลัง มีคุณค่า ต่อมานำมาใช้แลกเปลี่ยนเพื่อซื้อสิ่งของระหว่างกัน วัฒนธรรมการใช้หอยแลกเปลี่ยนสินค้าแทนเงินพบได้ในจีน อินเดีย ยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง ซึ่งอยู่ในเส้นทางการค้าขายทางเรือนั่นเอง โดยประเทศที่ทำการส่งออกหอยเบี้ยคือ หมู่เกาะมัลดิลฟ์ ซึ่งพ่อค้าชาวอาหรับได้ทำการซื้อขายหอยเบี้ยนานกว่า 4,000 ปีมาแล้ว ตามพ่อค้าชาวยุโรป ซึ่งมีหลักฐานการค้าทาสของฝรั่งเศสกับอังกฤษ มีการซื้อขายทาสกับหอยเบี้ย เสถียรภาพสถาบันการเงิน Financial Institutions Stability 1.มุ่งเสริมสร้างระบบสถาบันการเงินให้เป็นที่ยอมรับจากภายในและนานาประเทศ พร้องแข่งขัน เปี่ยมประสิทธิภาพมั่นคง และปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์ 2.ส่งเสริมให้สถาบันการเงินมีธรรมาภิบาลและบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม 3.มีระบบการกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินที่มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นธนาคารกลางของประเทศ มีบทบาทหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและดูแลระบบการเงินให้มั่นคง พันธกิจ มุ่งเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่มั่นคง เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน อันจะนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง วิสัยทัศน์ เป็นองค์กรที่มองการไกล พนักงานมีความสามารถสูงและอุทิศคนเพื่อดูแลเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นความผันผวนได้อย่างราบรื่น

ความประทับใจ ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสถานที่ที่กว้างมากและก็สวยงามมาก ได้ไปชมพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเงินในสมัยก่อนและปัจจุบันว่าเงินที่เราใช้แหล่งกำเนิดมาจากไหนการไปศึกษาครั้งนี้ทำให้รู้ว่าได้ศึกษาได้ความรู้เกี่ยวกับเงินมากขึ้นและก็เป็นครั้งแรกที่ได้ไปศึกษาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยและก็สนุกมากๆๆได้ไปกับเพื่อนๆทุกคน

  ธนาคารแห่งประเทศไทย มีชื่อไม่เป็นทางการคือ “แบงค์ชาติ” หรือชื่ออังกฤษ (The Bank of Thailand: BOT) เป็นธนาคารกลางของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 เปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 มีหน้าที่หลักในการดูแลกำกับเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน นำออกหมุนเวียนซึ่งธนบัตรไทยรวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเงินตราระหว่างประเทศ และเฝ้าระวังอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น ตราธนาคารแห่งประเทศไทย คือ พระสยามเทวาธิราชนเหรียญเสี้ยว อัฐ โสฬส ที่ออกใช้ในรัชการที่ 5 มาดัดแปลง และเพิ่มถุงเงินในพระหัตถ์เบื้องขวา ซึ่งเป็นเครื่องหมายถึงผู้คุมถุงเงินของชาติ อันเป็นหน้าที่หลักของธนาคารแห่งประเทศไทย พระแสงธารพระกรในพระหัตถ์ซ้าย เพื่อคอยปัดป้องผู้ที่มารุกราน แต่ได้เปลี่ยนตอนปลายจากรูปดอกไม้มาเป็นลายดอกบัว 
  สิ่งที่ดิฉันได้จากการได้ไปศึกษาที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ดิฉันได้ทราบประวัติความเป็นมาของธนาคารแห่งประเทศไทย เงินตรา ธนบัตร การพิมพ์ธนบัตรในสมัยก่อนว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร 
  อย่างแรกที่ดิฉันได้พบคือเงินตราที่อยู่ในลักษณะต่างๆกันไป เช่น 1. เงินพดด้วง เป็นเงินตราที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย โดยเฉพาะไม่ซ้ำแบบของชาติใด มีค่าในตัวเองเพราะทำด้วยโลหะมีราคา โดยมีน้ำหนักเป็นมาตรฐานวัดมูลค่า รูปทรงกะทัดรัด ทนทานผลิตด้วยมือทำจากแท่งเงินบริสุทธ์ ทุบปลายทั้งสองข้างให้โค้งงอเข้าหากัน ทำให้มีรูปร่างกลมคล้ายลูกปืนโบราณ ชาวต่างประเทศจึงเรียกว่า Bulet Coin ในสมัยอยุธยาได้มีการประทับตราแผ่นดิน และตราประจำรุชกาลของพระมหากษัตริย์ แต่ละพระองค์รวมเป็นสองตราใบ 2. เงินเจียง ทำจากวัสดุเงิน นิยมใช้กันในอาณาจักรล้านนา มีระยะเวลาการผลิตนรูปแบบเดียวกัน เพื่อใช้แทนเงินตรานานนับศตวรรษ เป็นเงินตราที่มีการใช้อยู่บริเวณภาคเหนือของประเทศไทย หรืออาณาจักรล้านนาเดิม โดยมีอาณาเขตไปจนถึง พม่า ลาว โดยมีแร่ของเงินอยู่ประมาณ 85 - 90% ของน้ำหนักเงินทั้งหมด มีการทำเครื่องหมายบ่งบอกต้นกำเนิดของเงินแต่ละตัว โดยการทำเครื่องหมาย เช่นคำว่า แสน น่าน หลวง ซอย ญวน และสบฝาง เป็นต้น ซึ่งจากการพบเครื่องหมายต่าง ๆ ที่ติดอยู่ข้างตัวเงิน สันนิษฐานว่ามีอยู่มากกว่า 10 เมืองที่ได้มีการจัดทำ และซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราประเภทนี้อยู่ อายุไม่เกิน 400 ปี ขึ้นอยู่กับตราที่ติดอยู่ข้างตัวเงินเจียง 3. เงินท้อก เป็นเงินตราสมัยล้านนาทำด้วยโลหะผสมเคลือบผิวด้วยโลหะเงิน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 15-43 มิลลิเมตร ลักษณะกลมแบน ด้านหน้านูนขึ้นมาคล้ายเงินใบไม้ผิวเรียบ ด้านหลังมีรอยเว้าเป็นแอ่งเข้าไป มักมีสีแดงเป็นมันเคลือบอยู่และเจาะรูเล็กๆ มีริมขอบ สำหรับใช้เชือกร้อยรวมกันเพื่อความสะดวกในการนับ 4. หอยเบี้ย เป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราแรกๆของโลก หอยเบี้ยถูกใช้เป็นเครื่องประดับและเป็นสิ่งของเพื่อแลกเปลี่ยนตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้มีการขุดค้นพบตามหลุมศพต่างๆ หอยถูกตีค่าในเครื่องประดับที่มีค่า วุสดุอันทรงพลัง มีคุณค่า ต่อมานำมาใช้แลกเปลี่ยนเพื่อซื้อสิ่งของระหว่างกัน
  อย่างที่สองก็คือธนบัตรในแบบต่างๆ ธนบัตร เป็น กระดาษที่ใช้แทนเงินตรา หรือเป็น "เงินตรากระดาษ"

คำว่า"ธนบัตร" มาจากคำว่า "ธน" + "บัตร

           ธน (ทะนะ) เป็นคำนาม หมายถึง ทรัพย์สิน เงินทอง
           บัตร (บัด) เป็นคำนาม หมายถึงเอกสารแทนสิทธิ์ของผู้ใช้

ธนบัตร (ทะนะบัด) เป็นคำนาม หมายถึง บัตรใช้แทนเงินตรา ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เงินตรากระดาษมีใช้ครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๖ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ในราชวงศ์จักรี แต่ในสมัยนั้นใช้คำเรียกแทนเงินตรากระดาษว่า "หมาย" โดยออกใช้ทั้งหมด ๓ รุ่น คือ หมายราคาต่ำ หมายราคาตำลึง และ หมายราคาสูง

  อย่างที่สามก็คือเหรียญกษาปณ์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ เริ่มจากเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกตราพระบรมรูป - ตราแผ่นดิน ใน พ.ศ. 2493 ผลิตเหรียญราคา 5 บาท ขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2515 ผลิตเหรียญราคา 10 บาท ขึ้นเป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2531 และได้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก รวมทั้งมีการพัฒนาจัดทำเหรียญที่ระลึก ต่อเนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบัน คือ
  1. เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน (Circulated coins) เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนกันอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน มี 9 ชนิดราคา คือ 10 บาท, 5 บาท, 2 บาท, 1 บาท, 50 สตางค์, 25 สตางค์, 10 สตางค์, 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ แต่ที่ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมี 6 ชนิดราคา คือ 10 บาท, 5 บาท, 2 บาท, 1 บาท, 50 สตางค์, 25 สตางค์ ส่วนเหรียญชนิดราคา 10 สตางค์, 5 สตางค์ และ1 สตางค์ มีใช้ในทางบัญชีเท่านั้น
  2. เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก (Commemorative coins) เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ผลิตออกใช้ในวโรกาสและโอกาสที่สำคัญตทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือเหตุการณ์ระหว่างประเทศ โดยจัดทำ 2 ประเภท คือ ขัดเงา และไม่ขัดเงา ข้อแตกต่างระหว่างเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกก็คือการวางลวดลายด้านหน้าและด้านหลัง โดนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนจะวางลวดลายแบบ American Turning ซึ่งจะต้องพลิกดูลวดลายด้านหลังในแนวดิ่ง สำหรับเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกได้จัดวางลวดลายแบบ European Turning ซึ่งจะต้องพลิกในแนวนอนเพื่อดูลวดลายด้านหลัง
  3. เหรียญที่ระลึก (Medal) เป็นเหรียญที่ผลิตขึ้นเนื่องในวโรกาสและโอกาสที่สำคัญต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างจากเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกตรงที่จะ ไม่มีราคาหน้าเหรียญ เนื่องจากมิใช่เงินตราจึงไม่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย อย่างที่สี่ก็คือการทำแม่พิมพ์สีพื้นและแม่พิมพ์เส้นนูน เมื่อแบบธนบัตรได้รับความเห็นชอบแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการผลิตต้นฉบับเพื่อเป็นแม่แบบสำหรับผลิตแม่พิมพ์ธนบัตร ซึ่งมีทั้งการแกะแผ่นโลหะด้วยมือ เพื่อผลิตแม่พิมพ์เส้นนูน และงานเขียนลวดลายสีพื้นด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นลายเส้นที่มีความละเอียดซับซ้อนสูงเพื่อผลิตแม่พิมพ์สีพื้น งานผลิตต้นฉบับหรือแม่แบบสำหรับผลิตแม่พิมพ์นี้ ต้องอาศัยความประณีตและความอุตสาหะของบุคลากรเป็นพิเศษ เพื่อให้ลวดลายทุกเส้นคมชัดสวยงาม โดยเฉพาะพนักงานแกะโลหะที่ต้องได้รับการฝึกฝนทักษะจนชำนาญและสั่งสมประสบการณ์นานปี กว่าจะสามารถแกะลวดลายได้งดงาม ถูกสัดส่วน ไม่ผิดเพี้ยน หลังจากนั้น จึงประกอบต้นฉบับทั้งหมดเข้าด้วยกันตามแบบโดยเทคนิคการถ่ายภาพทางการพิมพ์และเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้สำหรับผลิตแม่พิมพ์สีพื้น แม่พิมพ์เส้นนูน และแม่พิมพ์ลายเซ็นต่อไป อย่างที่ห้าก็คือโรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย โรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย มีหน้าที่พิมพ์ธนบัตรและพิมพ์สิ่งพิมพ์อื่นตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้เองภายในประเทศให้เพียงพอกับความต้องการตามสถานการณ์ และพิมพ์สิ่งพิมพ์อื่นให้ได้ผลผลิตมีคุณภาพสูง มีประสิทธิภาพในการจัดการและให้กิจการดำเนินไปได้โดยสม่ำเสมอ ตลอดจนดำเนินการพิมพ์ธนบัตรให้เป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด ซึ่งมีทุนสำรองเงินตราตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติเงินตรา พุทธศักราช ๒๕๐๑ เป็นทุนหนุนหลัง ปัจจุบันโรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสร้างสรรค์นวัตกรรมการผลิตธนบัตรให้ก้าวล้ำนำสมัย เพื่อให้เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพิมพ์สิ่งพิมพ์มีค่าระดับโลกในอนาคต
    สิ่งที่ดิฉันประทับใจในการได้ไปศึกษาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็คือ การได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งสิ่งที่เห็นนั้นคือสิ่งที่หาดูได้ยากมากในปัจจุบันนี้ แต่ละอย่างที่อยู่ในธนาคารนั้นมีความสำคัญมาก และเป็นสิ่งที่เก่ามากควรที่จะเก็บไว้ให้คนรุ่นหลังได้ดูและได้ศึกษา การที่ดิฉันได้ไปศึกษาที่นี้ทำให้ได้ความรู้ทางด้านของเงิน ค่าของเงิน มากขึ้นเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนได้
                                          ธนาคารแห่งประเทศไทย The Bank of Thailand

สิ่งที่ได้รับจากการไปที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

      พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ในตำหนักใหญ่ วังบางขุนพรหม และตำหนักใหญ่วังเทวะเวสม์ ภายในบริเวณธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ 273 ถนนสามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชื่อไม่เป็นทางการ แบงค์ชาติ (อังกฤษ: The Bank of Thailand: BOT) เป็นธนาคารกลางของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 เปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 มีหน้าที่หลักในการดูแลกำกับเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน นำออกหมุนเวียนซึ่งธนบัตรไทยรวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเงินตราระหว่างประเทศ และเฝ้าระวังอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้นหลังจากประเทศไทยได้มีธนาคารพาณิชย์ทั้งของรัฐและเอกชนเริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านั้นแล้ว ภารกิจและหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยเดิมซ้อนเหลื่อมอยู่กับกระทรวงการคลังและได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับหลังจากที่ระบบการเงินของโลกพัฒนาไปและมีวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญต่างๆ มีหน้าที่หลักคือ สร้างเสถียรภาพทางการเงิน โดย มีนาย ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ถึงปัจจุบัน และตราของธนาคารคือ พระสยามเทวาธิราช

     พันธกิจ  มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่มั่นคง  เสถียรภาพเพื่อเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน  อันนำไปสู่การยกระดับมาตราฐานการครองชีพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง
      วิสัยทัศน์  เป็นองค์กรที่มองการไกล  พนักงานมีความสามารถสูงมากและอุทิศตนเพื่อดูแลเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นความผันผวนได้อย่างราบรื่น
      ได้เข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย  ซึ่งในพิพิธภัณฑ์มี 2 ชั้น คือ ชั้นล่าง มีห้องเปิดโลกเงินตราไทย ห้องธนบัตรไทย ห้องธนบัตรต่างประเทศ ห้องเปิดโลกการเรียนรู้ ส่วนชั้นบน ห้องประวัติและการดำเนินงาน ธปท. ห้องเชิดชูเกียรติ ห้องบริพัตร ห้องวิวัฒนไชยานุสรณ์ ห้องผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ห้องประชุม  แต่ละห้องจะจัดแสดงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์  เงินตราในภูมิภาคสุวรรณภูมิและวิวัฒนการเงินตราไทยจนเป็นกษาปณ์ในปัจจุบันคือ  เงินตราโบราณ  เงินตราสมัยทวาราวดี เหรียญลวปุระที่หาชมได้ยาก เงินดอกจันทน์ของอาณาจักรศรีวิชัย  นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงเงินตราอาณาจักรล้านนา เช่น เงินเจียง เงินท้อก  เงินปากหมู  เงินใบไม้  เงินอาณาจักรล้านช้าง เช่น   เงินลาด เงินฮ้อย ในส่วนที่จัดแสดงเกี่ยวกับเงินตราโบราณนี้มีการจัดแสดงเงินตราโบราณของอาณาจักรใกล้เคียงที่มีหลักฐานว่ามีการนำมาใช้ในสมัยโบราณของบริเวณที่เป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน เช่น เงินไซซี  เงินฮาง  เงินตู้   เงินพดด้วง  เป็นเงินที่ผลิตขึ้นมาใช้กว่า 600 ปีนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึง  สมัยรัตนโกสินทร์ และยกเลิกการใช้ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5  กษาปณ์ไทย  จัดแสดงเรื่องราวของเหรียญกษาปณ์ในสมัยต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 “เหรียญช้าง เมืองไท” “เหรียญดอกบัว เมืองไท” จนถึงเหรียญกษาปณ์ในสมัยรัชกาลปัจจุบัน  ประเทศไทยนำธนบัตรออกใช้เป็นครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช 2445 ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยามรัตนโกสินทร์ ศก 121โดยมีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (กระทรวงการคลัง ในปัจจุบัน) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุม ดูแล การสั่งพิมพ์และนำออกใช้ธนบัตรภายในประเทศ จนกระทั่ง มีการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2485กิจการทั้งปวงและอำนาจในการดำเนินการเกี่ยวกับธนบัตร จึงถูกโอนมาอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย   ต่อมาเมื่อพุทธศักราช 2512 ธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรขึ้นเป็นผลสำเร็จ จึงได้พิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้เองภายในประเทศ ได้แก่ ธนบัตรแบบ 11 รวมทั้งแบบอื่น ๆ เป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน ห้องธนบัตรต่างประเทศ  จัดแสดงธนบัตรในกลุ่มประเทศที่สำคัญซึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสมาชิก อาทิ กลุ่มผู้นำประเทศอุตสาหกรรม (G8)และกลุ่มธนาคารแห่งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEACEN)  ห้องบริบัติ  จัดแสดงพระประวัติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตไว้อย่างสมบูรณ์ด้วยวีดิทัศน์เรื่อง “เจ้าฟ้านักบริหาร แบบอย่างของผู้ทรงนำคุณประโยชน์เพื่อแผ่นดิน”   มีเครื่องบินบริพัตรจำลอง  โน้ตเพลงลายพระหัตถ์ รวมทั้งหุ่นจำลองขนาดเท่าพระองค์จริงในฉลองพระองค์จอมพลทหารเรือที่โดดเด่น  จุดสุดท้ายที่ดึงดูดใจผู้ชมอย่างมากคือ หุ่นจำลองตำหนักประเสบัน ที่เมืองบันดุง  ประเทศอินโดนีเซีย และฉลองพระองค์ชุดสุดท้ายของพระองค์ที่มหาดเล็กคู่พระทัยถอดเก็บไว้บูชาหลังจากสิ้นพระชนม์ และทายาทได้นำมามอบให้พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อการจัดแสดงและระลึกถึงพระองค์

สิ่งที่ประทับใจในการชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

      การชมพิพิธภัณฑ์แห่งประเทศไทย นอกจากได้อรรถรสเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจแล้ว ยังได้ชื่นชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมของวังบางขุนพรหม ซึ่งมีการผสมผสานจัดวางได้อย่างลงตัวอีกด้วย ทั้งเนื้อหาทางวิชาการ (เข้มข้น) ความรู้ และความเพลิดเพลินโดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชม มีการนำระบบแสง-เสียง เทคนิคฉากละคร (Diorama) ระบบมัลติมีเดีย ระบบคอมพิวเตอร์กราฟิก ฯลฯ เข้าร่วมในการนำเสนอ ทำให้การนำเสนอแต่ละห้องจัดแสดงตื่นตาตื่นใจน่าติดตามชม  และที่ประทับใจที่สุดคือ  ห้อง “บริพัตร” จัดแสดงพระประวัติสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ที่ดึงดูดใจผู้ชมอย่างมากคือ หุ่นจำลองตำหนักประเสบัน ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย และฉลองพระองค์ชุดสุดท้ายของพระองค์ที่มหาดเล็กคู่พระทัยถอดเก็บไว้บูชาหลังจากสิ้นพระชนม์ และที่ประทับใจคือผู้เข้าชมห้องนี้จะได้ฟังเพลงมาร์ชบริบัตรและฮังกาเรียนราฟโซดีอันมีชื่อเสียง

นางสาวหนึ่งฤทัย เวฬุวนารักษ์ รหัส 55127326071

พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย และเป็นสถานที่ที่พวกเรานักศึกษาบริหารธุรกิจต้องเรียนรู้ โดยพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในวังบางขุนพรหม บนพื้นที่ 30 ไร่ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในบริเวณเดียวกันกับธนาคารแห่งประเทศไทย ถนนสามเสน เขตพระนคร โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างโดยใช้เงินพระคลังข้างที่ เพื่อให้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ พระราชโอรสพระองค์ที่ 33ในพระองค์ และพระนางเจ้าสุขุมาลย์มารศรีพระอัครราชเทวี หลังปี พ.ศ. 2475 พระตำหนักบางขุนพรหมถูกใช้เป็นสถานที่ราชการอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2488 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เข้ามาใช้เป็นสถานที่ทำการจนกระทั่งปี พ.ศ. 2525 จึงได้เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชม 14 ห้อง มี 2 ชั้น ประกอบด้วย -ชั้นหนึ่ง ได้แก่ ห้องเงินตราโบราณ ห้องพดด้วง ห้องกษาปณ์ไทย ห้องธนบัตรไทย ห้องทองตรา ห้องเงินตราต่างประเทศ -ชั้นสอง ได้แก่ ห้อง 60 ปีธนาคารแห่งประเทศไทย ห้องงานพิมพ์ธนบัตร ห้องบริพัตร ห้องประชุมเล็ก ห้องสีชมพู ห้องสีน้ำเงิน ห้องม้าสน ห้องวิวัฒนไชยานุสรณ์ ความประทับใจที่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (วังบางขุนพรหม) ทุกห้องจัดแสดงมีความสำคัญมีความรู้ที่น่าสนใจทั้งหมดแต่ส่วนที่ผมชื่นชอบมากที่สุดคือ “สินค้าต่างยุค ราคาต่างสมัย” เพราะมีรูปแบบที่น่าสนใจน่าดึงดูดมองแล้วอ่านแล้วทำให้เรารู้สึกไม่เบื่อ อ่านง่ายเข้าใจง่าย มีรูปประกอบ ที่สวยงาม ทำให้เราร็ถึงความเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในแต่ละยุคสมัยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น 2454 ค่าเข้าชมภาพยนตร์ 1 โรง ญี่ปุ่นหลวง 2 บาท

    2468    ฉลากสองล้าน ฉบับละ 1 บาท
    2510    น้ำมันเบนซิน  ลิตรละ 2 บาท   ฯลฯ

พิพิธภัณฑ์นี้มีความน่าสนใจมากมาย เหมาะกับผู้ที่ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลง ทางด้านการเงิน ของแต่ละยุคสมัย ทำให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา โดยมีรูปแบบที่น่าสนใจในทุกห้องการจัดแสดง มีบรรยากาศที่สบายเหมาะกับการศึกษา เป็นอย่างดี

ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นธนาคารกลางของประเทศ มีบทบาทหน้าที่หลัก ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและดูแลระบบเงินให้มั่นคง

พันธกิจ    มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่มั่นคง มีเสถียรภาพ เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน อันจะนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง            
วิสัยทัศน์   เป็นองค์กรที่มองการณ์ไกล พนักงานมีความสามารถสูง และอุทิศตนเพื่อดูแลเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นความผันผวนได้อย่างราบรื่น

บทบาทหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยกับระบบเศรษฐกิจไทย

- --- การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน                                 -

กำกับดูแลสถาบันการเงิน - การเป็นนายธนาคารและที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล - การเป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน

    - การบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ                         
-  การจัดพิมพ์และออกใช้ธนบัตร

เสถียรภาพสถาบันการเงิน - มุ่งสร้างระบบสถาบันการเงินให้เป็นที่ยอมรับจากภายในและนานาประเทศ พร้อมแข่งขัน เปี่ยมประสิทธิภาพ มั่นคงและปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์

- ส่งเสริมให้สถาบันการเงินมีธรรมาภิบาลและบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม         - 

มีระบบการกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินที่มีแระสิทธิภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

สัญลักษณ์แห่งพระมหากษัตริย์ในธนบัตรไทย                          
ธนบัตรไทยออกใช้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2445 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกว่าธนบัตรแบบที่หนึ่ง โดยมีรูปพระครุฑพ่าห์ ซึ่งเป็นตราแผ่นดิน และใช้เป็นสัญลักษณ์แทนพระองค์ พระมหากษัตริย์ปรากฏในธนาบัตรแบบหนึ่งตั่งแต่ พ.ศ. 2461 นับแต่นั้นมาธนบัตรไทยทุกแบบจะมีรูปพระครุฑพ่าห์ ปรากฏอยู่ในธนบัตรเสมอมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระมหากษัตริย์นั้น เชิญมาเป็นภาพประธานด้านหน้าธนบัตรครั้งแรกในธนบัตรแบบสามออกใช้สมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อ พ.ศ. 2477 และนับตั้งแต่ พ.ศ. 2500 ธนบัตรที่ใช้หมุนเวียนได้เริ่มใช้น้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ดั้งนั้น นับตั้งแต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา

สัญลักษณ์หลักแทนพระองค์พระมหากษัตริย์ในธนบัตรไทย ประกอบด้วย

1. พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ที่เป็นภาพประธานด้านหน้า                 
2. ลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์                            
3. รูปพระครุฑพ่าห์

วังบางขุนพรหม

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังบางขุนพรหมพระราชทานเป็นที่ประกอบในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระราชโอรส แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2449 มีพิธีขึ้นตำหนักใหม่ในวันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2449 พระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสร็จพระราชดำเนินในมาในการขึ้นตำหนักแห่งนี้                                       กระบวนเรือพยุหยาตรา                                   
    เป็นเรืออันเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม และเสียงบทเห่เรือที่มีท่วงทำนองอันไพเราะกลางสายน้ำเจ้าพระยาเมื่อครั้งรับเสร็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงบูชาที่วัดอรุณราชวรารามฯ และงานฉลองพระนคร 150 ปี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 สะท้อนถึงปรีชาสารถและความสนพระทัยในการอนุรักษ์งานศิลปวัฒนธรรมประเพณันทรงคุณค่าของชาติได้เป็นอย่างดี

พดด้วงทองคำ

ผลิตขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา ตราหอยสังข์ ชนิดราคาสอง แต่บทในปริมาณน้อย ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ มีการผลิตพดด้วงทองคำ ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้แก่ พดด้วงทองคำที่ระลึก ตราพระแสงจักร-ใบมะตูม

มาตราเงินไทยโบราณ

        ในอดีตที่สังคมไทยใช้สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนทั้งหอยเบี้ยและพดด้วง การกำหนดมูลค่าของเงินแต่ละชนิดต้องใช้วิธีชั่งน้ำหนัก มาตราเงินไทยจึงเป็นหน่วยเดียวกัน มาตราชั่งน้ำหนัก โดยเขียนเลขจำนวนเงินตามตำแหน่งของหน่วยเงินบนช่องเรือนเงิน ซึ่งขีดเป็นรูปกากบาทหรือที่เรียกว่า ครุตีนกา หรือ ครุเรือนเงิน

โรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย

ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยได้จัดสร้างโรงพิมพ์ธนบัตร ณ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 30 ถนนบรมราชชนนี ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ภายใต้การควบคุมดูแลของลายออกธนบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย โรงพิมพ์ธนบัตรแห่งนี้สร้างเสร็จสมบรูณ์และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2550

ความประทับใจ

ประทับใจตั้งแต่เห็นตึกพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นสถานที่ ที่สวยงามมาก บรรยากาศก็ดี เดินเข้าไปห้องแรกก็เป็นห้องเกี่ยวกับเงินตราทั้งหมดในประเทศไทย มีตั้งแต่เงินในสมัยโบราณที่มีหลากหลายรูปแบบ และไม่เคยเห็นมาก่อน จนถึงปัจจุบัน ทำให้เห็นการพัฒนาการทำเหรียญและธนบัตรในแต่ละสมัยว่าเป็นอย่างไร ซึ่งธนบัตรชนิดพิเศษสวยงาม และมีความพิเศษแตกต่างกัน ซึ่งจัดทำขึ้นในวโรกาสต่างๆ ที่สำคัญ ภายในพิพิธภัณฑ์ก็สวยงามมาก มีเครื่องใช้ในสมัยโบราณหลายชนิด มีการนำเทคโนโลยี มาใช้ในการให้ความรู้เพิ่มเติม และบรรยายถึงความสำคัญแต่ละสมัยว่านั้นมีการเปลี่ยนแปลงอะไร มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นประสบการณ์และความประทับใจดีที่จะไม่มีวันเลย

หลังจากที่ได้ไปชมพิพิธภัณฑ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย (The Bank of Thailand: BOT) เมื่อดิฉันไปถึงหน้าพิพิธภัณฑ์วังบางขุนพรมก็รุ้สึกว่าที่นี่สวยงามมาก มีเจ้าหน้าที่คอยให้การดูแลในเรื่องต่างๆและสิ่งแล้วที่ดิฉันจดคือพันธกิจและวิสัยทัศน์ดังนี้ พันธกิจ มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่มั่นคง มีเสถียรภาพ เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน อันจะนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง วิสัยทัศน์ เป็นองค์กรที่มองการณ์ไกล พนักงานมีความสามารถสูง และอุทิศตนเพื่อดูแลเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นความผันผวนได้อย่างราบรื่น เมื่อเดินเข้าไปข้างในห้องแรกที่เข้าไปชมคือห้องเปิดโลกเงินตราไทยซึ่งภายในห้องจัดแสดงเงินหรือเหรียญต่างๆไว้เป็นหมวดหมู่คือ เงินตราโบราณ เงินแท่งและเงินก้อนมีรูปลักษณ์ต่างๆกัน เช่น รูปเรือสำเภา อานม้า ขนมครก ฯลฯ เป็นเงินตราที่จีนนำมาใช้ ในอาณาจักรล้านนา เงินฮางเป็นเงินตราที่ใช้กันทางภาคอีสานของไทย รูปลักษณ์เหมือนรางหญ้าหรือรางข้าวหมู เงินฮ้อยเป็นเงินตราที่ใช้กันอยู่ในอาณาจักรลานช้าง ซึ่งเป็นเมืองในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง เหรียญเงินอาหรับและเหรียญทองคำ เงินนโม อีแปะ เงินพดด้วงอยุธยา เงินพดด้วงรัตนโกสินทร์ เป็นต้นการเหรียญกษาปณ์ไทย วิวัฒนาการเหรียญเงินทวาราวดีเงินที่พบมีตราเกี่ยวศาสนาพราหมณ์ทั้งหมด เช่น เป็นรูปสังข์ รูปศรีวัตสะ เงินลานนา-เงินอานม้า เป็นเงินจีนนิยมใช้กันแถบยูนาน เงินลานนา-เงินมุ่น , ไซซี (เรือสำเภา)เป็นเงินที่ไทยคิดขึ้น ดัดแปลงจากเงินแท่งของจีน ทำเป็นรูปเรือสำเภา พดด้วงสุโขทัย เป็นเงินสมัยเดียวกับเงินลานนา และเงินลานช้าง มีลักษณะเป็นขด กลมคล้ายด้วง ส่วนปลายงอเข้าหากัน มีรอยบากลึก เป็นต้น ส่วนห้องที่2 คือห้องธนบัตรไทย สิ่งที่ชอบคือลายน้ำบนธนบัตรซึ่งมีความสวยงามมองแล้วเพลิดเพลิน สังเกตสิ่งที่เปลี่ยนของธนบัตรไทยจะสังเกตได้ว่าเริ่มผลิตเล็กลงพกพาสะดวกมีขั้นตอนการทำต่างๆ ห้องธนบัตรไทย จัดแสดงวิวัฒนาการ การใช้เงินกระดาษในระบบเงินตราไทย ตั้งแต่ หมายใบพระราชทานเงินตราอัฐกระดาษบัตรธนาคารตั๋วเงินกระดาษหรือ “เงินกระดาษหลวง” มาจนถึงธนบัตรที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เงินกระดาษชนิดแรก เริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้มีการผลิตเงินกระดาษขึ้นใช้เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๓๙๖ เรียกว่า หมายซึ่งนับเป็นเงินกระดาษชนิดแรกในระบบเงินตราไทย และมีการผลิตใบสั่งจ่ายขึ้นหลายชนิดราคาเรียกว่าใบพระราชทานเงินตราและมีวิธีการตรวจสอบธนบัตรจริงและปลอมซึ่งความรู้นี้สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ห้องที่ประทัปใจคือห้องเชิดชูเกียรติ รู้สึกว่าที่นี้ไม่ใช่เพียงจัดแสดงให้ดูแต่เงินตราแต่ยังจัดแสดงผู้ที่อยู่เบื้องหลังของธนาคารแห่งประเทศไทยอีกด้วยมีการแสดงเข็มประจำธนาคารชุดยูนิฟรอมต่างๆที่พนักงานใส่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรวมไปถึงโล่ประกาศเกียรติคุณซึ่งเป็นห้องที่ประทับใจที่สุด

    การที่่ข้าพเจ้าได้ไปเยือนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย  ตั้งแต่เกิดมาป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้านั้นได้ไปเยือนที่นั่นซึ่งก็ถือว่าเป็นความประทับใจอย่างยิ่งที่สุดในชีวิต  ข้าพเจ้าและเพื่อนๆได้เดินเข้าไปบรรยากาศที่นั่นดูเงีบยสงบมากและมีเจ้าหน้าที่บอกให้เข้าไปที่พิพิธภัณฑ์  ซึ่งที่นี่เองมีความรู้และความประทับใจเป็นทีสุดมาก
    เดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ในนั้นเป็นการจัดนิทัศการเกี่ยวการเงินตั้งแต่ยุคแรกและพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน  ธนาคารแห่งประเทศไทยนี้  เป็นธนาคารแห่งประเทศไทยเก่า  ในวันที่  5  กันยายน 2505  คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรขึ้นภายในประเทศในวันที่  24  มิถุนายน  2512  เป็นพิธีเปิดโรงพิมพ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย  และปํจจุบันมีธนาคารแห่งประเทศไทยใหม่ซึ่งย้ายไปที่จังหวัดนครปฐมมีพิธีเปิดเมื่อวัรนที่  15  ตุลาคม  2550  นั่นเอง สิงที่ข้าเจ้าประทับใจที่สุดในพิพิธภัณฑ์ก็คือ  เหรียญทองแดงตราช้าง-เมืองไทย  1179  และตราดอกบัว-เมืองไทย1197  เป็นเหรียญซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 3  ทรงดำริที่จะทำเบี้ยทองแดงขึ้น  ใช้แทนเบี้ยหอยทรงเห็นว่าเบี้ยหอยทำมาจากสิ่งมีชีวิตมันบาป  จึงโปรดเกล้าให้พระยาคลัง(ดิส  บุนนาค) ทำตัวอย่างเหรียญเข้ามาให้ทอดพระเนตร  พระยาคลังให้  โรเบิร์ต  ฮันเตอร์พี่ค้าชาวอังกฤษจัดหาเหรียญทองแดงมาเป็นตัวอย่างในครั้งนั้น  โรเบิร์ตได้นำเหรียญทองแดงมา  2  แบบ  มาปรับปรุงให้เหมาะกับไทย  อย่างล่ะ  500  เหรียญ  คือเหรียญตราช้าง-เมืองไทย และเหรียญตราดอกบัว-เมืองไทยทั้ง2มีเลข1179 คืดจุลศักราสที่ผลิตเหรียญขึ้นแต่ทรงไม่โปรดเกล้าจึงไม่ได้ทำเหรียญออกใช้ในรัชกาลนี้  ถึงเหรียญนี้จะไม่ได้มีใช้ในประเทศไทยก็ตามแต่ด้วยเหตุผลที่รัชกาลที่3 คิดที่จะเปลี่ยนจากเบี้ยหอยมาเป้นเหรียญเพราะทรงเห็นว่าหอยเป็นสิ่งมีชีวิตเนี้ยหอยนั้นทำมาจากสิ่งมีชิวิตและเบี้ยหอยนั้นจึงทำมาจากสิ่งมีชีวิตจึงจะเปลี่ยนเพื่อไม่ให้เป้นการเบียดเบียนต่อสิ่งมีชีวิตและเหรียญนี้ก็คงจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ให้ประเทศไทยเปลี่ยนจากการทำลายสิ่งมีชีวิตมาทำเป็นเงิน ซึ่งถือว่าเงินใช้ทุกคนเป็นสิ่งมีค่ามีมูลค่าเปลี่ยนมาเป้นอย่างอื่นแทน
     สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าอยากเชิญชวนทุกคนถ้ามีโอกาสไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของะนาคารแห่งประเทศไทยนี้เพื่อเป็นการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นและพัฒนาการของการใช้เงินที่ทุกคนใช้กันทุกวันและอยากจะให้ทำตามกฎเกณฑ์ของพิพิธภัณคือไม่ให้ถ่ยรูปและห้ามส่งเสียงดังเนื่องจากเป็นสถานที่ปิด
     ธนาคาร เปรียบเสมือนแหล่งเก็บสะสมของต่างๆทั้ง  เงิน   ทอง  ทรัพย์สินที่มีค่าต่างๆ รวมทั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยด้วยและที่ที่ดิฉันได้มาศึกษาก็คือ พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank  of  Thailand  Museum,Bangkok) เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง  ในพิพิธภัณฑ์ได้เก็บรวบรวมสิ่งของที่มีค่า  มีความรู้น่าที่จะศึกษา สิ่งของบางชิ้นมีประวัติมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเราว่าพวกเขามีความเป็นอยู่ยังไง  การใช้จ่ายในสมัยก่อนเป็นยังไงเหมือนกับสมัยนี้หรือเปล่า  เป็นสถานที่อีกสถานที่หนึ่งที่ลองน่าจะเข้าไปศึกษาหาความรู้อย่างมาก  ในตัวพิพิธภัณฑ์เป็นเหมือนวังเก่าแบ่งเป็นสองชั้นและจัดแสดงออกเป็นหลายห้อง  แต่ละห้องนั้นถูกตกแต่งอย่างสวยงาม  หรูหรา  และแต่ละห้องจะอธิบายประวัติความเป็นมาต่างๆให้เราได้ศึกษา  
     เมื่อดิฉันได้มาศึกษาที่นี่ก็รู้ว่าในสมัยก่อนยังไม่มีธนบัตร  เหรียญใช้กันอย่างในปัจจุบัน  เมื่อก่อนเงินที่ใช้กันเรียกกันว่าหอยเบี้ย  ส่วยใหญ่ใช้ชนิดเบี้ยจั่นและเบี้ยนางนำเข้าจากมัลดิฟส์และฟิลิปปินส์ใช้กันตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงรัชกาลที่ 4  จึงออกประกาศให้เลิกใช้ให้ใช้เหรียญกษาปณ์แทน
   เหรียญกษาปณ์แรกของโลกคือ  เหรียญลิเดีย  เกิดขึ้นเมื่อ  2600  ปีมาแล้ว  เป็นประเทศตุรกีในปัจจุบันและในพิพิธภัณฑ์มีตัวอย่างเหรียญกษาปณ์และธนบัตรของแต่ล่ะประเทศตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคปัจจุบัน  แล้วเหรียญกษาปณ์ยังสามารถจำแนกเป็นหลายแบบมีเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนเป็นเหรียญที่ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเป็นเงินปลีกใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย  ผลิตในปริมาณที่เพียงพอในระบบเศรษฐกิจและเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกทำในโอกาสสำคัญเกี่ยวกับสถาบันชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์  จัดทำด้วยโลหะที่มีค่าผลิตเป็นครั้งคราวในจำนวนจำกัด  แล้วเหรียญที่ระลึก  จะทำในโอกาสพิเศษ  ไม่มีราคาปรากฎบนเหรียญการแลกซื้อเหรียญที่ระลึกเป็นไปตามราคาที่ผู้ออกเหรียญกำหนดไม่สามารถชำระหนี้ได้  
เมื่อก่อนเราอาจจะเห็นเหรียญจะรู้สึกว่าแต่ล่ะเหรียญก็สามารถใช้ได้ไม่แตกต่างกันแต่เมื่อได้เข้ามาศึกษาในพิพิธภัณฑ์แล้วเราก็รู้ว่าเหรียญแต่ละเหรียญมีความสำคัญยังไงถึงผลิตขึ้นมาและเหรียญที่เราใช้กันในปัจจุบันก็มีความหมายของเหรียญอยู่ด้านหน้าเป็นรูปกษัตริย์  หมายถึง  สถาบันกษัตริย์ด้านหลังเป็นรูปวัด  หมายถึง  สถาบันศาสนา  และจะมีคำว่าประเทศไทย  หมายถึงสถาบันชาติ
ขณะที่เราได้เดินศึกษาแต่ล่ะห้องก็จะมีประวัติศาสตร์แทรกอยู่ในนั้น  ที่พิพิธภัณ์นี้จะใช้สื่อเทคโนโลยีแทนภาพเคลื่อนไหว  หุ่นจำลองมาคอยอธิบายบางอย่างทำให้เราเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น  สามารถเรียกความสนใจให้กับเราได้สนุกในการไปเรียนรู้ด้วย  เมื่อดิฉันเดินสำรวจศึกษาแต่ล่ะห้องไปเรื่อยก็ได้รู้ว่าการทำเหรียญกษาปณืนั้นมีขั้นตอนหลายขั้นตอนในการทำให้เป็นเหรียญขึ้นมาหนึ่งเหรียญต้องอาศัยความอดทนความปราณีตอย่างมากในการทำ
 เมื่อเราได้มาศึกษาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว  เราต้องทราบว่าผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยคือใคร  ท่านก็คือนายประสาร  ไตรรัตนวรกุล  ดำรงตำแหน่งตั้งแต่  1 ตุลาคม 2553-ปัจุบัน    ส่วนท่านที่ดำรงตำแหน่งคนแรกก็คือ  พระวรวงศ์เธอ  พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย  
 พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเหมือนแหล่งประวัติศาสตร์อีกที่หนึ่งที่สามารถบอกถึงความเป็นมาของประเทศไทยได้  และยิ่งเมื่อดิฉันได้มาศึกษาก็ทำให้ประทับใจมากได้ความรู้ความสนุก  ความเพลิดเพลินไปยังห้องต่างๆที่ได้สอดแทรกความรู้ของแต่ล่ะห้องเอาไว้ การหาความรู้ก็ไม่น่าเบื่อเพราะเขาใช้สื่อเป็นสิ่งประกอบในการศึกษาทำให้เข้าใจง่ายและสนุกด้วย  ยิ่งได้เข้าไปดูแต่ล่ะห้องก็จะได้ความสนุกหลากหลายเพราะแต่ล่ะห้องจะไม่ซ้ำกัน  ทำให้ไม่น่าเบื่อแถมยังได้ความรู้อีกด้วย

ธนาคารแห่งประเทศไทย มีพิพิธภัณฑ์ที่เป็นแหล่งรวบรวมเกี่ยวกับเงินตราตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน รู้จักเงินของประเทศอื่นๆมากมาย มีรูปปั้นจำลองที่เสมือนการกำลังผลิตเงินขึ้นมา ได้ความรู้และความประทับใจหลายอย่างแต่ที่สะดุดตาจริงๆ ก็มีการผลิตเงินพดด้วงในสมัยรัตนโกสินทร์ ตามบันทึกของนาย Reginald Le May เมื่อครั้งได้เข้าไปชมการแสดงวิธีทำเงินพดด้วงที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ, ปี้ที่เป็นวัตถุแทนเงินตราสำหรับการเล่นการพนัน, เงินกำไลที่เป็นเงินต้นกำเนิดของเงินพดด้วงสมัยสุโขทัย และประวัติของนายช่วง สเลลานนท์ นักออกแบบธนบัตรรุ่นแรกของประเทศไทย มีบทบาทสำคัญอีกหลายอย่างเช่น เป็นผู้ออกแบบตราพระสยามเทวาธิราชจากแบบร่างเดิมของกรมศิลปกร,เป็นผู้ปั้นพระรูปพระสยามเทวาธิราชที่ประดิษฐาน ณ ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นต้น ห้องที่สองที่ดิฉันเข้าเยี่ยมชมเป็นห้องเกี่ยวกับธนบัตร การพิมพ์ลายลงบนธนบัตรขนาดราคาต่างๆ เมื่อขึ้นสู่ชั้นที่สองของพิพิธภัณฑ์ก็จะเกี่ยวกับความเป็นมาของธนาคารแห่งประเทศไทย พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย มีอนุสนธิมาจากคำสั่งที่ ๙๖/๒๕๒๑ ลงวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๑ เรื่องตั้งคณะทำงานพิจารณาจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ของธนาคาร ทำหน้าที่ดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงวังบางขุนพรหม เพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑ์เงินตราและจัดแสดงประวัติวังบางขุนพรหม ซึ่งเดิมวังบางขุนพรหมเป็นอาคารที่ทำการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาในปี ๒๕๒๕ เมื่ออาคารสำนักงานใหญ่หลังแรกได้เปิดดำเนินการ วังบางขุนพรหมจึงมิได้ใช้งาน ประกอบกับมีความงดงามทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างยิ่ง จึงได้รับความเห็นชอบจากธนาคารที่จะตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย -เป็นธนาคารกลางของประเทศ มีบทบาทหน้าที่หลักในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและดูแลระบบการเงินให้มั่นคง พันธกิจ -มุ่งเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่มั่นคง มีเสถียรภาพเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน อันจะนำไปสู่การยกะรดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง วิสัยทัศน์ –เป็นองค์กรที่มองการณ์ไกล พนักงานมีความสามารถสูงและอุทิศตนเพื่อดูแลเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นความผันผวนได้อย่างราบรื่น พระสยามเทวาราช –ตราธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ว่าการธนาคาร –พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย บทบาทหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย 1. การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน 2. การกำกับดูแลสถาบันการเงิน 3. การเป็นนายธนาคารและที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล 4. การเป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน 5. การบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ 6. การจัดพิมพ์และออกใช้ธนาบัตร การที่ดิฉันได้เข้ามาศึกษาในพิพิธภัณฑ์ทำให้ดิฉันทราบถึงความเป็นมาของธนาคารแห่งประเทศไทย ทราบลักษณะของเหรียญที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ความแตกต่างของเงินที่พระมหากษัตริย์ใช้กับคนธรรมดาสามัญ ธนบัตรของแต่ละประเทศผลิตขึ้น ลายที่มีความหมายบนธนบัตร พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจึง เป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย ประวัติสถานที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งประวัติบทบาทหน้าที่การดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อแสดงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม

 

สิ่งประทับใจที่ดิฉันได้ไปทรรศนะศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย  คือ  เป็นสถานที่เงียบสงบ  สะอาดเรียบร้อย  แต่ละห้องของพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย มีการจัดนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ   ประวัติของธนาคาร  เหรียญต่างๆในแต่ละสมัย  ธนบัตรต่างๆของแต่ละประเทศ   ขั้นตอนการผลิตธนบัตรและเหรียญ  และอีกมากมาย  โดยมีการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย  ทำให้ดิฉันรู้สึกสนุก        ไม่น่าเบื่อ  แถมยังได้ความรู้อีกด้วย  และดิฉันก็นำความรู้เล็กๆน้อยๆที่ประทับใจมากนำมาฝากด้วยค่ะ     

 

     ประวัติการก่อตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีการเจริญสัมพันธไมตรีและติดต่อค้าขายกับต่างชาติมากขึ้น ในปี ๒๓๙๘  โปรดให้ทำสนธิสัญญาทางการทูตและการค้ากับประเทศอังกฤษ เรียกว่า สนธิสัญญาเบาริง ซึ่งต่อมาประเทศไทยได้ลงนามในสนธิสัญญาแบบเดียวกันนี้กับอีกหลายประเทศ อันเป็นการเปิดประเทศอย่างกว้างขวางมากขึ้น      เมื่อชาวตะวันตกติดต่อค้าขายกับไทยมากขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลที่ ๖ ได้มีความพยายามที่จะขอจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นในประเทศไทยหลายครั้ง เพื่อสิทธิในการออกธนบัตรซึ่งให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่งดงาม แต่ไม่เป็นผลสำเร็จเพราะฝ่ายไทยเห็นว่าชาวต่างประเทศเหล่านั้นคิดแต่จะเอาผลประโยชน์ฝ่ายเดียว ทำให้ประเทศไทยเห็นความสำคัญของการมีธนาคารกลางของไทย เพื่อเป็นสื่อกลางในทางการค้าและทางเศรษฐกิจ แต่โครงการก่อตั้งธนาคารกลางก็ได้หยุดชะงักไปเพราะเวลานั้นยังขาดประสบการณ์และบุคคลากรที่มีความรู้              -   กำเนิดเหรียญกษาปณ์ในประเทศไทย                                                                                                                                    รัชกาลที่  4  มีการเปิดการค้าเสรี    มีพ่อค้าชาวตะวันตกเข้ามาค้าขาย  และนำเหรียญเงินต่างประเทศเข้ามาแลกเหรียญเงินพดด้วงเพื่อซื้อสินค้าไทย  แต่การผลิตเงินพดด้วงไม่ทันใช้                                                                                      - เงินตราสมัยล้านนา                                                                                                                         พญามังรายแห่งแคว้นโยนก ทรงสถาปนาอาณาจักรล้านนาขึ้นใน พ.ศ. 1839 ประกอบด้วยดินแดน บริเวณ 8 จังหวัดภาคเหนือของไทย และบางส่วน ในประเทศพม่าปัจจุบัน มีเมืองเชียงใหม่ เป็นเมืองหลวง สามารถล่องเรือ ติดต่อ กับดินแดนทางใต้ หรือเดินทางบก ไปยังเมือง สำคัญๆ โดยรอบได้อย่างสะดวก เมืองเชียงใหม่จึงเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ อาณาจักรล้านนามีระบบเงินตรา ดังนี้ เบี้ย เงินเจียงและเงินกำไล เงินท้อก                                                                                                -   เงินตราในสมัยล้านนา                                                                                                                                                                     เงินเจียง  =  เรียกกันว่าเงินขาคีม มีรูปคล้ายเกือกม้าสองวงปลายต่อกันคอดกลาง ทำให้หักออกและทอนค่าลงได้ มีการตีตราประทับด้านละ 3 ดวง บอกน้ำหนักของเงินชื่อเมืองที่ทำขึ้น และตราจักรตามลำดับ มีมากกว่า 60 เมือง เช่น แสน (เชียงแสน) หม (เชียงใหม่) กก หาง สบฝางหรือฝาง นาน (น่าน) คอน (ลำปาง) แพร (แพร่) บางอันมีตราเล็กๆ อีก 1 ดวงประทับอยู่ตรงปลายขา เงินเจียงมีขนาดมาตรฐานหนัก 4 บาท ตามมาตรฐานของชาวไทย และมีขนาดอื่นบ้าง ได้แก่ 2 บาทครึ่ง 1 บาท กึ่งบาท และเฟื้องหนึ่ง                                                                                                                                                                                   

 

เบี้ย  =  หอยเบี้ยที่ใช้เป็นเงินปลีกได้แก่ เบี้ยจั่นและเบี้ยนาง ส่วนใหญ่เป็นเบี้ยที่มาจากหมู่เกาะมัลดีฟในมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ เบี้ยที่พบส่วนใหญ่ฝนหลังเบี้ยออกเพื่อประโยชน์ในการใช้เชือกร้อยเป็นพวง                                                                                                                                                   เงินกำไล  =  เงินกำไลนั้นมีลักษณะและน้ำหนักเหมือนเงินเจียงแต่ขนาดใหญ่กว่า เข้าใจว่าพ่อค้าผลิตขึ้นเพื่อใช้ชำระหนี้ในการค้าขาย โดยตอกตรารับรองน้ำหนักและความบริสุทธิ์ของเนื้อเงินไว้                               

 เงินใบไม้ หรือ เงินเส้น   =  ทำด้วยทองสำริด มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 28-35 มิลลิเมตร ลักษณะกลมตันแบนเป็นก้นกระทะผิวเรียบ ด้านหน้านูน ส่วนมากมีเส้นเหมือนลายใบไม้ มีมูลค่าต่ำกว่าเงินท้อกชนิดอื่น ทำด้วยทองสำริด มีลายเส้นคล้ายใบไม้ด้านหนึ่ง จัดว่าเป็นเงินท้อกที่มีมูลค่าต่ำที่สุด                                                                                                                        เงินท้อกน่าน  =  ทำด้วยโลหะผสมเคลือบผิวด้วยโลหะเงิน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 15-43 มิลลิเมตร ลักษณะกลมแบน ด้านหน้านูนขึ้นมาคล้ายเงินใบไม้ผิวเรียบ ด้านหลังมีรอยเว้าเป็นแอ่งเข้าไป มักมีสีแดงเป็นมันเคลือบอยู่และเจาะรูเล็กๆ มีริมขอบ สำหรับใช้เชือกร้อยรวมกันเพื่อความสะดวกในการนับ                                                                                                                                                   เงินท้อกเชียงใหม่   =  เรียกกันว่าเงินหอย ทำด้วยโลหะเงินผสมทองแดง มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 14-47 มิลลิเมตร ลักษณะคล้ายเปลือกหอยตลับ ด้านบนนูนขึ้นมามีเส้นเป็นริ้วเล็กๆ ส่วนด้านล่างมีช่องกลวงลึกเข้าไปเป็นโพรง มีหลายขนาดและน้ำหนัก ที่ขอบปากมักตอกตราไว้ 1-2 ตรา ด้านล่างมีสีแดงเป็นมันเคลือบอยู่เช่นกัน มีมูลค่าสูงกว่าเงินท้อกน่าน เนื่องจากมีเนื้อเงินผสมมากกว่า

     เงินวงตีนม้า   =   ทำด้วยโลหะเงินผสม มีลักษณะคล้ายเงินท้อกเชียงใหม่ แต่มีผิวบางมากเป็นพิเศษ ที่ขอบปากล่าง มีตรารูปม้าตอกประทับไว้ โดยที่เป็นเงินที่มีลักษณะคล้ายรอยตีนม้าจึงเรียกกันว่าเงินวงตีนม้า                                                                                                                                 เงินหอยโข่ง    =   รูปร่างคล้ายหอยโข่งทำด้วยโลหะเงินผสม ด้านบนนูนขึ้นสูงมากผิวภายนอกเป็นลายเส้นและย่นเป็นริ้ว มีความบางมาก ส่วนด้านล่างเป็น โพรงกลวงลึกเข้าไปภายในไม่มีขอบปากที่ด้านล่าง มีมูลค่าตามน้ำหนัก                                                                                                              เงินปากหมู  =  คล้ายเงินหอยโข่ง ทำด้วยโลหะเงินเช่นกัน ด้านล่างมีช่องกลวงลึกเข้าไป ช่องนี้มีลักษณะคล้ายช่องบริเวณปากหมู จึงเรียกกันว่าเงินปากหมู มีหลายขนาดและน้ำหนัก                                                                                                                 เงินดอกไม้หรือเงินผักชี   =  ทำด้วยโลหะเงินเจือโลหะอื่นบ้างเล็กน้อย มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10-100 มิลลิเมตร ลักษณะกลมมี 2 ชนิด ชนิดแรกคล้ายเงินท้อกเชียงใหม่ แต่มีน้ำหนักมากกว่าอีกชนิดหนึ่งเป็นแผ่นแบน ด้านหน้าของเงินดอกมีลวดลายคล้ายหยดน้ำที่ตกกระจายบนพื้นดูคล้ายดอกไม้หรือผักชี จึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่าเงินผักชี มีน้ำหนักและขนาดต่างๆ กัน เงินดอกไม้ผลิตขึ้นทั้งในอาณาจักรล้านนาและประเทศพม่า                                                                               บทบาทหน้าที่ของธนาคาร                                                                                                                                                              1.  การรักษาเสถียรภาพการเงิน                                                                                                                                                            2.  การกำกับสถาบันการเงิน                                                                                                                                                                     3.   การเป็นนายธนาคารและที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล                                                                                         4.   การเป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน                                                                                                                                  5.   การบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ                                                                                                                                           6.   การจัดพิมพ์และออกใช้ธนบัตร    

    ระบบการจัดการธนบัตรที่มีประสิทธิภาพ

โรงพิมพ์ธนบัตร  =>  ฝ่ายจัดการธนบัตร  =>  ศูนย์การจัดการธนบัตรธนาคารประเทศไทย =>             ศูนย์เงินสื่อกลางธนาคารพาณิชย์   =>  ธนาคารพาณิชย์   =>  ประชาชน        

     กระบวนการผลิตธนบัตร

การออกแบบธนบัตร  =>  การทำแม่แบบแม่พิมพ์  => การพิมพ์ => การตรวจสอบคุณภาพและการนับจำนวน  => การผลิตธนบัตรสำเร็จรูป        

    มุมเกร็ดความรู้

MLR   =  อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อระยะยาวของลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี

MRP  =  อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของลูกค้ารายย่อยชั้นดี 

Flat  Rate  =  อัตราดอกเบี้ยแบบเงินต้นคงที่

Effective  rate  =  อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก

 

นางสาว ญานิชา  คำตัน   ( 02 )  55127326073                                                                                                                               

จากการที่ได้ไปในพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ทราบถึง พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย มีอนุสนธิมาจากคำสั่งที่ ๙๖/๒๕๒๑ ลงวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๑ เรื่องตั้งคณะทำงานพิจารณาจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ของธนาคาร ทำหน้าที่ดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงวังบางขุนพรหม เพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑ์เงินตราและจัดแสดงประวัติวังบางขุนพรหม ซึ่งเดิมวังบางขุนพรหมเป็นอาคารที่ทำการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาในปี ๒๕๒๕ เมื่ออาคารสำนักงานใหญ่หลังแรกได้เปิดดำเนินการ วังบางขุนพรหมจึงมิได้ใช้งาน ประกอบกับมีความงดงามทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างยิ่ง จึงได้รับความเห็นชอบจากธนาคารที่จะตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

  • สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เงินตราในภูมิภาคสุวรรณภูมิและวิวัฒนการเงินตราไทยจนเป็นกษาปณ์ในปัจจุบันคือ การจัดแสดงเป็นโบราณวัตถุก่อนประวัติศาสตร์ อาทิ หม้อบ้านเชียง สร้อยลูกปัดสีน้ำเงิน ลูกปัดดินเผาบ้านเชียง กำไลหิน ต่างหูหิน ขวานหิน ขวานสำริด ซึ่งสันนิษฐานว่า เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนก่อนมีเงินตรา สำหรับเงินตราโบราณที่จัดแสดงในห้องนี้ ได้แก่ เงินตราสมัยทวาราวดี เหรียญลวปุระที่หาชมได้ยาก เงินดอกจันทน์ของอาณาจักรศรีวิชัย นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงเงินตราอาณาจักรล้านนา เช่น เงินเจียง เงินท้อก เงินปากหมู เงินใบไม้ เงินอาณาจักรล้านช้าง เช่น เงินลาด เงินฮ้อย ในส่วนที่จัดแสดงเกี่ยวกับเงินตราโบราณนี้มีการจัดแสดงเงินตราโบราณของอาณาจักรใกล้เคียงที่มีหลักฐานว่ามีการนำมาใช้ในสมัยโบราณของบริเวณที่เป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน เช่น เงินไซซี เงินฮาง เงินตู้ ....เรื่องราวของเงินพดด้วงซึ่งเป็นเงินที่ผลิตขึ้นมาใช้กว่า ๖๐๐ ปีนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึง สมัยรัตนโกสินทร์ และยกเลิกการใช้ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ในห้องจัดแสดงนี้มีเงินพดด้วงครบทุกยุคทุกสมัย เงินพดด้วงที่ถือว่าเด่นและดึงดูดสายตาผู้ชมมากคือ “พดด้วงตราพระมหามงกุฎ” “พดด้วงตราช่อรำเพย” ....งเหรียญกษาปณ์ในสมัยต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ “เหรียญช้าง เมืองไท” “เหรียญดอกบัว เมืองไท” จนถึงเหรียญกษาปณ์ในสมัยรัชกาลปัจจุบัน เหรียญกษาปณ์ที่เด่นและมีชื่อเสียงในแต่ละสมัย เช่น เหรียญแต้เม้ง” สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เหรียญหนวด” สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
    เหรียญทองคำต้นแบบ” สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

  • ธนบัตรไทย จัดแสดงวิวัฒนาการ การใช้เงินกระดาษในระบบเงินตราไทย ตั้งแต่ “หมาย” “ใบพระราชทานเงินตรา” “อัฐกระดาษ” “บัตรธนาคาร” “ตั๋วเงินกระดาษ” หรือ “เงินกระดาษหลวง” เงินกระดาษชนิดแรก เริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้มีการผลิตเงินกระดาษขึ้นใช้เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๓๙๖ เรียกว่า “หมาย” ซึ่งนับเป็นเงินกระดาษชนิดแรกในระบบเงินตราไทย และมีการผลิตใบสั่งจ่ายขึ้นหลายชนิดราคาเรียกว่า “ใบพระราชทานเงินตรา” ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำ “อัฐกระดาษ” ออกใช้ระยะสั้นๆ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนเงินปลีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้นได้มีการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ระหว่างธนาคารและลูกค้า เรียกว่า “บัตรธนาคาร” ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๓๓ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้พิมพ์ “เงินกระดาษหลวง” ขึ้น เพื่อใช้เป็นธนบัตรแต่มิได้นำออกใช้เพราะขาดความพร้อม จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๔๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจัดทำตั๋วสำคัญที่ใช้แทนเงินตรา ประกาศออกใช้เมื่อวันที่ 7 กันยายน ธนบัตรไทยจึงถือกำเนิด ขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

  • ประวัติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต วีดิทัศน์เรื่อง “เจ้าฟ้านักบริหาร แบบอย่างของผู้ทรงนำคุณประโชยน์เพื่อแผ่นดิน” ซึ่ง เพลงประกอบที่ไพเราะของเรื่องนี้จัดทำโดยพระนัดดาของพระองค์เอง สำหรับเรื่องราวของพระอัจฉริยภาพทางดนตรีนั้น นำเสนอด้วยเทคนิค Ghost Box ที่ถ่ายทอดเรื่องราวโดยพระธิดาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต คือ “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทุรัตนา” ซึ่งผู้ชมจะได้ฟัง เพลงมาร์ชบริบัตรและฮังกาเรียนราฟโซดีอันมีชื่อเสียง นอกจากนี้ ยังนำเสนอเพลงพระนิพนธ์ผ่านทางหุ่นจำลองวงปี่พาทย์ไม้แข็งครบวง สำหรับวัตถุประกอบการจัดแสดงนั้น ที่น่าสนใจจะเป็นของใช้ที่ มีตราประจำพระองค์ เช่น จาน เครื่องแก้ว ของที่ระลึกที่ประทาน “แหนบบริพัตร” นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบินบริพัตรจำลอง โน้ตเพลงลายพระหัตถ์ รวมทั้งหุ่นจำลองขนาดเท่าพระองค์จริงในฉลองพระองค์จอมพลทหารเรือที่โดดเด่น จุดสุดท้ายที่ดึงดูดใจผู้ชมอย่างมากคือ หุ่นจำลองตำหนักประเสบัน ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย และฉลองพระองค์ชุดสุดท้ายของพระองค์ที่มหาดเล็กคู่พระทัยถอดเก็บไว้บูชาหลังจากสิ้นพระชนม์ และทายาทได้นำมามอบให้

สิ่งที่ประทับใจ...พิพิธภัณฑ์ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน เป็นแหล่งการเรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย แสดงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรม เป็นสถานที่ อนุรักษ์เงินตราไทยอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทยในอดีต แสดงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของอาคารโบราณสถานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุรักษ์ไว้ให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติ

ประวัติธนาคารแห่งประเทศไทย

    สถาบันแรกที่ได้เริ่มทำหน้าที่ธนาคารกลางของประเทศไทย คือ สำนักงานธนาคารชาติไทย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2482 มีฐานะเป็นส่วนราชการ สังกัดกระทรวงการคลัง และเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2483 โดยมีพระยาทรงสุรรัชฎ์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในขณะนั้น เป็นผู้อำนวยการ แต่การดำเนินงานของสำนักงานธนาคารชาติไทยในระยะเริ่มแรกนั้น จำกัดอยู่เพียงกิจการธนาคารกลางบางประเภทเท่านั้น ได้แก่ การรับฝากเงินจากรัฐบาล องค์การรัฐบาล ธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างประเทศ รวมทั้งการให้กู้เงินและโอนเงินระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาค
    ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 จึงได้ดำเนินงานด้านการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน หลังจากเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา รัฐบาลได้เปลี่ยนฐานะของสำนักงานธนาคารชาติไทยให้เป็น ธนาคารกลาง โดยตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 ขึ้น กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล ทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการของธนาคารกลาง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดดำเนินการ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2485 โดยมีหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ
    ตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่กำกับกิจการของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยทั่วไปโดยมีคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยอันประกอบด้วย ผู้ว่าการ และรองผู้ว่าการ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นประธานและรองประธานตามลำดับ และกรรมการไม่น้อยกว่า 5 ท่าน ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ควบคุมและดูแลกิจการของธนาคารแห่งประเทศไทย
    ตราธนาคารแห่งประเทศไทย คือ พระสยามเทวาธิราชในเหรียญเสี้ยว อัฐ โสฬส ที่ออกใช้ในรัชกาลที่ 5 มาดัดแปลง และเพิ่มถุงเงินในพระหัตถ์เบื้องขวา ซึ่งเป็นเครื่องหมายถึงผู้คุมถุงเงินของชาติ อันเป็นหน้าที่หลักของธนาคารแห่งประเทศไทย พระแสงธารพระกรในพระหัตถ์ซ้ายเพื่อคอยปัดป้องผู้ที่มารุกราน แต่ได้เปลี่ยนตอนปลายจากรูปดอกไม้มาเป็นลายดอกบัว
    ในตลาดการเงิน ผู้ที่มีบทบาทในการประสานอุปสงค์และอุปทาน คือ สถาบันการเงินต่างๆเพราะเป็นแหล่งระดมทุนจากเงินออมของประชาชน ซึ่งรัฐจำต้องเข้าควบคุม ในที่สุด จึงได้มีการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485

เงินพดด้วงเอกลักษณ์เงินตราไทย จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในดินแดนประเทศไทยมีการขุดพบกำไลที่มีตราประทับในพื้นที่ ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองศรีสัชนาลัย เมืองสำคัญก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย ด้วยลักษณะของเงินกำไลที่เป็นวงโค้ง และมีพัฒนาการของปลายขาทั้งสองข้างที่ค่อยๆขดเข้าหากัน จนมีขนาดกะทัดรัด สันนิษฐานว่าเงินกำไลเป็นต้นกำเนิดของเงินพดด้วงสมัยสุโขทัย

ห้องธนบัตรไทย มีการจัดแสดงตั้งแต่เงินกระดาษแบบแรกที่เรียกว่า หมาย ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธนบัตรแบบแรกของไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงธนบัตรแบบที่ใช้ในปัจจุบัน ตลอดจนธนบัตรที่ระลึกชมวัตถุจัดแสดงที่ล้ำค่า เช่น ทองคำแท่ง ซึ่งเป็นทุนสำรองเงินตราสำคัญของประเทศ สิ่งที่ประทับใจ สิ่งแรกที่ประทับใจคือบรรยากาศที่สงบร่มรื่น สวยงาม ส่วนข้างในก็สวยเหมือนพระราชวังมีพรมสีแดงปูตลอดทางเดิน มีการจัดนิทรรศการในเรื่องเกี่ยวกับประวัติของธนาคารแห่งประเทศไทย การทำเงินตราในสมัยก่อน ประวัติของบุคคลสำคัญ นับว่าการได้มาครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมากเพราะได้ความรู้ในสิ่งต่างๆที่ไม่รู้และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ต่อไปค่ะ

ประวัติธนาคารแห่งประเทศไทย

    สถาบันแรกที่ได้เริ่มทำหน้าที่ธนาคารกลางของประเทศไทย คือ สำนักงานธนาคารชาติไทย ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2482 มีฐานะเป็นส่วนราชการ สังกัดกระทรวงการคลัง และเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2483 โดยมีพระยาทรงสุรรัชฎ์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในขณะนั้น เป็นผู้อำนวยการ แต่การดำเนินงานของสำนักงานธนาคารชาติไทยในระยะเริ่มแรกนั้น จำกัดอยู่เพียงกิจการธนาคารกลางบางประเภทเท่านั้น ได้แก่ การรับฝากเงินจากรัฐบาล องค์การรัฐบาล ธนาคารพาณิชย์ไทยและต่างประเทศ รวมทั้งการให้กู้เงินและโอนเงินระหว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาค
    ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 จึงได้ดำเนินงานด้านการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน หลังจากเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา รัฐบาลได้เปลี่ยนฐานะของสำนักงานธนาคารชาติไทยให้เป็น ธนาคารกลาง โดยตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 ขึ้น กำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นนิติบุคคล ทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจการของธนาคารกลาง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดดำเนินการ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2485 โดยมีหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ
    ตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่กำกับกิจการของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยทั่วไปโดยมีคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยอันประกอบด้วย ผู้ว่าการ และรองผู้ว่าการ ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นประธานและรองประธานตามลำดับ และกรรมการไม่น้อยกว่า 5 ท่าน ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ควบคุมและดูแลกิจการของธนาคารแห่งประเทศไทย
    ตราธนาคารแห่งประเทศไทย คือ พระสยามเทวาธิราชในเหรียญเสี้ยว อัฐ โสฬส ที่ออกใช้ในรัชกาลที่ 5 มาดัดแปลง และเพิ่มถุงเงินในพระหัตถ์เบื้องขวา ซึ่งเป็นเครื่องหมายถึงผู้คุมถุงเงินของชาติ อันเป็นหน้าที่หลักของธนาคารแห่งประเทศไทย พระแสงธารพระกรในพระหัตถ์ซ้ายเพื่อคอยปัดป้องผู้ที่มารุกราน แต่ได้เปลี่ยนตอนปลายจากรูปดอกไม้มาเป็นลายดอกบัว
    ในตลาดการเงิน ผู้ที่มีบทบาทในการประสานอุปสงค์และอุปทาน คือ สถาบันการเงินต่างๆเพราะเป็นแหล่งระดมทุนจากเงินออมของประชาชน ซึ่งรัฐจำต้องเข้าควบคุม ในที่สุด จึงได้มีการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485

เงินพดด้วงเอกลักษณ์เงินตราไทย จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบในดินแดนประเทศไทยมีการขุดพบกำไลที่มีตราประทับในพื้นที่ ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของเมืองศรีสัชนาลัย เมืองสำคัญก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย ด้วยลักษณะของเงินกำไลที่เป็นวงโค้ง และมีพัฒนาการของปลายขาทั้งสองข้างที่ค่อยๆขดเข้าหากัน จนมีขนาดกะทัดรัด สันนิษฐานว่าเงินกำไลเป็นต้นกำเนิดของเงินพดด้วงสมัยสุโขทัย

ห้องธนบัตรไทย มีการจัดแสดงตั้งแต่เงินกระดาษแบบแรกที่เรียกว่า หมาย ในสมัยรัชกาลที่ 4 ธนบัตรแบบแรกของไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงธนบัตรแบบที่ใช้ในปัจจุบัน ตลอดจนธนบัตรที่ระลึกชมวัตถุจัดแสดงที่ล้ำค่า เช่น ทองคำแท่ง ซึ่งเป็นทุนสำรองเงินตราสำคัญของประเทศ สิ่งที่ประทับใจ สิ่งแรกที่ประทับใจคือบรรยากาศที่สงบร่มรื่น สวยงาม ส่วนข้างในก็สวยเหมือนพระราชวังมีพรมสีแดงปูตลอดทางเดิน มีการจัดนิทรรศการในเรื่องเกี่ยวกับประวัติของธนาคารแห่งประเทศไทย การทำเงินตราในสมัยก่อน ประวัติของบุคคลสำคัญ นับว่าการได้มาครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมากเพราะได้ความรู้ในสิ่งต่างๆที่ไม่รู้และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ต่อไปค่ะ

เงินพดด้วงของไทย เป็นเงินตราที่เป็น เอกลักษณ์ของไทย โดยเฉพาะไม่ซ้ำแบบของชาติใด มีค่าในตัวเอง เพราะทำด้วย โลหะมีราคา โดยมีน้ำหนักเป็นมาตรฐานวัดมูลค่า รูปทรงกระทัดรัด ทนทาน ผลิตด้วยมือ ทำจากแท่งเงินบริสุทธิ์ ทุบปลายทั้งสองข้าง ให้โค้งงอเข้าหากัน ทำให้มีรูปร่างกลมคล้าย ลูกปืนโบราณ ชาวต่างประเทศจึงเรียกว่า Bullet Coin ในสมัยอยุธยา ได้มีการ ประทับตราแผ่นดิน และตราประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์ แต่ละพระองค์ รวมเป็น 2 ตราใบ เงินพดด้วงแต่ละอัน

ในสมัยน่านเจ้า เงินที่ใช้ในการแลกเปลี่ยน ส่วนมากเป็นเงินบริสุทธิ์ นำมาหล่อหลอม หรือ ตีเป็นแท่ง เป็นก้อน หรือเป็นกำไล ชาวต่างประเทศ เรียก Bracelet Money มีรูปร่างแตกต่างไปจาก เงินตราของจีน เงินในสมัยนี้มีขนาดหนึ่ง และ สองตำลึง มีตราหลายตราตีประทับบนเนื้อเงิน

 

อาณาจักรล้านช้าง ทำเงินเป็นแท่งยาว ปลายเรียว มีตราประทับก็มี ไม่มีตราประทับก็มี เรียกว่า เงินฮ้อย เงินลาด และเงินเฮือ ทางภาคเหนือเรียกว่า เงินปลิง เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายตัวปลิง ชาวต่างประเทศเรียกเงินชนิดนี้ว่า Bar Money เพราะมีลักษณะเป็นแท่ง

วิวัฒนาการเงินตราไทย เริ่มตั้งแต่กลุ่มชนดั้งเดิมในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้อาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันตั้งแต่ราว 38,000 ปีมาแล้ว ก่อนจะได้รับวัฒนธรรมจากอินเดียนั้น กลุ่มชนเหล่านี้ติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากัน โดยใช้สิ่งของเป็นสื่อกลาง เมื่อวัฒนธรรมอินเดียแพร่เข้ามาจึงเริ่มผลิตเงินตราเป็นสื่อกลางค้าขาย
ช่วงพุทธศตวรรษที่ 6-16 ในวัฒนธรรมแบบฟูนัน-ทวารวดี ได้ผลิตเหรียญกลมแบนจากโลหะเงิน ดีบุก ทองแดง โดยใช้แม่พิมพ์ตราสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น พระอาทิตย์ สังข์ แพะ ปูรณกลศ ตัวอักษร เป็นต้น ซึ่งสื่อถึงความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ อำนาจรัฐ กษัตริย์ และความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์
ช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-18 อาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งเป็นเมืองท่าค้าขายบริเวณคาบสมุทรภาคใต้ของไทยมีอำนาจควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเล มีการผลิตเงินดอกจันทน์และเงินนโม เพื่อระบบเศรษฐกิจอย่างแพร่หลาย ราวพุทธศตวรรษที่ 19 ราชอาณาจักรสุโขทัยและล้านนาก็ถือกำเนิดขึ้นและได้ติดต่อค้าขายกับราชอาณาจักรในลุ่มเจ้าพระยา คือ กรุงศรีอยุธยา ตลอดจนดำเนินการค้าทางทะเลกับจีน อินเดีย ยุโรป และได้ติดต่อค้าขายกับกลุ่มชนทางตอนเหนือของไทย เช่น ล้านช้าง ยูนาน น่านเจ้า เป็นต้น และไปไกลถึงเปอร์เซีย อาหรับ ในดินแดนตะวันออกกลาง
ราชอาณาจักรสุโขทัย ล้านนา กรุงศรีอยุธยา ได้ผลิตคิดค้นเงินตราขึ้นใช้ในระบบเศรษฐกิจ พร้อมกันนั้นก็ยอมรับเงินตราของต่างชาติด้วย เงินตราที่ใช้ในอาณาจักรล้านนา ได้แก่ เงินไซซี เงินกำไล เงินเจียง เงินท้อก เงินดอกไม้ ส่วนราชอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยาได้ผลิตเงินพดด้วง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะของตนเองขึ้นใช้ และใช้เบี้ยหอยแทนเงินปลีกย่อย บางครั้งเบี้ยหอยขาดแคลนก็ได้ผลิตเบี้ยโลหะและประกับดินเผาขึ้นใช้ร่วมด้วย
ภายหลังราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาสลายลง กรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ถือกำเนิดขึ้นตามลำดับ ก็ยังคงใช้เงินพดด้วงเช่นครั้งกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 4 การเปิดประเทศสยามสู่อารยประเทศ มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบเงินตราให้เป็นสากล นำไปสู่การผลิตเงินตราในลักษณะเหรียญกลมแบนออกใช้เป็นครั้งแรก ต่อมารัชกาลที่ 5 จึงทรงประกาศยกเลิกการใช้เงินพดด้วง นับตั้งแต่นั้นเงินตราไทยจึงคงลักษณะเป็นเหรียญกลมแบนต่อเนื่องมาจวบจนปัจจุบัน

 

ความรู้ที่ได้จากการที่ได้ไปศึกษาที่ธนาคารแห่งประเทศไทย

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชื่อไม่เป็นทางการ แบงค์ชาติ (อังกฤษ: The Bank of Thailand: BOT) เป็นธนาคารกลางของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 เปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 มีหน้าที่หลักในการดูแลกำกับเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน นำออกหมุนเวียนซึ่งธนบัตรไทยรวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเงินตราระหว่างประเทศ และเฝ้าระวังอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้นหลังจากประเทศไทยได้มีธนาคารพาณิชย์ทั้งของรัฐและเอกชนเริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านั้นแล้ว ภารกิจและหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยเดิมซ้อนเหลื่อมอยู่กับกระทรวงการคลังและได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับหลังจากที่ระบบการเงินของโลกพัฒนาไปและมีวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญต่างๆ

ประวัติ

ในปี พ.ศ. 2482 เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามและเหตุการณ์ที่เกิดจากสงครามได้เร่งรัดความจำเป็นต้องจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นในประเทศไทย ปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมมือกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เริ่มจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติขึ้นในปี พ.ศ. 2482 อันเป็นแนวทางไปสู่การตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2485 ในสมัยที่ พลเอกเภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (2484 - 2487) ได้มีการตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 จัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ขึ้นเป็นองค์กรอิสระ และ จากพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มประกอบธุรกิจได้ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2485 เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นผู้ว่าการธนาคารพระองค์แรก (พ.ศ. 2485 - 2489) พระองค์ได้ทรงวางระเบียบแบบแผนและดำเนินการจนธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำรงอยู่เป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดมาจนปัจจุบัน การคลังของไทย ก่อนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การบริหารการคลังของไทยได้ดำเนินมาเป็นเวลานาน นับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา แต่ยังมิได้จัดตั้งหน่วยงานเพื่อทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ รัฐบาลมีรายได้จาก ส่วยสาอากร หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า ภาษีอากร 4 ชนิด ได้แก่ จังกอบ อากร ส่วย และ ฤชา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ได้มีการจัดระเบียบการปกครองฝ่ายพลเรือนเป็น 4 แผนก เรียกว่า จตุสดมภ์ ซึ่งประกอบด้วย กรมเมือง กรมวัง กรมพระคลัง และ กรมนา โดยกรมพระคลังทำหน้าที่รักษาราชทรัพย์ผลประโยชน์ของบ้านเมือง มีขุนคลังเป็นหัวหน้าบังคับบัญชา และมีพระคลังสินค้าเป็นที่เก็บและรักษาส่วยสาอากร ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991 - 2031) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงแก้ไขระบบราชการวางระเบียบการคลังการส่วยสาอากรและเศรษฐกิจให้รัดกุมทันสมัย ให้ตราพระราชบัญญัติทำเนียบราชการ โดยแบ่งราชการออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือนซึ่งใช้มาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ฝ่ายทหารมีสมุหพระกลาโหม เป็นหัวหน้าดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี ฝ่ายพลเรือนมีสมุหนายกเป็นหัวหน้าดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเช่นเดียวกัน และมีตำแหน่งเสนาบดีจตุสดมภ์อีก 4 ตำแหน่ง คือ เสนาบดีกรมเมือง บังคับบัญชาการรักษาพระนครและความนครบาล เสนาบดีกรมวัง บังคับบัญชาการที่เกี่ยวกับพระราชสำนักและพิจารณาคดีความของราษฎร เสนาบดีกรมพระคลัง บังคับบัญชาเกี่ยวกับการจัดการรักษาพระราชทรัพย์ที่ได้จากส่วยสาอากรและบังคับบัญชากรมท่าซึ่งเกี่ยวกับการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ และยังมีหน้าที่เกี่ยวกับกรมพระคลังสินค้าการค้าสำเภาของหลวงด้วย เสนาบดีกรมนา บังคับบัญชาการเกี่ยวกับเรื่องนาและสวน การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2367 - 2394) พระองค์ทรงสนพระทัยที่จะปรับปรุงเศรษฐกิจของประเทศ ในยุคนั้นทางราชการมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินมากกว่าในแผ่นดินก่อนๆ ทรงพยายามหาวิธีเพิ่มรายได้แผ่นดินด้วยการให้ผูกขาดการเก็บภาษีอากร โดยอนุญาตให้เจ้าภาษี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนในประเทศไทยเป็นผู้จัดเก็บภาษีอากรจากราษฎรโดยตรง ในแต่ละปีเจ้าภาษีจะเสนอรายได้สูงสุดในการจัดเก็บภาษีอากรแต่ละชนิดให้แก่รัฐบาล เมื่อได้รับอนุญาตจากรัฐบาลแล้ว เจ้าภาษีจัดแบ่งส่งเงินรายได้แก่รัฐบาลเป็นรายเดือนจนครบกำหนดที่ได้ประมูลไว้เป็นการเริ่มระบบเจ้าภาษีนายอากรนับแต่นั้นมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2394 - 2411) ไทยได้เปิดประตูการค้ากับประเทศตะวันตก นับตั้งแต่ได้มีการลงนามใน สนธิสัญญาเบาริง กับประเทศอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2398 และกับประเทศอื่นๆ บทบัญญัติในสนธิสัญญาบาวริงมีผลให้ไทยต้องยกเลิกการค้าแบบผูกขาด โดยระบบพระคลังสินค้าอย่างเด็ดขาด เลิกล้มการเก็บภาษีเบิกร่องหรือค่าปากเรือ มีการจัดตั้ง ศุลกสถาน (Customs House) หรือ โรงภาษี จัดเก็บภาษีขาเข้าในอัตรา ร้อยชักสาม และภาษีขาออกตามที่ระบุไว้ในท้ายสัญญา ระบบการศุลกากรแบบใหม่ก็นำมาใช้นับแต่ครั้งนั้น ภายหลังสนธิสัญญาบาวริง การค้าขายระหว่างไทยกับต่างประเทศเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว พ่อค้าชาวต่างประเทศได้นำเงินเหรียญดอลลาร์เม็กซิกันมาขอแลกเป็นเงินไทยมาก จนกระทั่งเงินบาทพดด้วงที่มีอยู่ไม่พอใช้หมุนเวียน ดังนั้นใน พ.ศ. 2403 รัชกาลที่ 4 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง โรงกษาปณ์สิทธิการ ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ผลิตเงินเหรียญด้วยเครื่องจักร มีทั้งที่ทำด้วย ทองคำ เงิน ดีบุก และทองแดงในราคาต่างกัน

การคลังของไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411 - 2453) เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัตินั้น ทรงมีพระชันษาได้ 16 พรรษาเท่านั้น จึงมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ระหว่าง พ.ศ. 2411 - 2416 ครั้นเมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ได้ทรงรับมอบอำนาจการปกครองแผ่นดินจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และทรงเริ่มพระราชกรณียกิจในการปรับปรุงแก้ไขการบริหารราชการแผ่นดินให้ทันสมัยทันที ได้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานการคลัง ซึ่งนำไปสู่การสถาปนากระทรวงการคลังขึ้นในรัชกาลนี้ การตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า การบริหารการคลังของประเทศประสบปัญหาเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรและการจัดระบบการคลังหลายประการ ประการแรก การจัดเก็บภาษีอากรไม่มีการจัดระบบให้ถูกต้อง การเงินของประเทศได้ถูกแบ่งไปอยู่ที่เจ้านายและขุนนางผู้มีอำนาจ โดยอำนาจการจัดเก็บภาษีอากรกระจายไปอยู่ตามกรมต่างๆ เช่น กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระกลาโหม กรมมหาดไทย กรมนา และกรมพระคลังสินค้า เป็นต้น แล้วแต่เจ้ากรมผู้บังคับบัญชากรมนั้นๆ จะจัดเก็บตามประสงค์ ไม่เป็นระเบียบแบบแผนอันเดียวกันที่จะพึงปฏิบัติเยี่ยงอารยประเทศ นอกจากนี้ภาษีอากรที่กรมต่างๆ จัดเก็บได้ ซึ่งจะต้องมอบเงินส่วนหนึ่งให้กรมพระคลังมหาสมบัติ ก็ปรากฏว่าให้บ้างไม่ให้บ้าง กรมพระคลังมหาสมบัติเป็นเพียงแต่เจ้าพนักงานรับเงินหลวง ไม่มีอำนาจบังคับหรือเรียกร้องให้กรมต่างๆ ปฏิบัติตามแต่อย่างใดเพราะไม่มีระเบียบบัญญัติกฎหมายวางไว้ให้ทำเช่นนั้นได้ ทำให้เงินผลประโยชน์ของแผ่นดินรั่วไหลไปทางอื่นเสียเป็นอันมาก ประการที่สอง ระบบเจ้าภาษีนายอากรไม่มีประสิทธิภาพ ตามที่รัฐบาลได้ให้เจ้าภาษีนายอากรรับผูกขาดการเก็บภาษีอากรชนิดต่างๆ และนำเงินส่งรัฐเพื่อเป็นรายได้นำมาทำนุบำรุงประเทศนั้น ปรากฏว่าในระยะแรกเจ้าภาษีนายอากรก็นำเงินส่งราชการเต็มตามจำนวนและตรงเวลา แต่เมื่อนานวันไปเจ้าภาษีนายอากรมักบิดพลิ้วผัดผ่อน ไม่ส่งเงินตามกำหนดและส่งให้ไม่ครบตามจำนวน อีกทั้งยังทำการรีดนาทาเร้นราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อน เกิดระบบการยักยอก ฉ้อโกงเงินหลวงของเจ้าหน้าที่และเจ้าภาษีนายอากร จำนวนเงินที่รัฐควรจะได้ก็ไม่ครบตามจำนวนที่พึงได้ เป็นผลกระทบต่อเงินรายจ่ายของแผ่นดิน จนเกือบจะไม่พอใช้ในกิจการต่างๆ ประการที่สาม การจัดทำบัญชีของกรมพระคลังมหาสมบัติไม่เรียบร้อย นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การทำบัญชีรับและจ่ายเงินของกรมพระคลังมหาสมบัติ มิได้มีปรากฏไว้เป็นแบบอย่างและเป็นหลักฐานให้ตรวจสอบได้ จึงไม่ทราบแน่นอนว่าในแต่ละปี รัฐได้รับเงินเท่าไร และจ่ายราชการไปเท่าไร มีกำไรหรือขาดทุน เมื่อพระคลังมหาสมบัติแต่ละคนดับสูญไป บัญชีนั้นก็สูญหายไปหมด ไม่มีการจัดแจงเรียบเรียงบัญชีไว้สำหรับแผ่นดิน เมื่อสิ้นปีก็มิได้งบบัญชีขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงทราบเป็นบัญชีข้างที่ไว้สำหรับทรงตรวจดูตัวเงินแผ่นดินว่ามีเงินมากน้อยเพียงใด นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 เป็นต้นมา เงินผลประโยชน์รายได้ของแผ่นดินลดลงไปมาก ในขณะที่การใช้จ่ายในกรมพระคลังมหาสมบัติเพิ่มรายการขึ้นทุกปี จนในที่สุดรายได้ไม่พอจ่ายต้องค้างชำระ รัฐบาลต้องเป็นหนี้สินอยู่เป็นอันมาก ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงมีไปถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ฉบับลงวันที่ 28 ตุลาคม ร.ศ. 122 ความตอนหนึ่งว่า "…ในเวลาครึ่งปีต่อมา เงินภาษีอากรก็ลดเกือบหมดทุกอย่าง ลดลงไปเป็นลำดับ จนถึงปีมะแม ตรีศก (พ.ศ. 2414) เงินแผ่นดินที่เคยได้อยู่ปีละ 50,000 - 60,000 ชั่งนั้น เหลือจำนวนอยู่ 40,000 ชั่ง แต่ไม่ได้ตัวเงินกี่มากน้อย แต่เงินเบี้ยหวัดปีละ 11,000 ชั่ง ก็วิ่งตาแตก ได้เงินในคลังมหาสมบัติ ซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่วิ่งมาหาเป็นพื้น นอกนั้นก็ปล่อยค้าง ที่ได้เงินตัวจริงมีประมาณ 20,000 ชั่งเท่านั้น เงินไม่พอจ่ายราชการก็ต้องเป็นหนี้…" ดังนั้นเมื่อได้เสด็จขึ้นว่าราชการแผ่นดินโดยเด็ดขาด จึงทรงเริ่มทำการปฏิรูปการคลังโดยโปรดเกล้าฯ ให้ ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2416 ในพระบรมมหาราชวัง ให้เป็นที่ทำการของเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ และให้มีพนักงานบัญชีกลางสำหรับรวบรวมบัญชีเงินผลประโยชน์แผ่นดินและตรวจตราการเก็บภาษีอากรซึ่งกระทรวงต่างๆ เป็นเจ้าหน้าที่เก็บนั้น ให้รู้ว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใด และเร่งเรียกเงินของแผ่นดินในด้านภาษีอากรให้ส่งเข้าพระคลังมหาสมบัติตามกำหนด พร้อมกันนั้นได้ทรงตราพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ จุลศักราช 1235 หรือ พ.ศ. 2416 จากพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานอำนาจแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงจัดให้มีเจ้าพนักงานบัญชีกลางรวบรวมพระราชทรัพย์ ซึ่งขึ้นในท้องพระคลังทั้งปวงตั้งสำนักงานอยู่ในหอรัษฎากรพิพัฒน์ในพระบรมมหาราชวัง ให้มีแบบธรรมเนียมที่เจ้าภาษีนายอากรต้องปฏิบัติในการรับประมูลผูกขาดจัดเก็บภาษีอากร ให้มีเจ้าจำนวนภาษีของพระคลังทั้งปวงมาทำงานในสำนักงานเป็นประจำ เพื่อตรวจตราเงินภาษีอากรที่เจ้าภาษีนายอากรนำส่งต่อพระคลังแต่ละแห่ง โดยครบถ้วนตามงวดที่กำหนดให้ การกำหนดหน้าที่ของเจ้าพนักงานหอรัษฎากรพิพัฒน์ และระเบียบข้อบังคับให้เจ้าภาษีนายอากรปฏิบัติโดยเคร่งครัด เป็นการตัดผลประโยชน์ของเจ้าพนักงานทั้งปวง จึงกล่าวได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงวางรากฐานระเบียบการปฏิบัติการภาษีอากรและการเงินของประเทศไว้เป็นครั้งแรก ทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2418 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกกรมท่าซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของกรมพระคลังมาแต่ครั้งสมัยพระบรมไตรโลกนาถออกจากกรมพระคลังมหาสมบัติ โดยให้กรมท่ามีหน้าที่เกี่ยวกับการต่างประเทศ

พระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ จุลศักราช 1237

ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวางระเบียบสำหรับปรับปรุงการคลังของประเทศตามพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ไปแล้ว ทรงพระราชดำริว่า การภาษีอากรอันเป็นเงินผลประโยชน์ก้อนใหญ่สำหรับใช้จ่ายในราชการทำนุบำรุงบ้านเมือง และใช้จ่ายเป็นเบี้ยหวัดเงินเดือนข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนนั้น พระคลังมหาสมบัติยังจัดไม่รัดกุมเป็นระเบียบเรียบร้อย เงินผลประโยชน์ของรัฐบาลยังกระจัดกระจายตกค้างอยู่กับเจ้าภาษีนายอากรเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้เงินยังไม่พอใช้จ่ายในราชการและทำนุบำรุงบ้านเมืองให้สมดุล จึงทรงปรึกษากับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือเคาน์ซิลเลอร์ ออฟ สเตด (Councillors of State) พร้อมด้วยคณะเสนาบดี ตราพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ จุลศักราช 1237 ขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2418 ว่าด้วยกรมต่างๆ ซึ่งจะเบิกเงินส่งเงินของทางราชการ พระราชบัญญัติสำหรับกรมพระคลังมหาสมบัติฉบับนี้ถือได้ว่าเป็นกฎหมายงบประมาณฉบับแรกของเมืองไทย ดังปรากฏอยู่ในมาตราที่ 1 และมาตราที่ 2 ของพระราชบัญญัติ และจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ เห็นได้ว่า กรมพระคลังมหาสมบัติมีฐานะเป็นกระทรวงเพราะใช้คำภาษาอังกฤษเพื่อเรียกอธิบดีว่า มินิสเตอร์ ออฟ ฟิแนนซ์ (Ministry of Finance) เมื่อเปรียบเทียบเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบตามที่ปรากฏในพระราชบัญญัติสำหรับกรมพระคลังมหาสมบัติกับหน่วยงานในกระทรวงการคลังสมัยปัจจุบัน ก็จะเห็นได้ดังนี้ เจ้าพนักงานบัญชีรับเงิน อำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นี้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร เจ้าพนักงานบัญชีจ่ายเงิน และเจ้าพนักงานผู้เก็บเงิน เป็นอำนาจและหน้าที่ของกรมธนารักษ์ ปลัดอธิบดี เทียบเท่ากับ ปลัดกระทรวง และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เจ้าพนักงานใหญ่ ก็คือประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน กรมพระคลังมหาสมบัติตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็คือกระทรวงการคลังในปัจจุบันนั่นเอง และโดยที่กรมพระคลังมหาสมบัติได้รับการสถาปนาขึ้น ณ วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2418 จึงถือเอาวันนี้เป็นวันสถาปนากระทรวงการคลัง นับถึงบัดนี้เป็นปีที่ 120 ประมาณปี พ.ศ. 2431 ได้มีการย้ายศุลกสถานหรือโรงภาษี ซึ่งเป็นที่ทำการของกรมศุลกากรจากปากคลองผดุงกรุงเกษม มาอยู่ที่ริมแม่น้ำ อำเภอบางรัก

ยกฐานะกรมพระคลังมหาสมบัติเป็นกระทรวง พ.ศ. 2433

ในปี พ.ศ. 2430 เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ จะเสด็จเป็นผู้แทนพระองค์ไปช่วยงานฉลองรัชกาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิคตอเรีย ครบ 50 ปี ณ ประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสสั่งให้ไปพิจารณาดูแบบอย่างการปกครองของประเทศในทวีปยุโรป เมื่อสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการเสด็จกลับมา ก็ถวายรายงานให้ทรงทราบ ในปี พ.ศ. 2433 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินขึ้น กำหนดการปกครองส่วนกลางเป็นกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปการปกครองของไทยให้ทันสมัย กรมพระคลังมหาสมบัติจึงได้รับการยกฐานะเป็นกระทรวง พระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ร.ศ. 109 ใน พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า เมื่อกรมพระคลังมหาสมบัติได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวงแล้ว ตำแหน่งเจ้าพนักงานต่างๆ ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ พ.ศ. 2418 ไม่เพียงพอแก่ราชการที่เป็นอยู่ ตำแหน่งและหน้าที่ของผู้จะมารับราชการตามพระราชบัญญัติเดิมนั้น ก็ยังเป็นการบกพร่อง ขาดเกิน ก้าวก่ายไม่เรียบร้อย สมควรจะได้จัดการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติแบ่งกรมและตำแหน่งหน้าที่ ให้เหมาะสมแก่กาลสมัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ตราพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติขึ้น เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2433 พระราชบัญญัติฉบับนี้ กำหนดให้กระทรวงมหาสมบัติมีหน้าที่สำหรับ รับ จ่าย และรักษาเงินแผ่นดินทั้งสรรพราชสมบัติพัสดุทั้งปวง กับถือบัญชีพระราชทรัพย์สำหรับแผ่นดินทั้งสิ้น และเก็บภาษีอากรเงินขึ้นแผ่นดินตลอดทั่วพระราชอาณาจักร มีเสนาบดีรับผิดชอบบังคับราชการในกระทรวงสิทธิ์ขาด ประกอบด้วยกรมเจ้ากระทรวงและกรมขึ้น รวมเป็นกรมใหญ่ 13 กรม ดังนี้ กรมเจ้ากระทรวง มี 5 กรมย่อย ได้แก่ กรมพระคลังกลาง มีหน้าที่ประมาณการรับจ่ายเงินแผ่นดินว่าด้วยภาษีอากรและบังคับบัญชาราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติทั้งหมด กรมสารบาญชี มีหน้าที่รับจ่ายเงินแผ่นดินและถือสารบาญชีพระราชทรัพย์ทั้งหมด กรมตรวจ มีหน้าที่ตรวจบัญชี ตรวจราคา ตรวจรายงานการรับจ่ายเงินแผ่นดิน และสรรพราชสมบัติการภาษีอากรทั้งหมด กรมเก็บ มีหน้าที่รักษาพระราชทรัพย์ทั้งหมด กรมพระคลังข้างที่ มีหน้าที่จัดการเงินในพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรมขึ้น มี 8 กรม แบ่งเป็น 2 แผนก คือ กรมทำการแผ่นดิน มี 3 กรมย่อย คือ กรมกระสาปนสิทธิการมีหน้าที่ทำเงินตรา กรมพิมพ์ธนบัตร มีหน้าที่ทำเงินกระดาษและตั๋วตรา กรมราชพัสดุ มีหน้าที่จัดการซื้อจ่ายของห้างหลวง และรับจ่ายของส่วย กรมเจ้าจำนวนเก็บเงินภาษีอากรมี 5 กรมย่อย คือ กรมส่วย มีหน้าที่เร่งเงินค่าราชการตัวเลขและค่าธรรมเนียม กรมสรรพากร มีหน้าที่จัดเก็บเงินอากรต่าง ๆ กรมสรรพภาษี มีหน้าที่เก็บเงินภาษีต่าง ๆ กรมอากรที่ดิน มีหน้าที่เก็บเงินอากร ค่าที่ต่าง ๆ กรมศุลกากร มีหน้าที่เก็บเงินภาษีขาเข้า ขาออก โดยผลแห่งพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กรมสรรพากรจึงถือเอาวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2433 เป็นวันสถาปนากรมและกรมบัญชีกลางกำหนดให้วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2433 เป็นวันสถาปนากรมตามลำดับ การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง พ.ศ. 2435 เหมือนหัวข้อ การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง พ.ศ. 2435 เพื่อให้การจัดระเบียบราชการส่วนกลางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้แบ่งหน่วยราชการส่วนกลางเป็น 12 กระทรวง จัดสรรอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วน ไม่ก้าวก่ายในการปฏิบัติราชการ โดยมีพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งกระทรวงแบบใหม่ ขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 กระทรวงทั้ง 12 กระทรวงมีดังนี้ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัง กระทรวงนครบาล กระทรวงเกษตราธิการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงยุทธนาธิการ กระทรวงธรรมการ กระทรวงโยธาธิการ กระทรวงมุรธาธิการ ทรงประกาศตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่าง ๆ ขึ้นให้มีศักดิ์เสมอกันทั้ง 12 กระทรวง ยุบเลิกตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี และเสนาบดีจตุสดมภ์

พระบรมราชโองการฉบับนี้ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ เป็นเสนาบดีกระทรวงการคลังพระมหาสมบัติ แต่เนื่องจากทรงพระประชวร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ จึงทรงปฏิบัติราชการแทนต่อมาในปีเดียวกัน วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2435 ได้มีประกาศเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเสนาบดี โดยให้กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงการคลังมหาสมบัติแทน ในปี พ.ศ. 2435 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระคลังข้างที่ ซึ่งแต่เดิมสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ให้มาสังกัดกระทรวงมุรธาธิการ ปัจจุบัน กรมพระคลังข้างที่ได้เปลี่ยนมาเป็นสำนักงานพระคลังข้างที่สังกัดอยู่ในสำนักพระราชวัง การยกเลิกระบบเจ้าภาษีอากรเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลจัดเก็บภาษีอากรเอง นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว การเก็บภาษีอากรจากราษฎรใช้วิธีการประมูลผูกขาด ให้เจ้าภาษีนายอากรรับผูกขาดไปเก็บภาษีจากราษฎรทุกปี ปรากฏว่าวิธีการดังกล่าวนี้ไม่มีประสิทธิภาพรัฐบาลไม่ได้รับเงินผลประโยชน์ครบตามจำนวน ถึงแม้ว่าจะได้มีการปรับปรุงมาตรการต่างๆ เช่น การตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ พ.ศ. 2416 แล้วก็ตาม ในปี พ.ศ. 2436 พันเอกพระยาฤทธิรงค์รณเฉท (สุข ชูโต) สมุหเทศาภิบาลมณฑลปราจีนบุรี ได้เสนอให้เจ้าพนักงานของรัฐบาลจัดเก็บภาษีอากรเอง ในสมัยพี่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีสิทธิธงไชย กรมขุนสิริธัชสังกาศ เป็นเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างใด จนกระทั่งเมื่อ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไชยันตมงคล กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย มาเป็นเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (พ.ศ. 2439-2449) ทรงทราบเรื่องและทรงเห็นว่าเป็นผลดีสมตามความมุ่งหมายของรัฐบาล จึงมีพระประสงค์จะปรับปรุงแก้ไขวิธีการเก็บภาษีอากร และได้กราบทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสนอวิธีการปรับปรุงการเก็บภาษีอากรใหม่ยกเลิกการประมูลผูกขาดเก็บภาษีอากรเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลดำเนินการจัดเก็บเอง ครั้นเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ก็เตรียมการในเรื่องนี้ต่อไป การจ้างที่ปรึกษาชาวต่างประเทศในกิจการคลัง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อจะทรงปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย จำเป็นต้องใช้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ แต่ข้าราชการไทยในเวลานั้นยังขาดความรู้และประสบการณ์ จึงทรงเห็นควรจ้างชาวต่างประเทศที่รู้งานเข้ามารับราชการ และเป็นที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้จ้างชาวต่างประเทศที่มีความรู้ในด้านการคลังมาทำงานหลายคน ได้แก่

มิสเตอร์ อี.โฟล ริโอ เข้ารับราชการในกรมสารบาญชี เมื่อปี พ.ศ. 2436 ท่านได้วางรูปบัญชีแบบสากลเป็นคนแรก ซี่งใช้ถือปฏิบัติในกรมบัญชีกลางสืบมา มิสเตอร์ เอฟ.เอช. ไยลส์ และ มิสเตอร์ดับเบิลยู เอ. เกรแฮม ชาวอังกฤษจากอินเดีย ช่วยเตรียมวิธีการปรับปรุงให้เจ้าพนักงานของรัฐบาลเป็นผู้จัดเก็บภาษีอากรเอง เมื่อปี พ.ศ. 2440 มิสเตอร์ริเวต คาแวค ชาวอังกฤษตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติใน [[พ.ศ. 2441[[ ได้เสนอความเห็นให้แยกการสรรพากรออกจากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ไปอยู่ในบังคับของกระทรวงมหาดไทย เพื่อมิให้เกิดการทุจริตฉ้อเงินและผลประโยชน์ของแผ่นดิน ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงเห็นชอบด้วย ใน พ.ศ. 2442 จึงให้ยกกรมสรรพากรนอกมาขึ้นกระทรวงมหาดไทย แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มิสเตอร์ไยลส์ เป็นเจ้ากรมกรมสรรพากรนอก ส่วนมิสเตอร์เกรแฮมได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้ากรมกรมสรรพากรใน ขึ้นอยู่กับกระทรวงนครบาล และมิสเตอร์คาแวคก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมบาญชีกลาง (พ.ศ. 2443-2445)

การทำงบประมาณแผ่นดิน เพื่อให้การรับจ่ายเงินของแผ่นดินเป็นไปอย่างรัดกุมใน พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินขึ้นเป็นครั้งแรก กระทรวงพระคลังมหาสมบัติเริ่มวางระเบียบการจัดงบประมาณรายจ่าย แล้วรวบรวมขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต และจะไม่มีการจ่ายเงินเกินงบประมาณโดยที่มิได้รับความเห็นชอบจากองค์พระมหากษัตริย์เสียก่อน นอกจากนี้ ยังวางระเบียบการควบคุมการใช้จ่ายเงินของกระทรวงและกรมต่างๆ ทั้งหมด การจัดงบประมาณอย่างคร่าวๆนี้ เป็นการกำหนดรายจ่ายมิให้เกินกำลังของเงินรายได้ เพื่อรักษาดุลยภาพและความมั่นคงของฐานะการคลังของประเทศ ใน พ.ศ. 2444 รัฐบาลสามารถจัดพิมพ์งบประมาณรายรับรายจ่ายแผ่นดินขึ้นเป็นครั้งแรก อนึ่ง ในการจัดทำงบประมาณแผ่นดินนี้ โปรดฯให้แยกการเงินส่วนแผ่นดิน และส่วนพระองค์ออกจากกันอย่างเด็ดขาด พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์นั้น ให้ พระคลังข้างที่ เป็นผู้จัดการดูแล การคลังของไทย ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงสมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

ตั้งกรมพระคลังมหาสมบัติ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติในปี พ.ศ. 2453 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรัดพระคลังในท้องที่ต่างๆทั่วพระราชอาณาจักร เข้ามาอยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงมหาสมบัติ กรมพระจันทบุรีนฤนาถก็ได้ดำเนินการตามแนวทางนี้จนสำเร็จ ในพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ พ.ศ. 2433 กรมเก็บในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ทำหน้าที่เป็นพระคลังแผ่นดินสำหรับจ่ายและรักษาพระราชทรัพย์ทั้งปวงในกรุงเทพมหานคร และเป็นต้นเรื่องรับส่งเงินแผ่นดินถึงพระคลังในหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร แต่ชื่อเรียกกรมเก็บนี้ ไม่เหมาะสมกับขอบเขตหน้าที่การงาน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามกรมเก็บเป็นกรมพระคลังมหาสมบัติ ตามประกาศ ณ วันที่ 26 มีนาคม 2454 สำหรับการรวบรัดคลังหัวเมืองมาอยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติก็สำเร็จสมบูรณ์ด้วยการโอนคลังในจังหวัดต่าง ๆ แห่งมณฑลกรุงเทพฯ ซึ่งเดิมอยู่ในกระทรวงนครบาลมาขึ้นกับกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2458 เป็นต้นไป ในปี พ.ศ. 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2456 เพื่อวางระเบียบกำหนดเวลาที่กระทรวงต่าง ๆ จะต้องยื่นงบประมาณต่อกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เวลาที่จะต้องทูลเกล้าฯ ถวาย กับเวลาที่จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตและกำหนดวิธีการจ่ายเงินนอกงบประมาณในระหว่างปี การใช้จ่ายเงินงบประมาณของแต่ละปี กำหนดให้สิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม ของปีงบประมาณนั้น การรวมกรมสรรพากรในและกรมสรรพากรนอกเป็นกรมสรรพากร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีกรมราชการขึ้น 2 กรมคือ กรมสรรพากรในและกรมสรรพากรนอก ขึ้นอยู่ในกระทรวงนครบาล และกระทรวงมหาดไทยตามลำดับ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าหน้าที่ของกรมสรรพากรในและกรมสรรพากรนอกนี้ ไม่สมควรที่จะอยู่ในกระทรวงฝ่ายปกครอง น่าจะได้มาอยู่ในเสนาบดีที่มีหน้าที่ทางการเงิน เพื่อจะได้จัดการตรวจตราและจัดการให้เป็นประโยชน์งอกงามขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกกรมสรรพากรในและกรมสรรพากรนอกมาขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาพระคลังมหาสมบัติ และรวมกรมสรรพากรในและกรมสรรพากรนอกเป็นกรมเดียวกัน เรียกว่า กรมสรรพากร

ตั้งกรมตรวจเงินแผ่นดิน เนื่องจากเงินรายได้และรายจ่ายของประเทศไทยมีจำนวนมากขึ้นโดยลำดับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า ควรจะมีการตรวจตราการรับจ่ายและการรักษาเงินให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่เฉพาะสำหรับปฏิบัติการนี้แผนกหนึ่ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง กรมตรวจเงินแผ่นดิน ขึ้นในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติตามประกาศตั้งกรมตรวจเงินแผ่นดิน ณ วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2458 ให้ทำหน้าที่ตรวจตราเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ซึ่งทำการรับหรือจ่ายเงินแผ่นดินและเงินอื่น ๆ ที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ และอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัตินี้ เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้ออกประกาศระบุหน้าที่การงานต่าง ๆ ซึ่งกรมตรวจเงินแผ่นดินจะต้องตรวจตรา และวิธีการที่จะต้องปฏิบัติ

กรมบัญชีกลาง เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมตรวจเงินแผ่นดินนั้น เพื่อมิให้กรมใหม่ที่ตั้งขึ้นนี้ มีหน้าที่ปะปนกับกรมตรวจและกรมสารบาญชี ซึ่งมีอยู่แล้วแต่เดิมในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และทรงพระราชดำริเห็นว่านามกรมและหน้าที่ราชการของกรมตรวจเงินในแผ่นดินจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าปะปนกับกรมตรวจและกรมสารบาญชี จึงเปลี่ยนนามกรมตรวจและกรมสารบาญชีเป็นกรมบาญชีกลาง ตามประกาศวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2458 มีหน้าที่จัดระเบียบการประมวลบัญชีเงินรายได้และรายจ่ายของแผ่นดิน และสอบสวนการเบิกจ่ายเพื่อรักษารูปงบประมาณกับเพื่อให้การเบิกจ่ายได้ปฏิบัติไปตามความมุ่งหมายของการงบประมาณ ทั้งกำหนดหน้าที่ของกรมบาญชีกลางไว้

ตั้งกรมสถิติพยากรณ์ การวางนโยบายการปฏิบัติราชการของหน่วยงานต่าง ๆ ย่อมต้องอาศัยความรู้ในความเป็นไปของบ้านเมืองและราษฎร เป็นพื้นฐานแห่งนโยบายนั้น สถิติของบ้านเมือง กระทรวงบางแห่งได้เคยเก็บรักษาไว้ แต่เพื่อจะให้ได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้นจากสถิติเหล่านี้ก็สมควรมีเจ้าหน้าที่กองกลาง เป็นผู้รวบรวมข้อความและตัวเลขต่าง ๆ แสดงสถิติของบ้านเมืองขึ้นเป็นพยากรณ์สำหรับประโยชน์ทั่วไป พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จังตั้งกรมสถิติพยากรณ์ขึ้นในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2458 ภายหลังได้รับการยกฐานะเป็นกระทรวงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2463

กรมศุลกากร เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2457-2461) ประเทศไทยได้ประกาศสงครา

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชื่อไม่เป็นทางการ แบงค์ชาติ (อังกฤษ: The Bank of Thailand: BOT) เป็นธนาคารกลางของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 เปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2485 มีหน้าที่หลักในการดูแลกำกับเรื่องการเงินของชาติ ทั้งออกกฎเกณฑ์และควบคุมสถาบันการเงิน นำออกหมุนเวียนซึ่งธนบัตรไทยรวมถึงการควบคุมการถ่ายโอนเงินตราระหว่างประเทศ และเฝ้าระวังอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับสกุลเงินตราอื่น

ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้นหลังจากประเทศไทยได้มีธนาคารพาณิชย์ทั้งของรัฐและเอกชนเริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านั้นแล้ว ภารกิจและหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยเดิมซ้อนเหลื่อมอยู่กับกระทรวงการคลังและได้มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นลำดับหลังจากที่ระบบการเงินของโลกพัฒนาไปและมีวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญต่างๆ

ประวัติ

ในปี พ.ศ. 2482 เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามและเหตุการณ์ที่เกิดจากสงครามได้เร่งรัดความจำเป็นต้องจัดตั้งธนาคารกลางขึ้นในประเทศไทย ปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ร่วมมือกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เริ่มจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติขึ้นในปี พ.ศ. 2482 อันเป็นแนวทางไปสู่การตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2485 ในสมัยที่ พลเอกเภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (2484 - 2487) ได้มีการตราพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 จัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ขึ้นเป็นองค์กรอิสระ และ จากพระราชกฤษฎีกากำหนดกิจการธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มประกอบธุรกิจได้ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2485 เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย เป็นผู้ว่าการธนาคารพระองค์แรก (พ.ศ. 2485 - 2489) พระองค์ได้ทรงวางระเบียบแบบแผนและดำเนินการจนธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำรงอยู่เป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดมาจนปัจจุบัน

การคลังของไทย ก่อนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การบริหารการคลังของไทยได้ดำเนินมาเป็นเวลานาน นับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา แต่ยังมิได้จัดตั้งหน่วยงานเพื่อทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ รัฐบาลมีรายได้จาก ส่วยสาอากร หรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า ภาษีอากร 4 ชนิด ได้แก่ จังกอบ อากร ส่วย และ ฤชา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ได้มีการจัดระเบียบการปกครองฝ่ายพลเรือนเป็น 4 แผนก เรียกว่า จตุสดมภ์ ซึ่งประกอบด้วย กรมเมือง กรมวัง กรมพระคลัง และ กรมนา โดยกรมพระคลังทำหน้าที่รักษาราชทรัพย์ผลประโยชน์ของบ้านเมือง มีขุนคลังเป็นหัวหน้าบังคับบัญชา และมีพระคลังสินค้าเป็นที่เก็บและรักษาส่วยสาอากร

ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991 - 2031) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงแก้ไขระบบราชการวางระเบียบการคลังการส่วยสาอากรและเศรษฐกิจให้รัดกุมทันสมัย ให้ตราพระราชบัญญัติทำเนียบราชการ โดยแบ่งราชการออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือนซึ่งใช้มาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ฝ่ายทหารมีสมุหพระกลาโหม เป็นหัวหน้าดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี ฝ่ายพลเรือนมีสมุหนายกเป็นหัวหน้าดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีเช่นเดียวกัน และมีตำแหน่งเสนาบดีจตุสดมภ์อีก 4 ตำแหน่ง คือ

เสนาบดีกรมเมือง บังคับบัญชาการรักษาพระนครและความนครบาล

เสนาบดีกรมวัง บังคับบัญชาการที่เกี่ยวกับพระราชสำนักและพิจารณาคดีความของราษฎร

เสนาบดีกรมพระคลัง บังคับบัญชาเกี่ยวกับการจัดการรักษาพระราชทรัพย์ที่ได้จากส่วยสาอากรและบังคับบัญชากรมท่าซึ่งเกี่ยวกับการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ และยังมีหน้าที่เกี่ยวกับกรมพระคลังสินค้าการค้าสำเภาของหลวงด้วย

เสนาบดีกรมนา บังคับบัญชาการเกี่ยวกับเรื่องนาและสวน การเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2367 - 2394) พระองค์ทรงสนพระทัยที่จะปรับปรุงเศรษฐกิจของประเทศ ในยุคนั้นทางราชการมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินมากกว่าในแผ่นดินก่อนๆ ทรงพยายามหาวิธีเพิ่มรายได้แผ่นดินด้วยการให้ผูกขาดการเก็บภาษีอากร โดยอนุญาตให้เจ้าภาษี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีนในประเทศไทยเป็นผู้จัดเก็บภาษีอากรจากราษฎรโดยตรง ในแต่ละปีเจ้าภาษีจะเสนอรายได้สูงสุดในการจัดเก็บภาษีอากรแต่ละชนิดให้แก่รัฐบาล เมื่อได้รับอนุญาตจากรัฐบาลแล้ว เจ้าภาษีจัดแบ่งส่งเงินรายได้แก่รัฐบาลเป็นรายเดือนจนครบกำหนดที่ได้ประมูลไว้เป็นการเริ่มระบบเจ้าภาษีนายอากรนับแต่นั้นมา

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2394 - 2411) ไทยได้เปิดประตูการค้ากับประเทศตะวันตก นับตั้งแต่ได้มีการลงนามใน สนธิสัญญาเบาริง กับประเทศอังกฤษเมื่อปี พ.ศ. 2398 และกับประเทศอื่นๆ บทบัญญัติในสนธิสัญญาบาวริงมีผลให้ไทยต้องยกเลิกการค้าแบบผูกขาด โดยระบบพระคลังสินค้าอย่างเด็ดขาด เลิกล้มการเก็บภาษีเบิกร่องหรือค่าปากเรือ มีการจัดตั้ง ศุลกสถาน (Customs House) หรือ โรงภาษี จัดเก็บภาษีขาเข้าในอัตรา ร้อยชักสาม และภาษีขาออกตามที่ระบุไว้ในท้ายสัญญา ระบบการศุลกากรแบบใหม่ก็นำมาใช้นับแต่ครั้งนั้น

ภายหลังสนธิสัญญาบาวริง การค้าขายระหว่างไทยกับต่างประเทศเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว พ่อค้าชาวต่างประเทศได้นำเงินเหรียญดอลลาร์เม็กซิกันมาขอแลกเป็นเงินไทยมาก จนกระทั่งเงินบาทพดด้วงที่มีอยู่ไม่พอใช้หมุนเวียน ดังนั้นใน พ.ศ. 2403 รัชกาลที่ 4 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง โรงกษาปณ์สิทธิการ ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ผลิตเงินเหรียญด้วยเครื่องจักร มีทั้งที่ทำด้วย ทองคำ เงิน ดีบุก และทองแดงในราคาต่างกัน

การคลังของไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411 - 2453)

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัตินั้น ทรงมีพระชันษาได้ 16 พรรษาเท่านั้น จึงมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ระหว่าง พ.ศ. 2411 - 2416 ครั้นเมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ได้ทรงรับมอบอำนาจการปกครองแผ่นดินจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และทรงเริ่มพระราชกรณียกิจในการปรับปรุงแก้ไขการบริหารราชการแผ่นดินให้ทันสมัยทันที ได้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานการคลัง ซึ่งนำไปสู่การสถาปนากระทรวงการคลังขึ้นในรัชกาลนี้

การตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ พ.ศ. 2416

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า การบริหารการคลังของประเทศประสบปัญหาเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรและการจัดระบบการคลังหลายประการ

ประการแรก การจัดเก็บภาษีอากรไม่มีการจัดระบบให้ถูกต้อง การเงินของประเทศได้ถูกแบ่งไปอยู่ที่เจ้านายและขุนนางผู้มีอำนาจ โดยอำนาจการจัดเก็บภาษีอากรกระจายไปอยู่ตามกรมต่างๆ เช่น กรมพระคลังมหาสมบัติ กรมพระกลาโหม กรมมหาดไทย กรมนา และกรมพระคลังสินค้า เป็นต้น แล้วแต่เจ้ากรมผู้บังคับบัญชากรมนั้นๆ จะจัดเก็บตามประสงค์ ไม่เป็นระเบียบแบบแผนอันเดียวกันที่จะพึงปฏิบัติเยี่ยงอารยประเทศ นอกจากนี้ภาษีอากรที่กรมต่างๆ จัดเก็บได้ ซึ่งจะต้องมอบเงินส่วนหนึ่งให้กรมพระคลังมหาสมบัติ ก็ปรากฏว่าให้บ้างไม่ให้บ้าง กรมพระคลังมหาสมบัติเป็นเพียงแต่เจ้าพนักงานรับเงินหลวง ไม่มีอำนาจบังคับหรือเรียกร้องให้กรมต่างๆ ปฏิบัติตามแต่อย่างใดเพราะไม่มีระเบียบบัญญัติกฎหมายวางไว้ให้ทำเช่นนั้นได้ ทำให้เงินผลประโยชน์ของแผ่นดินรั่วไหลไปทางอื่นเสียเป็นอันมาก

ประการที่สอง ระบบเจ้าภาษีนายอากรไม่มีประสิทธิภาพ ตามที่รัฐบาลได้ให้เจ้าภาษีนายอากรรับผูกขาดการเก็บภาษีอากรชนิดต่างๆ และนำเงินส่งรัฐเพื่อเป็นรายได้นำมาทำนุบำรุงประเทศนั้น ปรากฏว่าในระยะแรกเจ้าภาษีนายอากรก็นำเงินส่งราชการเต็มตามจำนวนและตรงเวลา แต่เมื่อนานวันไปเจ้าภาษีนายอากรมักบิดพลิ้วผัดผ่อน ไม่ส่งเงินตามกำหนดและส่งให้ไม่ครบตามจำนวน อีกทั้งยังทำการรีดนาทาเร้นราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อน เกิดระบบการยักยอก ฉ้อโกงเงินหลวงของเจ้าหน้าที่และเจ้าภาษีนายอากร จำนวนเงินที่รัฐควรจะได้ก็ไม่ครบตามจำนวนที่พึงได้ เป็นผลกระทบต่อเงินรายจ่ายของแผ่นดิน จนเกือบจะไม่พอใช้ในกิจการต่างๆ

ประการที่สาม การจัดทำบัญชีของกรมพระคลังมหาสมบัติไม่เรียบร้อย นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การทำบัญชีรับและจ่ายเงินของกรมพระคลังมหาสมบัติ มิได้มีปรากฏไว้เป็นแบบอย่างและเป็นหลักฐานให้ตรวจสอบได้ จึงไม่ทราบแน่นอนว่าในแต่ละปี รัฐได้รับเงินเท่าไร และจ่ายราชการไปเท่าไร มีกำไรหรือขาดทุน เมื่อพระคลังมหาสมบัติแต่ละคนดับสูญไป บัญชีนั้นก็สูญหายไปหมด ไม่มีการจัดแจงเรียบเรียงบัญชีไว้สำหรับแผ่นดิน เมื่อสิ้นปีก็มิได้งบบัญชีขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงทราบเป็นบัญชีข้างที่ไว้สำหรับทรงตรวจดูตัวเงินแผ่นดินว่ามีเงินมากน้อยเพียงใด

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 เป็นต้นมา เงินผลประโยชน์รายได้ของแผ่นดินลดลงไปมาก ในขณะที่การใช้จ่ายในกรมพระคลังมหาสมบัติเพิ่มรายการขึ้นทุกปี จนในที่สุดรายได้ไม่พอจ่ายต้องค้างชำระ รัฐบาลต้องเป็นหนี้สินอยู่เป็นอันมาก ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงมีไปถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ฉบับลงวันที่ 28 ตุลาคม ร.ศ. 122 ความตอนหนึ่งว่า

"…ในเวลาครึ่งปีต่อมา เงินภาษีอากรก็ลดเกือบหมดทุกอย่าง ลดลงไปเป็นลำดับ จนถึงปีมะแม ตรีศก (พ.ศ. 2414) เงินแผ่นดินที่เคยได้อยู่ปีละ 50,000 - 60,000 ชั่งนั้น เหลือจำนวนอยู่ 40,000 ชั่ง แต่ไม่ได้ตัวเงินกี่มากน้อย แต่เงินเบี้ยหวัดปีละ 11,000 ชั่ง ก็วิ่งตาแตก ได้เงินในคลังมหาสมบัติ ซึ่งเป็นของเจ้าหน้าที่วิ่งมาหาเป็นพื้น นอกนั้นก็ปล่อยค้าง ที่ได้เงินตัวจริงมีประมาณ 20,000 ชั่งเท่านั้น เงินไม่พอจ่ายราชการก็ต้องเป็นหนี้…"

ดังนั้นเมื่อได้เสด็จขึ้นว่าราชการแผ่นดินโดยเด็ดขาด จึงทรงเริ่มทำการปฏิรูปการคลังโดยโปรดเกล้าฯ ให้ ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2416 ในพระบรมมหาราชวัง ให้เป็นที่ทำการของเจ้าพนักงานพระคลังมหาสมบัติ และให้มีพนักงานบัญชีกลางสำหรับรวบรวมบัญชีเงินผลประโยชน์แผ่นดินและตรวจตราการเก็บภาษีอากรซึ่งกระทรวงต่างๆ เป็นเจ้าหน้าที่เก็บนั้น ให้รู้ว่าเป็นจำนวนเงินเท่าใด และเร่งเรียกเงินของแผ่นดินในด้านภาษีอากรให้ส่งเข้าพระคลังมหาสมบัติตามกำหนด พร้อมกันนั้นได้ทรงตราพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ จุลศักราช 1235 หรือ พ.ศ. 2416

จากพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานอำนาจแก่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงจัดให้มีเจ้าพนักงานบัญชีกลางรวบรวมพระราชทรัพย์ ซึ่งขึ้นในท้องพระคลังทั้งปวงตั้งสำนักงานอยู่ในหอรัษฎากรพิพัฒน์ในพระบรมมหาราชวัง ให้มีแบบธรรมเนียมที่เจ้าภาษีนายอากรต้องปฏิบัติในการรับประมูลผูกขาดจัดเก็บภาษีอากร ให้มีเจ้าจำนวนภาษีของพระคลังทั้งปวงมาทำงานในสำนักงานเป็นประจำ เพื่อตรวจตราเงินภาษีอากรที่เจ้าภาษีนายอากรนำส่งต่อพระคลังแต่ละแห่ง โดยครบถ้วนตามงวดที่กำหนดให้

การกำหนดหน้าที่ของเจ้าพนักงานหอรัษฎากรพิพัฒน์ และระเบียบข้อบังคับให้เจ้าภาษีนายอากรปฏิบัติโดยเคร่งครัด เป็นการตัดผลประโยชน์ของเจ้าพนักงานทั้งปวง จึงกล่าวได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงวางรากฐานระเบียบการปฏิบัติการภาษีอากรและการเงินของประเทศไว้เป็นครั้งแรก ทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มมากขึ้น

ในปี พ.ศ. 2418 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกกรมท่าซึ่งอยู่ในบังคับบัญชาของกรมพระคลังมาแต่ครั้งสมัยพระบรมไตรโลกนาถออกจากกรมพระคลังมหาสมบัติ โดยให้กรมท่ามีหน้าที่เกี่ยวกับการต่างประเทศ

พระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ จุลศักราช 1237

ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวางระเบียบสำหรับปรับปรุงการคลังของประเทศตามพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ไปแล้ว ทรงพระราชดำริว่า การภาษีอากรอันเป็นเงินผลประโยชน์ก้อนใหญ่สำหรับใช้จ่ายในราชการทำนุบำรุงบ้านเมือง และใช้จ่ายเป็นเบี้ยหวัดเงินเดือนข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนนั้น พระคลังมหาสมบัติยังจัดไม่รัดกุมเป็นระเบียบเรียบร้อย เงินผลประโยชน์ของรัฐบาลยังกระจัดกระจายตกค้างอยู่กับเจ้าภาษีนายอากรเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้เงินยังไม่พอใช้จ่ายในราชการและทำนุบำรุงบ้านเมืองให้สมดุล จึงทรงปรึกษากับสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน หรือเคาน์ซิลเลอร์ ออฟ สเตด (Councillors of State) พร้อมด้วยคณะเสนาบดี ตราพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ จุลศักราช 1237 ขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2418 ว่าด้วยกรมต่างๆ ซึ่งจะเบิกเงินส่งเงินของทางราชการ

พระราชบัญญัติสำหรับกรมพระคลังมหาสมบัติฉบับนี้ถือได้ว่าเป็นกฎหมายงบประมาณฉบับแรกของเมืองไทย ดังปรากฏอยู่ในมาตราที่ 1 และมาตราที่ 2 ของพระราชบัญญัติ และจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ เห็นได้ว่า กรมพระคลังมหาสมบัติมีฐานะเป็นกระทรวงเพราะใช้คำภาษาอังกฤษเพื่อเรียกอธิบดีว่า มินิสเตอร์ ออฟ ฟิแนนซ์ (Ministry of Finance)

เมื่อเปรียบเทียบเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบตามที่ปรากฏในพระราชบัญญัติสำหรับกรมพระคลังมหาสมบัติกับหน่วยงานในกระทรวงการคลังสมัยปัจจุบัน ก็จะเห็นได้ดังนี้

เจ้าพนักงานบัญชีรับเงิน อำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นี้เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร

เจ้าพนักงานบัญชีจ่ายเงิน และเจ้าพนักงานผู้เก็บเงิน เป็นอำนาจและหน้าที่ของกรมธนารักษ์

ปลัดอธิบดี เทียบเท่ากับ ปลัดกระทรวง และอธิบดีกรมบัญชีกลาง

เจ้าพนักงานใหญ่ ก็คือประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

กรมพระคลังมหาสมบัติตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ก็คือกระทรวงการคลังในปัจจุบันนั่นเอง และโดยที่กรมพระคลังมหาสมบัติได้รับการสถาปนาขึ้น ณ วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2418 จึงถือเอาวันนี้เป็นวันสถาปนากระทรวงการคลัง นับถึงบัดนี้เป็นปีที่ 120

ประมาณปี พ.ศ. 2431 ได้มีการย้ายศุลกสถานหรือโรงภาษี ซึ่งเป็นที่ทำการของกรมศุลกากรจากปากคลองผดุงกรุงเกษม มาอยู่ที่ริมแม่น้ำ อำเภอบางรัก

ยกฐานะกรมพระคลังมหาสมบัติเป็นกระทรวง พ.ศ. 2433

ในปี พ.ศ. 2430 เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ จะเสด็จเป็นผู้แทนพระองค์ไปช่วยงานฉลองรัชกาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิคตอเรีย ครบ 50 ปี ณ ประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสสั่งให้ไปพิจารณาดูแบบอย่างการปกครองของประเทศในทวีปยุโรป เมื่อสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการเสด็จกลับมา ก็ถวายรายงานให้ทรงทราบ ในปี พ.ศ. 2433 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินขึ้น กำหนดการปกครองส่วนกลางเป็นกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปการปกครองของไทยให้ทันสมัย กรมพระคลังมหาสมบัติจึงได้รับการยกฐานะเป็นกระทรวง

พระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ร.ศ. 109

ใน พ.ศ. 2433 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า เมื่อกรมพระคลังมหาสมบัติได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวงแล้ว ตำแหน่งเจ้าพนักงานต่างๆ ซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติ พ.ศ. 2418 ไม่เพียงพอแก่ราชการที่เป็นอยู่ ตำแหน่งและหน้าที่ของผู้จะมารับราชการตามพระราชบัญญัติเดิมนั้น ก็ยังเป็นการบกพร่อง ขาดเกิน ก้าวก่ายไม่เรียบร้อย สมควรจะได้จัดการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติแบ่งกรมและตำแหน่งหน้าที่ ให้เหมาะสมแก่กาลสมัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ตราพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติขึ้น เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2433

พระราชบัญญัติฉบับนี้ กำหนดให้กระทรวงมหาสมบัติมีหน้าที่สำหรับ รับ จ่าย และรักษาเงินแผ่นดินทั้งสรรพราชสมบัติพัสดุทั้งปวง กับถือบัญชีพระราชทรัพย์สำหรับแผ่นดินทั้งสิ้น และเก็บภาษีอากรเงินขึ้นแผ่นดินตลอดทั่วพระราชอาณาจักร มีเสนาบดีรับผิดชอบบังคับราชการในกระทรวงสิทธิ์ขาด ประกอบด้วยกรมเจ้ากระทรวงและกรมขึ้น รวมเป็นกรมใหญ่ 13 กรม ดังนี้

กรมเจ้ากระทรวง มี 5 กรมย่อย ได้แก่

กรมพระคลังกลาง มีหน้าที่ประมาณการรับจ่ายเงินแผ่นดินว่าด้วยภาษีอากรและบังคับบัญชาราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติทั้งหมด

กรมสารบาญชี มีหน้าที่รับจ่ายเงินแผ่นดินและถือสารบาญชีพระราชทรัพย์ทั้งหมด

กรมตรวจ มีหน้าที่ตรวจบัญชี ตรวจราคา ตรวจรายงานการรับจ่ายเงินแผ่นดิน และสรรพราชสมบัติการภาษีอากรทั้งหมด

กรมเก็บ มีหน้าที่รักษาพระราชทรัพย์ทั้งหมด

กรมพระคลังข้างที่ มีหน้าที่จัดการเงินในพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

กรมขึ้น มี 8 กรม แบ่งเป็น 2 แผนก คือ

กรมทำการแผ่นดิน มี 3 กรมย่อย คือ

กรมกระสาปนสิทธิการมีหน้าที่ทำเงินตรา

กรมพิมพ์ธนบัตร มีหน้าที่ทำเงินกระดาษและตั๋วตรา

กรมราชพัสดุ มีหน้าที่จัดการซื้อจ่ายของห้างหลวง และรับจ่ายของส่วย

กรมเจ้าจำนวนเก็บเงินภาษีอากรมี 5 กรมย่อย คือ

กรมส่วย มีหน้าที่เร่งเงินค่าราชการตัวเลขและค่าธรรมเนียม

กรมสรรพากร มีหน้าที่จัดเก็บเงินอากรต่าง ๆ

กรมสรรพภาษี มีหน้าที่เก็บเงินภาษีต่าง ๆ

กรมอากรที่ดิน มีหน้าที่เก็บเงินอากร ค่าที่ต่าง ๆ

กรมศุลกากร มีหน้าที่เก็บเงินภาษีขาเข้า ขาออก

โดยผลแห่งพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ กรมสรรพากรจึงถือเอาวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2433 เป็นวันสถาปนากรมและกรมบัญชีกลางกำหนดให้วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2433 เป็นวันสถาปนากรมตามลำดับ

การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง พ.ศ. 2435

เหมือนหัวข้อ การปฏิรูปการปกครองส่วนกลาง พ.ศ. 2435

เพื่อให้การจัดระเบียบราชการส่วนกลางเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้แบ่งหน่วยราชการส่วนกลางเป็น 12 กระทรวง จัดสรรอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของแต่ละกระทรวงให้เป็นสัดส่วน ไม่ก้าวก่ายในการปฏิบัติราชการ โดยมีพระบรมราชโองการประกาศแต่งตั้งกระทรวงแบบใหม่ ขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 กระทรวงทั้ง 12 กระทรวงมีดังนี้

กระทรวงมหาดไทย

กระทรวงกลาโหม

กระทรวงการต่างประเทศ

กระทรวงวัง

กระทรวงนครบาล

กระทรวงเกษตราธิการ

กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ

กระทรวงยุติธรรม

กระทรวงยุทธนาธิการ

กระทรวงธรรมการ

กระทรวงโยธาธิการ

กระทรวงมุรธาธิการ

ทรงประกาศตั้งเสนาบดีเจ้ากระทรวงต่าง ๆ ขึ้นให้มีศักดิ์เสมอกันทั้ง 12 กระทรวง ยุบเลิกตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี และเสนาบดีจตุสดมภ์

พระบรมราชโองการฉบับนี้ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ เป็นเสนาบดีกระทรวงการคลังพระมหาสมบัติ แต่เนื่องจากทรงพระประชวร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ จึงทรงปฏิบัติราชการแทนต่อมาในปีเดียวกัน วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2435 ได้มีประกาศเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเสนาบดี โดยให้กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงการคลังมหาสมบัติแทน

ในปี พ.ศ. 2435 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระคลังข้างที่ ซึ่งแต่เดิมสังกัดกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ให้มาสังกัดกระทรวงมุรธาธิการ ปัจจุบัน กรมพระคลังข้างที่ได้เปลี่ยนมาเป็นสำนักงานพระคลังข้างที่สังกัดอยู่ในสำนักพระราชวัง

การยกเลิกระบบเจ้าภาษีอากรเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลจัดเก็บภาษีอากรเอง

นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว การเก็บภาษีอากรจากราษฎรใช้วิธีการประมูลผูกขาด ให้เจ้าภาษีนายอากรรับผูกขาดไปเก็บภาษีจากราษฎรทุกปี ปรากฏว่าวิธีการดังกล่าวนี้ไม่มีประสิทธิภาพรัฐบาลไม่ได้รับเงินผลประโยชน์ครบตามจำนวน ถึงแม้ว่าจะได้มีการปรับปรุงมาตรการต่างๆ เช่น การตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ พ.ศ. 2416 แล้วก็ตาม ในปี พ.ศ. 2436 พันเอกพระยาฤทธิรงค์รณเฉท (สุข ชูโต) สมุหเทศาภิบาลมณฑลปราจีนบุรี ได้เสนอให้เจ้าพนักงานของรัฐบาลจัดเก็บภาษีอากรเอง ในสมัยพี่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีสิทธิธงไชย กรมขุนสิริธัชสังกาศ เป็นเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างใด จนกระทั่งเมื่อ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไชยันตมงคล กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย มาเป็นเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (พ.ศ. 2439-2449) ทรงทราบเรื่องและทรงเห็นว่าเป็นผลดีสมตามความมุ่งหมายของรัฐบาล จึงมีพระประสงค์จะปรับปรุงแก้ไขวิธีการเก็บภาษีอากร และได้กราบทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสนอวิธีการปรับปรุงการเก็บภาษีอากรใหม่ยกเลิกการประมูลผูกขาดเก็บภาษีอากรเปลี่ยนมาเป็นรัฐบาลดำเนินการจัดเก็บเอง ครั้นเมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ก็เตรียมการในเรื่องนี้ต่อไป

การจ้างที่ปรึกษาชาวต่างประเทศในกิจการคลัง

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อจะทรงปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย จำเป็นต้องใช้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ แต่ข้าราชการไทยในเวลานั้นยังขาดความรู้และประสบการณ์ จึงทรงเห็นควรจ้างชาวต่างประเทศที่รู้งานเข้ามารับราชการ และเป็นที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้จ้างชาวต่างประเทศที่มีความรู้ในด้านการคลังมาทำงานหลายคน ได้แก่

 

มิสเตอร์ อี.โฟล ริโอ เข้ารับราชการในกรมสารบาญชี เมื่อปี พ.ศ. 2436 ท่านได้วางรูปบัญชีแบบสากลเป็นคนแรก ซี่งใช้ถือปฏิบัติในกรมบัญชีกลางสืบมา

มิสเตอร์ เอฟ.เอช. ไยลส์ และ มิสเตอร์ดับเบิลยู เอ. เกรแฮม ชาวอังกฤษจากอินเดีย ช่วยเตรียมวิธีการปรับปรุงให้เจ้าพนักงานของรัฐบาลเป็นผู้จัดเก็บภาษีอากรเอง เมื่อปี พ.ศ. 2440

มิสเตอร์ริเวต คาแวค ชาวอังกฤษตำแหน่งที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติใน [[พ.ศ. 2441[[ ได้เสนอความเห็นให้แยกการสรรพากรออกจากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ไปอยู่ในบังคับของกระทรวงมหาดไทย เพื่อมิให้เกิดการทุจริตฉ้อเงินและผลประโยชน์ของแผ่นดิน ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงเห็นชอบด้วย ใน พ.ศ. 2442 จึงให้ยกกรมสรรพากรนอกมาขึ้นกระทรวงมหาดไทย แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้มิสเตอร์ไยลส์ เป็นเจ้ากรมกรมสรรพากรนอก ส่วนมิสเตอร์เกรแฮมได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้ากรมกรมสรรพากรใน ขึ้นอยู่กับกระทรวงนครบาล และมิสเตอร์คาแวคก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมบาญชีกลาง (พ.ศ. 2443-2445)

การทำงบประมาณแผ่นดิน

เพื่อให้การรับจ่ายเงินของแผ่นดินเป็นไปอย่างรัดกุมใน พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินขึ้นเป็นครั้งแรก กระทรวงพระคลังมหาสมบัติเริ่มวางระเบียบการจัดงบประมาณรายจ่าย แล้วรวบรวมขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต และจะไม่มีการจ่ายเงินเกินงบประมาณโดยที่มิได้รับความเห็นชอบจากองค์พระมหากษัตริย์เสียก่อน นอกจากนี้ ยังวางระเบียบการควบคุมการใช้จ่ายเงินของกระทรวงและกรมต่างๆ ทั้งหมด การจัดงบประมาณอย่างคร่าวๆนี้ เป็นการกำหนดรายจ่ายมิให้เกินกำลังของเงินรายได้ เพื่อรักษาดุลยภาพและความมั่นคงของฐานะการคลังของประเทศ ใน พ.ศ. 2444 รัฐบาลสามารถจัดพิมพ์งบประมาณรายรับรายจ่ายแผ่นดินขึ้นเป็นครั้งแรก

อนึ่ง ในการจัดทำงบประมาณแผ่นดินนี้ โปรดฯให้แยกการเงินส่วนแผ่นดิน และส่วนพระองค์ออกจากกันอย่างเด็ดขาด พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์นั้น ให้ พระคลังข้างที่ เป็นผู้จัดการดูแล

การคลังของไทย ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงสมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

ตั้งกรมพระคลังมหาสมบัติ

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติในปี พ.ศ. 2453 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรัดพระคลังในท้องที่ต่างๆทั่วพระราชอาณาจักร เข้ามาอยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงมหาสมบัติ กรมพระจันทบุรีนฤนาถก็ได้ดำเนินการตามแนวทางนี้จนสำเร็จ

ในพระราชบัญญัติพระธรรมนูญหน้าที่ราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ พ.ศ. 2433 กรมเก็บในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ทำหน้าที่เป็นพระคลังแผ่นดินสำหรับจ่ายและรักษาพระราชทรัพย์ทั้งปวงในกรุงเทพมหานคร และเป็นต้นเรื่องรับส่งเงินแผ่นดินถึงพระคลังในหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร แต่ชื่อเรียกกรมเก็บนี้ ไม่เหมาะสมกับขอบเขตหน้าที่การงาน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามกรมเก็บเป็นกรมพระคลังมหาสมบัติ ตามประกาศ ณ วันที่ 26 มีนาคม 2454

สำหรับการรวบรัดคลังหัวเมืองมาอยู่ในบังคับบัญชาของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติก็สำเร็จสมบูรณ์ด้วยการโอนคลังในจังหวัดต่าง ๆ แห่งมณฑลกรุงเทพฯ ซึ่งเดิมอยู่ในกระทรวงนครบาลมาขึ้นกับกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2458 เป็นต้นไป

ในปี พ.ศ. 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2456 เพื่อวางระเบียบกำหนดเวลาที่กระทรวงต่าง ๆ จะต้องยื่นงบประมาณต่อกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เวลาที่จะต้องทูลเกล้าฯ ถวาย กับเวลาที่จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตและกำหนดวิธีการจ่ายเงินนอกงบประมาณในระหว่างปี การใช้จ่ายเงินงบประมาณของแต่ละปี กำหนดให้สิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม ของปีงบประมาณนั้น

การรวมกรมสรรพากรในและกรมสรรพากรนอกเป็นกรมสรรพากร

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มีกรมราชการขึ้น 2 กรมคือ กรมสรรพากรในและกรมสรรพากรนอก ขึ้นอยู่ในกระทรวงนครบาล และกระทรวงมหาดไทยตามลำดับ

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่าหน้าที่ของกรมสรรพากรในและกรมสรรพากรนอกนี้ ไม่สมควรที่จะอยู่ในกระทรวงฝ่ายปกครอง น่าจะได้มาอยู่ในเสนาบดีที่มีหน้าที่ทางการเงิน เพื่อจะได้จัดการตรวจตราและจัดการให้เป็นประโยชน์งอกงามขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกกรมสรรพากรในและกรมสรรพากรนอกมาขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาพระคลังมหาสมบัติ และรวมกรมสรรพากรในและกรมสรรพากรนอกเป็นกรมเดียวกัน เรียกว่า กรมสรรพากร

ตั้งกรมตรวจเงินแผ่นดิน

เนื่องจากเงินรายได้และรายจ่ายของประเทศไทยมีจำนวนมากขึ้นโดยลำดับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า ควรจะมีการตรวจตราการรับจ่ายและการรักษาเงินให้รัดกุมยิ่งขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่เฉพาะสำหรับปฏิบัติการนี้แผนกหนึ่ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง กรมตรวจเงินแผ่นดิน ขึ้นในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติตามประกาศตั้งกรมตรวจเงินแผ่นดิน ณ วันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2458 ให้ทำหน้าที่ตรวจตราเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ซึ่งทำการรับหรือจ่ายเงินแผ่นดินและเงินอื่น ๆ ที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ และอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัตินี้ เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้ออกประกาศระบุหน้าที่การงานต่าง ๆ ซึ่งกรมตรวจเงินแผ่นดินจะต้องตรวจตรา และวิธีการที่จะต้องปฏิบัติ

กรมบัญชีกลาง

เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมตรวจเงินแผ่นดินนั้น เพื่อมิให้กรมใหม่ที่ตั้งขึ้นนี้ มีหน้าที่ปะปนกับกรมตรวจและกรมสารบาญชี ซึ่งมีอยู่แล้วแต่เดิมในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และทรงพระราชดำริเห็นว่านามกรมและหน้าที่ราชการของกรมตรวจเงินในแผ่นดินจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าปะปนกับกรมตรวจและกรมสารบาญชี จึงเปลี่ยนนามกรมตรวจและกรมสารบาญชีเป็นกรมบาญชีกลาง ตามประกาศวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2458 มีหน้าที่จัดระเบียบการประมวลบัญชีเงินรายได้และรายจ่ายของแผ่นดิน และสอบสวนการเบิกจ่ายเพื่อรักษารูปงบประมาณกับเพื่อให้การเบิกจ่ายได้ปฏิบัติไปตามความมุ่งหมายของการงบประมาณ ทั้งกำหนดหน้าที่ของกรมบาญชีกลางไว้

ตั้งกรมสถิติพยากรณ์

การวาง

เดิมวังขุนพรหมเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัฒรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปวังขุนพรหมได้ใช้เป็นที่ทำการธนาคารแห่งประเทศไทย และเปิดดำเนินการครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2485 ได้แบ่งความสำคัญหลักเป็น 3 ส่วน คือ 1.ประวัติวังขุนพรหม

2.ประวัติเกี่ยวกับเงินตรา

3.ประวัติบทบาทหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย

ในแต่ละห้องจะบอกความเป็นมาของเงินตราในแต่ละสมัย และเหรียญแต่ละชนิดในสมัยประวัติศาสตร์ถึงปัจจุบัน ธนบัตรในสมัยอดีตสู่ปัจจุบันรวมถึงการออกแบบธนบัตร และรวมถึงความรู้ต่างๆเกี่ยวกับธนาคารแห่งประเทศไทย ความรู้จากประวัติคร่าวๆ วิวัฒนาการเงินตราไทยเริ่มตั้งแต่กลุ่มชนดั้งเดิมในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ได้อาศัยอยู่ในดินแดนประเทศไทยราว 38000 ปีมาแล้วก่อนจะได้รับวัฒนธรรมจากอินเดียกลุ่มเหล่านี้ได้ติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าโดยใช้สิ่งของเป็นเสื่อกลางเมื่อวัฒนธรรมอินเดียเข้ามาจึงเริ่มผลิตเงินตราเป็นเสื่อการค้าขาย และมีความหลากหลายของเงินโบราณ เช่น เงินเฟ เงินขนนก เงินใบหยก เงินเข็มขัด เป็นต้น ส่วนเงินพดด้วงเป็นเอกลักษณ์ของเงินตราไทย สัญลักษณ์ของเงินพดด้วงมีสัณฐานกลมแต่ละยุคมีข้อแตกต่างกันตั้งแต่ตราประทับ ส่วนมาตราเงินไทยในรัชกาลที่ 4 มีการเพิ่มเงินตราขึ้นอีก 4 หน่วย คือ โสฬส อัฐ เสี้ยว ชัก เป็นเงินปลีกแล้วจัดตามมาตราเงินไทย ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการใช้เงินกระดาษราคา 1 อัฐ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2417 เป็นเสื่อที่ใช้แทนเงินเหรียญกษปณ์ที่ไม่เพียงพอกับการใช้งานเป็นที่มาของคำว่า อัฐกระดาษ ประเทศที่เข้ามาเปิดสาขาดำเนินงานในประเทศไทยให้สามารถออกธนบัตรตัวเองได้ เรียกว่า แบงก์โน๊ต นับว่าเป็นธนบัตรรุ่นแรกๆที่ใช้ในประเทศไทยจากนั้นต้องยกเลิกและประกาศใช้ธนบัตรแบบแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ส่วนในบทบาทหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (The roles and reonsibilities to the bank of Thailand) คือ รักษาเสถียรภาพทางการเงิน กำกับดูแลสถาบัญการเงิน เป็นนายธนาคารและที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจ เป็นนายธนาคารสถาบัญการเงิน การบริหารเงินสำรองระหว่างประเทศ จัดพิมพ์และออกใช้ธนบัตร นอกจากนี้ยังมีรูปแบบสถาปัตยกรรมจากในสมัยก่อนที่ผสมผสานศิลปะประกอบด้วยลวดลายที่สวงามและมีความโดดเด่นในแต่ละมุม

 

สิ่งที่ประทับจากการไปเยี่ยมชมและศึกษา คือ ได้ความรู้จากเจ้าหน้าที่มากมายและมีการต้อนรับที่ดีมีการจัดนำเสนอข้อมูลออกมาได้ดี ทั้งทางรูปภาพและเสียงต่างๆ มีบรรยากาศที่เงียบสงบและมีดนตรีคลอเป็นเพลงทำให้เกิดความเพลิดเพลินในการชมและรู้สึกไม่น่าเบื่อ ส่วนสิ่งที่จัดวางไว้แต่ละห้องที่ไปเยี่ยมชมทำให้เราได้เห็นถึงเงินตราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และยังได้รุ้ถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย และในส่วนด้านสถาปัตยกรรมมีความงดงามที่สวยมากเหมาะกับบรรยากาศ

พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ในตำหนักใหญ่ วังบางขุนพรหม และตำหนักใหญ่วังเทวะเวสม์ ภายในบริเวณธนาคารแห่งประเทศไทย เลขที่ ๒๗๓ ถนนสามเสน แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐

วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง

  1. เพื่ออนุรักษ์เงินตราไทยอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทยในอดีต

  2. เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้นคว้าศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย ระบบเงินตรา ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมในแต่ละยุคสมัย

  3. เพื่อเผยแพร่ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับระบบการเงินของไทย และบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะธนาคารกลางของประเทศ

  4. เพื่อแสดงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของอาคารโบราณสถานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุรักษ์ไว้ให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติต่อไป

การจัดแสดง

           การจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์มุ่งให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าชม โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชมมีการนำระบบแสง-เสียง เทคนิคฉากละคร (Diorama) ระบบมัลติมีเดีย ระบบคอมพิวเตอร์กราฟิก ฯลฯ เข้าร่วมในการนำเสนอ
          นอกจากนี้ยังได้วางระบบต่างๆ เพื่อการสงวนรักษาวัตถุจัดแสดงและความปลอดภัยอย่างถูกต้องตามหลักวิชา ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการเงินตราไทย ประวัติบทบาทหน้าที่สำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทยและวังบางขุนพรหม ให้อนุชนรุ่นหลังได้ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม โดยช่วยกันอนุรักษ์และเชิดชูไว้ให้เป็นสมบัติของชาติสืบไป

ห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ มีดังนี้

  1. ห้องเปิดโลกเงินตราไทย

  2. ห้องธนบัตรไทย

  3. ห้องธนบัตรต่างประเทศ

  4. ห้องประวัติและการดำเนินงานของ ธปท.

  5. ห้องบริบัติ

ห้องเปิดโลกเงินตราไทย

จัดแสดงสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เงินตราในภูมิภาคสุวรรณภูมิและวิวัฒนการเงินตราไทยจนเป็นกษาปณ์ในปัจจุบันคือ

  1. เงินตราโบราณ เงินตราสมัยทวาราวดี เหรียญลวปุระที่หาชมได้ยาก เงินดอกจันทน์ของอาณาจักรศรีวิชัย นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงเงินตราอาณาจักรล้านนา เช่น เงินเจียง เงินท้อก เงินปากหมู เงินใบไม้ เงินอาณาจักรล้านช้าง เช่น เงินลาด เงินฮ้อย ในส่วนที่จัดแสดงเกี่ยวกับเงินตราโบราณนี้มีการจัดแสดงเงินตราโบราณของอาณาจักรใกล้เคียงที่มีหลักฐานว่ามีการนำมาใช้ในสมัยโบราณของบริเวณที่เป็นที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบัน เช่น เงินไซซี เงินฮาง เงินตู้

ตราสัญลักษณ์ในสมัยทวาราวดี

ศรีวัตสะ มงคลแห่งความอุดมสมบรณ์ของอินเดีย

พระอาทิตย์อุทัย ความอุดมสมบูรณ์ของพ์ชพรรณธัญญาหาร

สังข์ ความอุดมสมบูรณ์บ่อน้ำ

กลศ หม้อน้ำ

แม่และลูกโค ความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตร ปศุสัตว์

ฑมรุ การสร้างโลก

ธรรมจักร คำสั่งสอนสัมมาสัมพุทธเจ้า

จามร (แส้) บัลลังก์ ราชูปโภคของกษัตริย์

สวัสดิกะ ความมีโชค

วัชระ สายฟ้า

  1. เงินพดด้วง เป็นเงินที่ผลิตขึ้นมาใช้กว่า ๖๐๐ ปีนับตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึง สมัยรัตนโกสินทร์ และยกเลิกการใช้ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

  2. กษาปณ์ไทย จัดแสดงเรื่องราวของเหรียญกษาปณ์ในสมัยต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ “เหรียญช้าง เมืองไท” “เหรียญดอกบัว เมืองไท” จนถึงเหรียญกษาปณ์ในสมัยรัชกาลปัจจุบัน

ห้องธนบัตรไทย

ประเทศไทยนำธนบัตรออกใช้เป็นครั้งแรก เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๕ ตามพระราชบัญญัติธนบัตรสยามรัตนโกสินทร ศก ๑๒๑ โดยมีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (กระทรวงการคลัง ในปัจจุบัน) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุม ดูแล การสั่งพิมพ์และนำออกใช้ธนบัตรภายในประเทศ จนกระทั่ง มีการจัดตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นเมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๕ กิจการทั้งปวงและอำนาจในการดำเนินการเกี่ยวกับธนบัตร จึงถูกโอนมาอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาเมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๒ ธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรขึ้นเป็นผลสำเร็จ จึงได้พิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้เองภายในประเทศ ได้แก่ ธนบัตรแบบ ๑๑ รวมทั้งแบบอื่น ๆ เป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน

การจัดทำและนำออกใช้ธนบัตร เป็นหน้าที่หลักสำคัญอีกด้านหนึ่งของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศเป็นอย่างยิ่ง ด้วยธนบัตรเป็นเงินตราที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ซึ่งต้องอาศัยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และได้มาตรฐาน เพื่อให้ธนบัตรไทยคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือสมเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่สำคัญในปัจจุบัน

เงินกระดาษชนิดแรก เริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้มีการผลิตเงินกระดาษขึ้นใช้เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๓๙๖ เรียกว่า “หมาย” ซึ่งนับเป็นเงินกระดาษชนิดแรกในระบบเงินตราไทย และมีการผลิตใบสั่งจ่ายขึ้นหลายชนิดราคาเรียกว่า “ใบพระราชทานเงินตรา” ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ทำ “อัฐกระดาษ” ออกใช้ระยะสั้นๆ เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนเงินปลีกระยะหนึ่ง หลังจากนั้นได้มีการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระหนี้ระหว่างธนาคารและลูกค้า เรียกว่า “บัตรธนาคาร” ต่อมาในพ.ศ. ๒๔๓๓ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้พิมพ์ “เงินกระดาษหลวง” ขึ้น เพื่อใช้เป็นธนบัตรแต่มิได้นำออกใช้เพราะขาดความพร้อม จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๔๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจัดทำตั๋วสำคัญที่ใช้แทนเงินตรา ประกาศออกใช้เมื่อวันที่ 7 กันยายน ธนบัตรไทยจึงถือกำเนิด ขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ห้องธนบัตรต่างประเทศ

จัดแสดงธนบัตรในกลุ่มประเทศที่สำคัญซึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นสมาชิก อาทิ กลุ่มผู้นำประเทศอุตสาหกรรม (G8)และกลุ่มธนาคารแห่งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEACEN)

ห้องบริบัติ

จัดแสดงพระประวัติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตไว้อย่างสมบูรณ์ด้วยวีดิทัศน์เรื่อง “เจ้าฟ้านักบริหาร แบบอย่างของผู้ทรงนำคุณประโชยน์เพื่อแผ่นดิน” ซึ่ง เพลงประกอบที่ไพเราะของเรื่องนี้จัดทำโดยพระนัดดาของพระองค์เอง สำหรับเรื่องราวของพระอัจฉริยภาพทางดนตรีนั้น นำเสนอด้วยเทคนิค Ghost Box ที่ถ่ายทอดเรื่องราวโดยพระธิดาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต คือ “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทุรัตนา” ซึ่งผู้ชมจะได้ฟัง เพลงมาร์ชบริบัตรและฮังกาเรียนราฟโซดีอันมีชื่อเสียง นอกจากนี้ ยังนำเสนอเพลงพระนิพนธ์ผ่านทางหุ่นจำลองวงปี่พาทย์ไม้แข็งครบวง สำหรับวัตถุประกอบการจัดแสดงนั้น ที่น่าสนใจจะเป็นของใช้ที่ มีตราประจำพระองค์ เช่น จาน เครื่องแก้ว ของที่ระลึกที่ประทาน “แหนบบริพัตร” นอกจากนี้ ยังมีเครื่องบินบริพัตรจำลอง โน้ตเพลงลายพระหัตถ์ รวมทั้งหุ่นจำลองขนาดเท่าพระองค์จริงในฉลองพระองค์จอมพลทหารเรือที่โดดเด่น จุดสุดท้ายที่ดึงดูดใจผู้ชมอย่างมากคือ หุ่นจำลองตำหนักประเสบัน ที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย และฉลองพระองค์ชุดสุดท้ายของพระองค์ที่มหาดเล็กคู่พระทัยถอดเก็บไว้บูชาหลังจากสิ้นพระชนม์ และทายาทได้นำมามอบให้พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อการจัดแสดงและระลึกถึงพระองค์

จากที่ข้าพเจ้าได้ไปธนาคารแห่งประเทศไทยข้าพเจ้ามีความประทับใจในหลายอย่างๆไม่ว่าด้านสถานที่หรือด้านพี่ที่ทำงานอยู่ที่นั่นพี่เค้าให้คำปรึกษาดีมากและบอกเรื่องราวต่างๆได้ดีเมื่อเดินเข้าไปก้าวแรกรู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่สงบและมีความขลังอยู่ในตัวเองห้องแต่ละห้องเป็นห้องที่สวยงามมากบอกเล่าประวัติเกี่ยวกับเงินได้อย่างละเอียดทุกยุคทุกสมัยว่าแต่ละยุคสมัยนั้นมีชื่อเรียกเงินตราว่ายังไงบ้างเช่น สมัยลพบุรียังไม่ระบุชื่อเรียกทีแน่นอน แต่ว่าจะมีพิมพ์ชื่อเหรียญ 2 ด้านด้านนึงจะเป็นคำว่า ลว และอีกด้านหนึ่งชื่อว่า ปุระ สมัยศรีวิชัย จะใช้เงินดอกจันทน์ สมัยสุโขทัย จะใช้เงินพดด้วง สมัยล้านนา จะใช้เงินเจียง สมัยล้านช้าง จะใช้เงินฮ้อย สมัยอยุยา จะมีเงินหอยเบี้ย พดด้วงและเงินนโม สมัยธนบุรี จะใช้เงิน พดด้วงและสมัยรัตนโกนินทร์ จะใช้เป็นเงินบาทจนถึงปัจจุบันและยังทำให้เราทราบอีกว่าธนบัตรที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้กว่าจะได้ออกมาเป็นแบบนี้เราใช้กันมาถึงกี่แบบอย่างเช่นเมื่อก่อนที่ด้านหลังธนบัตรมีข้อความพิมพ์ว่า " บุคคลที่จะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้พ้นผิดจากความรับผิดชอบในทางอาญาไม่ได้" แต่ก็ได้ถูกยกเลิกไปแล้วจนในปัจจุบันไม่มีนอกจากนี้ยังได้รู้เกี่ยวกับทุนสำรองเกี่ยวกับเงินตราว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งได้แก่ 1เงินตรา 2 เงินตราต่างประเทศ 3 หลักทรัพย์ต่างประเทศที่มการชำระหนี้ 4 ทองคำสินทรัพย์ต่างประเทศและสิทธิพิเศษถอนเงิน 5 ใบสำคัญสิทธิซื้อส่วนสำรอง 6 ใบสำคัญสิทธิพิเศษถอนเงิน 7 หลักทรัพย์รัฐบาลไทยที่มีการชำระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศ 8 ตั๋วเงินในประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพึงซื้อหรือรับซื้อส่วนลดได้และพอเดินเข้าไปอีกห้องหนึ่งเราก็ได้รู้เกี่ยวกับการพิมพ์ธนบัตรว่าเค้าพิมพ์กันยังไงและมีขั้นตอนอะรัยบ้างก่อนอื่นเราต้องพิมพ์สีพื้น พิมเส้นนูน พิมพ์ลาย แล้วก็พิมพ์ลายเส้นเป็นการเสร็จขั้นตอนการพิมพ์และยังได้รู้เกี่ยวกับการทำเหรียญกษาปว่ามีขั้นตอนการทำยังไงบ้างผ่านวิดิโอที่ฉายให้ดูนอกจากนั้นยังได้เห็นแบงค์ 500000 ทั้งที่ไม่เคยรู้เลยว่าจะมีแต่ก็มี สรุปว่าที่ไปวันนั้นได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเงินเยอะมากๆ เลยคะ

           จากการที่ได้ไปศึกษาข้อมูลในงาน SET in the City 2012 ในครั้งนี้ ได้พบกับตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัทมาจัดบูธให้ข้อมูลให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และมีธนาคาร สถาบันการเงินต่างๆมาหาข้อมูลเปิดให้ซื้อขายกองทุนรวม พร้อมจัดโปรโมชั่นแจกของสมณาคุณอีกมากมาย ยังมีเกมให้ได้ร่วมเล่นสนุกกันอีกด้วย ดิฉันได้มีโอกาสไปนั่งฟังการจัดสัมนาอบรมสำหรับผู้ที่เป็นมือใหม่หัดเล่นหุ้น กับ TISCO โดยมีตำราที่ชื่อว่า  Thailand Market Snapshots เป็นข้อมูลประกอบการอบรมด้วย ในหนังสือเล่มนี้ให้ประโยชน์เกี่ยวกับการเล่นหุ้นซื้อขายหุ้น บอกการเคลื่อนไหวของหุ้น บอกว่านักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจกับหุ้นตัวไหนมากที่สุด ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจและอื่นๆอีกมากมายหนังสือเล่มนี้เหมาะกับผู้ที่เพิ่งหัดเล่นหุ้นเป็นอย่างมาก สำหรับดิฉันก็ได้เรียนรู้ศัพท์ทางการเงินอีกไม่น้อย เช่น

EST Consensus คือ การประมาณการของตลาดหุ้นหลายเจ้ารวมกัน

Chang YoY คือ การเปลี่ยนแปลงของหุ้นในช่วงเดือนนี้ในปีนี้กับแต่ละปีในเดือนนี้

-1M คือ 1เดือนย้อนหลัง

EPS gwt คือ กำไรสุทธิต่อหุ้น 

PER  คือ การเปรียบราคาหุ้น เป็นต้น

                      นอกจากนี้ยังได้รับ VCD รายงานประจำปี 2554 The Great Step Forward จากบูธของ RATCH เป็นผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน)  จากนั้นได้ไปที่บูธ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้รับหนังสือ ชีวิตเปลี่ยนเพราะการลงทุน ในหนังสือเล่มนี้ให้แง่คิดเกี่ยวกับการลงทุน การสร้างเงินให้งอกเงยอย่างมีเป้าหมาย ซึ่งเป็นการบริหารเงินที่มีประสิทธิภาพ หนังสือเล่มนี้ทำขึ้นเพื่อเป็นการจุดประกายสร้างแรงบันดาลใจ แก่ผู้เริ่มลงทุนและผู้ที่ลงทุนแล้วแต่ยังไม่มีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน เนื้อหาก็จะเกี่ยวกับ บริการด้านการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ (Broker Services) เพื่อให้ผู้ลงทุนได้ทราบถึงการบริการของแต่ละตลาดหลักทรัพย์และสามารถเลือกบริษัทหลักทรัพย์ให้บริการแก่ผู้ลงทุนอย่างเหมาะสม

                     ดิฉันยังได้รู้จักเกี่ยวกับตราสารหนี้ว่าตราสารหนี้คือ หลักทรัพย์ประเภทหนึ่งหรือตราสารการเงิน โดยเป็นสัญญาแสดงความเป็นหนี้ระหว่างผู้ออกหรือผู้กู้และผู้ซื้อหรือนักลงทุนหรือผู้ให้กู้ ตราสารหนี้ต่างกับหุ้นสามัญ เนื่องจากตราสารหนี้มีสถานะเป็นผู้ซื้อหรือนักลงทุน ส่วนหุ้นสามัญนั้นมีสถานะเป็นเจ้าของกิจการ ตราสารหนี้จะอยู่ในรูปของพันธบัตรหรือหุ้นกู้ ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดตราสารหนี้ ได้แก่ ผู้ออกตราสารหนี้,สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์,นายทะเบียน,ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้,ผู้ค้าตราสารหนี้,ผู้จัดจำหน่ายตราสารหนี้,สถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ โดยข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับตราสารหนี้อยู่ในหนังสือ รอบรู้เรื่องตราสารหนี้ ราคา 120 บาท แต่ในงานนี้แจกฟรีที่บูธตลาดหลักทรัพย์

                   นอกจากนี้ยังได้แวะเข้าไปเยี่ยมชมบูธของ AIA ได้รวมเล่นเกมทำแบบสอบถามมีแจกไอศกรีมให้รับประทานฟรีอีกด้วยยังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการเงินครบวงจร การประกันภัยพร้อมสรรพทั้งความคุ้มครองชีวิตและเพิ่มโอกาสในการลงทุน และข้อมูลในการออมเงินได้รับเอกสารเพื่อที่จะให้นำไปศึกษา การชำระเบี้ยประกัน ตารางค่าธรรมเนียมกรมธรรม์ สิทธิของผู้เอาประกันภัย ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับผู้จะซื้อประกันชีวิต

                   ในงานยังมีการแนะนำแอพฟลิเคชั่นที่ทันสมัย ให้โหลดมาใช้สำหรับผู้ที่มี Ipad , Iphone,Smart phoneไวแอพฟลิเคชั่นนี้ชื่อว่าOpportunity Day เป็นแอพฟลิเคชั่นเพื่อการซื้อขายหุ้นได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอีกมากมายที่ดิฉันได้ไปรับชมและรับฟังมา ได้ทั้งหนังสือเอกสารให้ความรู้อีกหลากหลายเกี่ยวกับเรื่อง เศรษฐกิจการเงิน

SET in the City กรุงเทพมหานคร 2012 SET in the City กรุงเทพมหานคร 2012 ซึ่งจัดขึ้นที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5 สยามพารากอน ภายในงานได้แบ่งเป็นโซนต่างๆ ดังนี้ โซน 1 Investment on stage ระดมทุกความเห็น มุมมองของนักวิเคราะห์ชั้นนำระดับตำนานพร้อมสัมมนาเด็ด เนื้อหาดีจาก 10 บริษัทชั้นนำ โซน 2 จุดแลกของสมนาคุณสมาคม TFPA / ASCO / TIA โซน 3 Hall 2-3 กลุ่มธนาคาร / บล. / บลจ. / โกลด์ฟิวเจอร์ส / ประกันภัย โซน 4 Vision Talk on stage Seminar Hall 1 เวทีสัมมนาการลงทุนแห่งปี ที่คุณเข้าถึงได้เวทีเดียวที่จะเปิดวิสัยทัศน์ 360 องศา การลงทุนเจาะลึก รุ้จริง ทันทุกกระแสการลงทุนโลกกับนักวิเคราะห์ นักกลยุทธ์ นักวิชาการ ผู้บริหารองค์กรรัฐและเอกชนชั้นนำ แลกเปลี่ยนมุมมองเข้มข้นเต็มตลอด 4 วันพร้อมตอบคำถามที่คุณอยากรู้แบบสดๆในเรื่องการลงทุน โซน 5 SET in the City Room 1-2 22-23 Opportunity Day c]t 24-25 Financial Planning โดยสมาคมนักวางแผนการเงินไทย โซน 6 Hall 1 บริษัทจดทะเบียนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน บริษัทจดทะเบียน 1. บมจ. ปตท. 2. บมจ. เอสพีซีจี 3. บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง 4. บมจ. ช.การช่าง 5. บมจ. ทางด่วนกรุงเทพ 6. บมจ. ผลิตไฟฟ้า 7. บมจ. แสนสิริ 8. บมจ. บีจีที คอร์ปอเรชั่น 9. บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น 10. บมจ. การบินไทย 11. บมจ. มาสเตอร์แอด 12. บมจ. พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 13. บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป บริษัทหลักทรัพย์ 1. บล. กสิกรไทย 2. บล. ไทยพาณิชย์ 3. บล. กรุงศรี 4. บล. บัวหลวง 5. บล. เคที ซิมีโก้ 6. บล. ทิสโก้ 7. บล. ฟิลลิป(ประเทศไทย) 8. บล. เมย์แบงค์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย 9. บล. โกลแบล็ก 10. บล. ธนชาต 11. บล. เคทีบี(ประเทศไทย) 12. บล. เกียรตินาคิน 13. บล. โนมูระ พัฒนสิน 14. บล. คันทรี่ กรุ๊ป 15. บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) 16. บล. ภัทร 17. บล. เอเวีย พลัส 18. บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน 1. บลจ. กสิกรไทย 2. บลจ. ไทยพาณิชย์ 3. บลจ. กรุงศรี 4. บลจ. บัวหลวง 5. บลจ. กรุงไทย 6. บลจ. ทิสโก้ 7. บลจ. ฟิลลิป 8. บลจ. กิมเอ็ง(ประเทศไทย) 9. บลจ. เกียรตินาคิน 10. บลจ. เอ็มเอฟซี 11. บลจ. ทหารไทย 12. บลจ. แอสเซทพลัส 13. บลจ. ฟินันซ่า 14. บลจ. วรรณ 15. บลจ. แมนูไลฟ์(ประเทศไทย) 16. บลจ. อเบอร์ดีน บริษัทจดทะเบียนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 1. บมจ. ไทยเครดิตเพื่อรายย่อย 2. บมจ. ธนาคารกสิกรไทย 3. บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ 4. บมจ. ธนาคารกรุงศรี 5. บมจ. ธนาคารกรุงเทพ 6. บมจ. ธนาคารกรุงไทย 7. บมจ. ธนาคารทิสโก้ 8. บมจ. ธนาคารเกียรตินาคิน โบรกเกอร์ผู้ค้าทอง 1. บ. จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ 2. บ. ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส 3. บ. ออสสิริส ฟิวเจอร์ส 4. บ. วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล 5. บ. เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ส 6. บ. คาสสิค โกลด์ ฟิวเจอร์ส กลุ่มธุรกิจประกันภัย 1. บ. อเมริกันอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสซัวันส์ 2. บมจ. ไทยประกันชีวิต 3. บมจ. เมืองไทยประกันชีวิต 4. บ. แอ็ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต 5. บมจ. แมนูไลฟ์ ประกันชีวิต(ประเทศไทย) หน่วยงานภาครัฐและเอกชน 1. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) 2. กรมสรรพากร 3. สำนักงานบริหารหนี้สิน (สบน.) 4. บ. มีเดีย แอซโซซิเอตเต็ค(วารสารการเงินการธนาคาร) 5. ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 1. ตลาดแห่งทรัพย์แห่งประเทศไทย 2. ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ 3. ตลาดตราสารหนี้ 4. ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ 5. ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 6. ศูนย์ส่งเสริมพัฒนาความรู้ตลาดทุน 7. โครงการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม ปตท. เน้นสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ SPCG จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใต้หมวดพลังงาน ด้วยทุนจดทะเบียน 840 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจหลักในด้านการพัฒนาโครงการโซล่าฟาร์มเชิงพาณิชย์ จำหน่ายไฟฟ้าให้ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 36 โครงการ ด้วยกำลังผลิตกว่า 250 เมกะวัตต์ ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง วิสัยทัศน์ เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนชั้นนำระดับภูมิภาคที่เป็นที่เชื่อถือของสาธารณชน พันธกิจ ลงทุน พัฒนา และดำเนินงานด้านผลิตไฟฟ้าและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ช.การช่าง เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง มีลักษณะเป็น ผู้รับเหมาโดยตรง ผู้รับเหมาช่วง กิจการร่วมค้าและการร่วมทุนแบบคอนซอร์เตียม วิสัยทัศน์ของบริษัท เป็นผู้นำด้านธุรกิจก่อสร้างที่มีความสามารถในการพัฒนาการลงทุนและดำเนินการบริหารโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานในระดับภูมิภาคอย่างมีคุณภาพและครบวงจร ทางด่วนกรุงเทพ BECL มีทุนจดทะเบียน 8000 ล้านบาท โดยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2538 โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 หุ้นของบริษัท มีมูลค่าตามราคาตลาดประมาณ 22715 ล้านบาท และยังเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เป็นองค์กรของรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นแหล่งระดมทุนและแหล่งลงทุนที่มีประสิทธิภาพของทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป ประวัติ พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ได้รับการตราขึ้นและมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ตลาดทุนมีการพัฒนาและเติบโตไปในทิศทางที่เอื้อ ประโยชน์ต่อการระดมทุนและการลงทุน ทั้งตลาดแรกและตลาดรอง รวมถึงระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม โดยกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ขึ้นเป็นองค์กรอิสระ ทำหน้าที่กำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุน โดยมี คณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นผู้กำหนดนโยบายการดำเนินงาน พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 ได้รับการตราขึ้นเพื่อให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและตัวกลางที่เกี่ยวข้องที่ชัดเจน รวมทั้งให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นผู้กำกับดูแลนโยบายและป้องกันมิให้เกิดผลกระทบต่อตลาดทุนโดยรวม โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2547 อำนาจและหน้าที่ สำนักงาน ก.ล.ต. มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินงานตามนโยบายที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. มอบหมาย และกำกับดูแลผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งรับผิดชอบการดำเนินงานประจำวันในเรื่องเกี่ยวกับการพิจารณาอนุมัติคำขอต่าง ๆ และพิจารณาการกระทำที่อาจเข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ และ พ.ร.บ. สัญญาซื้อขายล่วงหน้าฯ ซึ่งอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ก.ล.ต. โดยมีเลขาธิการเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด ภารกิจและแผนงาน ภารกิจหลักของสำนักงาน ก.ล.ต. มีดังนี้ 1. ดูแลรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของตลาดทุน 2. คุ้มครองนักลงทุน 3. เอื้ออำนวยให้เกิดนวัตกรรมในตลาดทุน 4. ส่งเสริมการแข่งขัน การกำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุน สำนักงาน ก.ล.ต. แบ่งโครงสร้างการกำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนออกเป็น 6 ด้านหลัก ดังนี้ 1. การกำกับดูแลการออกหลักทรัพย์และครอบงำกิจการ 2. การกำกับดูแลธุรกิจหลักทรัพย์ 3. การกำกับดูแลธุรกิจจัดการลงทุน 4. การกำกับดูแลธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 5. การกำกับดูแลตลาดรอง 6. การตรวจสอบและการบังคับใช้กฎหมาย แผนกลยุทธ์ปี 2553 – 2555 ในแผนกลยุทธ์ปี 2553 – 2555 ได้กำหนดทิศทางการดำเนินงานของสำนักงาน ก.ล.ต.โดยมุ่งเน้นงาน 5 ด้านหลัก คือ 1. การเชื่อมโยงกับต่างประเทศ 2. การขจัดการผูกขาด 3. การผลักดันและสนับสนุนนวัตกรรม 4. การปรับปรุงการกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย 5. การส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนแก่ประชาชน คำขวัญ ก.ล.ต. เกื้อหนุนธุรกิจ ปกป้องสิทธิ์ผู้ลงทุน นำตลาดทุนสู่สากล คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่กำหนดใน พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ และ พ.ร.บ.สัญญาซื้อขายล่วงหน้าฯ คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเป็นตัวแทนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ดังนี้ 1. ประธานกรรมการ ก.ล.ต. ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 2. กรรมการโดยตำแหน่ง ประกอบด้วย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปลัดกระทรวงการคลัง และ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ 3. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้ง โดยผ่านการคัดเลือกของคณะกรรมการคัดเลือกซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้ง จำนวนไม่น้อยกว่า 4 คน แต่ไม่เกิน 6 คน โดยต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย การบัญชี และการเงินด้านละ 1 คน 4. เลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ก.ล.ต. เป็นกรรมการและเลขานุการ รายชื่อคณะกรรมการ ก.ล.ต. (ณ 17 สิงหาคม 2554) นางสาวนวพร เรืองสกุล ประธานกรรมการ นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม กรรมการ นายยรรยง พวงราช กรรมการ ดร. ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการ นายนนทพล นิ่มสมบุญ กรรมการ นายกำชัย จงจักรพันธ์ กรรมการ นางพรรณี สถาวโรดม กรรมการ นายสมชาย คูวิจิตรสุวรรณ กรรมการ นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ กรรมการ นายชาลี จันทนยิ่งยง (รักษาการเลขาธิการ) กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการกำกับตลาดทุน มีอำนาจหน้าที่ในการออกกฎเกณฑ์ในระดับที่เป็นการปฏิบัติ โดยมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความชำนาญในภาคธุรกิจร่วมอยู่ด้วย เพื่อให้ประกาศหลักเกณฑ์ที่ออกมาสอดคล้องและไม่เป็นอุปสรรคในทางปฏิบัติ ทั้งนี้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจะต้องมีความเป็นอิสระ ไม่ดำรงตำแหน่งใดๆ ในหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกอบด้วย 1. เลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. เป็นประธานกรรมการ 2. รองเลขาธิการ สำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งเลขาธิการมอบหมาย 1 คน 3. ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือรองผู้อำนวยการที่ได้รับมอบหมาย 1 คน 4. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ผ่านการคัดเลือกของคณะกรรมการคัดเลือก ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งอีกไม่เกิน 4 คน ทั้งนี้ ผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 คนต้องมีประสบการณ์ในการบริหารกิจการบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทหลักทรัพย์ 5. พนักงานของสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งเลขาธิการแต่งตั้ง 1 คน เป็นเลขานุการ รายชื่อคณะกรรมการกำกับตลาดทุน (ณ 17 สิงหาคม 2554) นายชาลี จันทนยิ่งยง (รักษาการ) ประธานกรรมการ นายวสันต์ เทียนหอม กรรมการ ดร. นริศ ชัยสูตร กรรมการ นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ กรรมการ ม.ล. ผกาแก้ว บุญเลี้ยง กรรมการ นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการ นางดัยนา บุนนาค กรรมการ

AIA เอไอเอ ประเทศไทย ดำเนินธุรกิจประกันชีวิตมานานกว่า 70 ปีตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2481 และเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มบริษัท เอไอเอ โดยให้ความคุ้มครองคนไทยมากกว่า 5 ล้านคนในด้านการประกันชีวิต การวางแผนออมเงินเพื่อวัยเกษียณ การประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ และการประกันชีวิตแบบควบการลงทุน นอกจากนี้ ยังให้บริการแก่ลูกค้าองค์กรในด้านการประกันภัยกลุ่ม ประกันสินเชื่อ และเป็นผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กลุ่มบริษัทเอไอเอ จำกัด รวมทั้งสำนักงานสาขา บริษัทย่อย และบริษัทในเครือ เป็นกลุ่มบริษัทประกันชีวิตที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีการบริหารจัดการอย่างอิสระ และมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วเอเชีย ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเป็นบริษัทประกันชีวิตชั้นนำในภูมิภาคเอเชียที่มีรากฐานอยู่ใน 14 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ทั้งในประเทศฮ่องกง ไทย สิงคโปร์ จีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน เวียดนาม นิวซีแลนด์ มาเก๊า และบรูไน และเป็นผู้ถือหุ้นร่วมทุน 26% ในประเทศอินเดีย กลุ่มบริษัทเอไอเอมีรากฐานในเอเชียมานานกว่า 90 ปี และเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ยกเว้นประเทศญี่ปุ่น) โดยมีเบี้ยประกันภัยรับจากธุรกิจประกันชีวิตและเป็นผู้นำในตลาดโดยส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ โดยมีสินทรัพย์รวมประมาณ 115,782 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ณ 31 พฤษภาคม 2554) กลุ่มบริษัทเอไอเอนำเสนอความคุ้มครองชีวิตและการออมเงินแก่ลูกค้าบุคคลผ่านผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ทั้งการประกันชีวิต การวางแผนทางการเงินในวัยเกษียณ การประกันภัยอุบัติเหตุและสุขภาพ นอกจากนี้แล้ว เอไอเอยังให้บริการลูกค้าองค์กรผ่านผลิตภัณฑ์สวัสดิการพนักงาน ประกันสินเชื่อ และให้บริการเป็นผู้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ผ่านเครือข่ายตัวแทนในวงกว้างกว่า 230,000 คนและพนักงานมากกว่า 20,000 คนทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยให้บริการลูกค้าที่ถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตรายบุคคลที่มีผลบังคับมากกว่า 23 ล้านคน และสมาชิกกรมธรรม์ประกันกลุ่มมากกว่า 10 ล้านคนทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เอไอเอจดทะเบียนในกระดานหุ้นหลักของตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ภายใต้รหัสหลักทรัพย์ 1299 สำหรับ American Depositary Receipts มีการซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์ (Over-the-Counter) ภายใต้สัญลักษณ์ AAGIY วิสัยทัศน์ เป็นองค์กรแบบอย่างที่ได้รับการยอมรับโดยปราศจากข้อโต้แย้ง ค่านิยม พนักงาน : พัฒนาความสามารถให้หลากหลาย ให้รางวัลสำหรับความเป็นเลิศ และการทำงานเป็นทีม การเอาใจใส่ลูกค้า : เอาใจใส่ต่อลำดับความสำคัญของลูกค้า และทำให้ดีกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง หลักการปฏิบัติงาน : มีความรับผิดชอบ มีความสามารถในการบริหารความเสี่ยง นำความแข็งแกร่งของเอไอเอสู่การปฏิบัติงาน ความซื่อสัตย์ : ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ เพิ่มพูนชื่อเสียงของเอไอเอ การให้เกียรติ : ให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน ประสานงานซึ่งกันและกัน ความเป็นผู้ริเริ่ม : สร้างโอกาส สรรหาสิ่งใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า

เมืองไทยประกันชีวิต วิสัยทัศน์ เรามุ่งมั่นเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีความมั่นคง แข็งแกร่ง และเป็นอันดับ 1 ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและบริการ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองทุกกลุ่มลูกค้าเป็นสำคัญ พันธกิจ เรา คือ องค์กรมืออาชีพ ที่มีความแข็งแกร่งทั้งทางด้านการเงิน การบริการ และภาพลักษณ์ ภายใต้ระบบการบริหารความเสี่ยงและหลัก ธรรมาภิบาลระดับมาตรฐานสากล โดยเรามุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกกลุ่มลูกค้า ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต การบริการ และช่องทางการขายที่หลากหลาย ทั้งยังตระหนักถึงการมอบผลประโยชน์ที่เป็นธรรมแก่ลูกค้า พนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ถือหุ้น และสังคม บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) บริษัทของคนหัวคิดทันสมัย ได้ดำเนินธุรกิจด้านการประกันชีวิตโดยดำเนินงานมายาวนาน ซึ่งนับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจในการพัฒนาคุณภาพอย่างไม่หยุดนิ่ง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จนเป็นที่ไว้วางใจของผู้เอาประกันและประชาชน จึงทำให้บริษัทฯ ก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำทางการตลาดของธุรกิจประกันชีวิตอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ซึ่งพิสูจน์ได้จากรางวัลแห่งความมั่นคงแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ และรางวัลแห่งเกียรติยศต่างๆ อีกมากมาย จากสถาบันที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงนับเป็นเครื่องยืนยันถึงความตั้งมั่นและตั้งใจของบริษัทฯ ในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับประชาชนเพื่อที่จะก้าวสู่ความเป็นหนึ่งและเป็นที่ยอมรับของประชาชนอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไทยประกันชีวิต ความเป็นมา นับจากที่การประกันชีวิตเริ่มเป็นที่รู้จักในเมืองไทยราวสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีบริษัทต่างประเทศเข้ามาดำเนินกิจการ และตั้งสำนักงานตัวแทนเสนอขายประกันชีวิตแบบตลอดชีพ พร้อมกับมี สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เอกอัครมหาเสนาบดี เป็นผู้ถือกรมธรรม์ฉบับแรกนั้น อาจเรียกได้ว่าการประกันชีวิตยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก แต่หลังจากที่ได้มีการก่อตั้งกองประกันภัย สังกัดกระทรวงพาณิชย์ และคมนาคมขึ้นในปี พ.ศ. 2472 ธุรกิจประกันชีวิตก็เริ่มเป็นที่แพร่หลาย มีบริษัทประกันชีวิตต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2485 อันเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีกลุ่มบุคคลคนไทยได้ก่อตั้งบริษัทประกันชีวิตที่เป็นของคนไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ประวัติบริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) การประกันชีวิตต้องหยุดชะงักลงเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัทประกันชีวิตต่างชาติได้พากันปิดกิจการ และขนทรัพย์สินกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม ยังความเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันในเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้คนไทย และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของไทยในสมัยนั้น จึงได้รวมตัวกันก่อตั้งบริษัทประกันชีวิตของไทยขึ้น เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2485 ภายใต้ชื่อ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นับเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรกของคนไทย ที่มุ่งสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับครอบครัวคนไทย โดยมีคณะกรรมการดังนี้ 1. พระยาชัยสุรินทร์ (ตาล บุนนาค) 2. นายบุญล้อม พึ่งสุนทร 3. นายปพาฬ บุญ-หลง 4. นายหลุย พนมยงค์ 5. นายวิจิตร์ ลุลิตานนท์ 6. นายโล่เต็กชวน บูลสุข 7. นายตันจินเก่ง 8. นายเชวง เคียงศิริ 9. นายตันเกียกปุ้น หลังจากนั้นบริษัทฯ ได้รับหนังสืออนุญาตจากกระทรวงคลังให้ประกอบธุรกิจประกันภัย เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2485 แล้วก็ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารชุดแรกเพื่อดำเนินธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย 1. เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) ประธานกรรมการ 5. นายปพาฬ บุญ-หลง กรรมการ 2. พระยาชัยสุรินทร์ กรรมการ 6. นายวิจิตร์ ลุลิตานนท์ กรรมการ 3. นายหลุย พนมยงค์ กรรมการ 7. นายเชวง เคียงศิริ กรรมการ 4. นายบุญล้อม พึ่งสุนทร กรรมการ 8. นายโล่เต็กชวน บูลสุข กรรมการ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เริ่มดำเนินกิจการประกันชีวิตครั้งแรกด้วยทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท และมีสำนักงานแห่งแรกตั้งอยู่เลขที่ 25 - 27 ถนนเยาวราช กรุงเทพฯ ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 ได้ย้าย สำนักงานมาอยู่ ณ เลขที่ 624 ตึกสหธนาคาร และในปี พ.ศ. 2502 ได้ย้ายสำนักงานมาอยู่ ณ อาคาร 8 ถนนราชดำเนิน พร้อมกับได้ดำเนินกิจการเรื่อยมา จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2513 จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ อันมีนายวานิช ไชยวรรณ เป็นผู้นำเข้ามาปรับปรุงโครงสร้าง และระบบบริหารงานครั้งใหญ่ โดยมีนายอนิวรรตน์ กฤตยากีรณ เป็นกำลังสำคัญในการวางรากฐานการดำเนินงานที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้ปรับปรุงโครงสร้างระบบงาน ตลอดจนวางแผนพัฒนาจนไทยประกันชีวิตสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไทยประกันชีวิตได้สั่งสมประสบการณ์ และความชำนาญในการดำเนินธุรกิจ ทั้งยังได้รับความเชื่อมั่นศรัทธาจากมหาชนเพิ่มขึ้นตามลำดับ เป็นผลให้ไทยประกันชีวิตก้าวขึ้นสู่บริษัทประกันชีวิตชั้นแนวหน้าของคนไทยในปัจจุบัน วิสัยทัศน์ สร้างความอบอุ่นใจ ด้วยหลักประกันด้านการเงินที่มั่นคง พันธกิจ 1. มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทประกันชีวิตชั้นนำของคนไทยในระดับสากล ที่สร้างหลักประกันความมั่นคงทางการเงินแก่ประชาชน ทุกครอบครัวทุกระดับ และให้บริการที่สะดวก รวดเร็วสมบูรณ์แบบครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ 2. มุ่งมั่นที่จะแสวงหา สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และการบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยการสร้างมูลค่าเพิ่ม และการให้บริการที่มีคุณภาพนำหน้า สะดวกรวดเร็ว สมบูรณ์แบบ และครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ 3. มุ่งมั่นที่จะสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพสูงสุด มีจิตสำนึกด้านการบริการ มีความรัก และผูกพันต่อองค์กร มีความเป็นมืออาชีพ บนพื้นฐานความซื่อสัตย์สุจริต มีขวัญ และกำลังใจ ด้วยการมีคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดี 4. มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้สร้างสรรค์ แสวงหา และนำเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารงานให้ครบถ้วน อย่างสมบูรณ์ 5. ยึดมั่นต่อการสนับสนุน และการมีส่วนร่วมในการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยจิตสำนึกการเป็นบริษัทของคนไทย และการเป็นองค์กรที่ดีของสังคมเคียงคู่คนไทยตลอดไป ธนาคารไทยพาณิชย์ 2449 - 2475 ก่อรากฐานการธนาคารไทย ประวัติศาสตร์หน้าแรกของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งนับเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของชาวสยามนั้น เริ่มต้นขึ้นในนาม "บุคคลัภย์" (Book Club) โดย พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ซึ่งขณะนั้นทรง ดำรงตำแหน่งเสนาบดี กระทรวง พระคลังมหาสมบัติในพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งพระทัยอย่างแน่วแน่ที่จะให้มีสถาบัน การเงินของสยาม เป็นฐานรองรับการเติบโตทางด้าน เศรษฐกิจการเงินของประเทศ จากการที่โลกตะวันตกได้ ขยายเส้นทางการค้าทางทะเลมาสู่ดินแดนสยามเป็นอย่างมาก ในยุคนั้น ในขั้นแรกจึงทรงริเริ่มดำเนินกิจการธนาคาร พาณิชย์เป็นการ ทดลองในนาม "บุคคลัภย์" (Book Club)ต่อมากิจการทดลองประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระบรม ราชานุญาตให้ตั้งเป็นธนาคารในนาม "บริษัท แบงก์สยาม กัมมาจล ทุนจำกัด" (Siam Commercial Bank, Limited) เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2449 ประกอบธุรกิจ ธนาคารพาณิชย์ อย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่นั้นมาและได้ กลายมาเป็น "ต้นแบบธนาคารไทย" โดยริเริ่ม นำระบบ และ แนวคิดของการให้บริการ รับฝากเงินออมทรัพย์ และ บริการ บริการบัญชี กระแสรายวัน (Current Account) ถอนเงิน โดยใช้เช็คมาให้บริการ แก่ประชาชน พร้อมทั้งจัดตั้งสาขาขึ้น ทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่างๆ นอกจากนี้ธนาคารยังมี ส่วนร่วม ในการก่อกำเนิดและวางรากฐานสหกรณ์การเกษตร ของประเทศ วิสัยทัศน์ เราจะเป็นธนาคารที่ลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และสังคมเลือก พันธกิจ ธนาคารที่ให้บริการครบวงจรชั้นำของประเทศโดยมุ่งเน้นการให้บริการตลาดการเงิน กลุ่มลูกค้าหลักด้วยการใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดจากเครือข่ายของกลุ่มไทยพาณิชย์ และมีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเต็มที่ ธนาคารกรุงเทพ นโยบายการกำกับดูแลกิจการของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงเทพตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเสริมสร้างองค์กรให้มีประสิทธิภาพธนาคารจึงมุ่งส่งเสริมให้การดำเนินกิจการของธนาคารเป็นไปตามหลักการการกำกับดูแลกิจการที่ดี อันจะเป็นพื้นฐานของผลการดำเนินงานที่ดี ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งและมั่นคง และการเจริญเติบโตที่ยั่งยืน นโยบายการกำกับดูแลกิจการนี้จึงถูกจัดทำขึ้นเพื่อแสดงถึงทิศทาง และกรอบการดำเนินการในการกำกับดูแลกิจการของธนาคารตามหลักการการกำกับดูแลกิจการที่ดี ความมุ่งหมายของธนาคารกรุงเทพ คือ การเป็นธนาคารที่ให้บริการด้านการเงินที่มีคุณภาพเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย มีความพร้อมด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพ มีเทคโนโลยีและระบบงานที่ทันสมัย คงไว้ซึ่งความเป็นสากล ตลอดจนการเป็นธนาคารชั้นนำแห่งภูมิภาคเอเชีย ดังนั้น เพื่อให้บรรลุความมุ่งหมายดังกล่าว ธนาคารจึงกำหนดนโยบายการกำกับดูแลกิจการให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศและภูมิภาคธนาคารกรุงไทย วิสัยทัศน์ (Vision) ธนาคารแสนสะดวก (The Convenience Bank) สำหรับลูกค้ารายย่อย ภาคธุรกิจ ภาครัฐ และสถาบัน พันธกิจ (Mission) o เป็นสถาบันการเงินชั้นนำ o มุ่งเน้นการให้บริการที่เป็นเลิศ o สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างยั่งยืน o ส่งเสริมการสร้างทุนทางปัญญา o ยึดมั่นในหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

รูปแบบ: เป็นอิสระ นกวายุภักษ์หลุดจากกรอบจำกัด เพื่อการโบยบินที่เป็นอิสระและคล่องตัวยิ่งกว่า

สี: สีฟ้า หมายถึง ความทันสมัย อิสระที่ไร้ขอบเขต พลังแห่งความกระตือรือร้น และมุ่งมั่นที่จะโบยบินนำพาไปสู่ความก้าวหน้าที่กว้างไกลทั่วแผ่นฟ้าไทย และสีฟ้า SKY BLUE ยังสื่อถึงความรู้สึกสะดวกสบาย เป็นคนกันเอง ที่ลูกค้าทุกคนจะได้รับจากธนาคารกรุงไทย

ตัวอักษร: มั่นคง หนักแน่น ทันสมัย มั่นคง หนักแน่น: ด้วยตัวอักษรตรง ทันสมัย: ด้วยเส้นของตัวอักษรที่ตรงเฉียบคมผสมผสานกับเส้นโค้งที่ดูนุ่มนวล มีความเป็นกันเอง

ให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ธนาคารจึงให้ความสำคัญกับแผนงานที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งมีแผนงานด้านการตลาดและการปรับปรุงภาพลักษณ์องค์กรให้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้ารับรู้ สัมผัสและจดจำ ในการเป็นธนาคารแสนสะดวกของธนาคาร โดยในปี 2554 ธนาคารจะเน้นการผลักดันแผนงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายสำคัญใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้าน Convenience Bank ได้กำหนดแผนงาน Benchmarking ผลิตภัณฑ์และบริการหลักของธนาคาร ใน 5 มิติ คือ Product, Process, People,Place และ Promotion เพื่อพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพบริการให้เทียบเคียงหรือไม่ด้อยกว่าคู่เทียบ

ด้าน Sustainable Growth เน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ โดยมีแผนกลยุทธ์ในการรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ ด้วยการเสนอแผลตอบแทนที่จูงใจ ทั้งด้านเงินฝาก เงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน รวมทั้งการเป็นผู้นำตลาดด้าน Processing Bank การขยายฐานลูกค้า Cash Management ไปยังหน่วยงานภาครัฐและเอกชน การขยายฐานลูกค้านำเข้า – ส่งออก และร่วมกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินเร่งขยายฐานลูกค้า Non–Bank Product เพื่อเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมให้มากขึ้น

ด้าน Bank for Government สนับสนุนนโยบายและการดำเนินงานภาครัฐ โดยขยายบริการ Agent Bank ธนาคารชุมชน และ Government Bank Gate Way เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริการประชาชน

โครงการที่สำคัญของธนาคารในปี 2554 ประกอบด้วย

1. โครงการ Benchmarking บริการหลักของ ธนาคารกับคู่เทียบ
2. โครงการยกระดับการให้บริการลูกค้า และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในเขต กทม.
3. โครงการองค์กรแห่งการเรียนรู้
4. โครงการ Branding Strategy / Marketing Communication Strategy

ธนาคารกสิกรไทย ประวัติธนาคาร ธนาคารกสิกรไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2488 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท และพนักงานชุดแรกเริ่มเพียง 21 คน มีอาคารซึ่งเป็นสาขาสำนักถนนเสือป่าในปัจจุบันเป็นที่ทำการแห่งแรก การดำเนินงานของธนาคารประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เพียง 6 เดือนหรือเพียงงวดบัญชีแรกที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2488 มียอดเงินฝากสูงถึง 12 ล้านบาท มีสินทรัพย์ 15 ล้านบาท จากจุดที่เริ่มต้นจนถึงวันนี้ ธนาคารกสิกรไทยเติบโตอย่างมั่นคง ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555 มีทุนจดทะเบียน 30,486 ล้านบาท มีสินทรัพย์จำนวน 2,005,460 ล้านบาท เงินรับฝากจำนวน 1,398,295 ล้านบาท เงินให้สินเชื่อจำนวน 1,295,008 ล้านบาท มีสาขาในประเทศ จำนวน 824 สาขา โดยเป็นสาขาในกรุงเทพมหานครจำนวน 288 สาขา สาขาในส่วนภูมิภาคจำนวน 536 สาขา และมีสาขาหรือสำนักงานตัวแทนต่างประเทศจำนวน 8 แห่ง ได้แก่ สาขาลอสแองเจลิส สาขาฮ่องกง สาขาหมู่เกาะเคย์แมน สาขาเซินเจิ้น สำนักงานผู้แทนกรุงปักกิ่ง สำนักงานผู้แทนนครเซี่ยงไฮ้ สำนักงานผู้แทนเมืองคุนหมิง และสำนักงานกรุงโตเกียว สาขาและสำนักงานผู้แทนในต่างประเทศเหล่านี้ ให้บริการและส่งเสริมความสะดวกต่างๆ ด้านการค้า การเงินระหว่างประเทศไทยและประเทศคู่ค้าทั่วโลก

ตลอดระยะเวลากว่า 67 ปีที่ผ่านมา ธนาคารมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อ ให้บริการที่เป็นเลิศแก่ลูกค้า ภายใต้คำขวัญของธนาคารที่ว่า “บริการทุกระดับประทับใจ” ภารกิจ ค่านิยมหลัก วิสัยทัศน์ ภารกิจ ธนาคารกสิกรไทย มุ่งมั่นในการเป็นสถาบันการเงินไทยที่แข็งแกร่ง สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยบริการด้านการเงินที่หลากหลาย ครบถ้วน ในคุณภาพมาตรฐานสากล โดยผสมผสานการใช้เทคโนโลยีและทรัพยากรมนุษย์ ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุผลที่ดีและเป็นธรรม ต่อลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน และประเทศไทย ค่านิยมหลัก o การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง o การทำงานร่วมกันเป็นทีมของทั้งเครือ o ความเป็นมืออาชีพ o การริเริ่มสิ่งใหม่ วิสัยทัศน์ ธนาคารกสิกรไทยมุ่งมั่นเป็นสถาบันการเงินที่มั่นคงที่สุด ที่ริเริ่มในสิ่งใหม่ และกระทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นสถาบันการเงินไทยที่ให้บริการอย่างดีที่สุดแก่ลูกค้า ตราสัญลักษณ์ ความหมายของตราสัญลักษณ์ วงกลม • แสดงถึงความสมดุลและสมบูรณ์ ซึ่งแทนความไม่สิ้นสุด ก่อให้เกิดพลังความ สามัคคี กลมเกลียวเงินไม่รั่วไหล สามารถแก้ไขอุปสรรคทั้งมวล รวงข้าว  เป็นธาตุไม้แสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง คลื่น  เปรียบเสมือนน้ำ ซึ่งบำรุงต้นข้าว ส่งเสริมให้อุดมสมบูรณ์ เจริญเติบโตยิ่งขึ้น และน้ำ หมายถึง เงิน ลายเส้น 6 เส้น เลข 6 คือ ดาวศุกร์ ซึ่งเป็นดาว เงิน สอดคล้องกับธุรกิจธนาคาร สี สีเขียว หมายถึง ธาตุไม้เป็นสีที่เหมาะสมเนื่องจากปีที่ก่อตั้งธนาคารเป็นธาตุไม้ สีเทา เป็นสีของธาตุน้ำ สีเข้ม เสมือนน้ำลึก หมายถึง เงินทองหนาแน่นเป็นปึกแผ่น สีแดง หมายถึง ธาตุไฟ ซึ่งสอดคล้อง สมดุลกับธาตุน้ำและธาตุไม้ ความหมายโดยรวม สรุปโดยรวมว่า ธาตุน้ำก่อให้เกิดธาตุไม้ และธาตุไม้ก่อให้เกิดธาตุไฟ เป็นการผสมธาตุที่กลมกลืนสมดุล ก่อให้เกิดสิริมงคลและความก้าวหน้า ธนาคารธนชาต ประวัติธนาคาร ธนาคารธนชาต จำกัด(มหาชน) (ธนาคารธนชาต) เดิมเป็นสถาบันการเงินที่ประกอบธุรกิจในชื่อ บริษัทเงินทุน เอก

จากการที่ได้ไปศึกษางาน ที่ Set in the city at Siam paragon hall เป็นงานที่ใหญ่มากและรวมแหล่งลงทุนและสถาบันการเงินไว้มากมายมีทั้งการให้ความรู้กับผู้สนใจทั้่วไป กับ ผู้ที่สนใจจะลงทุนร่วมกัน มีบูธการแจกของสมนาคุณ เล่นเกม มีน้ำ ไอติม แจกและถ่ายรูปร่วมกับมาสคอสประจำบูธด้วย ภายในงาน แบ่งเป็น หก โซน ได้แก่ หนึ่ง Investment on Stage รวมนักวิเคราะห์ชั้นนำจากสิบบริษัทหลักทรัพย์ชั้นำมาให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน สอง จุดแรกของสมนาคุณ สามคือกลุ่มธนาคาร บล บลจ ประกันภัยต่างๆ สี่คือ Vision Talk on Stage เวทีสัมณาการลงทุนสำหรับผู้ที่สนใจการลง แต่ต้องอายุ ยี่สิบปีขึ้นไปถึงจะลงทุนได้ ห้า Financial Planning โดยสมาคมนักวางแนการเงินไทย และสุดท้าย มีการจดทะเบียนภาครัฐและเอกชน จากบูธแรกที่ได้ศึกษา คือ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต โดยให้ความรู้ของผู้ที่สนใจทำประกันชuวิตมีโปรโมชั่นมากมาย อาทิ บำนาญแบบลดหย่อนได้ กับ ประกันเพิ่มโรคร้ายเป็นต้น สำหรับผู้ลงทุนว่ากิจการมีมายาวนานกว่าหกสิบปีและแข็แกร่งทางการเงินโดยปี 2011 มียอดสินทรัพย์รวม116,442 ล้านบาท และมีเงินสำรอง 96,489 ด้วยกันมีนิตยสารแจกฟรีชื่อซอกแซก ที่สอดแทรกเนื่อหาเกี่ยวกับบริษัททั้งสิ้น ต่อมาก็เป็นบริษัทตลาดหลักทรัพย์ ชื่อ May bank Kim Eng เป็นะนาคารอันดับหนึ่งจากประเทสมาเลเซีย และ AIA ประกันชีวิตโดยมีโปรโมชั่น AIA LINK คือกรมธรรม์ที่ให้ทั้งการคุ้มครองชีวิตและโอกาสในการลงทุน พร้อมคำแนะนำ และยังได้ไอติมแกฟรี พร้อมสมุดโน๊ตด้วยและหนังสือประวัติของบริษัทว่าเป็นบริษัทประกันที่ใหย่ติดอันดับห้าของโลกและดำเนินการมากว่า 75 ปีในปีนี้ โดยมี CEO of Thailand is Mr . Ron wan Oyen และบูธที่น่าสนใจที่สุดก่อนการที่เราจะคิดลงทุนอะไรนั้นคงเป็น ก ล ต หรือ กองทุนรวม ที่มีหน้าที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการที่จะเราจะลงทุน โดยให้คำแนะนำ เทคนิคการดูแลตนเองเมื่อลงทุน สิทธิของผู้ลงทุนไทยร้องเรียนอย่างไรให้ได้ผล ลงทุนในหุ้นอย่างไรให้ไกลปัญหา เรื่องน่ารู้ของผู้ถือหุ้นทั้งหมดนี้มีโบรชัวร์ให้ความรู้ด้วย โดยมีบริการ Private Wealth ที่แนะนำด้านวางแผนการลงทุน โดยสามารถลงทุนและดูผลผ่านระบบออนไลน์ได้ และบริษัททุนยักใหย่ของงานนี้คงเป็น บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด มหาชน ที่มีการให้ลงหุ้นกับสัมปทานทางด่วนสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก กทม โดยมีทั้ง BECL มีจดทะเบียน 8 พันล้านบาท แต่หากเป็น NECL มีทุนจดทะเบียน 6 พันล้านบาท มีแผนที่ให้ศึกษาเส้นทางด้วย และบริษัท ช การช่าง เป็นกลุ่ม อุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์โดยผลงานการก่อสร้างที่ผ่านมาอาทิ ระบบขนส่งมวลชนคือรถไฟ้ฟ้าใต้ดิน สนามบิสุวรรณภูมิ ทางด่วน บางปะอิน ปากเกร็ด ท่าเรือน้ำลึกภูเก็ต เป็นต้น มีหนังสือรายงานประจำปีแจกให้ดูความสำเร็จอีกด้วย และ บมจ การไฟ้ฟ้าราชบุรี โฮสดิ้งมีแจกรายงานประจำปีอีกเช่นกัน ในนั้นมีทั้ง ประวัติ วิสัยทัศน์ การบริหาร อุตสาหกรรมและรวมผู้ถือหุ้นยักษ์ใหญ่ รวมทั้ง ความสำเร็จจากปีที่แล้ว คือยอดงบ นั่นเอง และบริษัทเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพมหานคร ที่นำโดย ผศ ดร สิงห์ อินทรชูโต เป้นผู้เขียนให้คำแนะนำเกี่ยวกัย Green Network ที่แนะนำการลดโลกร้อน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ บ้านเย็น และระบบเครื่องบินEco อีกด้วย ต่อมาเป็น ธนาคารต่างๆ ที่คุ้นเคยคงเป็นธนาคารกรุงไทยที่มีให้เล่นเกมแจกรางวัลเป็นสมุดโน็ตกับพวงกุญแจ และ สารพันการลงทุน โดยมีโปรโมชั่น การลดหย่อนภาษี กับการลงทุนและ ลงทุนแบบใหนขนาดใหนให้เหมาะกับตัวเรา ปรึกษาฟรี สำหรับธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นเรื่องของการขายกรมทัณฑ์ ประกันชีวิต ทั้งสุขใจอาวุโส และสุขใจวัยวนรวมถึง ประกันรถยนต์อีกด้วย ธนาคารที่ไม่เคยได้ยินชื่อ คือ ธนาคารไทยเครดิต ดดยจะเป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้สนใจ จำนำทอง เงินฝากปลอดภาษี เป็นต้น ธนาคาร TMB มีกองทุนให้ลงทุนชื่ิอ ไทยธนพลัสโดยแบ่งเป็น ตราสารหนี้ ตลาดเงิน และทองคำ รวมถึงตราสารหนี้ต่างประเทศด้วย มี นโยบาย จุดเด่น และความเสี่ยง ของแต่ละประเภท สุดท้าย คือ K Bank หรือ ธนาคารกสิกรไทย มีระบบ K Expert บริการสำหรับ คนอยากมีบ้าน อยากไปเที่ยวตามฝัน อยากเป็นเจ้าของธรุกิจ อยากสบายวัยเกษียณ อยากสร้างครอบครัวมั่นคงเป็นต้น โดยจะมีคำแนะนำและปล่อยสินเชื่อตามความต้องการ

  สำหรับการไปงานนี้ได้รับความรู้ใหม่ๆรวมถึงเห็นโลกของการลงทุน ในวงกว้างและสนุกกับการเลนเกมได้รางวัล และหยิบทุกโบรชัวเก็บเกี่ยวทุกความรู้ของทุกบูธที่ เดินผ่าน ถือว่าเป็นการ"ลงทุน"ที่คุ้มมาก และ แทบไม่เสียอะไรเลย 

ภายในงาน "SET in the City 2012" ได้มีการให้ความรู้แก่ผู้สนใจลงทุนมากมาย ตั้งแต่หน้าใหม่ไปจนถึงนักธุรกิจ และยังมีการเล่นเกมส์เพื่อแจกของรางวัลต่างๆเพื่อเป็นของที่ระลึก

ความรู้สึกของดิฉันที่ได้ไปงาน "SET in the City 2012"

 เมื่อก่อนดิฉันคิดว่า การทำงาน เก็บเงิน ฝากธนาคาร แล้วสักวันฉันจะรวย มีบ้าน มีรถ มีเงินเลี้ยงครอบครัวให้อยู่ได้อย่างสบาย หลังจากที่ดิฉันได้เข้าไปฟังสัมมนาเกี่ยวกับนักลงทุนมือใหม่ทำให้ความคิดดิฉันเปลี่ยนไป
 ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้ ผนวกกับเงินเดือนที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต (2-3หมื่น) การที่จะเลี้ยงดูครอบครัวให้สบาย หรือทำอย่างที่ดิฉันกล่าวไว้ในข้างต้นนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย หนทางที่ดิฉันจะเข้าสู่อิสรภาพทางการเงินได้นั้นมีเพียงอย่างเดียวคือ "การลงทุน"
 ในตอนนี้ดิฉันไม่คิดว่าการฝากเงินในธนาคารเพื่อกินดอกเบี้ยจะทำให้ดิฉันมั่งมีขึ้แต่อย่างใด ดูเป็นคนโง่เสียด้วยซ้ำ เพราะว่า ธนาคารให้ดอกเบี้ยเราเพียงไม่กี่เปอร์เซนต์ต่อปี แต่เอาเงินที่เราไปฝากไปปล่อยกู้ได้เกือบสิบเปอร์เซ็น ซึ่งต่างจากการลงทุน การเล่นหุ้น รวมไปถึงกองทุนรวม เพราะอย่างน้อยเราก็ยังได้เงินปันผลสูงกว่าการฝากธนาคารหลายเท่านัก
 ถึงแม้จะมีผู้คนบอกว่าการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ดิฉันเองคิดว่า การทำอะไรทุกอย่างมันก็เสี่ยงทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินข้ามถนน ซึ่งอาจจะโดนรถชนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่การลงทุนเราสามารถบริหารความเสี่ยงได้ โดยอาศัยความรู้ ความสามารถที่เรามีอยู่
 วิทยากรในงานบอกดิฉันว่า ถ้าคิดจะเล่นหุ้น หรือลงทุนอะไรต่างๆ เงินที่เอามาลงทุนนั้นควรจะเป็น "เงินเย็น" คือเงินที่เราเก็บออมไว้ หรือไม่คิดจะใช้แล้ว คือไม่มีมันเราก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่าถ้าเราคิดจะลงทุนอะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องไม่ใจร้อน ยกตัวอย่างเช่นการเล่นหุ้น ถ้าเราซื้อมันมาในราคาที่สูง อยู่ดีดีมันตกฮวบ เราใจร้อน กลัวเสียเงินไปโดยสูญเปล่าแล้วเรารีบขาย เราก็จะตกเป็นเหยื่อของการลงทุนไป
 อย่างไรก็ตาม คนเราถ้าไม่ทำงาน ก็จะไม่มีเงินไปลงทุนหรือทำอย่างอื่น ดังนั้นดิฉันจึงคิดว่าจะตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงานหาเงิน พร้อมทั้งศึกษาเรื่องการลงทุน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ พอถึงจุดๆหนี่งอยากลงทุนทำอะไรสักอย่าง ก็จะได้ทำได้เลย ไม่ต้องรอค่ะ

จากที่ได้ไปดูงาน SET in the City 2012 จัดขึ้นที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเข้าไปใน Hall 1 ก็พบกับบริษัทจดทะเบียนหน่วงงานภาครัฐและเอกชน เช่น บมจ.ปตท. บมจ.เอสพีซีจี บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง บมจ.ช.การช่าง บมจ.ทางด่วงกรุงเทพ บมจ.ผลิตไฟฟ้า บมจ.แสนสิริ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น ใน Hall 1 นี้มีการเล่นเกมส์แจกของรางวัล กดแฟนเพจได้รับกระเป๋า แจกหนังสือ แผนพับต่างๆ สิ่งที่ได้รับในHall 1 นี้คือ ได้รู้จักขั้นตอนการลงทุนในหุ้น 1. กำหนดเป้าหมายและระยะเวลาลงทุน 2. วิเคาระห์ปัจจัยพื้นฐาน 3. ประเมินมูลค่าที่แท้จริง 4. หาจังหวะลงทุน 5. ตัดสินใจซื้อขาย 6. ติดตามผลการลงทุน สำนักงาน ก.ล.ต. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐทำหน้าที่ในการกำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ยุติธรรม โปร่งใส วิธีเรียกร้องให้ได้ผลคือ 1. ตั้งสติ ลำดับเหตุการณ์ ควรคำนึงถึงเรื่องให้ชัดเจน ว่าท่านจะร้องเรียนเรื่องอะไร? วัตถุประสงค์ในการร้องเรียนคืออะไร? ร้องเรียนบุคคลหรือนิติบุคคลใด? ในเบื้องต้น ควรไปร้องเรียนที่หน่วยงานกำกับดูแลและการปฏิบัติงาน (Compliance Unit ) 2. หลักฐานที่สำคัญที่สุด เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพย์ที่ติดต่อได้ของผู้ร้องเรียน วัตถุประสงค์ในการร้องเรียน/ชี้เบาะแส ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ถูกร้องเรียน รายละเอียดของเรื่อง หลักฐานที่เกี่ยวข้อง/เบาะแส เป็นต้น 3. ใช้ช่องทางร้องเรียนที่ท่านสะดวก ส่วน Hall 2-3 ก็พบกับ กลุ่มธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โกลด์ฟิวเจอร์ส ประกันภัย เช่น บล.กสิกร บล.ไทยพาณิชย์ บล.กรุงศรี บล.กรุงไทย บล.โกลแบล็ก บล.บัวหลวง บล.เกียรตินาคิน บล.ทิสโก้ เป็นต้น สิ่งที่ได้รับรู้ใน Hall 2-3 คือ การซื้อ-ขายหุ้น การเล่นหุ้น สิ่งที่สำคัญในการเล่นหุ้นคือ เราต้องอายุ 20 ปีขึ้นไปถึงจะสามมารถเล่นหุ้นได้ และการคิดวิเคาระห์ในการซื้อ-ขายหุ้น การตัดสินใจในการซื้อ-ขาย ก่อนที่เราจะเล่นหุ้นจริง เราควรที่จะศึกษาก่อน วิธีการศึกษาคือ การอ่านวิธีการเล่นหุ้น และเล่นเกมส์ Click2win ซึ่งเป็นเกมส์ที่เสมือนจริงกับการเล่นหุ้น มีการซื้อ-ขาย การเสียเงิน ได้รับเงิน โดยที่เกมส์จะมีเงินไว้ให้เราแล้ว แต่ก่อนที่เราจะเล่นเราต้องเปิดบัญชีก่อน และได้เห็นทองคำแท่งที่สวยงามม ในงานนี้มีการซื้อ-ขายทองคำเเท่ง ซื้อแล้วได้ทองคำแท่งเลย การที่ได้ไปศึกษาดูงาน SET in the City นี้ทำให้รู้ว่า การเงินมีวงกว้าง มีนักลงทุนมากมาย มีการแข่งขันกัน และทำให้รู้ว่าข้างหน้าเราต้องทำอย่างไรเพื่อวันในอนาคต และที่สำคัญงานนี้ทำให้ได้รับความรู้มากมาย เกี่ยวกับการลงทุน การเล่นหุ้น แนวทางในการมีงานทำ ขั้นตอนในการลงทุนในหุ้น มีโปรโมชั่น การลดหย่อนภาษี ปรึกษาเรื่องการลงทุน แถมในงานยังมีการแนะนำแอพฟลิเคชั่นที่ทันสมัย ให้โหลดมาใช้สำหรับผู้ที่มี Smart phone แอพฟลิเคชั่นนี้ชื่อว่า "Opportunity Day" เป็นแอพฟลิเคชั่นเพื่อการซื้อขายหุ้นได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เหมาะกับบุคคลที่ไม่มีเวลานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน งานนี้สนุกและได้รับความรู้มากมายเลยรวมทั้งได้ของแจกฟรีอีก

     จากการได้ไปชมและได้ศึกษาที่มหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the City กรุงเทพมหานคร 2012 ระหว่างวันที่ 22-25 พ.ย. 55 เวลา 10:00-20:00 น. ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5 สยามพารากอน ในงานได้มีการแบ่งเป็นโซนๆ ได้แก่ โซนที่1 Investment on Stage ระดมทุกความเห็น มุมมองของนักวิเคราะห์ชั้นนำระดับตำนาน พร้อมสัมมนาเด็ด เนื้อหาดีจาก 10 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ โซนที่2 จุดแลกของสัมมนาคุณ สมาคม TFPA/ASCO/TIA โซนที่3 Hall 2-3 กลุ่มธนาคาร/บล./บลจ./โกลด์ฟิวเจอร์ส/ประกันภัย โซนที่4 Vision Talk on Stage Seminar Hall 1 เวทีสัมมนาการลงทุนแห่งปี ที่คุณเข้าถึงได้เวทีเดียว ที่จะเปิดวิสัยทัศน์ 360ํ การลงทุนเจาะลึก รู้จริง ทันทุกกระแสการลงทุนโลก กับนักวิเคราะห์ นักกลยุทธ์ นักวิชาการ ผู้บริหารองค์กรรัฐและเอกชนชั้นนำแลกเปลี่ยนมุมมองเข้มข้น เต็มตลอด 4 วัน พร้อมตอบทุกคำถามเรื่องการลงทุนที่คุณอยากรู้ สดๆ ผ่าน facebook  โซนที่5 SET in the City Room 1-2  22-23 Opportunity Day , 24-25 Financial Planning โดยสมาคมนักวางแผนการเงินไทย โซนที่6 Hall 1 บริษัทจดทะเบียน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน และได้มีการเปิดบูธมากมาย เช่น บูธเมืองไทยประกันชีวิต มีหลักประกันมากมาย อาทิ เมืองไทยคุ้มครองตลอดชีพ 99/20 เน้นความคุ้มครองชีวิต ลดหย่อนภาษีได้  ออมทรพย์ 20/14 เน้นการออมทรัพย์ลดหย่อนภาษีได้  เมืองไทยทวีทรัพย์ 15/7 พลัส มีเงินจ่ายคืนระหว่างสัญญา ลดหย่อนภาษีได้ ความคุ้มครองชีวิตมากขึ้น  เมืองไทยธนพันธุ์ ผลตอบแทนที่งอกเงยให้คุณและครอบครัว  สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพ แบบแยกค่าใช้จ่ายและแบบวีไอพี ครอบคลุมค่าห้อง ค่าอาหารและค่ารักษาพยาบาล เน้นเรื่องสุขภาพ  สัญญาเพิ่มเติมแฮปปี้ ลีฟวิ่ง โรคร้ายแรง 30 โรค เสียชีวิตทุกกรณี เบี้ยประกันภัยไม่แพง  สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยอุบัติเหตุ แบบ ก,ข,ค เบี้ยประกันไม่แพง เน้นเรื่องอุบัติเหตุ  ไทยประกันชีวิต ได้รู้วิธีการวางแผนการเงินให้ชีวิตออกแบบได้ 1. เริ่มต้นจากการออม สู่สภาพคล่องทางการเงิน  2. เส้นทางลดรายจ่าย ด้วยการวางแผนภาษี  3. ออมเพื่อการศึกษา คุณค่าสำหรับบุตรสุดรัก  ธนาคารกรุงไทยหรือKTAM การบริหารการเงินอย่างครบมิติกับกรุงไทยธนบดี  ภาวะตลาดการเงินและตลาดทุน ค่อนข้างผันผวนไร้ทิศทาง โดยตลาดตราสารหนี้และธนาคารพาณิชย์ ปรับตัวดีขึ้นขณะที่ตลาดหุ้นค่อนข้างผันผวน อัตราแลกเปลี่ยนทรงตัว ส่วนอัตราดอกเบี้ยกลับปรับลดลงเหนือความคาดหมาย  เอไอเอ ประเทศไทย  การบริหารการลงทุนที่เลือกได้ พอร์ตโฟลิโอ โมเดล เอไอเอ มีบริการจัดพอร์ตโฟลิโอ การลงทุนให้เหมาะสมตามความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของคุณโดยแย่งเป็น 3 ระดับ คือ พอร์ตโฟลิโอความเสี่ยงต่ำ(Conservative)  สำหรับนักลงทุนที่มีความระมัดระวังสูงโดยต้องการผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากประจำทั่วไป อย่างไรก็ตามคุณยอมรับความเสี่ยงได้น้อย อาจเพราะต้องการรักษาสินทรัพย์ที่ได้สะสมมาคุณสามารถลงทุนในตราสารหนี้ระยะ 2-3 ปี  พอร์ตโฟลิโอความเสี่ยงปานกลาง(Moderate)  สำหรับนักลงทุนที่มีความรอบคอบและต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความสมดุล เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเงินในระยะยาว คุณสามารถยอมรับความเสี่ยงได้หากการลงทุนนั้นให้โอกาสการได้รับผลตอบแทนที่ดี ระยะเวลาในการลงทุนมากกว่า 3 ปีขึ้นไป โดยลงทุนทั้งในตราสารหนี้ และตราสารทุน พอร์ตโฟลิโอความเสี่ยงสูง(Growth) สำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงและความผันผวนของราคาได้ค่อนข้างสูง สามารถลงทุนในตราสารทุนได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของเงินลงทุน และมีเป้าหมายในการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว  การปรับสัดส่วนการลงทุนอัตโนมัติ(Automatic Fund Re-balancing Program) บริการปรับสัดส่วนการลงทุนอัตโนมัติ ช่วยรักษาสัดส่วนการลงทุนทีคุณออกแบบไว้ให้คงเดิม เนื่องจากราคาหน่วยลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามสภาวะตลาด ด้วยวิธีการปรับสัดส่วนอัตโนมัติทุกไตรมาส โดยระบบจะทำการขายและซื้อหน่วยลงทุนอัตโนมัติเพื่อเพิ่มและลดสัดส่วนแต่ละกองทุน  การสับเปลี่ยนกองทุนอัตโนมัติ(Automatic Fund Switching Program) บริการสับเปลี่ยนกองทุนอัตโนมัติ ใช้หลักการเฉลี่ยต้นทุน หรือ Dollar Cost Averaging คือวิธีการกระจายความเสี่ยงสำหรับการลงทุนระยะยาวด้วยการลงทุนอย่างสม่ำเสมอในจำนวนที่เท่ากัน ทุกรอบระยะเวลา เช่น ลงทุน 1,000 บาท ทุกๆเดือน โดยไม่ต้องคำนึงถึงทิศทางของตลาดที่ลงทุนว่าจะเป็นช่วงขาขึ้น หรือลง ทั้งนี้ ด้วยจำนวนเงินลงทุนที่คงที่ หากราคาหน่วยลงทุนสูงขึ้น จะทำให้ผู้เอาประกันภัยได้รับจำนวนลงทุนน้อยลง ในทางกลับกัน หากราคาหน่วยลงทุนลดลง ผู้เอาประกันภัยจะได้รับจำนวนหน่วยลงทุนมากขึ้น ดังนั้น จึงเป็นการเฉลี่ยต้นทุนในการลงทุนซึ่งเหมาะสมกับช่วงที่ตลาดมีความผันผวน  RATCH บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง การบริหารการเงิน บริษัทมีนโยบายการบริหารการเงินที่มุ่งเน้นความเพียงพอของเงินทุนเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของบริษัท โดยคำนึงถึงสภาวะการเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงินทั้งในและต่างประเทศความสำเร็จในการบริหารการเงินที่สำคัญในปี 2554 ประกอบด้วย 1. การ Refinance เงินกู้ของบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด  2. การจัดหาเงินทุนเพื่อการเข้าซื้อหุ้นกองทุน Transfiled Services Infrastructure ประเทศออสเตรเลีย 3. ผลการจัดอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท ในปี2554   ธนาคารกสิกรไทย ได้มีการแจกเอกสารประกอบการอธิบาย เช่น อยาก....มีบ้าน ได้ให้ความสนใจกับคนที่อยากซื้อบ้าน มีให้เลือกว่าอยากได้บ้านแบบไหน ซื้อด้วยเงินสดหรือเงินผ่อนก็ได้และสามารถเลือกทำเลได้ด้วย, อยาก...สบายวัยเกษียณ มีการวางแผนในการออมเงิน,  อยาก...มีรถคันใหม่ ให้คำปรึกษาอยากได้รถแบบไหน และให้วิธีการออมอย่างไรกับรถคันแรก และให้คำปรึกษาการใช้จ่ายที่ตามมาหลังซื้อรถ, อยาก...ปลดหนี้ ให้คำปรึกษาในเรื่องหาวิธีปลดหนี้  อยาก...ฝาก ถอน โอน ให้ง่ายๆ, อยาก...สร้างครอบครัวที่มั่นคง, อยาก...มีเงินเก็บ เมื่อเริ่มทำงาน, อยาก...ไปเที่ยวตามฝัน, อยาก...ประหยัดภาษี และมีพี่ๆคอยให้ความรู้มากมาย  Maybank Kim Eng  เป็นบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ 999/9 อาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศเศสแอท เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 20-21,24 ถนนพระราม1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพ 10330 ผลิตภัณฑ์และบริการ มีการบริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ บริการตัวแทนซื้อขายตราสารอนุพันธ์ บริการการลงทุนในต่างประเทศ บริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ บริการสินเชื่อเพื่อการลงทุน บริการซื้อขายตราสารหนี้ ที่ปรึกษาการลงทุนกองทุนรวม ที่ปรึกษาด้านวางแผนการลงทุน บริการชำระค่าซื้อสินทรัพย์ด้วยหน่วยลงทุน บริการด้านวาณิชธนกิจ บริการที่ปรึกษาการเงิน บริการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ บริการที่ปรึกษาการควบรวมกิจการ บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ มีบัญชีเงินสด บัญชีเงินฝากล่วงหน้า บัญชีมาร์จิ้น  บัญชีซื้อขายตราสารอนุพันธ์ ผู้ลงทุนจะต้องวางหลักประกันของสินค้าแต่ละประเภทซึ่งจะไม่เท่ากันในแต่ละประเภทสินค้าก่อนเปิดสถานะของสัญญา การลงทุนในต่างประเทศ แมย์แบงก์ (ประเทศ) พร้อมที่จะให้บริการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หลักทั่วโลก ทั้งในภูมิภาคเอเซีย อเมริกาเหนือ โดยมีผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในต่างประเทศคอยให้คำแนะนำ รวมทั้งบทวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อประกอบการตัดสินใจจากทีมนักวิเคราะห์ของเมย์แบงก์ กิมเอ็ง ซึ่งมีอยู่ทั่วทั้งภูมิภาค โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกช่องทางการส่งคำสั่งซื้อขาย ได้ทั้งทาง Internet หรือผู้แนะนำการลงทุนของเรา 

 

 

 

 

 

 

 

จากการที่ได้ไปศึกษาดูงาน SET IN THE CITY ครั้งนี้ได้รับความรู้มากมาย เกี่ยวกับการเงิน เศรษฐกิจ และการลงทุน โดยในงานจะมีกิจกรรมต่างๆมากมาย มีสถาบันที่เกี่ยวกับการเงิน การลงทุน และบริษัทประกันชีวิต ซึ่งสถาบันต่างๆเหล่านี้จะมีวิธีการให้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันของตัวเอง โดยการแจกแผ่นพับ บ้างก็ให้กดไลค์ในเฟสบุ๊ค บ้างก็ให้เล่นเกมเพื่อแลกของรางวัล บ้างก็แจกหนังสือ และยังมีวิทยากรคอยแนะนำให้ความรู้ต่างๆมากมาย และจากเอกสารที่ได้มามีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนเป็นส่วนใหญ่จะขอยกตัวอย่างมาเพียงบางส่วนหรือส่วนที่ได้ทำการศึกษาแล้ว คือเรื่อง 4 หลักการ มือใหม่ในการลงทุน(1.)เริ่มต้นที่รู้จักตัวเองสำรวจว่าตัวเองมีความพร้อมในการลงทุนหรือยังซึ่งควรสำรวจปัจจัยดังนี้ 1.มีความสนใจ มีเงินออมเหลือจากการใช้จ่ายและพร้อมที่จะลงทุน 2.รู้ความสามารถในการรับมือความเสี่ยงของตัวคุณเอง3.รู้จักผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุน4.รู้จักกระาจายความเสี่ยงไปยังการลงทุนประเภทต่างๆ 5.รู้เกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่ต้องการลงทุน6.รู้แหล่งข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ (2.)รู้จักตราสารและทางเลือกการลงทุน หลังจากตรวจความพร้อมของการลงทุนของตัวเองแล้ว ก็สามารถสร้างพอร์ตในการลงทุน โดยการกำหนดเป้าหมาย วางแผนการลงทุน เลือกประเภทการลงทุนที่ต้องการ สามารถรับคำปรึกษาและแนะนำเรื่องการวางแผนจากงานสัมมนาหรือเจ้าหน้าที่ตลาดหลักทรัพย์ก็ได้(3.)ต้องเตรียมตัว เอกสารอะไรหากตั้งใจจะลงทุน (4.)เกาะติดข่าวสารและบริหารพอร์ต หลังจากที่ตั้งใจจะลงทุนแล้วต้องหมั่นติดตามข่าวสารข้อมูลการลงทุนทั้งในและต่างประเทศและตรวจสอบผลการลงทุนในปัจจุบันว่าได้รับผลกระทบหรือไม่ ควรจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไรให้เหมาะกับสถานการณ์ และความรู้อีกอย่างที่ประทับใจและสามารถนำไปใช้ได้กับการเรียนด้วยคือ การอ่านงบการเงินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ ส่วนประกอบในงบการเงินรายงานผู้สอบบัญชี งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด งบแสดงการรับรู้รายได้และค่าใช้จ่าย งบแสดงการเปลี่ยนแปลงของผู้ถ์อหุ้น หมายเหตุประกอบการเงิน การใช้ประโยชน์จากงบการเงินการวิเคราะห์การเงินและการวิเคราะห์ การอ่านงบการเงินรายกลุ่มอุตสาหกรรม ข้อพึงระวังในการอ่านงบการเงิน

        ข้อพึงระวังในการอ่านเงิบการเงินคือ  การอ่านงบการเงินให้เกิดประโยชน์  นอกเหนือจากการพิจารณาตัวเลขในงบการเงิน  และการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินแล้ว  ผู้ลงทุนควรให้ความสำคัญกับข้อมูลอื่นๆที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในงบการเงินด้วย  เช่น  รายงานผู้สอบบัญชี  และหมายเหตุการประกอบงบการเงิน เป็นต้น  เนื่องจากอัตราส่วนทางการเงินต่างๆเพียงแสดงให้เห็นถึงแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เราจะต้องวิเคราะห์อีกต่อไป  เช่น  อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือที่ดลง  อาจเป็นแนวโน้มที่ไม่ดี  แต่ในขณะเดียวกัน  อาจหมายถึงการสะสมวัตถุดิบที่หายากเพื่อใช้ในการขาดแคลก็เป็นได้  ซึ่งหากปล่อยให้ขาดแคลน  อาจทำให้บริษััทเสียหายหรือหยุดชะงักก็เป็นได้  ดังนั้นเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของอัตราส่วนทางการเงิน  ผู้ลงทุนควรสอบถามกับบริษัทโดยตรงหรือแหล่งข้อมูลอื่นเพิมเติม
       หัวใจสำคัญของงบการเงิน งบการเงินที่ดี  มีคุณภาพ  ควรมีการรายงานข้อมูลที่ครบถ้วนต่อผู้ถือหุ้น  หรือผู้ลงทุน  เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ  ลงทุนโดยงบการเงินควรมีรูปแบบการนำเสนอและการเปิดเผยข้อมูล  ดังนี้1.แสดงรายการและข้อมูลอย่างครบถ้วน  เพียงพอ  ถูกต้อง  เข้าใจง่าย  และเชื่อถือได้  2.ไม่ปกปิดข้อเท็จจริง  หรือบิดเบือนความจริงอันเป็นสาระสำคัญซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้งบการเงินหลงผิดและเกิดความเสียหายแก่บริษัทหรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง 3.เปรียบเทียบได้กับงวดเดียวกันของปีก่อนหรืองวดก่อนหน้า  หรือกับบริษัทอื่นที่ประกอบกิจการคล้ายกัน4.เผยแพร่ข้อมูลภายในเวลาที่เหมาะสม  ไม่ล้าสมัยจนไม่ม่ประโยชน์ต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ
     สุดท้ายนี้ก็ต้องขอบพระคุณท่านผศ.ดร.กฤษฎา สังขมณี  ที่แนะนำกิจกรรมแบบนี้ให้กับพวกเราค่ะ  และหว้งว่าจะมีกิจกรรมดีๆๆแบบนี้อีกน่ะค่ะ  สำหรับการไปงานวันนี้ได้ของติดไม้ติดมือมามากมายค่ะ  คุ้มมาก  ได้ทั้งความรุ้  ทั้งของที่ระลึก  กระเป๋า  และอีกเยอะแยะมากมายค่ะ  และดิฉันจะนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดค่ะ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแผนจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเรื่องการออมและการลงทุนยังส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคผ่านรูปแบบกิจกรรม SET in the City โดยมุ่งเน้นกระตุ้นและผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยการนำเสนอด้วยเนื้อหาตามสภาวการณ์ปัจจุบัน ครอบคลุมและเป็นประโยชน์ทั้งต่อภาคธุรกิจและภาคประชาชน อีกทั้งยังผลักดันให้มีการบริหารการเงินภาคประชาชนที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการใช้ทางเลือกการลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับการประกอบอาชีพ ธุรกิจ และการดำเนินชีวิตผ่านช่องทางของการลงทุนได้เหมาะสมภายใต้สภาวการณ์ปัจจุบัน การจัดงานมหกรรมการลงทุนในหลักทรัพย์ เป็นการจัดงานแบบครบวงจร โดยเป็นศูนย์รวมของผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไม่ว่าจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บริษัทจดทะเบียน หน่วยงาน สมาคมทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์และบริษัทในเครือ สำหรับบริษัทจดทะเบียนกลุ่มพาณิช ก็จะมีหน่วยงาน คือ บมจ. ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย บมจ. ธนาคารกสิกรไทย บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บมจ. ธนาคารกรุงเทพ บมจ. ธนาคารกรุงไทย บมจ.ธนาคารทิสโก้ บมจ. ธนาคารเกียรตินาคิน กลุ่มธุรกิจประกันภัย บ.อเมริกาอินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ บมจ. ไทยประกันชีวิต บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต บ. แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต บมจ.แมนูไลฟ์ ประกันชีวิต (ประเทศไทย) และบริษัทอื่น ๆ อีกมากมาย สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย จำกัด มหาชน ชื่อย่อ MBKET ถือหุ้นโดยกลุ่มเมย์แบงค์ (Maybank) ธนาคารอันดับ 1 ของประเทศมาเลเซีย บริษัท มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเป็นอันดับ1 ต่อเนื่องตั้งแต่ปี2545 จนถึงปัจจุบัน บริษัทประกอบธุรกิจหลักทรัพย์อย่างครบถาวร งานที่ปรึกษาทางการเงินและจัดจำหน่ายหลักทรัพย์มีมาตรฐานสากล โดยมีเครือข่ายในศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญทั่วโลก อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ซาอุดิอาระเบีย นิวยอร์ก และลอนดอน ส่วนบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ป เป็นของบริษัท ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (independent Power Ppoducer - ipp ) แห่งแรกของไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่12พฤษภาคม2535 ตามนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามา ลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้า เอ็กโก กรุ๊ป ดำเนินการผลิตไฟฟ้าในรูปแบบครบวงจร ครอบคลุมธุรกิจหลัก 3 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า ธุรกิจการให้บริการด้านการพลังงาน ทั้งในส่วนของการเดินเครื่องบำรุงรักษาวิศวกรรม ก่อสร้าง และฝึกอบรมแก่โรงงานไฟฟ้า และโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆทั้งในและต่างประเทศและธุรกิจน้ำ ตลอดระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจรับใช้สังคม เอ็กโก กรุ๊ปมีนโยบายและแนวทางอันชัดเจนในการดำเนินธุรกิจและการขยายการเจริญ เติบโต ควบคู่ไปกับการธำรงรักษาไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสังคมเพื่อรักษาดุลยภาพของการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล และยิ่งยืนตลอดไป เอ๊กโก กรุ๊ปเป็นบริษัทที่จดทะเบียนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและเท็ปเดีย เจเนอเรติ้ง บีวี และนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยมีสัดส่วนการถือหุ้น ณ วันปิดสมุดทะเบียน รักษาดุลยภาพของการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล และยิ่งยืนตลอดไป นอกจากนี้ยังได้รับหนังสือจากบริษัท ช. การช่างจำกัด (มหาชน) ภายในก็จะมีเนื่อหาเกี่ยวกับ วิสัยทัศน์ พันธกิจ ค่านิยม และกลยุทธ์ ข้อมูลสำคัญทางการเงิน ฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน รายงานและงบการเงินรวม และข้อมูลบริษัทอื่นๆอีกมากมาย นอกเหนือจากภารกิจหลักของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งเเวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ให้สามารถเติบโตเคียงคู่กันไปในอนาคต ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กำหนดเเนวทางการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR เพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจแก่สังคม ไว้ 3 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ ด้านพัฒนาการศึกษาและส่งเสริมการเรียนรู้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้านพัฒนาสังคม คุณภาพชีวิต และสิ่งเเวดล้อม ด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรม สำหรับการ ภายในงานก็จะมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การเล่นเกมส์ชิงของรางวัล สำหรับเนื้อหาของเกมส์ก็จะสอดแทรกเกี่ยวกับการลงทุน การตอบแบบสอบถาม การได้มางานนี้ทำให้มีความรู้เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ ได้รู้ถึงข้อมูลของบริษัทต่างๆ เพราะได้มาสัมผัสเองทำให้ได้รับความรู้นอกเหนือจากอยู่ในห้องเรียนอีกด้วย

จากที่ดิฉันได้ไปศึกษาดูงาน มหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the city ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่22-25พ.ย.2555 ที่จัดขึ้นบริเวณ ชั้น5 รอยัล พารากอนฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน งานนี้จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการลงทุน การขอสินทรัพย์ การจัดบูทของบริษัทเงินต่างๆ รวมทั้งมีสินค้ามาจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าปกติ ทั้งยังมีการร่วมสนุกกับการเล่นเกมส์ การแจกของของบูทต่างๆ แจกอาหาร ของว่างมากมาย มีการเดินขบวนของบริษัทเงินทุนต่างๆและจุดที่น่าสนใจที่สุดของงานคงจะเป็นการจัดสัมนาอบรมสำหรับผู้ที่เป็นมือใหม่หัดเล่นหุ้น กับ TISCO ซึ่งจะได้พบกับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมายมาให้ความรู้ ความเข้าใจ รวมถึงการเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนว่าประเทศไทยของเรามีความพร้อมมากเพียงใดในการรับมืออีก9ประเทศสมาชิก และแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต การจัดบูทก็จะแบ่งออกเป็นหลายโซนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทประกันชีวิต หลายๆบริษัท บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารพานิชย์ทั้งหลาย มีการเสนอโปรโมชั่นของธนาคารต่างๆ ธนาคารกสิกรไทย หรือKแบงค์ มีระบบ K-expert สำหรับผู้ที่มีความประสงค์ อยากสบายวัยเกษียณ อยากปลดหนี้ อยากประหยัดภาษี
ธนาคารTMBAM ใครๆก็จัดทัพลงทุนได้แบบยิ้มด้วยกองทุนRMF&LTF ของบลจ.ทหารไทย เพื่อการประหยัดภาษี กองทุนรวมหน่วยลงทุนFeeder Fundที่ลงทุนในต่างประเทศ นโยบายเน้นในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองเดียวโดยนโยบายเงินปันผลคือไม่มีการจ่ายเงินปันผล ประเทศที่ลงทุนได้แก่ เกาหลีใต้ มาเลเซีย ออสเตเลีย โปรแลนด์ สวีเดน อิยิปต์ อิสราเอล เป็นต้น ธนาคารกรุงไทย แบงค์วายุภักดิ์ ภาษี..ยิ่งลด ยิ่งได้เพิ่ม การวางแผนภาษี ช่องทางการลดหย่อนภาษี ยิ่งเริ่มต้นออมเงินสำหรับการเกษียณได้เร็วเท่าใด ก็ยิ่งมีเงินเก็บไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณมากขึ้นเท่านั้น โซล่าฟาร์ม คือ ฟาร์มที่ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นพลังงานสะอาดปราศจากมลภาวะ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด210วัตจำนวน 29160แผงกำลังผลิตไฟฟ้า6123กิโลวัตต์ และเครื่องแปลงไฟขนาด11.4กิโลวัตต์จำนวน540เครื่องติดตั้งอยู่ในพื้นที่กว่า100ไร่ สำหรับความประทับใจที่ได้รับคงจะเป็นการได้ไปเปิดประสบการณ์ใหม่และเป็นครั้งแรกกับการการที่ได้เข้าร่วมงานนี้ ได้รับความสนุกจากการร่วมกิจกรรมกับบูทต่างๆ เขาต้อนรับดีมาก แจกกระเป๋าผ้า ให้กินไอติมฟรี ทำให้เราได้รู้อะไรต่างๆมากข้น มีประสบการณ์ในการตัดสินใจต่างๆมากยิ่งข้น

จากการที่ได้ไปศึกษาดูงานมหกรรมการลงทุน SET in the city ณ สยามพารากอน วันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 เป็นงานที่ให้ความรู้ต่างๆมากมาย แต่ละบูท ก็จัดเกี่ยวกับ การลงทุนต่างๆ ประกันภัยชีวิต ธนาคารต่างๆ การซื้อขายหุ้น และก็มีเกมส์ให้เล่น สิ่งที่ดิฉันประทับใจมาก คือ เรื่องหุ้น หุ้นหมายถึง หลักทรัพย์ที่แสดงความเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งในบริษัท อยู่ในรูปของเอกสารทางการเงินที่บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ออกมาเพื่อระดมเงินทุนจากผู้ลงทุน และเปิดให้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงตามผล ประกอบการของบริษัทและภาวะตลาดคะ ลักษณะของหุ้นก็มีหลายแบบด้วยกัน เช่น หุ้นปันผลจะมีเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ หุ้น Defensive ราคาไม่ตกมาก เวลาตลาดตก โดยมากเป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไร มีความผันผวนต่ำ มักเป็นที่พักเงินรอเล่นหุ้นตัวอื่นๆ หุ้นบริษัทกำลังรุ่ง เป็นบริษัทโตเร็ว มียอดขายและ/หรือ ผลกำไรเติบโตเร็ว เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีแนวโน้มต่อเนื่องไปในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้า หุ้นอุตสาหกรรม เ็ป็นอุตสาหรรมที่ไำม่ค่อยเติบโตหรืออยู่ในช่วงขาลง หุ้นถือยาว เป็นหุ้นของบริษัทที่มีผลประกอบการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีความมั่นคง( แม้ว่าการเติบโตอาจไม่สูงมาก) ซึ่งนักลงทุนสามารถถือลงทุนระยะยาวได้ หุ้น Turn Around เป็นหุ้นของบริษัทที่ก่อนหน้านี้มีปัญหาประสบภาวะขาดทุนอย่างมาก จนเมื่อมีการปรับปรุงบริหารการเงิน การตลาดและสินค้า การเงิน หือเมื่อภาวะการประกอบธุรกิจที่บริษัทดำเนินงานอยู่ปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้ผลประกอบการกลับมีกำไร หุ้นเก็งกำไร เป็นหุ้นต้องลุ้นกันหน่อยว่าจะออกหัวออกก้อย ถ้าตรงตามคาดก็จะทำกำไรได้มาก หุ้นปั่น เป็นหุ้นขึ้นเร็ว โดยไม่มีเหตุผล หรือ เหตุผลไม่สมจริง ราคาขึ้นไปได้ก็คงอยู่ไม่ได้นาน เป็นต้น ก่อนที่เราจะเล่นแบบสบายใจ ควรมีคุณสมบัติ 5 ขั้น 1. ใช้เงินเย็นหรือเงินก้อนที่จะไม่ใช้ใน 1-5 ปี 2. วางแผนล่วงหน้าว่าซื้อหรือขายหุ้นแต่ละตัวเมื่อใด ในสถานการณ์ใด 3. จัดสำหรับการลงทุนของตนเองแต่ต้นมือ 4. เลือกหุ้นที่ตกยังไง ก็ยังไม่กลัวสูญ โดยต้องเลือกหุ้นดี และมีการติดตามเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าหุ้นนี้ยังคงเป็นหุ้นดี 5. ติดตามข่าว และวิเคราะห์ผลกระทบของข่าวต่อหุ้นในมือ สำหรับการซื้อขายหุ้นโดยBroker หมายถึง นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ผู้ที่ให้บริการเราในเรื่องการส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ไปยังตลาดหลักทรัพย์ และเป็นผู้ทำหน้าที่ในการส่งมอบรับมอบหลักทรัพย์แทนเรา รวมถึงการเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ ในหลักทรัพย์ที่เราได้หมอบหมายให้ Broker นั้นๆ ได้ทำการซื้อขาย สำหรับมือใหม่นั้นเราควรเลือกโดยสังเกตุดูสิ่งต่อไปนี้ 1. ควร เลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงหรือมีความมั่นคง ระวังเว็บโบรกเกอร์ที่อาจจะมาหลอกเอาเงินลงทุนจากเรา ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงเว็บโบรกเกอร์ที่ดูไม่น่าเชื่อถือไว้ก่อน 2. จำนวน Spread หรือ ส่วนต่างของจำนวนจุดที่ถูกหักออกเป็นค่าตอบแทนให้กับทางโบรกเกอร์ ซึ่งถ้า Spread น้อย แสดงว่าเราจะต้องเสียค่านายหน้าหรือค่าใช้จ่ายให้กับทางโบรกเกอร์น้อยลง 3. ควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีโปรแกรมหรือ Plate From ที่มีเครื่องมือให้ใช้หลากหลาย หรือดูง่ายสำหรับการใช้งาน 4. โบรกเกอร์นั้นควรมีที่อยู่ที่ติดต่อชัดเจน และควรมีห้อง Support ให้ใช้ติดต่อได้ตลอด 24 ชม.หากว่าเรามีปัญหาเกิดขึ้น 5. มี ความเสถียรในเรื่องของระบบ บางโบรกเวลาเล่นๆอยู่แล้วหลุดจากการติดต่อบ่อยๆก็จะไม่ค่อยดี เพราะถ้าบางครั้งเรากำลังเทรดอยู่แล้วโปรแกรมหลุดการติดต่อไปเฉยๆ เราอาจจะขาดทุนแทนที่จะได้ทำกำไรก็ได้ 6. ควรมีการกำหนด Margin Requirement ที่ต่ำ 7. ควรเลือกโบรกเกอร์ที่สามารถเทรดด้วยวงเงินที่ต่ำๆได้ เพราะจะได้ไม่ต้องเอาเงินลงทุนเข้าไปทีละเยอะๆจนเกินไป สำหรับเรื่องหุ้นนี้ที่ดิฉันได้กล่าวไว้ข้างต้นนี้ก็เป็นเพียงเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ สำหรับใครที่สนใจจะลงเล่นหุ้น เพราะจะต้องศึกษาอีกเยอะ วิเคราะห์ข่าว ดูข้อมูลบริษัทต่างๆ ว่าธุรกิจดีไหม และที่สำคัญต้องรู้ชื่อย่อของบริษัทต่างๆ เพื่อสะดวกในการดูหุ้นคะ

นางสาวญานิชา คำตัน 55127326073

กิจกรรมสัมมนาที่ได้จัดขึ้นนี้ จากที่ได้ไปศึกษาดูงานที่ SET in the City ก็ได้รับความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่เรายังไม่รู้อีกมาก และการลงทุนของนักลงทุนเป็นความรู้ที่คุ้มค่า การจัดสัมมนาที่ดีของนักเคราะห์ด้านการลงทุน SET in the City กรุงเทพมหานคร 2012 จัดสัมมนา จากวันที่ 22-25 พ.ย. 2555 เริ่มเวลา 10.00-20.00 น. สถานที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ภายในงานแบ่งออกเป็น 2 โซน ซึ่งได้พบการตั้งบูทต่างๆ เช่นบูทของศักยภาพบริษัทจดทะเบียนชั้นนำหลายบริษัท ธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ มีการให้บริการแบบครบวงจร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน โปรกเกอร์โกลด์ฟิวเจอร์ส และบริษัทประกันภัย และได้ให้ความรู้เกี่ยวกับ Investment on Stsage เป็นการระดมทุกความเห็นของนักวิเคราะห์ชั้นนำระดับตำนานพร้อมสัมมนาเด็ด เนื้อหาดีๆจาก บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ส่วนของHall 2-3 มีการจัดบูทของกลุ่มธนาคาร/บล./บลจ./โกลด์ฟิวเจอร์ส/ประกันภัย และได้เข้าร่วมแล่นเกมกับบูทของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( กลต) มีการแจกกระเป๋าเพื่อเป็นการตอบแทนในการร่วมเล่นเกมด้วย และได้ ความรู้เกี่ยวกับ Mank Kim Eng (MBKET) เป็นบริษัทเกี่ยวกับหลักทรัพย์ถือหุ้นโดยเมย์แบงก์ ( Malayan Bankink Berhad หรือ Maybank ) ธนาคารารอันดับ 1 ของประเทศมาเลเซีย บริษัทฯมีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2545 จนถึงปัจจุบัน เป็นบริษัทประกอบธุรกิจหลักทรัพย์อย่างครบวงจร งานที่ปรึกสาด้านการเงินและจำหน่ายหลักทรัพย์ และเป็นมาตรฐานสากล โดยมีเครือข่ายในศูนย์กลางทั่งโลก อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ซาอุดิอาระเบีย นิวยอร์ค และลอนดอน Gold Investment With Globlex เป็นการลงทุนทองคำแท่งกับโกลเบล็ก ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ปัจจัย ทิศทาง ราคาทองคำ 1.ความต้องการทองคำ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น 2.ความสามารถในการผลิตทองคำ เพิ่มขึ้น ลดลง 3.ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น ลดลง 4.อัตราดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น ลดลง 5.ราคาน้ำมันในตลาดโลก เพิ่มขึ้น ลดลง

ข้อดีของการลงทุนในทองคำ -เป็นเครื่องมือในการลงทุนเพื่อสร้างผลกำไร -เป็นเครื่องมือในการออมสะสมความมั่งคั่งที่มีความมั่นคงสูง -เป็นเครื่องมือในการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน -เป็นแหล่งลงทุนที่มีความปลอดภัย -ใช้ในประเพณีต่างๆ ทางวัฒนธรรม เช่น สินสอด เป็นต้น และได้ความรู้จากโซล่าฟาร์ม (Solar Farm) คือ ฟาร์มทีผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นพลังงานสะอาดปราศจากมลภาวะและก็เป็นมิตรกับแวดล้อมซึ่งประกอบด้วยแผงเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 210 วัตต์ จำนวน 29160 แผง กำลังผลิตไฟฟ้า 6123 กิโลวัตต์ และเครื่องแปลงไฟฟ้าขนาด 11.4 กิโลวัตต์จำนวน 540 เครื่องติดตั้งอยู่ในพื้นที่กว่า 100 ไร่ ของ Solar Power Company Limited และเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น ส่วนผู้สนใจลงทุนเกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่ควรรู้ คือหน่วยงานองโบรกเกอร์ ได้แก่ 1. ฝ่ายบริการด้านหลักทรัพย์ (front office) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการให้คำแนะนำการลงทุนและรับส่งการสั่งซื้อขายจากลูกค้า 2. ฝ่ายปฏิบัติการด้านหลักทรัพย์ (back office) ให้บริการด้านคำปรึกษาเรื่องการชำระราคา การฝาก-ถอนสินทรัพย์ของลูกค้า (เงินสด หุ้น หรือทรัพย์สินอื่น) จัดการเรื่องข้อมูลของลูกค้า รวมถึงการออกเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ 3. ฝ่ายกำกับดูแลการปฏิบัติงานของบริษัทหลักทรัพย์ (compliance unit) ทำหน้าที่กำกับดุแลการทำงานของฝ่ายบุคคลากรทั้งหมดของบริษัทให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎเกณฑ์และระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรับเรื่องร้องเรียนของลูกค้าด้วย และสุดท้ายก็ขอขอบคุณอาจารย์ที่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการไปศึกษาดูงานครั้งนี้เป็นอย่างยิ่งค่ะ

          การที่ได้ไปดูงานSET  in the city นั้นได้ข้อมูลมามากทั้งจากเอกสารที่ได้มาและมีการจัดนิทรรศการที่ให้ความรุ้เกี่ยวกับการลงทุน การเล่นหุ้น มีเอกสารมากมายที่นำมาแจกและมีของรางวัลเล็กๆน้อยๆอีกมีหนังสือที่เป้นประโยชน์อีกมากมาย และที่ประทับใจ คือหนังสือ 360องศากับตราสารหนี้เป็นหนังสือเล่มสีฟ้าในหนังสือมีสาระมากมายเกี่ยวกับตราสารหนี้   ตราสารหนี้กับการลงทุน  คณิตศาสตร์พื้นฐานของตราสารหนี้  เรื่องต้องร็เมื่อลงทุน  ตลาดตราสารหนี้  BEX และอีกมากมาย
       ตราสารทางการเงิน โดยสาระสำคัญพื้นฐานแล้วคือ สัญญาที่แสดงความผูกพันระหว่าง  ผู้ออกตราสาร กับนักลงทุน ซึ่งความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลทั้งสองฝ่ายนั้น ขึ้นอยุ่กับประเภทของตราสารอย่างไรก็ดีความสัมพันธ์ที่กล่าวถึงนั้น อาจจะแยกเป็น2เรื่องหลักได้แก่ สิทธิ และภาระผูกพัน   

หุ้นสามัญ เป็นตราสารทางการเงินที่แสดงถึงสิทิของผู้ถือหุ้นว่าเป็น เจ้าของ ดังนั้น บริษัทผู้ออกจึงเกิดภาระผูกพันในอันที่จะต้องปฏิบัติตามมติที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นสามัญหรือ พูดภาชาวบ้านว่าบริษัทต้องทำตามความต้องการของเจ้าของนั่นเอง การลงทุนในตราสารทางการเงินสองประเภท คือ ตราสารทุน และ ตราสารหนี้ อย่างไรก็คื ในทางการเงินนั้น ยังมีตราสารอีกประเภทหนึ่ง ก็คือ ตราสารอนุพันธ์ ตราสารอนุพันธ์เป็นตราสารที่มีลักษณะพิเศษเหนือกว่าตราสารทุน และตราสารหนี้ที่ได้กล่าวมาในข้างต้น เพราะการกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ถือตราสารอนุพันธ์กับผู้ออกสารอนุพันธ์กับผู้ออกตราสารอนุพันธ์ จะไม่ตายตัว หรือคงที่อย่างที่แสดงไว้ในกรณีของตราสารทุนและตราสารหนี้ กล่าวคือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสองฝ่ายในกรณีของตราสารอนุพันธ์นั้น เกิดขึ้นได้หลายแยย เช่น ทั้งสองฝ่ายมีเพียงภาระผูกพันระหว่างกัน ไม่มีใครที่มีสิทธิเหนืออีกฝ่าย และยังมีความรู้อีกมากมาย

     การที่ได้ไปศึกษาได้เข้าไปเยี่ยมชมงาน  SET  in the city ได้ความรู้และความสนุกสนานเป็นการได้ไปเรียนรู้นอกห้องเรียนถ้าทุกคนมีโอกาสอยากให้ทุกคนนั้นได้ไปเยี่ยมชมเพระเป็นประโยชน์ทั้งที่ผู้สนใจอย่างมาก
     จากที่ได้ไปดูงาน SET  in the city  ที่จัดขึ้นที่ สยามพารากอน ชั้น 5  ในงานจะมีการจัดบูทของ ตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารต่างๆ การประกันชีวิตและอื่นๆอีกมากมาย คนที่ไปงานก็จะเป็นคนทุกเพศทุกวัย  ทั้งเป็นคนที่ต้องการจะลงทุน   เป็นคนที่ลงทุนแล้ว และก็มีคนที่มาศึกษาดูงาน ในงานจะแบ่งออกเป็นหลายบูท แต่ละบูทจะมีการอธิบาย  ให้ข้อมูลของบูทตัวเอง  ในแต่ละบูทก็มีการเชิญให้ร่วมเล่นเกม  แจกของรางวัล ไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า  ร่ม พวงกุญแจ  และอีกมากมาย  ในงานจะมีการสัมมนากันพูดถึงประโยชน์ในการลงทุน  การป้องกัน ว่าเป็นยังไง 
     แล้วสิ่งที่เราสามารถนำกลับมาศึกษาได้ก็คือ โปร์ชัว  หนังสือ  ที่แต่บูทมีแจกไว้   ให้เราได้นำกลับมา ในโปร์ชัว จะประกอบไปด้วยข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์กับเรา ไปงานนี้เราได้รู้เกี่ยวกับหลายเรื่อง เช่น เรื่องหุ้น  คุณสมบัติของหุ้นที่ดี ประกอบไปด้วย การจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ  มีปริมาณหุ้นซื้อขายในตลาดมากพอสมควร   มีการซื้อขายในแต่ละวันมากพอสมควร  มีอนาคต   เวลามีกำไรต่อหุ้นไม่ต่ำเกินไปมีราคาต่อมุลค่าของบริษัท  เมื่อไหร่ตลาดหุ้นจะขึ้น  เมื่อเศรษฐกิจมีท่าว่าจะดีขึ้น   นโยบายการเงินการคลังไม่ผิดพลาดและเอื้ออำนวย   นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศสนใจตลาดหุ้นมีเงินไหลเข้าตลาด  หุ้นตัวไหนควรหลีก   คือ  หุ้นเล็ก  หุ้นที่ราคาขึ้นโดยที่หาเหตุผลไม่ได้   หุ้นพวกนี้มักมีโพยคือมีข่าวดีเป็นชุดๆออกมา  ส่วนมากจะเป็นหุ้นอันตราย  สันนิษฐานไว้ก่อนว่านี่เป็นเวลาเล่นเกมของคนบางคน  อย่าเห็นราคาและกำไรที่คิดได้ในใจเย้ายวนจนเผลอดทรศัพท์หรือติดต่ออินเทอร์เน็ตไปซื้อหรือขายหุ้น
    การไปดูงานครั้งนี้ทำให้ได้รับมากขึ้นจากเดิม  และยังได้รับความสนุกในการเล่นเกม แล้วยังได้รับของรางวัลอีกด้วย

สนุกมากค่ะ

ความรู้ที่ได้จากการศึกษาดูงาน SET in the City กรุงเทพมหานคร 2012

  วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2555 ดิฉันเดินทางไปสยามพารากอนเพื่อศึกษาดูงาน SET in the City กรุงเทพมหานคร 2012 ซึ่งภายในงานเป็นการจัดบูธอยู่หลายบูธ ตัวอย่างเช่น  บูธเกี่ยวกับการลงทุน บูธตลาดหลักทรัพย์ สถาบันการเงินต่างๆเป็นต้น มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน การเล่นหุ้น การสร้างความมั่นคงทางการเงิน และเพิ่มผลผลิตให้กับเงินออมของตนเอง บางบูทก็เชิญชวนให้ลงทุน และมีของสัมมนาคุณต่างๆมากมาย ให้คำแนะนำเกี่ยวกับผู้สนใจเล่นหุ้นทั้งมือใหม่และมืออาชีพ ภายในงานมีผู้สนใจเข้าร่วมลงทุนมากมาย ดิฉันยังได้แวะเข้าไปเยี่ยมชมบูธของ AIA ได้รวมเล่นเกมทำแบบสอบถามมีแจกไอศกรีมให้รับประทานฟรีอีกด้วยยังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการเงินครบวงจร การประกันภัยพร้อมสรรพทั้งความคุ้มครองชีวิตและเพิ่มโอกาสในการลงทุน และข้อมูลในการออมเงินได้รับเอกสารเพื่อที่จะให้นำไปศึกษา การชำระเบี้ยประกัน ตารางค่าธรรมเนียมกรมธรรม์ สิทธิของผู้เอาประกันภัย ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับผู้จะซื้อประกันชีวิต
    นอกจากนี้ยังมีเวทีที่เชิญคนสำคัญทางการเงิน ผู้เชี่ยวชาญทางการเล่นหุ้น การลงทุนมาพบปะ บรรยายให้กับผู้สนใจทางด้านนี้อีกด้วย และจากการศึกษาดูงานในครั้งนี้ ฉันก็นึกถึงคำที่ว่า “คนจนชอบเล่นหวย คนรวยชอบเล่นหุ้น” ซึ่งหากมองภายนอกมันก็คือการเสี่ยงเหมือนกัน แต่สำหรับตัวดิฉันคิดว่า การเล่นหวยเราเอาเงินที่เราต้องใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันไปซื้อหวย ไปเสี่ยงกับหวย แต่สำหรับการเล่นหุ้นเราเอาเงินที่เราได้จากการออมไปเล่นซึ่งก็ไม่ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันของเรา และการเล่นหุ้นสามารถบริหารความเสี่ยงของเราได้เองจากความรู้ที่เราได้ศึกษามา

จากการที่ข้าพเจ้าได้ไปศึกษาดูงานในงาน SET in The City ที่สยามพารากอน ข้าพเจ้าเกิดความประทับใจอย่างมากเพราะนับว่าเป็นครั้งเเรกที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปงานนี้ บรรยากาศภายในงานตื่นตาตื่นใจมากภายในงานมีหลากหลายบูท แต่ละบูทก็เเตกต่างกันไปและที่สำคัญภายในงานมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกมีการเเจกรางวัลเล็กๆน้อยๆไม่ว่าจะเป็น กระเป๋า พวงกุญเเจ เข็มกลัด และหนังสือต่างๆข้าพเจ้าได้รับหนังสือหลายเล่มมากแต่ละเล่มเป็นหนังสือดีๆทั้งนั้นหนังสือที่ข้าพเจ้าได้มาทำให้ข้าพเจ้าสามารถเพิ่มพูนความรู้อะไรหลายๆอย่างที่เกี่ยวกัลธนาคาร ตลาดหลักทรัพย์ เช่นในเรื่องของตั๋วเงินคลัง

ตั๋วเงินคลัง(Treasury Bills)

    ตั๋วเงินคลังเป็นหลักทรัพย์ที่รัฐบาลใช้ในการกู้ยืมเงินจากประชาชนในระยะสั้นซึ่งปกติจะมีอายุไม่เกิน 1 ปีโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก และมอบให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดการประมูล(สำหรับตลาดแรก)ตั๋วเงินคลังไม่มีการกำหนดดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน แต่ผลตอบแทนจะอยู่ในรูปของ ส่วนลด(Discount)ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับจำนวนราคาหนน้าตั๋วลบราคารที่ซื้อในครั้งเเรกแต่มื่อถึงกำหนดชำระคืนรัฐบาลต้องชำระเต็มตมราคาที่ตราไว้(ราคาพาร์)และเมื่อตั๋วเงินคลังครบกำหนดไถ่ถอนคืน นักลงทุนก็มีสิทธิที่จะได้รับเงินตามที่สัญญาไว้ ยกตัวอย่างเช่น ราคาหน้าตั๋วของตั๋วเงินคลังฉบับหนึ่ง กำหนดไว้เท่ากับ 1,000 บาท นักลงทุนได้รับส่วนลดเป็นเงิน 50 บาท(ในที่นี้ส่วนลดเท่ากับ 50 บาท)นั่นหมายความว่านักลงทุนสามารถลงทุนซื้อตั๋วเงินคลังฉบับดังกล่าวได้ในราคา 950 บาทต่อฉบับ แต่เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนนักลงทุนผู้นั้น จะได้รับเงินคืนจากรัฐบาลเป็นเงิน 1000 บาทต่อฉบับนั่นคือ นักลงทุนผู้นั่นจะได้รับกำไรจากการลงทุนในตั๋วเงินคลัง เท่ากับ 50 บาทต่อฉบับ

    ในส่วนของประวัติตั๋วเงินคลัง การออกตั๋วเงินคลังในประเทศไทยได้เริ่มครั้งเเรกเมื่อปี พ.ศ.2488 จำนววนเงิน 50 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ในการออก เพื่อใช้จ่ายตามงบประมาณ ตั๋วเงินคลังที่ออกในช่วงเเรกมีอายุ 4 เดือน ต่อมาได้ลดอายุ่เป็น 3 เดือน ในปี พ.ศ. 2507 และ 2 เดือน ในปี พ.ศ.2509 เพื่อใช้อัตราดอกเบี้ยลดลงตามกำหนดอายุของตั๋วเงินคลังเหลือร้อยละ 4 ต่อปี เหตุผลอีกประการหนึ่ง ก็เพื่อเป็นการสนับสนุนให้มีผู้ประมูลซื้อตั๋วเงินคลังโดยตรงจากกระทรวงกรคลังแทนการซื้อต่อจากธนาคารแห่งประเทสไทย ซึ่งมักนิยมเลือกตั๋วเงินคลังที่มีอายุเหลือประมาณ 2 เดือนก่อนครบกำหนดชำระ และในปี พ.ศ.2510 ได้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเป็นร้อยละ 5 ต่อปี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น และเพิ่มขึ้นอีกเป็นร้อยละ 7 ต่อปี ในปี พ.ศ.2512 พร้อมกันนั้นก็ได้ปรับปรุงอยุตั๋วเงินคลังจาก 60 วัน เป็น 63 วัน เพื่อให้ตั๋วเงินคลังครบกำหนดชำระในวันเดียวกันกับวันที่ประมูลตั๋วครั้งถัดไป ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้ถือตั๋วเก่าที่ครบกำหนดแล้วประสงค์ซื้อตั๋วใหม่ต่อ จะได้รับดอกเบี้ยต่อเนื่องกัน

    การออกตั๋วเงินคลังได้ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ.2488 ต่อเนื่องเรื่อยมจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2533 ต่อจากนั้นรัฐบาลได้เปลี่ยนวิธีการจัดทำงบประมาณให้เป็นงบประมาณแบบสมดุล จึงไม่มีความจำเป็นที่จะกู้เงินตามวิธีการดังกล่าว จนกระทั่งในปีงบประมาณ พ.ศ.2542 รัฐบาลได้ใช้นโยบายงบประมาณแบบขาดดุลอีกครั้งโดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปี พ.ศ.2542 จำนวน 40,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการกู้โดยการออกตั๋วเงินคลังจำนวน 15,000 ล้านบาท โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2542

    การประมูลตั๋วเงินคลังในตลาดครั้งเเรกนั้น จัดโดยธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งปัจจุบันจัดขึ้นทุกวันจันทร์ของสัปดาห์ 

    ทั้งนี้ข้าพเจ้าต้องขอบพระคุณ ดร.อ.กฤษฎา สังขมณี เป็นอย่างสูงที่แนะนำสถานที่ดีๆให้ข้าพเจ้าได้ไปศึกษาเรียนรู้

 

นางสาวมาดีฮะห์ สะอิ

55127326080

     จากการที่ได้เข้าไปชมและได้ศึกษาที่มหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the Cityกรุงเทพมหานคร 2012 วันที่ 23 พ.ย. 55 ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5 สยามพารากอน ได้พบกับตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัทมาจัดบูทให้ข้อมูลให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และมีธนาคาร สถาบันการเงินต่างๆมาหาข้อมูลเปิดให้ซื้อขายกองทุนรวม พร้อมจัดโปรโมชั่นแจกของอีกมากมาย มีเกมให้ได้ร่วมเล่นสนุกกันอีกด้วย  เป็นงานที่ใหญ่มากและรวมแหล่งลงทุนและสถาบันการเงินไว้มากมายมีทั้งการให้ความรู้กับผู้สนใจทั่วไป กับ ผู้ที่สนใจจะลงทุนร่วมกัน  Hall 1 มีการเล่นเกมส์แจกของรางวัล กดแฟนเพจได้รับกระเป๋า แจกหนังสือ แผนพับต่างๆ ได้รู้จักขั้นตอนการลงทุนในหุ้น สำนักงาน ก.ล.ต. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐทำหน้าที่ในการกำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ยุติธรรม โปร่งใส   Hall 2-3 มีกลุ่มธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โกลด์ฟิวเจอร์ส ประกันภัย เช่น บล.กสิกร บล.ไทยพาณิชย์ บล.กรุงศรี บล.กรุงไทย บล.โกลแบล็ก บล.บัวหลวง บล.เกียรตินาคิน บล.ทิสโก้  การซื้อ-ขายหุ้น การเล่นหุ้น เราต้องอายุ 20 ปีขึ้นไปถึงจะสามมารถเล่นหุ้นได้ และการคิดวิเคราะห์ในการซื้อ-ขายหุ้น การตัดสินใจในการซื้อ-ขาย ก่อนที่เราจะเล่นหุ้นจริง เราควรที่จะศึกษาวิธีการเล่นหุ้นก่อนและมีเกมส์การเล่นหุ้นให้เราได้ลองเล่นดูก่อน  ก่อนที่เราจะไปเล่นหุ้นจริงๆ  การลงทุนในทองคำกับโกลเบล็ก  เป็นบริษัทผู้ค้าทองคำแท่ง  เพียงรายเดียวที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  มีความรู้และความสามารถในตลาดทุนเป็นอย่างดี  บริษัทอยู่ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (กลต.) จึงดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ  โปร่งใส  และยุติธรรม  เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า
     สิ่งที่ได้รับจากการมาศึกษาคือ ความรู้ใหม่ๆ  แผ่นพับ  หนังสือ  กระเป๋า  ที่แต่ละบูทมีแจกไว้ให้เราได้นำกลับมา  ในแผ่นพับจะประกอบไปด้วยข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์กับเราในการศึกษาต่อ  มีเวทีเชิญคนสำคัญทางการเงิน  ผู้เชี่ยวชาญทางการลงทุนและเล่นหุ้น  มาบรรยายให้กับผู้สนใจทางด้านนี้อีกด้วย  ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ดีมากๆ  สำหรับคนที่จะศึกษาหาข้อมูลในการลงทุน  มีการให้คำปรึกษา  แนะนำแนวทางต่างๆ  ประทับใจมากๆค่ะ

นางสาวหนึ่งฤทัย เวฬุวนารักษ์ รหัส 55127326071

     จากการที่ได้เข้าไปชมและได้ศึกษาที่มหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the Cityกรุงเทพมหานคร 2012 วันที่ 23 พ.ย. 55 ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5 สยามพารากอน ได้พบกับตลาดหลักทรัพย์หลายบริษัทมาจัดบูทให้ข้อมูลให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และมีธนาคาร สถาบันการเงินต่างๆมาหาข้อมูลเปิดให้ซื้อขายกองทุนรวม พร้อมจัดโปรโมชั่นแจกของอีกมากมาย มีเกมให้ได้ร่วมเล่นสนุกกันอีกด้วย  เป็นงานที่ใหญ่มากและรวมแหล่งลงทุนและสถาบันการเงินไว้มากมายมีทั้งการให้ความรู้กับผู้สนใจทั่วไป กับ ผู้ที่สนใจจะลงทุนร่วมกัน  Hall 1 มีการเล่นเกมส์แจกของรางวัล กดแฟนเพจได้รับกระเป๋า แจกหนังสือ แผนพับต่างๆ ได้รู้จักขั้นตอนการลงทุนในหุ้น สำนักงาน ก.ล.ต. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐทำหน้าที่ในการกำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ยุติธรรม โปร่งใส   Hall 2-3 มีกลุ่มธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โกลด์ฟิวเจอร์ส ประกันภัย เช่น บล.กสิกร บล.ไทยพาณิชย์ บล.กรุงศรี บล.กรุงไทย บล.โกลแบล็ก บล.บัวหลวง บล.เกียรตินาคิน บล.ทิสโก้  การซื้อ-ขายหุ้น การเล่นหุ้น เราต้องอายุ 20 ปีขึ้นไปถึงจะสามมารถเล่นหุ้นได้ และการคิดวิเคราะห์ในการซื้อ-ขายหุ้น การตัดสินใจในการซื้อ-ขาย ก่อนที่เราจะเล่นหุ้นจริง เราควรที่จะศึกษาวิธีการเล่นหุ้นก่อนและมีเกมส์การเล่นหุ้นให้เราได้ลองเล่นดูก่อน  ก่อนที่เราจะไปเล่นหุ้นจริงๆ  การลงทุนในทองคำกับโกลเบล็ก  เป็นบริษัทผู้ค้าทองคำแท่ง  เพียงรายเดียวที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  มีความรู้และความสามารถในตลาดทุนเป็นอย่างดี  บริษัทอยู่ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (กลต.) จึงดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ  โปร่งใส  และยุติธรรม  เพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้า
     สิ่งที่ได้รับจากการมาศึกษาคือ ความรู้ใหม่ๆ  แผ่นพับ  หนังสือ  กระเป๋า  ที่แต่ละบูทมีแจกไว้ให้เราได้นำกลับมา  ในแผ่นพับจะประกอบไปด้วยข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์กับเราในการศึกษาต่อ  มีเวทีเชิญคนสำคัญทางการเงิน  ผู้เชี่ยวชาญทางการลงทุนและเล่นหุ้น  มาบรรยายให้กับผู้สนใจทางด้านนี้อีกด้วย  ซึ่งกิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ดีมากๆ  สำหรับคนที่จะศึกษาหาข้อมูลในการลงทุน  มีการให้คำปรึกษา  แนะนำแนวทางต่างๆ  ประทับใจมากๆค่ะ

นางสาวหนึ่งฤทัย เวฬุวนารักษ์ รหัส 55127326071

จากการได้ไป SET in the city มหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี ได้แนวคิดที่ก้าวทันวัตกรรมการลงทุน : หุ้น อนุพันธ์ พันธบัตร กองทุนรวม ประกันภัย โดยกระผมสนใจในเรื่องเกี่ยวกับ การเรียนรู้เตรียมพร้องสู้การลงทุน ซึ่งจากการเรียนรู้ การลงทุน เปรียบทางด่วนสู้ความมั่นคง การออกตัวที่ดี ตั้งต้นได้เร็ว และเดินตามแผนที่ว่างไว้ ย่อมช่อยให้ก้าวถึงเส้นชัยดั่งใจหมายไว้ มีขั้นต้น 6 ขั้นตอน คือ

  1. รู้จักตนเองค้นพบเป้าหมาย การกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่จัดเจน ว่า...

    • ต้องการลงทุนเพื่ออะไร ลงทุนเพื่อบั้นปลายชีวิต เพื่อลดหย่อนภาษี เพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ หรือเพื่อทำกำไร
    • ต้องการใช้เงินประมาณเท่าไร ระบุจำนวนเงินให้จัดเจน เพราะแต่ละเป้าหมายย้อมใช้เงินต่างกัน
    • ต้องการบรรลุเป้าหมายเมื่อไร ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ระยะกลาง 1-5 ปี หรือระยะยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
  2. รู้จักรู้ระดับความเสี่ยง เลียงลงทุนผิด ต้องพิจารณา ข้อจำกัดและเงื่อนไข ในการลงทุนว่า...

    • มีเงินมากน้อยเพียงใด
    • มีเวลาติดตามข่าวสารมากน้อยเพียงใด
    • ต้องการผลตอบแทนรู้แบบใด้ เท่าใด ความเสียงต่ำ ยอมรับความผันผวนได้น้อยหรือแทบจะไม่ได้เลย การลงทุนส่วนใหญ่พยายามรักาเงินลงทุนให้ปลอดภัย ความเสี่ยงปานกลาง ยอมรับความผันผวนได้ระดับหนึ่งแต่ต้องไม่มากเกินไป เพื่อแลกกับการได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นและหวังให้เงินลงทุนบางส่วนมีมูลค่าเพิ่ม ความเสี่ยงสูง ไม่กังวนความผันผวนที่เกิดขึ้นระหว่างการลงทุนเท่าไรหนัก โดยมุ่งหวังผลตอบแทนสูงขึ้น รวมทั้งโอกาสเงินลงทุนจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากการลงทุน
  3. สร้างพอร์ตเป็นระบบพบทางรวย กล่าวถึง การจัดสรรสิ้นทรัพย์ อย่างเหมาะสม โดนแบ่งเงินลงทุนในสิ้นทรัพย์หลายประเภท เช่น เงินฝาก พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม หุ้น ..... พอร์ตการลงทุนที่ดี ควรมีลักษณะดังนี้

    • ต้องการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ไม่ควรทุ่มเงินลงทุนเพื่อการลงทุนรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งทั้งหมด
    • ไม่หลากหลายหรือกระจายมากเกินไป เพราะจะทำให้ยากในการติดตามราคาและข่าวสารทางเลือกเกี่ยวกับการลงทุนนั่นๆ
    • มีสักส่วนการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของตน กล่าวคือ มีความสมดุจระหว่างการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย ให้ผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอนกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจผลตอบแทนที่ไม่แน่นอน แต่เวลาได้ผลตอบแทนก็ได้เป็นกอบกำ
    • มีความยืดหยุ่น สามารถเปลี่ยนแผนการลงทุนได้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป โดยสิ่งสำคัญก็คือ ต้องหมั่นติดตามประเมิน และทบทวนแผนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอตามสถานการณ์
  4. ทำคัมภีร์ลงทุนไว้ใช้พอร์ตฯ คือ นโยบายการลงทุน ที่คุณควรเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร สำหรับใช้เป็นกรอบในการลงทุน ซึ่งควรปรับปรุงนโยบายเป็นประจำอยู่เสมอ นโยบายการลงทุน ควรมีข้อมูลต่างๆต่อไปนี้

    • เป้าหมายการลงทุน จำนวนเงิน และระยะเวลาลงทุน
    • ขัอจำกัดในการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    • ระดับอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ
    • วิธีการสร้างพอร์ตการลงทุน และแนวทางการเลือกสินทรัพย์ที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมาย
    • วิธีการตัดสินใจสร้างพอร์ตการลงทุน รวมถึงเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุน
  5. ลงทุนตามกรอบตอบแทนตรงใจ ก่อนการลงทุนต้องเปิดบัญชี เพื่อใช้ในการซื้อหรือขายก่อนโดย....

    • กรณีลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ ETF หรืออนุพนธ์ ต้องเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ (โปรกเกอร์)
    • กรณีลงทุนในกองทุนรวม ต้องปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์จักการกองทุน
  6. วัดผลเป็นประจำนำสู้เป้าหมาย ขั้นตอนสุดท้าย คุณต้องมีการ ติดตามผล กล่าวคือ หมั่นตรวจสอบสถานการลงทุนของตนเป็นประจำอาจจะทุน 6 เดือน หรือ 1 ปีก็ได้ ว่าเป็นไปตามเป้าหมายการลงทุนที่กำหนดไว้ตอนต้นหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จะได้รับพอร์ตการลงทุนของตนได้ทันท่วงที

    • เงินฝาก เกณฑ์มาตรฐาน อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน เฉลี่ยของ BBL , KBANK , KTB , SCB
    • ตราสารหนี้ เกณฑ์มาตรฐาน อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุ 1 , 5 , 10 , 20 ปี
    • หุ้น เกณฑ์มาตรฐาน อัตราผลตอบแทนของ SET lndex หรือ SET50 lndex
      จากการที่กระผมได้ไปศึกษาดูงาน SET in the city มหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปีที่ siam paragon นั้น ทำให้กระผมได้รู้วิธีการลงทุนและการออมในรูปแบบต่างๆ อาทิ การลงทุนทองคำ  การลงทุนทางหุ้น  การออมอีกหลายรูปแบบ  รวมไปถึงบริษัทประกันชีวิต และยังได้ร่วมทำกิจกรรมต่างๆภายในบูท  และทำให้ได้ของรางวัลมากมาย จากการที่ไปศึกษา ครั้งนี้ทำให้รู้ถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานนี้ขึ้นเพื่อกระตุ้นและผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยการนำเสนอด้วยเนื้อหาตามสภาวการณ์ปัจจุบัน ครอบคลุมและเป็นประโยชน์ทั้งต่อภาคธุรกิจและภาคประชาชน อีกทั้งยังผลักดันให้มีการบริหารการเงินภาคประชาชนที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการใช้ทางเลือกการลงทุนได้อย่างเหมาะสมกับการประกอบอาชีพ ธุรกิจ และการดำเนินชีวิตผ่านช่องทางของการลงทุนได้เหมาะสมภายใต้สภาวการณ์ปัจจุบัน  
        นอกจากนี้ภายในงานยังเชิญผู้เชียวชาญ มาเสวนา  เรื่อง หุ้น  เรื่องการเงิน  และแนะนำวิธีการลงทุนในรูปแบบต่างๆ 

 

จากการที่ได้ไปชมงานมหกรรมการลงทุนครงวงจรแห่งปี "SET in the City กรุงเทพมหานคร 2012"

ที่ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน มีบูธซึ่่งจัดไว้เป็นโซนต่างๆให้ศึกษา มากมาย อาทิเช่น

  • กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  • หน่วยงานภาครัฐและเอกชน
  • กลุ่มธุรกิจประกันภัยต่างๆ
  • โบรกเกอร์ผู้ค้าทอง
  • บริษัทจดทะเบียนกลุ่มธนาคารพาณิชย์
  • บริษัทจดทะเบียน
  • บริษัทหลักทรัพย์
  • บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน

ความรู้ที่ได้จากการไปชมงานครั้งนี้ คือ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand: SET)

      เปิดทำการซื้อขายวันแรก ณ ศูนย์การค้าสยาม ในวันที่ 30 เมษายน 2518 ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางซื้อ ขาย หลักทรัพย์และมีบทบาทในการสนับสนุนการออมทรัพย์และการระดมทุนระยะยาวให้แก่ ธุรกิจในภาครัฐและเอกชน ปัจจุบันสินค้าในตลาดหลักทรัพย์ คือ หลักทรัพย์จดทะเบียนของธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วขั้นต่ำ 300 ล้านบาทขึ้นไป 

ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Market for Alternative Investment: mai)

      เป็นตลาดรองสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วขั้นต่ำ 20 ล้านบาทขึ้นไปแต่ไม่เกิน300 ล้านบาท ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนซื้อขาย 79 บริษัท

ตลาดตราสารหนี้ (Bond Electronic Exchange: BEX)

      เป็นแหล่งซื้อขายตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชน ใช้ระบบการซื้อ ขาย แบบเรียลไทม์หรือ Firsts (Fix Income and Related Securities Trading System)

ตลาดตราสารอนุพันธ์ (Thailand Futures  Exchange: TFEX )

      เป็นศูนย์กลางการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ คือ ฟิวเจอร์ส (Futures) ออปชัน (Options) และออปชันบนสัญญาฟิวเจอร์ส (Options on Futures) 

บูธตลาดหลักทรัพย์ยังให้ความรู้เกี่ยวกับ ..หลัก 3 ต. เตรียมตัว เตรียมสตางค์ เตรียมใจ

  • เตรียมตัวเพื่อจะเป็นนักลงทุนที่ดีโดยการกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน
  • เตรียมสตางค์ เตรียมเงินลงทุนในจำนวนที่เหมาะสม
  • เตรียมใจ ให้พร้อมกับทุกสถานการณ์ที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุน

"รู้จักความเสี่ยงและผลตอบแทน"

There is no such ting as a free lunch. เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรที่เราจะได้มาฟรีๆ การลงทุนในหลักทรัพย์ใดที่คาดว่าน่าจะได้ผลตอยแทนสูงย่อมจะมีความเสี่ยงสูงด้วย เช่นกัน เพราะ ความเสี่ยงคือความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ก่อนการลงทุนเราจึงต้องประเมินความเสี่ยงที่จะยอมรับได้ อย่างรอบคอบก่อนเสมอ.....

"การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental analysis)" 

แบ่งการวิเคราะห์หลักทรัพย์เป็น 3 ระดับคือ 

  1. การวิเคราะห์เศรษฐกิจ เป็นการมองภาพรวมและแนวโน้มในระดับมหภาค ทั้งเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจในประเทศและปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจซึ่งอาจมีผลต่อราคาหลักทรัพย์ เช่น สถานการณ์ทางการเมือง นโยบายของรัฐบาล ภัยธรรมชาติ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี
  2. การวิเคราะห์อุตสาหกรรม เป็นการวิเคราะห์วงจรของอุตสาหกรรม เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตศักยภาพในการแข่งขัน รวมถึง Demand and Supply ในตลาด
  3. การวิเคราะห์บริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจากรายงานทางการเงิน ประเภทธุรกิจ รวมถึงสินค้าและบริการ กระบวนการผลิต กลยุทธ์ทางธุรกิจ นโยบายการบริหารงาน เพื่อประเมินศักยภาพในการดำเนินงาน การทำกำไรในอนาคต

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะช่วยให้ทราบมูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์ เมื่อเปรียบเทียบกับราคาตลาดของหลักทรัพย์ที่ซื้อขายกัน

"Derivative Warrants (DW) หรือ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์"

      เป็นตราสารการเงินประเภทหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนได้ในปัจจุบันเพื่อให้โอกาสในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มนอกเหนือจากการลงทุนในหลักทรัพย์อื่น ในต่างประเทศ DW เป็นตราสารที่ผุ้ลงทุนนิยมซื้อขายมากและมีมากมายหลายประเภท แต่ DW ที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระยะแรก จะเป็น DW ที่มีลักษณะง่ายๆ ไม่ซับซ้อน

"ตราสารหนี้"

ตราสารหนี้ คือ ตราสารทางการเงินที่แสดงความเป็นหนี้ระหว่างกัน โดยลักษณะของการเป็นตราสารเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนมือได้กล่าวอีกนัยหนึ่งตราสารหนี้ก็คือ การกู้ยืมเงินชนิดหนึ่งที่มีความเป็นมาตรฐาน ผู้ออกตราสารเป็นผู้กู้หรือลูกหนี้ ในขณะที่ผู้ให้กู้เป็นผู้ซื้อหรือเจ้าหนี้ โดยทั้งสองฝ่ายมีข้อผูกพันทางกฎหมายที่จะได้รับชำระเงินหรือผลประโยชน์อื่นใด เช่น ดอกเบี้ย เงินต้น ตามเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ตราสารหนี้มีคุณสมบัติที่สามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยๆที่เท่าๆกันโดยได้ผลประโยชน์หรืออัตราผลตอบแทนเท่ากันทุกหน่วย และมีคุณสมบัติที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือกันได้จนกว่าจะหมดอายุของตราสารนั้น
สำหรับการเรียกชื่อตราสารหนี้ มีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยทั่วไปในต่างประเทศใช้คำว่า Bond สำหรับตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน(Secured bond) และใช้คำว่า Debenture สำหรับตราสารหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน(Unsecured bond) สำหรับในประเทศไทยนิยมเรียกตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลหรือองค์กรของรัฐว่า พันธบัตร(Bond) ส่วนตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชนจะเรียกว่า หุ้นกู้(Debenture)

นอกจากนี้ภายในงานยังได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญ มาร่วมเสวนา เรื่องสถานการณ์การเงินในปัจจุบันให้ผู้ที่สนใจได้รับฟัง และที่น่าประทับใจที่สุดก็คือ พนักงานทุกคนของสถาบันการเงินต่างๆ มีอัธยาศรัยที่ดีมาก

 

นายโยธิน ตาคำ เอกการเงินการธนาคาร หมู่เรียน 02 รหัสนักศึกษา 55127326081
 

 

 

 

 
จากการที่ได้ไปเข้าชมงาน SET in the City จัดที่สยามพารากอน ชั้น5 ณ วันที่ 22-25 พ.ย. 55 ที่จัดขึ้นเพื่อให้นักลงทุนได้มาดูงาน เพื่อใช้สำหรับการลงทุนต่างๆ ดิฉันก็ได้มาเข้าชมงานที่นี้เช่นกัน ในงานมีบูธมากมาย อาทิ ตลาดหลักทรัพย์ต่างๆ บริษัทประกันภัย และสถาบันการเงินเป็นต้น ดิฉันได้ความรู้จากงานนี้มากมาย เช่น การลงทุนในรูปแบบต่างๆ ว่าเราควรลงทุนแบบไหน ถ้าลงทุนแล้วผลตอบแทนจะดีหรือไม่ ต่อไปก็การเล่นหุ้น เราก็ต้องดูว่าหุ้นนั้นเราควรที่จะซื้อมาต่อยอดเพื่อทำกำไรให้เราได้หรือไม่ แล้วเราก็ต้องดูหุ้นเป็นว่าหุ้นไหนตก หรือหุ้นไหนดีควรแก่การลงทุน การลงทุนในหุ้นถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ แต่มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รู้จัก เข้าใจ และยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ 
จากงานนี้ทำให้ดิฉันได้ความรู้มากยิ่งขึ้น ทำให้รู้จักการลงทุน หุ้นต่างๆ การประกันชีวิตในรูปแบบต่างๆกันไป งานนี้ก็มีทั้งความรู้ในด้านของวิชาการ และ กิจกรรม มีทั้งเล่นเกมเพื่อได้ของรางวัล การกดไลด์เพื่อแสดงความคิดเห็น งานนี้ถือว่าตอบโจทย์ของผู้ที่ต้องการลงทุนได้ดีทีเดียว ส่วนสำหรับผู้ที่มาหาความรู้เช่นนักศึกษาหรือบุคคลทั้วไปนั้น ก็ทำให้ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นจากบูธต่างๆที่ได้จัดนำเสนอ อีกทั้งตลาดหลัทรัพย์แห่งประเทศไทยนำนักวิเคราะห์ นักวิชาการ ผู้บริหารต่างๆมาชี้แจงการลงทุนและการซื้อหุ้น ทำให้เราได้รู้จักขั้นตอนของการลงทุนให้หุ้น คือ ขั้นตอนแรกเราจะต้องกำหนดเป้าหมายและระยะเวลาในการลงทุนนั้นก่อน จากนั้นก็วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่น การวิเคราะห์เศรษฐกิจ วิเคาระห์อุตสาหกรรม วิเคราะห์บริษัท ขั้นต่อไปก็ประเมินมูลค่าที่แท้จริงคือการดูว่าหุ้นนั้นถูกหรือแพงเพื่อเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับความเสี่ยง ขั้นต่อไปหาจังหวะการลงทุนคือการจัดสินใจว่าเราควรจะซื้อหรือขายหุ้นตอนไหนดี ด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมมนุษย์ของหุ้น จากราคา ปริมาณการซื้อขายและช่วงจังหวะเวลาเพื่อหาราคาที่เหมาะสม ขั้นต่อไปการตัดสินใจซื้อขาย ขั้นสุดท้ายก็คือการติดตามผลการลงทุน นี้ก็คือขั้นตอนในการลงทุนในหุ้น 
จากงานนี้ก็ยังทำให้เรารู้จักกับตราสารหนี้(Debt Instrument) เป็นตราสารทางการเงิน ที่มักจะถูกนักลงทุนมองข้ามไป  เพราะเหตุนี้ผู้คนทั้งหลายรู้สึกว่า ตราสารประเภทนี้ดูง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนจึงไม่ค่อยให้ความสนใจ หลายคนคิดว่าเข้าใจตราสารประเภทนี้ดีอยู่แล้ว แต่พอเริ่มเรียนรู้ไป กลับรู้สึกว่ายังมีความซับซ้อนในการคิดวิเคราะห์มากขึ้น แต่หากนักลงทุนพิจารณานำตราสารหนี้เข้ามาประกอบใน Portfolio แล้ว จะพบว่าสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างน่าสนใจทีเดียว นอกจากจะรู้จกกับตราสารหนี้แล้วดิฉันก็ยังรู้จักกับพันธบัตรภาครัฐ(รวมรัฐวิสาหกิจ)เป็นตราสารหนี้ที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดของตลาดตราสารหนี้ไทยโดยรวม พันธบัตรภาครัฐเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลนำมาใช้เป็นแหล่งระดมทุนในการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ เพื่อใช้ในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจต่างๆของประเทศ แล้วยังมีตั๋วเงินคลังซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่รัฐบาลใช้ในการกู้ยืมเงินจากประชาชนในระยะสั้นซึ่งปกติจะมีอายุไม่เกิน1ปี โดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก และมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดการประมูล ตั๋วเงินคลังไม่มีการกำหนดดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน แต่ผลตอบแทนจะอยู่ในรูปของ ส่วนลด(Discount) ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับจำนวนราคาหน้าตั๋วลบราคาที่ซื้อในครั้งแรก และทำให้รู้เรื่องพันธบัตรออมทรัพย์ เป็นตราสารหนี้ที่รัฐบาลออกโดยให้คำมั่นสัญญาว่า ผู้ถือมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยจากรัฐบาลตามจำนวนและอัตราที่กำหนดไว้ในพันธบัตร นอกจากนี้ยังเป็นพันธบัตรชนิดเดียวที่เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อได้ในตลาดแรกอีกด้วย
งานนี้ให้ทั้งสาระความรู้รอบด้านเกี่ยวกับการลงทุน หุ้นต่างๆ อีกทั้งยังให้ความสนุกสนานแก่ผู้ที่มาร่วมงานอีกด้วย

จากการได้ไปชมและได้ศึกษาที่มหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the City กรุงเทพมหานคร 2012 ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5 สยามพารากอน ในงานได้มีการกิจกรรม และการแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนมากมาย มีการจัดบูธของตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารต่างๆ และกลุ่มธุรกิจประกันภัย บริษัทอื่นๆอีกมากมาย ได้รับความรู้จากแผนพับ หนังสือ มีการแนะนำและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการลงทุน ถ้าเข้าร่วมกิจกรรมก็มีรางวัลเช่น ธนาคารกรุงเทพ บัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง (Bualuang iBanking) ธนาคารอินเตอร์เน็ต ที่ธนาคารกรุงเทพสร้างสรรค์ขึ้นด้วยเทคโนโลยีเดียวกันกับธนาคารั้นนำทั่วโลกเลือกใช้ เพื่อช่วยให้ทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างมั่นใจสะดวกสบาย ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถชำระ จ่าย โอน ได้ง่ายๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต พร้อมความปลอดภัยสูงทุกครั้งที่เข้าทำธุรกรรมทางการเงิน บริการลงทุนในหน่วยลงทุนกองทุนรวม

 -ซื้อ ขาย และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน
 -สอบถามหน่วยลงทุนคงเหลือ

ดิฉันประทับใจมาก ได้เข้าร่วมสมัคร บัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง ได้รับกระเป๋าบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง Maybank บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ชื่อย่อ MBKET บริษัทประกอบธุรกิจหลักทรัพย์อย่างครบวงจร งานที่ปรึกษาทางการเงินและจัดจำหน่ายหลักทรัพย์มีมาตรฐานสากล มีผลิตภัณฑ์และบริการ Equity บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ Derivatives บริการตัวแทนซื้อขายตราสารอนุพันธ์ Offshore Trading บริการการลงทุนในต่างประเทศ SBL บริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ เป็นต้น บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producer-IPP) แห่งแรกของไทย มีการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าในรูปแบบครบวงจร เอ็กโก กรุ๊ป เป็นบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 21 โรง จนถึงทุกวันนี้เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงมุ่งมั่นพร้อมจะขยายการลงทุนเข้าสู่ธุรกิจใหม่ รวมถึงขยายตลาดไปถึงอาเซียนและภูมิภาคใกล้เคียง สิ่งที่ได้รับจากการเข้าชมครั้งนี้ ทำให้ได้ความรู้เพิ่มขึ้น ทั้งจากการได้ฟังการบรรยายของแต่ละบูธ แผนพับและหนังสือ และยังได้รับกระเป๋าอีกด้วย

จากที่ได้ไปดูงาน SET in the City 2012 จัดขึ้นที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5 กรุงเทพมหานคร ในงานได้มีการแบ่งเป็นโซนๆ ได้แก่ โซนที่1 Investment on Stage ระดมทุกความเห็น มุมมองของนักวิเคราะห์ชั้นนำระดับตำนาน พร้อมสัมมนาเด็ด เนื้อหาดีจาก 10 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ โซนที่2 จุดแลกของสัมมนาคุณ สมาคม TFPA/ASCO/TIA โซนที่3 Hall 2-3 กลุ่มธนาคาร/บล./บลจ./โกลด์ฟิวเจอร์ส/ประกันภัย โซนที่4 Vision Talk on Stage Seminar Hall 1 เวทีสัมมนาการลงทุนแห่งปี ที่คุณเข้าถึงได้เวทีเดียว ที่จะเปิดวิสัยทัศน์ 360ํ การลงทุนเจาะลึก รู้จริง ทันทุกกระแสการลงทุนโลก กับนักวิเคราะห์ นักกลยุทธ์ นักวิชาการ ผู้บริหารองค์กรรัฐและเอกชนชั้นนำแลกเปลี่ยนมุมมองเข้มข้น เต็มตลอด 4 วัน พร้อมตอบทุกคำถามเรื่องการลงทุนที่คุณอยากรู้ สดๆ ผ่าน facebook โซนที่5 SET in the City Room 1-2 22-23 Opportunity Day , 24-25 Financial Planning โดยสมาคมนักวางแผนการเงินไทย โซนที่6 Hall 1 บริษัทจดทะเบียน หน่วยงานภาครัฐและเอกชน จะมีการแสดงบูทต่างๆมากมาย....อาทิเช่น -กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย -หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กรมสรรพากร สำนักงานบริหารหน๊้สาธารณะ เป็นต้น -กลุ่มธุรกิจประกันภัยต่างๆ ได้แก่ บมจ.ไทยประกันชีวิต บมจ.เมืองไทยปรกันชีวิต เป็นต้น -โบรกเกอร์ผู้ค้าทอง ได้แก่ บ.จึทึ เวลธ์ แมเนจเมนท์ บ.ฮั่วเซ้งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส เป็นต้น -บริษัทจดทะเบียนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ บมจ. ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย บมจ. ธนาคารกสิกรไทย บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ บมจ. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา บมจ. ธนาคารกรุงเทพ บมจ. ธนาคารกรุงไทย บมจ.ธนาคารทิสโก้ บมจ. ธนาคารเกียรตินาคิน -บริษัทจดทะเบียน ได้แก่ บมจ.ปตท. บมจ.เอสพีซีจี บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง บมจ.ก่รบินไทย เป็นต้น -บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ -บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ได้รับความรู้มากมายจากบูทต่างๆๆได้สิ่งของ รางวัลจากงานมามากมาย รู้สึกสนุกสนานที่ได้ไปงานนี้ มีความสุขมากๆๆค่ะ

จากการที่ผมได้ไปชมงานมหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี "SET in the City กรุงเทพมหานคร 2012" ในวันที่ 23 พ.ย.55 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5 สยามพารากอน ภายในงานมีรูปแบบการลงทุนมากมาย มีการจัดบูธต่างๆ ที่เดียวกับตลาดหลักทรัพย์ ธนาคาร การลงทุนในรูปแบบต่างที่ที่น่าสนใจมากมาย อาทิเช่น - บริษัทจดทะเบียน เช่น ปตท. , เอสพีซีจี , การบินไทย , เมเจอร์ซินิแพล็กซ์ ฯลฯ -บริษัทหลักทรัพย์ เช่น บล.กสิกรไทย , บล.ไทยพาณิชย์ , บล.กรุงศรี , บล.บัวหลวง ฯลฯ -บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เช่น บลจ.เกีรยตินาคิน , บลจ.ทหารไทย ฯลฯ -บริษัทจดทะเบียนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น บมจ.ธนาคารกรุงเทพ , บมจ.ธนาคารกรุงไทย ฯลฯ -โบรกเกอร์ผู้ค้าทอง เช่น บ.จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ , บ.ออสสิริส ฟิวจอร์ส ฯลฯ -กลุ่มธุรกิจประกันภัย เ่ช่น บมจ.ไทยประกันชีวิต , บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต ฯลฯ -หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น กรมสรรพากร สำนักบริหารหนี้สาธารณะ ฯลฯ -กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ฯลฯ

จากการได้เข้าร่วมงาน ถือเป็นการเริ่มต้นของการเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจประเภทต่างๆเป็นอย่างยิ่ง เพราะในแต่ละบูธ ที่จักแสดงจะมี เจ้าหน้าที่ พนง. พร้ิอมอธิบายข้อมูลต่างๆ มีเอกสารมากมายประกอบ พร้อมมีเกม หรือกิจกรรม ที่เกี่ยวข้องกับ บูธ นั้นๆ ทำให้เรารู้ว่า ยุคสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องไปทำธุรกรรม การเงิน ที่สถานที่นั้นๆแต่ยังมีบริการทาง social network ทางแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น มีการจัดเวทีสัมมนาการลงทุนแห่งปี ที่นักลงทุนควรรับรู้ เป็นงานที่เหมาะกับนักธุรกิจกลุ่มผู้ลงทุนเป็นอย่างยิ่ง เพราะแต่ละบูธจะมีเจ้าหน้าที่ชักชวน ให้ผู้เข้าร่วมงานเข้ามาลงทุน แต่ผมยังเป็นนักศึกษา บริหารธุรกิจ คงได้แค่ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนต่าง เพื่อ่เป็นความรู้ในอนาคตข้างหน้า หรือใช้ในการประกอบอาชีพ ภายในงานทำให้ผมรู็สึกว่า อนาคตข้างหน้า จะต้องมีเรามาเป็นเจ้าหน้าที่ เป็นพนง.ของบริษัทที่เกี่ยวกับการลงทุน หรือ ธนาคารต่างๆ ที่มีชื่อเสียงที่มาจัดบูธภายในงานแน่ๆ

เอกสารที่ได้มาจากภายในงาน

ตลาดหลักทรัพย์

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 เพื่อทำหน้าที่เป็นแหล่งกลางในการระดมเงินทุนระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในกิจการธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและเป็นศูนย์กลางการซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ เริ่มทำการซื้อขายหลักทรัพย์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518 ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้เป็นผู้ให้บริการซื้อหรือขายหลักทรัพย์โดยตรง แต่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการให้บริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์และดูแลให้การซื้อขายหลักทรัพย์เป็นไปอย่างมีระเบียบ คล่องตัว โปร่งใส่ และงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกการลงทุนที่หลากหลายให้ผู้สนใจลงทุนทั่วไป ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดให้มีตลาดรองสำหรับซื้อขายหลักทรัพย์ต่างๆ เพิ่มเติม คือ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ตลาดตราสารหนี้ และตลาดอนุพันธ์

ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการลงทุน ที่ผู้มีเงินออมได้มีส่านร่วมเป็นเจ้าของกิจการขนาดกลาง และขนาดเล็กที่มีศักยภาพ หรือมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยมีโอกาสได้รับผลตอบแทนในหลายรูปแบบจากกิจการที่ลงทุน เช่นเดียวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อาททิ สิทธิได้รับเงินปันผล สิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนและ/หรือใบสำคัญแสดงสิทธิฯ และสิทธิอื่นๆ ที่ผู้ถือหุ้นพึงได้รับ หากผู้ลงทุนเลือกจังหวะการลงทุน มีการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสินใจลงทุนอย่างเหมาะสมก็มีโอกาสได้รับกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการตอบแทน

ตลากตราสารหนี้

ตลาดตราสารหนี้ BEX(Bond Electronic Exchange) ให้บริการระบบการซื้อขายตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคเอกชน ตราสารหนี้ของสถาบันการเงินระหว่างประเทศ และตราสารหนี้ที่ออกในโครงการเอเชียบอนด์ (Asian Bond) ทั้งแก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบันโดยให้บริการผู้ลงทุนทั่วไปด้วยระบบจับคู่อัตโนมัติ และให้บริการผู้ลงทุนสถาบันด้วยระบบ Firsts (Fixed Income and Related Securities Trading System)ซึ่งเป็นระบบซื้อขายตราสารหนี้แบบ OTC (Over-the-counter) บนระบบอิเล็กทรอนิกส์ ผู้สนใจลงทุนสามารถเปิดบัญชีเพื่อซื้อขายตราสารหนี้และส่งคำสั่งซื้อหรือขายผ่านเจ้าหน้าที่การตลาดตราสารหนี้กับบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการซื้อขายตลาดตราสารหนี้

ตลาดตราสารอนุพันธ์

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดตั้งบริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (Thailand Futures Exchange Public company Limited : TFEX ) หรือที่เรียกกันว่า ตลาดอนุพันธ์ เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 และได้รับใบอนุญาตให้เป็นศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2548 โดยอนุพันธ์ที่สามารถจัดให้มีการซื้อขายได้ คือ ฟิวเจอร์ส (Futures) ออปชั่น (Options) และออปชั่นบนสัญญาฟิวเจอร์ส (Options on Futures) ซึ่งอนุพันธ์เหล่านี้มีสินทรัพย์อ้างอิงในประเภทต่างๆ เช่น อ้างอิงกับตราสารทุน ได้แก่ ดัชนีราคาหลักทรัพย์ หลักทรัพย์อ้างอิงกับตราสารหนี้ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล อัตราดอกเบี้ย และอ้างอิงกับราคาหรือดัชนีราคาอื่นๆ ได้แก่ ทองคำ น้ำมันดิบ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น    

ออปชั่น (Options) เป็นสัญญาระหว่างบุคคล 2 ฝ่ายคือ ผู้ซื้อ และผู้ขาย โดยผู้ขายให้สิทธิกับผู้ซื้อที่จะทำการซื้อ (หรือขาย) สินค้า ตามจำนวน ราคา และภายในระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา โดยผู้ซื้อสามารถเลือกที่จะให้สิทธิหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ ผู้ซื้อ จะต้องจ่ายเงินค่าออปชั่นที่เรียกว่า ต่าพรีเมี่ยม (Premium) ให้แก่ผู้ขายเป็นการตอบแทนเพื่อแลกกับการได้สิทธิตามสัญญานั้น ออปชั่นในหุ้นแบ่งเป็น 2 ประเภท คอลออปชั่น (Call Options) พุทออปชั่น (Put Options) ETF หรือ Exchange Traded Fund เป็นกองทุนรวมที่มาจดทะเบียนเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ETF เป็นนวตกรรมที่รวมความโดดเด่นของการเป็นกองทุนที่สามารถลงทุนในสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท เช่น หุ้นในประเทศ หุ้นต่างประเทศ ทองคำ น้ำมัน ETF สามารถซื้อขายเหมือนหุ้น ราคาซื้อขายเคลื่อนไหวตลอดเวลาในตลาดหลักทรัพย์

         จากที่ได้ไปชมเเละศึกษางานSET in the City ได้รับความรู้มากมาย กองทุนรวม คือ เครื่องมือในการลงทุน (investment vehicle) สำหรับผู้ลงทุนรายย่อย ที่ประสงค์จะนำเงินมาลงทุนในตลาดเงินตลาดทุน แต่ติดขัดด้วยอุปสรรคหลายประการ ที่ทำให้การลงทุนด้วยตนเองไม่สามารถได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่ต้องการ เช่น

· มีทุนทรัพย์จำนวนจำกัด ไม่สามารถกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเภทได้มากพอ เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุน หรือ · ไม่มีประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญในการลงทุน หรือ · ไม่มีเวลาจะศึกษา ค้นหา และติดตามข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจการลงทุน กองทุนรวม จึงเป็นเครื่องมือในการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ มีการจัดการลงทุนอย่างเป็นระบบ โดยมีจุดมุ่งหมาย ให้การลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีสุด ภายใต้กรอบความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้ประเภทของกองทุนรวม

กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ (Fixed income fund) เน้นลงทุนเฉพาะในตราสารหนี้ เช่น เงินฝาก พันธบัตร หรือ หุ้นกู้ เน้นความเสี่ยงต่ำ รับรายได้ประจำจากดอกเบี้ย กองทุนรวมคุ้มครองเงินต้น (capital protected fund) เน้นการลงทุนแบบต้นไม่หายแต่กำไรไม่สูงมากนัก ด้วยกลไกการเลือกลงทุนในตราสารทางการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (foreign investment fund : FIF) เป็นช่องทางกระจายเงินทุนไปยังต่างประเทศเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง กองทุนรวมหน่วยลงทุน (fund of funds) เป็นกองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมอื่นอีกทีหนึ่งเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามนโยบายการลงทุนที่กำหนด กองทุนรวมตราสารแห่งทุน (equity fund) เน้นลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 65 % เสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนก็ มีโอกาสสูงด้วย กองทุนรวมมีประกัน (guaranteed fund) ลงทุนแบบสบายใจ สบายกระเป๋า เพราะมีผู้รับประกันความเสี่ยง (guarantor) ตามเงื่อนไขการลงทุนที่กำหนด กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (property fund) ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ บ้าน คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน หรือ ศูนย์การค้า ที่ผู้ลงทุน สามารถเป็นเจ้าของตึกก็ได้ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากทรัพย์สินนั้นๆ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual fund : RMF) ลงทุนแบบออมเงินระยะยาวเพื่อการเกษียณอายุพร้อมได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ลดทุกปีที่ซื้อสูงสุดร้อยละ 15 ของรายได้ทั้งปีหรือไม่เกิน 500,000 บาท เน้นลงทุนระยะยาวต่อเนื่องจนอายุ 55 ปี กองทุนรวมผสม (mixed fund) ลงทุนทั้งหุ้นและตราสารหนี้ผสมผสานกัน เน้นความยืดหยุ่นปรับสัดส่วนการลงทุนตามสถานการณ์ เพื่อลดความเสี่ยง กองทุนรวมตลาดเงิน (money market fund) ลงทุนในตราสารการเงินระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี เป็นส่วนใหญ่เน้นความเสี่ยงต่ำ แต่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก กองทุนรวมดัชนี (index fund) เน้นการสร้างผลตอบแทนล้อตามการเคลื่อนไหวของดัชนีราคาหลักทรัพย์ ที่กำหนดไว้ในนโยบายการลงทุน เช่น ลงทุนตามดัชนี SET Index หรือ SET50 เป็นต้น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long term equity fund : LTF) เน้นการลงทุนในหุ้น ที่แถมสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับเงินที่นำมาลงทุน ได้มากถึงร้อยละ 15 ของรายได้ทั้งปี หรือไม่เกิน 500,000 บาท ระยะเวลาลงทุนเพียง 5 ปฏิทิน Exchange Traded Fund (ETF) กองทุนเปิดจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนสามารถส่งคำสั่งซื้อขายหน่วยลงทุน ETF โดยผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (Brokers) ได้เหมือนการซื้อขายหุ้นทั่วไป และยังช่วยลดความเสี่ยง อีกทั้งยังใช้เงินเริ่มต้นในการลงทุนไม่มาก พร้อมกับช่วยสร้างสภาพคล่องของการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ให้มากขึ้น เเละได้รับความรู้ต่างๆอีกมากมายได้เข้าร่วมกิจกรรม เล่นเกม เเละมีการเเจกกระเป๋าด้วย

      จากที่ได้ไปศึกษางานมหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the City 2012  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-25 พฤศจิกายน 2555 ณ รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน  จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8 ภายใต้แนวคิด “Your Investment Vision: เปิดโลกการลงทุน ที่คุณเข้าถึงได้” เพื่อเป็นศูนย์กลางรวบรวมของผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงินการลงทุนที่ทันสมัย และครบวงจร โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนร่วมออกบูทถึง 100 องค์กร นำเสนอข้อมูล และให้คำปรึกษาด้านการวางแผนการลงทุน รวมถึงนำเสนอเทคโนโลยีบริการทางการเงินใหม่ๆ นอกจากนี้ ยังมีสัมมนาที่น่าสนใจอีก 50 หัวข้อ จาก 100 วิทยากรมากด้วยประสบการณ์
   ดิฉันออกเดินทางวันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 ภายในงานมีผู้คนที่สนใจเป็นจำนวนมาก ทั้งนักศึกษา นักลงทุน รวมไปถึงผู้คนที่เดินทางไปจับจ่ายสินค้าก้เข้าไปเยี่ยมชมงาน พี่ๆแต่ละบูทยิ้มแย้มและใจดีมาก มีของแจกมากมายเพียงแค่เรารวมเล่นเกมหรือกรอกแบบสอบถาม

จากที่ดิฉันได้ไปศึกษาดูงาน มหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the city ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่22-25พ.ย.2555 ที่จัดขึ้นบริเวณ รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน งานนี้จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการลงทุน ก็จะมีบูธซึ้งจัดไว้ให้สอบถามหรือศึกษามากมาย เช่น -กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย -หน่วยงานภาครัฐและเอกชน -กลุ่มธุรกิจประกันภัยต่างๆ -บริษัทจดทะเบียนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ -บริษัทจดทะเบียน -บริษัทหลักทรัพย์ -บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน -โบรกเกอร์ผู้ค้าทอง ภายในงาน แบ่งเป็น 6 โซน 1.) Investment on Stage ระดมทุกความเห็น มุมมองของนักวิเคราะห์ชั้นนำระดีบตำนาน พร้อมสัมมนาเด็ด เนื้อหาดีจาก 10 บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ 2.)จุดแรกของสมนาคุณ สมาคม TFPA/ASCO/TIA 3.)Hall 2-3 กลุ่มธนาคาร/บล./บลจ./โกลด์ฟิสเจอร์ส/ประกันภัยต่างๆ 4.)Vision Talk on Stage Swminar Hall 1 เวทีสัมณาการลงทุนสำหรับผู้ที่สนใจการลง แต่ต้องอายุ ยี่สิบปีขึ้นไปถึงจะลงทุนได้ 5.)Financial Planning โดยสมาคมนักวางแผนการเงินไทย 6.)มีการจดทะเบียนภาครัฐและเอกชน

บูธที่ดิฉันได้ไปศึกษามา คือ บริษัทเมืองไทยประกันชีวิต (Muang Thai Life Assurance) โดยให้ความรู้ เกี่ยวกับ ประกันต่างๆ เช่น --เมืองไทยคุ้มครองตลอดชีพ 99/20 “สร้างหลักประกันให้คุณและครอบครัวได้อุ่นใจ” สร้างหลักประกันเพื่อเป็นหลักประกันไว้ให้แก่ลูกหลานหรือคนที่คุณรัก ด้วยเงินครบสัญญา 100% มั่นใจ ด้วยความคุ้มครองชีวิตที่ยาวนานถึงครบอายุ99ปี แต่ชำระเบี้ยประกันภัยเพียง20ปี อายุที่รับประกันภัย1เดือน-65ปี เน้นความคุ้มครองชีวิต ลดหย่อนภาษีได้ --ออมทรัพย์ 20/14 “สร้างความมั่นคง สร้างหลักประกัน สะสมเงินออม คุ้มครองระยะยาว” วางแผนการออมด้วยการสะสมเงินออมระยะยาวเพื่อนำไปใช้ในอนาคต คุ้มครองอุ่นใจด้วยความคุ้มครองชีวิต 100% ตลอดสัญญาให้คุณและคนที่คุณรักได้อุ่นใจ จ่ายสั้น คุ้มครองนานด้วยความคุ้มครองยาวนานถึง20ปี แต่ชำระเบี้ยประกันภัยเพียง14ปี อีกทั้งเบี้ยประกันภัยที่ชำระไม่แพง ผู้ที่มีรายได้น้อยก็สามารถออมเงินเอย่างที่หวัง อายุที่รับประกันภัย 1-65ปี เน้นการออมทรัพย์ ลดหย่อนภาษีได้ --เมืองไทย ธนพันธุ์ “ผลตอบแทนที่งอกเงยให้คุณและครอบครัว” อิ่มเอมด้วยเงินจ่ายคืนระหว่างสัญญาทุกๆ2ปี รวมสูงถึง9ครั้ง เพื่อนำไปใช้จ่ายตามที่ต้องการ อิ่มใจกับความคุ้มครองชีวิตที่ยาวนานถึง20ปี แต่ชำระเบี้ยประกันเพียง8ปี อิ่มสุขด้วยการชำระเบี้ยระดับปานกลาง แต่ได้รับความคุ้มครองชีวิตที่เพิ่มขึ้นในแต่ละช่วงชีวิต อายุรับประกันภัย 1-65ปี มีเงินจ่ายคืนระหว่างสัญญา ลดหย่อนภาษี ความคุ้มครองชีวิตเพิ่มขึ้น --เมืองไทย ทวีทรัพย์ 15/7 พลัส “คุ้มครอง คุ้มค่า...เงินตราเพิ่มพูน” มั่นใจด้วยผลประโยชน์รวมสูงสุด 236%ด้วยเงินจ่ายคืนระหว่างสัญญา มั่นคงด้วยการสร้างหลักประกัน เพื่อความมั่นใจของคนในครอบครัว กับความคุ้มครองชีวิตที่สูงสุดถึง 200% คุ้มค่าด้วยการชำระเบี้ยเพียง 7ปี แต่ได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ประหยัด กับสิทธิการลดหย่อนภาษี อายุที่รับประกันภัย 1-70ปี มีเงินจ่ายคืนระหว่างสัญญา ลดหย่อนภาษี ความคุ้มครองชีวิตเพิ่มขึ้น --*สัญญาเพิ่มเติมประกันภัยสุขภาพ แบบแยกค่าใช้จ่าย และ แบบ วีไอพี ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่มากกว่า...ช่วยให้คุณหมดห่วงเมื่อเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน เลือกรับผลประโยชน์ค่าห้องได้สูงสุด25000บาทต่อวัน สามารถเบิกผลประโยชน์ค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการพยาบาลได้สูงสุด120วันต่อการเข้าพักรักษาตัวครั้งใดครั้งหนึ่ง สามารถเข้ารักษาได้ทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ ไม่ต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาล อีกทั้งดิฉันยังพอทราบข้อมูลย้อยๆของ ธนาคารกสิกรไทย ฝากสะดวก ออมง่ายๆ บริการ K-CDM (เครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติ) ช่วยให้การฝากเป็นเรื่องง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นผ่านเครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติ บริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ ช่วยให้การฝากเงินฝากประจำทวีทรัพย์ 24 เดือน ทำได้สะดวกยิ่งขึ้น ชำระง่าย โอนสบาย บริการชำระเงินผ่านการหักบัญชีอัตโนมัติกสิกรไทย(K-Direct Debit) ซึ้งจะช่วยให้ประหยัดเวลา สะดวก รวดเร็วในการใช้เงินมากขึ้น บริการ K-Mobile Banking PLUS ช่วยให้การโอนเงินและชำระเงินทำได้สะดวก ทุกที่ทุกเวลา ด้วยโทรศัพท์มือถือ ธนาคารกรุงไทย ช่องทางการลดหย่อนภาษียอดนิยม คือการลงทุนในกองทุน LTE-RMF การซื้อประกันชีวิต และการใช้สิทธิลดหย่อนต่างๆ ที่กรมสรรพากรกำหนด กองทุนรวม หุ้นระยะยาว (LTE) ซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้รวมทั้งปีและต้องไม่เกิน500,000บาท มีความเสี่ยงสูงเพราะต้องลงทุนในหุ้นสามัญไม่น้อยกว่าร้อยละ65 โดยเฉลี่ยในรอบปี ไม่บังคับให้ลงทุนต่อเนื่องทุกปี กองทุนรวม เพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้รวมทั้งปี เมื่อนำเงินมาสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ กบข. แล้วต้องไม่เกิน 500,000บาท ความเสี่ยงมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน ลงทุนปีเว้นปีได้ แต่จะนับการลงทุนเฉพราะปีลงทุนจริงเท่านั้น ประกันชีวิต บริษัทกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ได้รู้เรื่องการลงทุน การลงทุน ไม่ว่าเป็นการลงทุนค้าขาย ลงทุนในหุ้นหรือกองทุมรวมก็ตาม ในทางทฤษฎีหลักการลงทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดก็คือ “ซื้อถูก ขายแพง” ซึ้งการจะทำเช่นนั้นได้ นักลงทุนต้องจับจังหวะการลุงทุนได้เป็นอย่างดี และต้องสามารถคาดการณ์ตลาดได้อย่างถูกต้อง ตราสารทางการเงิน แบ่งเป็น4กลุ่มใหญ่คือ 1.ตราสารทุน(Equity) 2.ตราสารหนี้ (Debt) 3.กองทุนรวม (Mutual funds) 4.ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) บลจ.ทหารไทย กองทุนเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองเดียว(Master Fund) คือ กองทุน Templeton Global Bond Fund ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ของกองทุนโดยเฉลี่ยในรอบระยะเวลาบัญชีสำหรับส่วนที่เหลือกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์ที่เสนอขายทั้งในและต่างประเทศ ความเสี่ยงของกองทุน Templeton Global Bond Fund 1.ความเสี่ยงเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ (Default Risk หรือ Credit Risk) 2.ความเสี่ยงในการลงทุนตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับลงทุน(Low-Rated or Investment Grade Securities Risk) 3.ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Riak) 4.ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk) 5.ความเสี่ยงของประเทศที่ลงทุน (Country Risk) 6.ความเสี่ยงจากการเข้าทำธุรกรรมสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(Derivative) 7.ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องของตราสารหนี้ เอไอเอ ประเทศไทย การบริหารการลงทุนที่เลือกได้ พอร์ตโฟลิโอ โมเดล เอไอเอ มีบริการจัดพอร์ตโฟลิโอ การลงทุนให้เหมาะสมตามความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงของคุณโดยแย่งเป็น 3 ระดับ คือ พอร์ตโฟลิโอความเสี่ยงต่ำ(Conservative) สำหรับนักลงทุนที่มีความระมัดระวังสูงโดยต้องการผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากประจำทั่วไป อย่างไรก็ตามคุณยอมรับความเสี่ยงได้น้อย อาจเพราะต้องการรักษาสินทรัพย์ที่ได้สะสมมาคุณสามารถลงทุนในตราสารหนี้ระยะ 2-3 ปี พอร์ตโฟลิโอความเสี่ยงปานกลาง(Moderate) การไปศึกษาครั้งนี้ได้ความรู้เยอะมาก ได้ความรู้ในหลายๆด้าน อีกทั้ง ยังได้ของติดมือกลับมาเนื่องจากได้ร่วมเล่นเกมส์กับบูธต่างๆ ดิฉันมีความประทับใจเป็นอย่างมาก

ความรู้ที่ได้รับที่ได้ไปศึกษา “โอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศด้วยการรับซื้อคืนผลตอบแทนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนปรับตัวขึ้นทุกๆ 5% ตลอด 1 ปี” ลักษณะเด่นของกองทุน บริหารกองทุนเชิงรุก (Active Management) -เน้นคัดเลือกหลักทรัพย์รายตัวพื้นฐานดี และมีศักยภาพเติบโต (Fundamental) ควบคู่กับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาด (Market Momentum) -ปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ 0% -100% และใช้อนุพันธ์ช่วยบริหารความเสี่ยงในช่วงตลาดมีความผันผวน -เน้นลงทุนในต่างประเทศ โดยใช้หลักการการเลือกตลาดที่จะเข้าลงทุน การเลือกอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ การเลือกบริษัทที่แข็งแกร่ง และการบริหารพอร์ตจับจังหวะการลงทุนควบคู่กัน การรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ -ทยอยรับซื้อคืนอัตโนมัติเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนปรับตัวขึ้นทุกๆ 5% จากมูลค่าหน่วยลงทุน 10 บาท (10.50, 11.00, 11.50….บาท) และบริษัทจัดการมีเงินสดเพียงพอจะชำระค่ารับซื้อคืนในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคารับซื้อคืนล่าสุด ผลตอบแทนจากการลงทุนได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับผู้ลงทุนประเภทบุคคลธรรมดา ทำไม ASP-STAR3 จึงน่าลงทุน ? ปี 2013 เป็นโอกาสดีในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ นักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี S&P500 จะปรับฐานลดลงเป็น 1,250 ในปลายปี 2012 จากแรงขายในระยะสั้นจากการที่ตลาดยังรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับการแก้ปัญหา Fiscal Cliff ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่ดีในการหาจังหวะเข้าลงทุน ตลาดหุ้นที่น่าสนใจ -ตลาดจีน และฮ่องกง แนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ภายใต้เสถียรภาพทางการเงิน และการคลังจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้การลงทุนในจีน (ฮ่องกง H-Share) บนการฟื้นตัวของกำไร การยกระดับของ PE ตลาด และอุปสงค์ของ HKD ที่เพิ่มขึ้น -ตลาดสหรัฐ แนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตหลังเผชิญข้อจำกัดการคลัง (Fiscal Cliff) แรงขายในระยะสั้นทำให้ราคาหุ้นถูกลงพร้อมต่อการฟื้นตัวจากมาตรการ QE 3 ที่ผักดันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ การจ้างงาน จึงเป็นโอกาสเลือกซื้อหุ้นที่มีธุรกิจระดับโลกที่มีศักยภาพในการทำกำไร -ตลาดยุโรป การชะลอตัวของยุโรป เป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจวาณิชธนกิจจากการรวบรวมกิจการ และการปรับโครงสร้างทางการเงินนอกจากนั้น กลุ่มส่งออกซึ่งได้รับประโยชน์จากการที่ค่าเงินยูโรอ่อนตัว ทำให้เป็นผลดีกับสินค้าโดยเฉพาะแบรนด์ระดับโลกซึ่งมีตลาดในเอเชีย หรือ ประเทศที่เศรษฐกิจที่เติบโตดี -ตลาดเอเชีย การเข้าซื้อกิจการ โดยใช้กระแสเงินสด และการแข็งค่าของเงินโดยเปรียบเทียบกับหุ้นในตลาดประเทศพัฒนา สร้างโอกาสในธุรกิจ และการเจริญเติบโตในอนาคต ทำไม ASP-PRIME3 จึงน่าลงทุน? คาดว่าดัชนี SET มีโอกาสปรับฐานมาอยู่ที่ 1,280 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่ที่จะมากระทบตลาด แต่ตลาดถูกกดดันจากความไม่ต่อเนื่องของนโยบายเกี่ยวกับข้อจำกัดทางการคลังในสหรัฐฯ (US Fiscal Cliff) ความต่อเนื่องของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในจีน จะเป็นปัจจัยกดดันให้ตลาดอยู่ในภาวะชะลอตัวเพื่อรอดูความชัดเจน ดังนั้น หากดัชนีปรับตัวตามที่คาดจึงเป็นจังหวะดีในการเข้าลงทุน *ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปี 2555 คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 20% และประมาณ 15% ในปี 2556 โดยได้รับปัจจัยมาจาก -การเติบโตของการใช้จ่ายภายในประเทศ -การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเหลือร้อยละ 23 ในปี 2555 และเหลือร้อยละ 20 ในปี 2556 ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราการจ่ายเงินปันผลยังอยู่ในระดับสูงกว่า 4% ทังนี้ กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ คือ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการบริโภคในประเทศ อาทิ อสังหาริมทรัพย์การเงิน การเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น -ภูมิภาคเอเชียและประเทศไทยยังสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้ แนวโน้มการลงทุนในการลงทุนในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทยยังคงอยู่ในทิศทางที่ดี จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพมีอัตราเติบโตต่อเนื่อง มีอัตราการว่างงานที่ต่ำ รวมถึงระดับเงินเฟ้อที่ควบคุมได้ ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศกลับมาได้ การลงทุนในหุ้นอย่างไร การลงทุนในหุ้น ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รู้จัก เข้าใจ และยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ รวมทั้งมีเวลาศึกษาและติดตามข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ หากผู้ลงทุนในหุ้นรู้จักเคล็ดลับและแนวทางในการดูแลตัวเอง เช่น แนวทางในการติดต่อกับโบรกเกอร์ และวิธีการตรวจสอบการลงทุน เป็นต้น ก็จะยิ่งช่วยให้การลงทุนในหุ้นเป็นไปอย่างราบรื่น และลดโอกาสการเกิดปัญหาในการลงทุนได้ ความประทับใจ เป็นสถานที่ที่ดีและใหญ่มากสำหรับการจัดงานก็ประทับใจตรงที่ไปศึกษาเป็นครั้งแรกผู้คนมากมายมีแต่นักธุรกิจที่ไปศึกษาดูงานและนักลงทุนก็ได้ไปเห็นธนาคารหลายสาขามารวมกันในงานนี้และก็ได้ไปศึกษากับเพื่อนๆทุกคนก็สนุกสนานมาก

จากการได้ไปงาน SET in the city 2012 มหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี..ที่รอยัล พารากอน ฮออล์ ชั้น 5 สยามพารากอน

ได้ดูกิจกรรมจากบูธต่างๆ ได้แนวคิด ความรู้ที่ได้ไปศึกษาดูงานมาดังนี้

เปิดโลกการลงทุนที่คุณเข้าถึงได้ ( YOUR INVESTMENT VISION ) - เปลี่ยน แนวคิดให้กก้าสทันนวัตกรรมการลงทุน : หุ้น อนุพันธ์ พันธบัตร กองทุนรวม ประกันภัย - เปิด รับโลกการลงทุน ผ่าน 100 องค์กรคุณภาพ ที่คัดสรรแล้ว - ปรับ วิสัยทัศน์พาคุณสู่กระแสใหม่ของการลงทุน ด้วยสุดยอดสัมมนา 50 หัวข้อ 100 กูรู

งานเปิดโลกการลงทุน ที่คุณเข้าถึงได้ (Your Investment Vision) ได้แนวคิดความก้าวหน้าของการลงทุน ผ่านระบบการเงินทั้ง หุ้นการเรียนรู้การลงทุนและวิธีการเลือกลงทุน มีนักวิเคราะห์ นักกลยุทธ์ นักวิชาการ ผู้บริหาร มาบรรยายในแต่ละบูธว่ามีความเป็นมา ความสำคัญ ลักษณ ผลกระทบ การคาดการณ์ และมีการแนะนำให้เปิดหุ้นว่าแต่ละหุ้นที่เราจะเปิดนั้นจะมีผลดีต่อเราและผลเสียอย่างไรต่อการลงทุน เช่น การลงทุนในหุ้นเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ แต่มีความเสี่ยงสูงจึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รู้จักเข้าใจ และยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ รวมทั้งมีเวลาการศึกษาและติดตามข้อมูล หากผู้ลงทุนรู้จักเคล็ดลับและแนวทางในการดูแลตัวเองก็จะสามารถบริหารหุ้นได้ดี นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว Application “SET activity“ เพื่อเป็นตัวช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าถึงทุกกิจกรรมที่สำคัญจากกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ ส่วนในบางบูธก็จะมีการให้เปิดบัญชี ว่าแต่ละบัญชีที่เปิดจะได้ดอกเบี้ยกำไรเท่าไหร่มีผลดีอย่างไรสำหรับของแต่ละธนาคาร และในส่วนของประกันชีวิต ก็จะบอกผลประโยชน์ที่เราจะได้และการคุ้มครอง ความประทับใจ ได้รู้ข้อมูลจากบูธหลากหลายมากมายที่เราไม่เคยได้รู้ที่เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์และผู้ถือหุ้นและ ผู้ให้คำบรรยายยังให้ข้อมูลที่ง่ายต่อการเข้าถึงและเข้าใจ มีการให้ทำกิจกรรมร่วมตอบคำถามได้ของรางวัลและได้รับคำปรึกษาเป็นอย่างดี ภายในงานที่แต่ละบูธจัดเป็นสัดสวนดูน่าสนใจทำให้ดูเพลิดเพลินในการชม ดิฉันหวังว่าการมางานในครั้งนี้จะทำให้ดิฉันได้ความรู้มากยิ่งขึ้นและได้รับประสบการณ์ดีๆเพื่อเป็นประโยชน์ในปัจจุบันและในอนาคต

นายธนากร ไทยเหนือ 55127326068 การเงินการธนาคาร02ภาคปกติ รุ่น55

SET in the City ธนาคารกรุงเทพ (บัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง:Bualuang iBanking) คลิกง่ายแค่ปลายนิ้ว บัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง ธนาคารทางอินเตอร์เน็ต ที่ธนาคารกรุงเทพสร้างสรรค์ขึ้นด้วยเทคโลยเดียวกันกับที่ธนาคารชั้นนำทั่วโลกเลือกใช้ เพื่อช่วยให้ท่าทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างมั่นใจ สะดวกสะบาย ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง เหมืนไปธนาคารด้วยตนเอง เพียแค่ปลายนิ้วคลิก ท่านก็สามารถจ่าย โอน ผ่อนชำระ ได้ง่ายๆ ผ่านอินเตอร์เน็ต พร้อมความปลอดภัยสูงทุกครั้งที่เข้าทำธุรกรรมทางการเงิน

 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเข้าสู่ระบบ

1.เข้าสู่ระบบครั้งแรกที่ www.bankkokbank.com/ibanking แล้วลิก "Log on" 2.กรอก "เลขประจำตัวลูกค้า (User ID)" และ "รหัสลับแรกเข้า (PIN)" แล้วคลิก "เข้าสู่บริการ" 3.ในการเข้าสู่บิการครั้งแรก ระบบจะขอให้ท่านเปลี่ยนรหัสลับแรกเข้าเป็นรหัสสส่วนตัว (Password) ของท่านเอง เพื่อใช้ในการเข้าสู่บริการบัวหลวง ไอแบงก์กิ้งครั้งต่อๆไป •บริการตรวจสอบรายการบัญชี สรุปรายรายการบัญชี และรายงานการเคลื่อนไหวทางบัญชี -บัญชีเงินฝาก (สะสม ประจำ กระแสรายวัน สินมัธยะ ทรัพย์ทวี) -บัญชีกองทุนรวม -บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ -บัญชีบัตรบีเฟริสต์ และบัตรเครดิต -บัญชีสินเชื่อ •บริการโอนเงิน -โอนเงินได้ทันที และตั้งวันโอนได้ล่วงหน้า หรือโอนเป็นประจำ -โอนเงินระหว่างบัญชีของท่าน หรือโอนเงินไปยังบุคคลอื่น ที่มีบัญชีกับธนาคารกรุงเทพ -โอนเงินไปบัญชีธนาคารอื่น พร้อมมีผู้ช่วยบริการโอนเงินแนะนำรูปแบบการโอนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับท่าน -ส่ง SMS แจ้งผลการโอนไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือของผู้รับโอน -โอนเงินจากบัญชีเงินฝากตราต่างประเทศเข้าบัญชีเงินบาทของท่าน -โอนเงินไปต่างประเทศ •บริการชำระเงิน -ชำระค่าสินค้าและบริการแก่บริษัทผู้รับชำระมากกว่า 300 บริษัท ได้ทันที หรือตั้งวันชำระล่วงหน้า -ชำระค่าใช้จ่ายบัตรเครดิต -ชำระภาษีแก่กรมสรรพากร -ชำระค่าสาธรณูปโภค เติมงินโทรศัพท์มือถือ และค่าอินเตอร์เน็ต -สมัครใช้บริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ •บริการลงทุนในหน่ยลงทุนกองทนรวม -ซื้อ ขาย และสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน -สอบถามยอดหน่วยลทุนคงเหลือ •บริการพิเศษ -สอบถามรายการเช็คคืน -อายัดเช็ค อายัดสมุดคู่ฝาก -ขอใบสดงรายการทางบัญชีกระรายวันและบัญชีบัตรเครดิตย้อนหลัง -ตรวจสอบยอดเงินหรือรายการที่ผิดปกติ -ลงทะเบียนเพิ่มบัตรเครดิต เปลี่ยนแปลงข้อมูลบัตรเครดิต และแลกของกำนัลจากคะแนนสะสมบัตรเครดิต -บริการแบงก์เมล ใช้สำหรับติดต่อระหว่างท่านกับธนาคารเท่านั้น •การกำหนดค่า -ซ่อนเลขที่บัญชีและตั้งชื่อย่อบัญชี เพื่อความปลอดภัยและง่ายต่อการจดจำ -เปลี่ยนรหัสลับส่วนตัวและรหัสประจำตัวด้วยตัวเอง -เลือกรูปแบบการใช้งานได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ -กำหนดวงเงินการโอนไปยังบุคคลอื่นและวงเงินการชำระเงิน -บริการส่งรหัสผ่านทาง SMS (OTP - One Time Password) เพื่อใช้ในการเพิ่มบัญชีบุคคลอื่นได้ทันทีด้วยตัวท่านเอง -ตั้งค่าสำหรับบริการแจ้งเตือน เพื่อให้ระบบแจ้งเตือนทุกครั้งที่เกิดธุรกรรมตามประเภทรายการที่ท่านกำหนดไว้ •สมัครใช้บริการง่ายๆ ด้วย 2 ช่องทางการสมัครใช้บริการบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง ที่ท่านเลือกเองได้ ไม่ว่าจะเป็น -สมัครได้เองง่ายๆ ที่เครื่องเอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพทุกแห่งด้วยบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตบีเฟิสต์ -กรอกใบสมัคร แล้วยื่นที่สาขาธนาคารกรุงเทพที่ท่านสะดวก (รับใบสมัครที่สาขา หรือดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ www.bangkokbank.com/ibanking) พร้อมแนบบัตรประจำตัวประชาชนและสมุดบัญชีเงินฝาก ที่ท่านประสงค์จะทำธุรกรรมผ่านบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (Krungsri Securities:KSS) เป็นบริษัทหลักทรัพย์ในเครือธนาคารกรุงศรีอยุธยาดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และตราสารอนุพันธ์ เน้นการบริการที่มั่นใจไดว่าจะสอดรับกับบุคลิกและตอบสนองความต้องการในการลงทุนได้เป็นอย่างดี บริษัทมีทีมงานที่มากด้วยประสบการณ์ เชี่ยวชาญธุรกิจหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธื พร้อมทั้งข้อมูลและเทคโนโลยีที่ทันสมัย •บริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ "รู้ลึก รู้จริง ใส่ใจความต้อการของผู้ลงทุน" มุ่งมั่นใจที่จะให้ลูกค้าบรลุเป้าหมายในการลงทุนทั้งด้านหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ มีเจ้าหน้าที่การตลาดให้คำแนะนำด้านการลงทุนบนข้อมูลทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค ลุกค้าจะได้รับข้อมูลทุกคามเคลื่อนไหวในธุรกิจกาเงินประกอบการพิจารณาการลทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คำนึงถึงการสร้างความพึงพอใจกับลูกค้าเป็นสำคัญ •บริการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ผ่านระบบออนไลน์ (Online Trading) ระบบการซื้อขายออนไลน์ที่ทำใหห้ท่านสามารถติดตามข้อมูล ข่าวสารและความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์และตลาดอนุพันธ์แบบเรียไทม์จากทั่วทุกมุมโลกตลอด 24 ชั่วโมง ในหน้าจอเดียวด้วยโปรแกรม SreamingProOneClick ซึ่งถูกสร้างสรรค์มาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการทุกความต้องการของนักลงทุนอย่างแท้จริง ท่านสามารถส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์และราสารอนุพันธ์ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์เคลื่อนที่, iPhone, Tablet (iPad, Samsung Galaxy Tab เป็นต้น), Blackberry และ Pocket PC/PDA ทำให้นักลงทุไม่พลาดโอกาสทองทางการลงทุนในทุกที่...ทุกเวลาผ่าน www.krungsrisecurities.com อีกทั้งบริษัทฯ มุ่งมั่นในการพัฒาเทคโนโลยีและคุณภาพของระบบการซื้อขายหลักทรัพย์และอนุพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าของเราได้พบกับประสบการณ?ใหม่ในการลงทุนด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพทั้งความสะดวก รวดเร็ว และความปลอดภัยขั้นสูงสุด รองรับด้วยบุคลกรที่มีคุณภาพพร้อมให้คำปรึกษาทั้งด้านการลงทุนและการแก้ไขปัญหาทางเทคนิคการใช้งาน •บริการด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์ "ข้อมูลเปี่ยมคุณภาพ ครอบคลุม ฉับไว ทันต่อเหตุการณ์" ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง แม่นยำ ฉับไวเป็นสิ่งสำคุญในการลงทุน จึงมีหน่วยงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ ทั้งด้านปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยทางเทคนิคและการกำหนดกลยุทธ์การลงทุน ให้คำแนะนำทั้งการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ผ่านการศึกษาและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของปัจจัยต่างๆ ทันต่อเหตุการณ์ ศึกษาบทวิเคราะห์ได้ที่ www.krungsrisecurities.com ได้ทุกเวลาที่ต้องการ •บริการด้านการจัดการกองทุนส่วนบุคคล "บริหารเงินลงทุนให้เพิ่มค่าอย่างมืออาชีพ" บริหารเงินลงทุนส่วนบุคคลที่ช่วยวางแผนและเป็นที่ปรึกษาการลงทุนในสไตล์ที่เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ภายใต้การบริหารของผู้จัดการกองทุนที่มากด้วยความสามารถและประสบการณ์ มุ่งให้ลูกค้าได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุด ในระดับความเสี่ยงที่ลูกค้ายอมรับได้ •บริการด้านตัวแทนขายหน่วยลงทุน (Selling Agent) "ให้คำแนะนำและวางแผนการลงทุนเพื่อให้ทุกการลงทุนเป็นเรื่องสบายๆ" เป็นตัวแทนสนับสนุนการขายและรัซื้อคืนหน่วยลงทุนจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำมากถึง 19 แห่ง ในหลากหลาประเภทกองทุน ให้บริการข้อมูล คำแนะนำในการวางแผนการลงทุนที่เหมาะสม และให้บริการซื้อขายหน่วยลงทุน รวมทั้งติดตามผลการลงทุนของกองทุนอย่างใกล้ชิด ศูนย์สนับสนุนผู้ลงทุน สำนักงานคณะกรรมการการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานก.ล.ต.คือใคร สำนักงานก.ล.ต. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐทำหน้าที่ในการกำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ยุติธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ภารกิจหลักของสำนักงาน ก.ล.ต. 1.พัฒนาตลาดทุนให้เป็นกลไกหลักสำหรับผู้ระดมทุนและผู้ลงทุน 2.เสริมสร้างระบบและกลไกเพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนได้รับความคุ้มครองและสามารถปกป้องประโยชน์ตนเองได้ 3.ดูแลให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีความมั่นใจ เชื่อถือในกลไกการทำงานของตัวกลางและองค์กรต่างๆในตลาดทุน 4.ดำรงความเป็นองค์กรที่ซื่อตรง โปร่งใส เข้าใจธุรกิจ เท่าทันเหตุการณ์ และเป็นผู้รักษากฎหมายที่เข้มงวดและเป็นธรรม ศูนย์สนับสนุนผู้ลงทุน ศูนย์สนับสนุนผู้ลงทุน สำนักงาน ก.ล.ต. (SEC Help Center) จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่เป็นศูนย์กลางในการให้บริการตอบคำถาม ให้ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับตลาดทุนไทยและบทบาทหน้าที่ของสำนักงาน ก.ล.ต. รวมถึงรับเรื่องร้องเรียนและเบาะแสการกระทำผิดในตลาดทุน ผ่านช่องทางต่างๆ อาที โทรศัพท์ โทรสาร จดหมาย และ อีเมล นอกจากนี้ สำนักงาน ก.ล.ต. ยินดีรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อรับประโยชน์ในการกำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุน กรมสรรพากร มาตรการภาษีส่งเสริมธุรกิจส่งออก •ธุรกิจส่งออก นับเป็นกลไกภาคธุรกิจที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยซึ่งมีอัตราการขยายตัวในระดับสูงเป็นธุรกิจที่นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาสู่ประเทศไทยเป็นจำนวมากมีส่วนผลักดันต่อการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจ การลงทุนอุตสาหกรรม สร้างมูลค่าเพิ่มทางทรัพากร เกิดการพัฒนาด้านเทคโนโลยี มีการสร้างแรงงานสูงขึ้น ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง •กรมสรรพากรร่วมสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจส่งออก เพราะความสำคัญของธุรกิจกาส่งออก กรมสรรพากรจึงไดมีความพยายามในทุกวิถีทาง เพื่อสนับสนุนสภาพคล่องในกิจการ เพื่อร่วมสร้างขีดความสามารถในการข่งขันกับต่างประเทศ โดยการจัดหลักเกณฑ์เป็น "ผู้ประกอบการส่งออกที่ดี" และ "ผู้ส่งออกขึ้นทะเบียน" •สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากกรมสรรพากร เมื่อท่านได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ประกอบการส่งออกที่ดีหรือผู้ส่งออกขึ้นทะเบียน ท่านจะได้รับการพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่มในเวลาอันรวดเร็วยิ่งกว่าผู้ส่งออกทั่วไป โดยเฉพาะกรณีที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูค่าเพิ่มผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรที่ www.rd.go.th •ผู้ประกอการส่งออกที่ดี คือ ผู้ประกอบการส่งออกหรือผู้ส่งออกระดับบัตรทองของกรมศุลกากร ทั้งนี้ รวมถึงผู้ประกอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่มีการขายสินค้าระหว่างกันเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด และมีคุณมบัติอื่นๆตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.159/2550 ลลงวันที่ 9 เมษายน 2550 เช่น เป็นสมาชิกของสมาคมหรือองค์กรเอกชน (ในทางการค้า) เป็นต้น •ผู้ส่งออกขึ้นทะเบียน คือ ผู้ประกอบการส่งออก ทั้งนี้ วมถึงผู้ประอบการในเขตอุตสาหกรรมส่งออกที่มีการขายสินค้าระหว่างกัน ซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและมีคุณสมบัติอื่นๆตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดตมคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.159/2550 ลงวันที่ 9 เมษายน 2550 เช่น เป็นสมาชิกของสมาคมหรือองค์กรภาคเอกชน (ในทางการค้า) เป็นต้น

SET in the City ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นมหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี การเปิดโลกการลงทุนที่คุณเข้าถึงได้มีการเปลี่ยน เปลี่ยน แนวคิดให้ก้าวทันนวัตกรรมการลงทุน : หุ้น อนุพันธ์ พันธบัตร กองทุนรวม ประกันภัย Investor Classroom เป็นบูธวิเคราะห์หุ้น ได้รู้จักหุ้นต่างๆทันเหตุการณ์การลงทุน Stock : หุ้น ได้แก่ หุ้นพริกขี้หนู หุ้นร้อนแรงปี2556 หุ้นที่ได้อานิสงค์จากโครงการMega projectของภาครัฐปีหน้า หุ้นนักลงทุนVIชอบเก็บ และหุ้น 10 ปี โต 1,000% ETFเป็นกองทุนรวมที่ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ฯให้ผลตอบแทนตามดัชนีของสินทรัพย์ที่ไปลงทุน เลือกลงทุนได้ทั้งในประเทศ หุ้นต่างประเทศ และทองคำ TFEX : ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ได้แก่ 1.Sector Futures จัดกลยุทธ์ ปรับพอร์ตลงทุน เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนตามการเคลื่อนไหวของดัชนี 2.SET 50 Futures & Options เปิดโอกาสทำกำไรเหนือกว่า 3.USD Futures ดอลลาร์ล่วงหน้า สร้างกำไร ใช้ป้องกันความเสี่ยงบนค่าเงินบาท 4.SILVER Futures 5.Interest Rate Futures 6.GOLD Futures 7.STOCK Futures 8.IL Futures ประกันควบคุมการลงทุน Unit LinK 1.พบกับความสุขและรอยยิ้มที่บูธเมืองไทยประกันชีวิต และกิจกรรมดีๆตลอดปีกับเมืองไทยสไมล์คลับ 2.วางแผนชีวิตมั่นคง ด้วยการลงทุนกับกรมธรรม์ เอไอเอ ลิงค์ 3.แมนไลฟ์ ยูนิต ลิงค์ พร้อมที่จะทำให้ทุกการตัดสินใจทางการเงินเป็นเรื่องง่าย TSI :ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน แหล่งความรู้เพื่อผู้ลงทุน เรียนรู้หลักการออมหุ้นแบบ Step by step รู้จักสไตล์หุ้นแบบต่างๆ ทั้งการเพิ่มความมั่งคั่งทางการเงินด้วยหุ้นคุณค่า(Value Stock) การสร้างรายได้สม่ำเสมอด้วยหุ้นปันผล(Dividend Stock) เทคนิคการทยอยสะสมหุ้นชั้นดี(Dollar Cost Average : DCT) เรียนรู้เส้นทางลัดสู่การเป็นเจ้าของกิจการในฐานะผู้ถือหุ้น กองทุนรวม จัดพอร์ตลงทุน สไตล์Fund Managers รับกำไรปี 56 TSD : ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ 1.บริการInvestor Portal : เพิ่มการตรวจสอบการทำธุรกรรมเกี่ยวกับเช็คและธุรกรรมใบหุ้นที่ TSD บนระบบได้ง่ายๆ 2.บริการตรวจสอบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งหมด 3 ปีย้อนหลังในงาน เปิด รับโลกการลงทุน ผ่าน 100 องค์กรคุณภาพที่คัดสรรแล้ว พบศักยภาพบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ ธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ให้บริการแบบครบวงจร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โบรกเกอร์โกลส์ฟิวเจอร์ส บริษัทประกันภัย ร่วมสร้างพอร์ตมั่นใจกับผู้แนะนำการลงทุนมืออาชีพ พร้อมระดมโปรโมชั่นส่งท้ายปี ปรับ วิสัยทัศน์พาคุณสู่กระแสใหม่ของการลงทุนด้วยสุดยอดสัมมนา 50 หัวข้อ 100 กูรู เวทีเดียวที่จะเปิดวิสัยทัศน์ 360 องศาการลงทุน เจาะลึก รู้จริง ทันกระแสการลงทุนกับนักวิเคราะห์ นักกลยุทธ์ นักวิชาการ ผู้บริหารองค์กรรัฐและเอกชนชั้นนำ แลกเปลี่ยนมุมมองตลอด 4 วัน กับ 5 ช่วงเสวนา นำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจ ทิศทาง รวมทั้งนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การลงทุนและบริการต่างๆโดยกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ ดิฉันรู้สึกดีใจที่ได้ไปงานนี้ มันเป็นงานที่ได้สาระความรู้ทั้งผู้ที่สนใจจะลงทุนและผู้ที่ขาดความรู้เรื่องนี้ เมื่อได้ไปจะรู้สึกว่ามันไม่ได้มีแต่นักธุรกิจอย่างเดียวที่จะเข้าถึงได้บุคคลธรรมดาหรือนักศึกษาก็สามารถเข้าถึงได้เหมือนกัน แต่ละบูธจะมีเอกสารแจกให้มีทั้งแผ่นพับ หนังสือและวิดีโอ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆให้ได้ร่วมสนุกแจกของของรางวัลมากมายมีทั้งกระเป๋า สมุดโน้ต และยังได้ทานไอศกรีมเพื่อสุขภาพฟรีอีก มันคุ้มค่าจริงๆค่ะ

SET in the City ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นมหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี การเปิดโลกการลงทุนที่คุณเข้าถึงได้มีการเปลี่ยน เปลี่ยน แนวคิดให้ก้าวทันนวัตกรรมการลงทุน : หุ้น อนุพันธ์ พันธบัตร กองทุนรวม ประกันภัย Investor Classroom เป็นบูธวิเคราะห์หุ้น ได้รู้จักหุ้นต่างๆทันเหตุการณ์การลงทุน Stock : หุ้น ได้แก่ หุ้นพริกขี้หนู หุ้นร้อนแรงปี2556 หุ้นที่ได้อานิสงค์จากโครงการMega projectของภาครัฐปีหน้า หุ้นนักลงทุนVIชอบเก็บ และหุ้น 10 ปี โต 1,000% ETFเป็นกองทุนรวมที่ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ฯให้ผลตอบแทนตามดัชนีของสินทรัพย์ที่ไปลงทุน เลือกลงทุนได้ทั้งในประเทศ หุ้นต่างประเทศ และทองคำ TFEX : ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ได้แก่ 1.Sector Futures จัดกลยุทธ์ ปรับพอร์ตลงทุน เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนตามการเคลื่อนไหวของดัชนี 2.SET 50 Futures & Options เปิดโอกาสทำกำไรเหนือกว่า 3.USD Futures ดอลลาร์ล่วงหน้า สร้างกำไร ใช้ป้องกันความเสี่ยงบนค่าเงินบาท 4.SILVER Futures 5.Interest Rate Futures 6.GOLD Futures 7.STOCK Futures 8.IL Futures ประกันควบคุมการลงทุน Unit LinK 1.พบกับความสุขและรอยยิ้มที่บูธเมืองไทยประกันชีวิต และกิจกรรมดีๆตลอดปีกับเมืองไทยสไมล์คลับ 2.วางแผนชีวิตมั่นคง ด้วยการลงทุนกับกรมธรรม์ เอไอเอ ลิงค์ 3.แมนไลฟ์ ยูนิต ลิงค์ พร้อมที่จะทำให้ทุกการตัดสินใจทางการเงินเป็นเรื่องง่าย TSI :ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน แหล่งความรู้เพื่อผู้ลงทุน เรียนรู้หลักการออมหุ้นแบบ Step by step รู้จักสไตล์หุ้นแบบต่างๆ ทั้งการเพิ่มความมั่งคั่งทางการเงินด้วยหุ้นคุณค่า(Value Stock) การสร้างรายได้สม่ำเสมอด้วยหุ้นปันผล(Dividend Stock) เทคนิคการทยอยสะสมหุ้นชั้นดี(Dollar Cost Average : DCT) เรียนรู้เส้นทางลัดสู่การเป็นเจ้าของกิจการในฐานะผู้ถือหุ้น กองทุนรวม จัดพอร์ตลงทุน สไตล์Fund Managers รับกำไรปี 56 TSD : ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ 1.บริการInvestor Portal : เพิ่มการตรวจสอบการทำธุรกรรมเกี่ยวกับเช็คและธุรกรรมใบหุ้นที่ TSD บนระบบได้ง่ายๆ 2.บริการตรวจสอบหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายทั้งหมด 3 ปีย้อนหลังในงาน เปิด รับโลกการลงทุน ผ่าน 100 องค์กรคุณภาพที่คัดสรรแล้ว พบศักยภาพบริษัทจดทะเบียนชั้นนำ ธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ให้บริการแบบครบวงจร บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน โบรกเกอร์โกลส์ฟิวเจอร์ส บริษัทประกันภัย ร่วมสร้างพอร์ตมั่นใจกับผู้แนะนำการลงทุนมืออาชีพ พร้อมระดมโปรโมชั่นส่งท้ายปี ปรับ วิสัยทัศน์พาคุณสู่กระแสใหม่ของการลงทุนด้วยสุดยอดสัมมนา 50 หัวข้อ 100 กูรู เวทีเดียวที่จะเปิดวิสัยทัศน์ 360 องศาการลงทุน เจาะลึก รู้จริง ทันกระแสการลงทุนกับนักวิเคราะห์ นักกลยุทธ์ นักวิชาการ ผู้บริหารองค์กรรัฐและเอกชนชั้นนำ แลกเปลี่ยนมุมมองตลอด 4 วัน กับ 5 ช่วงเสวนา นำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจ ทิศทาง รวมทั้งนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การลงทุนและบริการต่างๆโดยกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ ดิฉันรู้สึกดีใจที่ได้ไปงานนี้ มันเป็นงานที่ได้สาระความรู้ทั้งผู้ที่สนใจจะลงทุนและผู้ที่ขาดความรู้เรื่องนี้ เมื่อได้ไปจะรู้สึกว่ามันไม่ได้มีแต่นักธุรกิจอย่างเดียวที่จะเข้าถึงได้บุคคลธรรมดาหรือนักศึกษาก็สามารถเข้าถึงได้เหมือนกัน แต่ละบูธจะมีเอกสารแจกให้มีทั้งแผ่นพับ หนังสือและวิดีโอ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่างๆให้ได้ร่วมสนุกแจกของของรางวัลมากมายมีทั้งกระเป๋า สมุดโน้ต และยังได้ทานไอศกรีมเพื่อสุขภาพฟรีอีก มันคุ้มค่าจริงๆค่ะ

ความรู้สึกและความรู้ที่ได้รับสิ่งที่ประทับใจในงานมหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the Cityกรุงเทพมหานคร 2012 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5 สยามพารากอน วันที่ 23 พ.ย. 55
ความรู้ที่ได้จากการไปงาน SET in the Cityกรุงเทพมหานคร คือ ได้ไปนั่งฟังโปรกเกอร์ชั้นนำบรรยายและให้ความรู้เกี่ยวกับการดูหุ้นต่างๆของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งธนาคารTISCO เป็นผู้มาบรรยาย ชื่อหนังสือว่า Thailand Market Snapshots หัวข้อหลักๆคือ Market view Market statis และประวัติคราวๆของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คือ The modern Thai capital market developed in two phases. The privately owned Bangkok Stock Exchange operated from 1962 to the early 1970s. The Second National Economic and Social Development Plan (1967-1971) established the Securities Exchange of Thailand to mobilize funds to support industrialization and economic development. This was the country's first officially sanctioned, supervised and regulated orderly securities market. วิสัยทัศน์ เพิ่มพลังให้ธุรกิจและผู้ลงทุน ด้วยความโดดเด่นในการตอบสนองโอกาสทางการเงิน หน้าที่หรือการดำเนินงานหลัก คือ การรับหลักทรัพย์จดทะเบียน บริษัทจดทะเบียนประกอบด้วยบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดเอ็ม เอ ไอ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) หลักทรัพย์จดทะเบียน หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หน่วยลงทุน ใบสำคัญแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหลักทรัพย์หรือวอแรนท์ ใบสำคัญแสดงสิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์หรือวอแรนท์อนุพันธ์ กองทุน หุ้นกู้ พันธบัตร กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ (Fixed income fund) เน้นลงทุนเฉพาะในตราสารหนี้ เช่น เงินฝาก พันธบัตร หรือ หุ้นกู้ เน้นความเสี่ยงต่ำ รับรายได้ประจำจากดอกเบี้ย กองทุนรวมคุ้มครองเงินต้น (capital protected fund) เน้นการลงทุนแบบต้นไม่หายแต่กำไรไม่สูงมากนัก ด้วยกลไกการเลือกลงทุนในตราสารทางการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ ความรู้สึกที่ได้ไปงานนี้ รู้สึกว่างานนี้ให้ความรู้หลายๆอย่างในเรื่องของการประกันภัยก็ดีเรื่องการลงทุนต่างๆ มีการแจกของภายในงาน สิ่งที่ประทับใจ คือ บูตของ กลต ซึ่งแจกกระเป๋าน่ารักๆและมีแจกที่เดียวภายในงาน และและบูต ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งแจกหนังสือชีวิตเปลี่ยนเพราะการลงทุน ซึ่งข้างในหนังสือจะมีเรื่องราวของนักธุรกิจหลากหลายคนมาเล่าเรื่องการลงทุนบางคนก็เป็นนักลงทุนมือใหม่ บอกประสบการณ์บทเรื่องต่างๆที่ได้รับจากการลงทุน

ชื่อ นฤมล แก้วพันตา เลขที่11 รหัส 55127326054

ความรู้สึกและความรู้ที่ได้รับสิ่งที่ประทับใจในงานมหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the Cityกรุงเทพมหานคร 2012 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5 สยามพารากอน วันที่ 23 พ.ย. 55

ถาพรวมและเศรษฐกิจการลงทุน -การขยาตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนเสรษฐกิจโลกที่มีปัจจัยเสี่ยงจากกรณี Fiscal Cliff ของสหรัฐ และ การแก้ไขปัญหาหนี้ในกลุ่มประเทศยุโรป - เศรษฐกิจจีนน่าจะเริ้มกลับมาขยายตัวได้ดีอีกในปี2556 หลังจากชะลอตัวจากการบริโภค การลงทุนในประเทศ และการส่งออก ซึ่งประเทศไทยน่าจะได้รับผลประโยชน์ด้านบวกต่อภาคการส่งออก - การลงทุนฝนประเทศไทยภาคเอกชน และ ภาครัฐจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ เพื่อรองรับการเปิดอัตราเติบโตของ GDP ไทยไว้ที่ระดับ 4.5% - ปัจจัยเสี่ยงคือ ผลผลิตด้านเกษตรกรอาจจะหดตัวจากภาวะภัยแล้งที่มาเร็ว ซึ่งกระทบต่อการใช้จ่ายเงินภาคครัวเรือนการกู้เงินและระดับหนี้ภาคครัวเรือนและระดับหนี้ของภาครัฐต่อ GCP ที่สูงขึ้นเร็ว อัตราเงินเฟ้อจากราคาอาหารที่เพิ่ม การเปลี่ยนแปลงทิศทางของเงินทุนระหว่างประเทศที่มากขึ้นและเร็วขึ้น วิเคราะห์ทางเทคนิคภาพรวมตลาด - ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นทิศทางขาขึ้นในปี2556สำหรับแนวโน้มระยะกลาง-ยาว ระดับแนวต้านสำคัญคือ 1400จุด และ ระดับแนวรับสำคัญที่1100/1230จุด เครื่องมือ indicator บ่งบอกถึงความเสี่ยงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจปรับตัวลงได้ระยะสั้น 1 เดือนข้างหน้าได้ - ดัชนีธุรกิจกลุ่มธนาคารการเงิน พาณิชย์ อาหาร บันเทิง ท่องเที่ยวโรงแรม และการแพทย์โรงพยาบาท ยังเป็นกลุ่มนำสำหรับการปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดรวม ขณะที่ดัชนีกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี เดินเรือ อาจจะปรับตัวได้ดีขึ้นหากเศรษฐกิจจีนกลับมาคึกคัก - หุ้นขนาดกลาง-ใหญ่คาดว่าจะปรับตัวได้ดีกว่าหุ้นขนาดเล็ก เนื่องจากปัจจุบันมูลค่าซื้อขายบนค่าพีอี 12 เดือน ย้อนหลังของหุ้นขนาดเล็กสูงกว่าค่าพีอีของหุ้นขนาดใหญ่กว่า 23% เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวพรีเมียมเพียง10% บริษัทหลักทรัพย์มี3หุ้นคือ หุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดกลาง และหุ้นขนาดเล็ก ตราประจำหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมี2ส่วนประกอบกันขึ้นเป็นวงกลม ส่วนบนเป็นสีทอง และส่วนล่างเป็นสีดำ การออกแบบเกิดขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากจานโบราณใบนี้ซึ่งมีลายสลักรูปปลาคู่ที่มีลักษณะเวียนว่ายหนึ่งจรดหนึ่งทางว่ายวนกันต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุดสอดคล้องกับหลักธรรมในลัทธิเต๋าที่กล่าวถึงความสมดุลของสิ่งสองสิ่งที่เป็นทั้งคู่และสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ หยิน กับ หยาง และนอกจากนี้ดิฉันยังได้รู้ 3 ต. คือ เตรียมตัวเพื่อจะเป็นนักลงทุนที่ดีโดยการกำหนด เป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน และสองเตรียมสตางค์หรือเตรียมเงินลงทุนในจำนวนที่เหมาะสมและสามเตรียมใจให้พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุน

เงินเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการขับเคลื่อนกลไกทางเศรษฐกิจเพราะระบบเศรษฐกิจและการค้าขายที่เชื่อมโยงกันทั่วโลกด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น

ตลาดตราสารหนี้ (Bond Electronic Exchange: BEX) เป็นศูนย์กลางการซื้อขายตราสารหนี้หลายประเภททั้งที่ออกโดยภาครัฐ ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ภาคเอกชน รวมไปถึงตราสารหนี้ให้บริการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยจึงช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลและทำการซื้อขายตราสารหนี้ได้อยากสะดวก รวดเร็วมากขึ้น ตลาดตราสารอนุพันธ์(Thailand Futures Exchange: TFEX) เป็นศูนย์กลางการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ คือ ฟิวเจอร์ส (Futures) ออปชัน (Options)และออปชันบนสัญญาฟิวเจอร์ส (Options on Futures) ของสินทรัพย์อ้างอิง คือ ตราสารหนี้ ตราสารทุน และสินค้าโภคภัณฑ์ปัจจุบัน ตลาดตราสารอนุพันธ์ 4 รายการ หุ้นสามัญ นักลงทุนหรือผู้ถือหุ้นสามัญเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริงทางการเงิน หุ้นบุริมสิทธิ มีลัษณะคล้ายกับหุ้นสามัญเพียงผู้ถือหุ้นจะไม่มีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถิอหุ้น แต่จะได้รับผลตอบแทนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญและได้เงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ 6ขั้นตอนการลงทุนอย่างเซียน 1 กำหนดนโยบายการลงทุน 2 เปิดบัญชีเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์ 3 วิเคราะห์ทางเลือกในการลงทุน 4 ส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ 5 ส่งมอบและชำระราคาหลักทรัพย์ 6 ทบทวนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอเพราะราคาหลักทรัพย์สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามปัจจัยหลายอย่างที่มากระทบ

หลังจากที่ได้ไปดูงานมหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the city กรุงเทพมหานคร 2012 ที่รอยัลพารากอน ฮอล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ได้รู้เกี่ยวกับการลงทุนต่างๆ รวมสุดยอดทุกหลักสูตรการลงทุนที่ทำให้ทุกคนเป็นเซียนลงทุนได้ จากการที่ได้ไปเดินดูภายในงานก็ได้ความรู้ต่างๆมากมาย ภายในงานก็จะมีบูธและบริษัทต่างๆมากมาย เช่น บริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน บริษัทจดทะเบียนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โบรกเกอร์ผู้ค้าทอง กลุ่มธุรกิจประกันภัย หน่วยงานภาครัฐและเอกชน กลุ่มตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในงานก็จะมีสิ่งที่น่ารู้หลายอย่าง เช่น ภาษีอากรกับการลงทุนในหลักทรัพย์ คือ การลงทุนในหลักทรัพย์โดยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปัจจุบันทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา นิติบุคคล ประสงค์ที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่าทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งภาษีอากรถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่เป้นผลกระทบต่อผลตอบแทนสุทธิทั้งที่เป็นเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งกำไรจากการขายหลักทรัพย์ ( หุ้นหรือหน่วยงาน ) ตลอดจนผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย เช่น ดอกเบี้ยหุ้นกู้ และได้ไปเข้าร่วมกิจกรรมกับบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง และได้เข้าร่วมกิจกรรมกับบูธ กลต. และได้รู้เกี่ยวกับ กองทุนรวม ได้รู้ว่ากองทุนรวมคิออะไร กองทุนรวม คือ เครื่องมือในการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ผู้ลงทุนหลายๆคนนำเงินลงทุนมารวมกัน และมอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ที่เรียกย่อๆว่า บลจ. ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุน และได้รับใบอนุญาตในการบริหารจัดการกองทุนรวมจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต. ) ทำหน้าที่การบริหารจัดการเงินลงทุนก้อนนั้นให้แก่ผู้ลงทุน บลจ. จะทำหน้าที่บริหารกองทุนรวมให้เกิดดอกออกผล โดยนำเงินลงทุนของกองทุนรวมไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินประเภทต่างๆ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ หุ้น เป็นต้น เพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุนรวมนั้นด้วย และได้รู้เกี่ยวกับ ผู้ถือหุ้น และได้รู้เกี่ยวกับ ลงทุนในหุ้น อย่างไร ให้ไกลปัญหา การลงทุนในหุ้น ถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน จึงเหมาะกับที่ลงทุนที่รู้จัก เข้าใจ และยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้ รวมทั้งมีเวลาศึกษาและตืดตามข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออยู่เสมอ นอกจากนี้ หากผู้ลงทุนในหุ้นรู้จักเคล็ดลับและแนวทางในการดูแลตัวเอง เช่น แนวทางในการติดต่อกับโบรกเกอร์ และวิธีการตรวจสอบการลงทุน เป็นต้น ก็จะยิ่งช่วยให้การลงทุนในหุ้นเป็นไปอย่างราบรื่น และลดโอกาสการเกิดปัญหาในการลงทุนได้ และเทคนิคดูแลตนเองง่ายๆเมื่อลงทุนใน กองทุนรวม ในการลงทุนไดๆก็ตาม ผู้ลงทุนควรมีการติดตามผลต่อเนื่อง เพื่อรักษาประโยชน์ของตนเอง กรณีการลงทุนรวมก็เช่นเดียวกัน เมื่อลงทุนไปแล้วควรมีการติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนรวม รวมถึงตรวจสอบกาทำงานของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ. ในฐานะผู้บริหารจัดการกองทุนรวมอย่างต่อเนื่องด้วยและได้รู้เกี่ยวกับการลงทุนทองคำ ได้รู้ราคาทองคำ และความรู้อีกมากมายที่อยู่ในงาน มหกรรมการลงทุนครบวงจรแห่งปี SET in the city กรุงเทพมหานคร 2012

 

 เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ  ทั้งนี้ จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ ตามตาราง แสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ ดังนี้

              

ตารางแสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ

 

เครื่องมือทางการเงิน ผลตอบแทน / สิทธิของผู้ถือ สถานะของผู้ถือ
  ตราสารหนี้ เช่น 
  พันธบัตร หุ้นกู้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน
  1. ดอกเบี้ย 
  2. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือ
เจ้าหนี้กิจการ
  ตราสารหุ้น เช่น 
  หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ 

  1. เงินปันผล 
  2. สิทธิในการบริหาร 
  3. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือ 
  4. สิทธิจองหุ้นออกใหม่
เจ้าของกิจการ
  ตราสารอนุพันธ์ เช่น ใบสำคัญ 
  แสดงสิทธิการซื้อหุ้น (Warrant)

  กรณี (Warrant) 
  1. ผลต่างระหว่างราคาใช้สิทธิในการซื้อหุ้นกับราคาตลาด 
  2. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือ
กรณี (Warrant) 
ผู้ถือมีสิทธิในการจองซื้อหุ้น 
สามัญของบริษัท
  หน่วยลงทุน (Unit trust) 
  1. เงินปันผล 
  2. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือหรือขายคืน
เจ้าของกองทุนรวม

               สำหรับตราสารทางการเงินประเภทตราสารหนี้นั้น จะได้กล่าวถึงโดยละเอียดโดยแยกหัวข้อนำไปอธิบายในเรื่องถัด ๆ ไป เนื่องจากตราสารหนี้เป็นตราสารทางการเงินที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์การเงิน ส่วนตราสารอีก 3 ประเภท จะได้อธิบายโดยสังเขปเพิ่มเติมจากตารางสรุปข้างต้น ดังนี้

               1. ตราสารทุนหรือหุ้นทุน (Share) คือ ส่วนของทุนของกิจการที่ถูกแบ่งออกเป็นหุ้น ซึ่งแต่ละหุ้นจะให้อำนาจผู้ถือหุ้นในการเป็นเจ้าของของกิจการตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือ ซึ่งหมายความรวมถึงการได้สิทธิในการได้รับส่วนแบ่งกำไรและสิทธิในการบริหาร ในที่นี้จะยกตัวอย่างหุ้นทุน 2 ประเภท คือ

                   1.1 หุ้นสามัญ (Common Stock) คือ หลักทรัพย์ที่บริษัทออกจำหน่าย เพื่อให้สิทธิแก่ผู้ถือในการร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อร่วมตัดสินใจในการบริหาร การวางนโยบายการดำเนินการของบริษัท การเลือกตั้งกรรมการของบริษัท และเพื่อร่วมตัดสินใจในปัญหาสำคัญของบริษัท ผู้ถือหุ้นมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล เมื่อบริษัทมีกำไรและอนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผล หรือเมื่อราคาหุ้นในตลาดรองสูงขึ้นก็สามารถนำไปขาย เพื่อรับส่วนต่างจากราคาหุ้นที่ซื้อมา (Capital Gain) นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นจะได้รับสิทธิจองหุ้นใหม่ (Right) เมื่อบริษัทต้องการจะเพิ่มทุนด้วย

                   1.2 หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นหุ้นที่มีลักษณะกึ่งหนี้สินและกึ่งหุ้นสามัญ (Hybrid) มีราคาหน้าตั๋ว (Par Value) และมีอัตราเงินปันผลกำหนดไว้ตายตัว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ เช่น ได้รับเงินปันผลก่อนหรือมากกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ และมีสิทธิในทรัพย์สินของบริษัทก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ (แต่หลังจากผู้เป็นเจ้าหนี้ของบริษัท) ในกรณีที่บริษัทจะต้องเลิกกิจการ  อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับสิทธิในการออกเสียง และการบริหารงานของบริษัท

               2. ตราสารอนุพันธุ์ (Derivatives) หมายถึง ตราสารทางการเงินประเภทที่มูลค่า หรือราคาของตราสารนั้นเกี่ยวเนื่องอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์ที่ตราสารนั้นอิงอยู่ เช่น ตราสารสิทธิที่จะซื้อหรือขายหุ้น (Stock Options) เป็นตราสารอนุพันธุ์ เพราะราคาของตราสาร ดังกล่าวจะเกี่ยวโยงกับราคา ของหุ้นที่จะใช้ตราสารสิทธินั้นไปซื้อหรือขายได้ สัญญาซื้อขายดัชนีราคาหุ้นล่วงหน้า (Stock Index Futures) เป็นตราสารอนุพันธ์ เพราะราคาของตราสารนี้สืบเนื่องมาจากดัชนีราคาหุ้นที่ตราสารอิงอยู่ การจัดให้มีการซื้อขายตราสารอนุพันธ์จะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้อง กับ ตลาดการเงินมีเครื่องมือไว้ปกป้อง และบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่ และเป็นการเพิ่มช่องทางลงทุนซื้อขายที่หลากหลายยิ่งขึ้น

               3. หน่วยลงทุน (Unit trust) หมายถึง หลักทรัพย์ที่ออกขายโดยบริษัทจัดการลงทุน เพื่อระดมเงินเข้ากองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้น แล้วจัดสรรเงินในกองทุนนั้น ลงทุนในตลาดการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน เช่น ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ลงทุนในตราสารการเงิน ต่าง ๆ และฝากไว้กับสถาบันการเงิน เป็นต้น ผู้ถือหน่วยลงทุนมีฐานะร่วมเป็นเจ้าของกองทุนนั้น ๆ และมีสิทธิได้รับเงินปันผลตอบแทนจากผลกำไรที่เกิดขึ้น หากถือไว้จนถึงกำหนดไถ่ถอนก็จะได้รับส่วนแบ่งคืนจากเงินกองทุนตามสัดส่วนของหน่วยลงทุนที่ถืออยู่

 

ภาพตัวอย่างเครื่องมือทางการเงิน

พันธบัตร 

ตั๋วสัญญาใช้เงิน

นายโยธิน  ตาคำ  รหัสนักศึกษา 55127326081  การเงินการธนาคาร 02

 เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ 

ตราสารหนี้ หรือ Fixed Income Securities คือ ตราสารทางการเงิน ที่ผู้ออกตราสาร ซึ่งเรียกว่า ผู้กู้ หรือ ลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเงินต้น หรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ตามกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งเรืยกว่า เจ้าหนี้ หรือ ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไปตราสารหนี้ในตลาดทุนมักจะหมายถึง ตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

ตราสารหนี้ประเภทที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (secured bond) เป็นตราสารหนี้ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นหุ้นกู้ที่บริษัทผู้ออกนำสินทรัพย์ของตนมาค้ำประกันการออกหุ้นกู้ นั้นและผู้ถือหุ้นกู้จะมีสิทธิในสินทรัพย์ที่วางเป็นประกันนั้นเหนือเจ้าหนี้สามัญรายอื่นๆ

ตราสารอนุพันธ์ (อังกฤษ: derivative) เป็นสินทรัพย์ทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับกระแสเงินของสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ได้มีค่าจากกระแสเงินของตัวตราสารเองโดยตรง ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ ได้แก่ futures, forward, swap, options เป็นต้น และมีสินทรัพย์ที่สามารถอ้างอิงได้คือ เงินตราต่างประเทศ พันธบัตร ตั๋วเงิน หุ้นสามัญ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือทรัพย์สินใดๆ เป็นต้น

พันธบัตรรัฐบาล คือ ตราสารทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่ออกโดยรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และ สถาบันการเงินที่มี กฎหมายจัดตั้งขึ้นมา จุดประสงค์ในการออกพันธบัตรก็เพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันและประชาชน ทั่วไป โดยถือว่าผู้ออกพันธบัตรนั้นมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องมีภาระในการจ่ายคืน หนี้ให้กับผู้ถือพันธบัตรซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ออกพันธบัตรต่อไปในอนาคต โดยที่จำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืน ระยะเวลา และ อัตราผลตอบแทน ขึ้นกับสัญญาที่ได้กำหนดเอาไว้

สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า หรือ โกลด์ฟิวเจอร์ส (Gold Futures) เป็นตราสารอนุพันธ์ หรือเครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่งที่ผู้ลงทุนสามารถใช้เก็งกำไรจากการผันผวนของราคาทองคำ ทั้งในภาวะขาขึ้นและภาวะขาลงของราคาทองคำ คุณลักษณะเด่นของตราสารอนุพันธ์ชนิดนี้คือ เป็นตราสารที่สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ และที่สำคัญที่สุดของการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประเภทนี้คือ ใช้เงินลงทุนน้อยประกอบกับราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวทุกวัน จะทำให้

ตั๋วเงินคลัง เป็นตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออกเช่นเดียวกัน แต่ที่แตกต่างจากพันธบัตรรัฐบาลก็คือ ตั๋วเงินคลังเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น จะมีอายุไม่เกิน 1 ปีเท่านั้น หุ้นกู้ ใช้เรียกตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ถ้าเป็นหุ้นกู้อายุสั้นๆ เช่นไม่เกิน 9 เดือน จะเรียกว่า หุ้นกู้ระยะสั้น หรือในกรณีที่เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกเพื่อการกู้ยืมระหว่างกันในวงแคบ และมีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละหน่วย ไม่มีความเป็นมาตรฐานเหมือนหุ้นกู้ จะเรียกว่า ตั๋วเงิน หรือ ตั๋วบีอี
ภาพตัวอย่างตราสารทางการเงิน

ตราสารทางการเงิน (Financial Instruments) คือ หลักฐานแสดงการถือครองและสิทธิเรียกร้องต่างๆ ที่บริษัทผู้ออก หลักทรัพย์นำออกมาจำหน่ายเพื่อระดมเงินจากผู้ลงทุน และนำมาจดทะเบียนเพื่อให้มีการซื้อขายในตลาดรอง ซึ่งปัจจุบันมี ตราสารทางการเงินที่ซื้อขายกันในตลาดรองมากกว่า 1,000 ชนิด ทำให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย ตลอดจนสามารถกระจายการลงทุนได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 ตราสารทางการเงินที่ทำการซื้อขายในปัจจุบันสามารถแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ..

1.ตราสารทุน (Equity) เป็นตราสารที่ให้สิทธิการเป็น “เจ้าของกิจการ” แก่ผู้ลงทุน ดังนั้น ในฐานะเจ้าของกิจการ ผู้ลงทุนจึงมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีถ้ากิจการมีผลการดำเนินงานดี และมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนหรือไม่ได้ผลตอบแทนถ้าผลการ ดำเนินงานของกิจการไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย 2.ตราสารหนี้ (Debt) เป็นตราสารที่ให้สิทธิการเป็น “เจ้าหนี้ของกิจการ” แก่ผู้ลงทุน ซึ่งในฐานะเจ้าหนี้ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนหรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ตามที่ได้มีการกำหนดไว้ โดยผู้ออกตราสารหนี้จะระบุอัตราผลตอบแทน กำหนดวันจ่ายดอกเบี้ย และ วันครบอายุหรือกำหนดไถ่ถอนตราสารไว้อย่างชัดเจน 3.ตราสารลงทุน (Unit Trust) เป็นตราสารที่ออกจำหน่ายและบริหารการลงทุนโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) เพื่อระดมเงินเข้า “กองทุนรวม” ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อลงทุนตามวัตถุประสงค์และนโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ผู้ลงทุนมีฐานะเป็น “เจ้าของร่วมในทรัพย์สินของกองทุนรวม” จึงมีส่วนได้ส่วนเสียและได้รับผลตอบแทนตามผลการดำเนินงานของกองทุน ซึ่งจุดเด่นของการลงทุนในกองทุนรวมก็คือ การมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนดูแลการลงทุนให้ จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาดูแลการลงทุนด้วยตัวเอง 4.ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) เป็นสัญญาทางการเงินที่ทำขึ้นในปัจจุบัน เพื่อตกลงซื้อขายหรือให้สิทธิในการซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) เช่น หุ้นสามัญ ดัชนีหลักทรัพย์ อัตราแลกเปลี่ยน ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ ในอนาคต กล่าวคือ ทำสัญญาตกลงกันวันนี้ว่าจะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงจำนวนกี่หน่วย ที่ราคาเท่าใด แล้วจะส่งมอบและชำระราคากันเมื่อใด ลักษณะเฉพาะของตราสารอนุพันธ์ คือ “มีอายุสัญญาจำกัด” เมื่อครบอายุสัญญา มูลค่าของตราสารก็จะหมดลง นอกจากนี้ ราคา ตราสารอนุพันธ์ก็จะผันผวนไปตามราคาสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ลงทุนจึงมักใช้ตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือเพื่อป้องกัน ความเสี่ยง

พันธบัตรรัฐบาล คือ ตราสารที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ซึ่งสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นให้แก่ผู้ถือเมื่อครบกำหนดหรือจ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดๆแล้วแต่จะตกลงกัน รัฐบาลจะออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อกู้ยืมเงินจากประชาชนและ ผู้ซื้อพันธบัตรจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้รัฐบาลตามกฎหมาย

หุ้นสามัญ (common stock) หลักทรัพย์ที่บริษัทออกจำหน่ายเพื่อระดมเงินทุนมาดำเนินกิจการ ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเลือกตั้งกรรมการบริษัท ร่วมตัดสินใจในนโยบายการดำเนินงานของบริษัท และร่วมตัดสินใจในปัญหาสำคัญของบริษัทผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผล (dividend) เมื่อราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นตามศักยภาพของบริษัท และมีโอกาสได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นออกใหม่ (right) เมื่อบริษัทเพิ่มทุนขยายกิจการ หากบริษัทเลิกกิจการ ก็จะได้รับส่วนแบ่งในสินทรัพย์ของบริษัทจากยอดสุทธิหลังจากชำระคืนเจ้าหนี้และพันธะต่าง ๆ หมดแล้ว หุ้นสามัญมีอีกชื่อหนึ่งว่า ordinary share

ภาพตัวอย่างตราสารทางการเงิน

 

ตราสารหนี้ หรือ ตราสารแห่งหนี้(อังกฤษbond) คือ ตราสารทางการเงินที่ผู้ออกตราสาร ซึ่งเรียกว่า ผู้กู้ หรือ ลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเงินต้น หรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ตามกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งเรืยกว่า เจ้าหนี้ หรือ ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไปตราสารหนี้ในตลาดทุนมักจะหมายถึง ตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

ตั๋วเงิน คือ เอกสารเครดิตที่ใช้แทนเงินในวงการธุรกิจ  ตั๋วเงินอาจถูกขายเปลี่ยนมือผู้ถือหรือโอนสลักหลัง

ตั๋วเงินแบ่งเป็น  3  ประเภท  ได้แก่

1. ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note)

2. ตั๋วแลกเงิน  (Bill of Exchange)

3. เช็ค (Cheque)

 1.   ตั๋วสัญญาใช้เงิน  (Promissory Note)

ตั๋วสัญญาใช้เงิน คือ หนังสือตราสารที่บุคคลผู้หนึ่งที่เรียกว่าผู้ออกตั๋ว ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้รับเงิน 

ตั๋วสัญญาใช้เงินต้องมีข้อความต่อไปนี้

1. คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน

2. คำมั่นสัญญาโดยปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน

3. วันถึงกำหนดใช้เงิน

4. สถานที่ใช้เงิน

5. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงิน

6. วันและสถานที่ที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน

7. ลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว

 2. ตั๋วแลกเงิน  (Bill of Exchange)

ตั๋วแลกเงิน  คือ  หนังสือตราสารที่บุคคลผู้หนึ่งที่เรียกว่าผู้สั่งจ่าย  สั่งบุคคลอีกผู้หนึ่ง เรียกว่าผู้จ่าย ให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน 

ตั๋วแลกเงินต้องมีข้อความต่อไปนี้

1. คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน

2. คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินจำนวนแน่นอน

3. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้จ่าย

4. วันถึงกำหนดใช้เงิน

5. สถานที่ใช้เงิน

6. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงินหรือจ่ายให้แก่ผู้ถือ

7. วันและสถานที่ที่ออกตั๋ว

8. ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

 3.   เช็ค (cheque)

เช็ค  คือ  หนังสือตราสารที่บุคคลคนหนึ่งที่เรียกว่า  ผู้สั่งจ่าย  สั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถาม  ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกว่า 

ผู้รับเงิน เช็คต้องมีข้อความต่อไปนี้

1. คำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค

2.  คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินจำนวนแน่นนอน

3. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงินหรือจ่ายให้แก่ผู้ถือ

4. ชื่อหรือยี่ห้อและสำนักงานของธนาคาร

5. สถานที่ใช้เงิน

6. วันและสถานที่ออกเช็ค

7. ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

 รายละเอียดต่างๆ  เกี่ยวกับตั๋วเงิน

1. เงินหน้าตั๋ว  (Face  Value)  คือ  จำนวนเงินที่ระบุไว้ในตั๋ว

2. วันถึงกำหนด   (Maturity  Date)   คือ  วันที่ผู้ออกตั๋วจะต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือตั๋วตามสัญญาใช้เงิน

3. เงินถึงกำหนด  (Maturity  Value)  คือ  เงินหน้าตั๋วบวกดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงิน

4.เงินส่วนลด คือ  เงินที่ผู้ถือตั๋วถูกหักไว้เป็นค่าป่วยการ เนื่องจากนำตั๋วไปขายก่อนถึงวันกำหนด เงินที่ได้รับหลังจากหักเงินส่วนลดแล้วเรียกว่าเงินปัจจุบัน และวันที่นำตั๋วเงินไปขายเรียกว่าวันคิดลด และการนับจำนวนวันสำหรับคิดเงินส่วนลดให้เริ่มนับหลังจากวันคิดลด 1  วัน จนถึงวันกำหนด

 ดังนั้น  เงินส่วนลด        =         เงินถึงกำหนด  x  อัตราส่วนลด  x  เวลา 

 

  • พันธบัตรรัฐบาล เป็นตราสารหนี้ที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก เพื่อกู้เงินจากประชาชน ดังนั้น รัฐบาลจะอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ ส่วนผู้ที่ถือพันธบัตร ได้แก่ ประชาชน สถาบันการเงิน หรือองค์กรใดๆที่ถือพันธบัตรก็จะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาล สำหรับพันธบัตรที่ออกโดยหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจะเรียกว่า  พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 
  • ตั๋วเงินคลัง  เป็นตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออกเช่นเดียวกัน แต่ที่แตกต่างจากพันธบัตรรัฐบาลก็คือ ตั๋วเงินคลังเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น จะมีอายุไม่เกิน 1 ปีเท่านั้น
  • หุ้นกู้    ใช้เรียกตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน  มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป   ถ้าเป็นหุ้นกู้อายุสั้นๆ  เช่นไม่เกิน 9 เดือน  จะเรียกว่า หุ้นกู้ระยะสั้น   หรือในกรณีที่เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกเพื่อการกู้ยืมระหว่างกันในวงแคบ  และมีลักษณะแตกต่างกันไปในแต่ละหน่วย   ไม่มีความเป็นมาตรฐานเหมือนหุ้นกู้  จะเรียกว่า ตั๋วเงิน หรือ ตั๋วบีอี  

 ตราสารทุน (Equity Instruments) เป็นตราสารที่กิจการออกให้แก่ผู้ถือ (Holder) เพื่อระดมเงินทุนไปใช้ในกิจการ โดยผู้ถือตราสารทุนจะมีฐานะเป็น “เจ้าของกิจการ” รวมทั้งมีส่วนได้เสียหรือมีสิทธิในทรัพย์สินและรายได้ของกิจการ และมีโอกาสจะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินปันผล (Dividend) อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีข้อผูกพันว่ากิจการที่ออกตราสารทุนจะต้องจ่ายเงินปันผลเสมอไป ทั้งนี้ การตัดสินใจจ่ายเงินปันผลจะขึ้นอยู่กับผลกำไรและข้อตกลงของธุรกิจนั้นๆ

นักลงทุนสามารถซื้อขายตราสารทุนได้ในตลาดหลักทรัพย์ 2 แห่งคือ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand - SET)  และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Market for Alternative Investment - mai)

ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับบริษัทจดทะเบียนว่าจะเลือกเข้ามาระดมทุนและจดทะเบียนซื้อขายในตลาดใด

ประเภทตราสารทุน

หุ้นสามัญ (Common Stock)เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน ซึ่งออกโดยบริษัทมหาชนจำกัดที่ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน โดยผู้ถือหุ้นสามัญจะมีสิทธิร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือครองอยู่

หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นตราสารประเภทหุ้นทุนที่ผู้ถือมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการเช่นเดียวกับหุ้นสามัญ มีข้อแตกต่างจากหุ้นสามัญคือ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิในการชำระคืนเงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการ

ใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือวอแรนท์ (Warrant)เป็นตราสารที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการซื้อหลักทรัพย์ที่ใบสำคัญแสดงสิทธินั้นอ้างอิงอยู่ (Underlying Asset) ตามราคาใช้สิทธิ จำนวนที่ให้ใช้สิทธิ (นิยมใช้เป็นอัตราส่วน) และภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

หน่วยลงทุน (Unit Trust) หลักทรัพย์ที่ออกขายโดยบริษัทจัดการลงทุนเพื่อระดมเงินเข้ากองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้น แล้วจัดสรรเงินในกองทุนนั้นลงทุนในตลาดการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน ผู้ถือหน่วยลงทุนมีฐานะร่วมเป็นเจ้าของกองทุนนั้น ๆ และมีสิทธิได้รับเงินปันผลตอบแทนจากผลกำไรที่เกิดขึ้น

ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย หรือ เอ็นวีดีอาร์ (Non - Voting Depositary Receipt : NVDR) เป็นตราสารที่ออกโดยบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด มีสถานะเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนโดยอัตโนมัติและมีหลักทรัพย์อ้างอิง เป็นหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง (Depository Receipt : DR)เป็นตราสารที่ออกและเสนอขายโดยบริษัท สยามดีอาร์ จำกัด เป็นหลักทรัพย์ที่ให้สิทธิอ้างอิงอาจเป็นได้ทั้งหุ้นสามัญ หุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ ผู้ลงทุนที่ถือ DR จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่นเดียวกับผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียนทุกประการ

นางสาวรัญญา  วงษ์สง่างาม  รหัส 55127326056  

เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้ จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ ตามตาราง แสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ ดังนี้ พันธบัตรรัฐบาล คือตราสารที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ซึ่งสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นให้แก่ผู้ถือเมื่อครบกำหนดหรือจ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดๆแล้วแต่จะตกลงกัน รัฐบาลจะออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อกู้ยืมเงินจากประชาชนและ ผู้ซื้อพันธบัตรจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้รัฐบาลตามกฎหมาย ประเภทของพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ออกจำหน่าย พันธบัตรหรือหุ้นกู้จะให้ผลตอบแทนในรูปของ “อัตราดอกเบี้ย” ตั๋วเงิน คือเอกสารที่คู่สัญญาใช้เป็นหลักฐานทางการเงิน เป็นนิติกรรมสองฝ่ายขึ้นไป จัดเป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่มีที่มาจากมูลหนี้เดิม มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน (Reciprocal contract) บุคคลที่จะเข้าเป็นคู่สัญญาตั๋วเงินได้ต้องมีความสามารถตามมาตรา ๑๕๓ และต้องแสดงเจตนาเข้ามาเป็นคู่สัญญาในตั๋วเงินด้วยความสมัครใจตามมาตรา ๑๔๙ ปราศจากความสำคัญผิด กลฉ้อฉล หรือการข่มขู่ เช่นเดียวกับการทำสัญญาทั่วไป ตราสารทุน (Equity Instruments) คือ ตราสารที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือเพื่อแสดงสิทธิของความเป็นเจ้าของในกิจการนั้น ประเภทของตราสารแห่งทุน 1. หุ้นสามัญ (Common Stocks หรือ Ordinary Shares) คือ ตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของ กิจการและเมื่อกิจการมีกำไรจาการดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับเงินปันผลใน อัตราที่จัดสรรโดยที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น โดยคำนวณตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นนั้นถือครอง ทั้งนี้เงินปันผลอาจสูงขึ้นหรือลดต่ำลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับผลกำไรจากการดำเนินงานประจำปี 2. หุ้นบุริมสิทธิ์ (Preferred Stocks) คือ ตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการที่มีการจดบุริม สิทธิ์ไว้อย่างแจ้งชัดไม่สามารถยกเลิกได้ เมื่อกิจการมีกำไรจากการดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับเงินปันผลใน อัตราคงที่ ตามที่จดบุริมสิทธิ์ไว้ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่าผู้ถือหุ้นสามัญก็ได้ แต่หากกิจการนั้นมีอันต้องเลิกดำเนินการและมีการชำระบัญชีโดยการขายทรัพย์สิน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับเงินคืนทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ 3. ใบสำคัญแสดงสิทธิในหุ้น (Stock Warrants) คือ ตราสารสิทธิที่กิจการออกให้แก่ผู้ลงทุนเพื่อให้สิทธิ ในการซื้อหุ้นออกใหม่ในราคา จำนวน และภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ลงทุนจะมีสิทธิในความเป็นเจ้าของกิจการต่อเมื่อได้ใช้สิทธิในการซื้อหุ้นของกิจการนั้นแล้วเท่านั้น 4. หน่วยลงทุนในกองทุนตราสารแห่งทุน คือ ตราสารสิทธิในการเป็นเจ้าของหน่วยลงทุนของกองทุน รวมที่มีนโยบายลงทุนเฉพาะในตราสารแห่งทุน ผู้ลงทุนจะมีสิทธิความเป็นเจ้าของกิจการที่กองทุนรวมนั้นลงทุนไว้ ตามสิทธิที่เฉลี่ยระหว่างผู้ถือหน่วยลงทุนทั้งหมดในกองทุนรวมนั้นนั่นเอง 5. ตราสารแสดงสิทธิ์ในอนุพันธ์ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้น (stock options & futures) คือ สัญญาที่ผู้ ลงทุนสองฝ่ายตกลงกันเพื่อซื้อหรือขายหุ้นในราคา จำนวน และภายในระยะเวลาที่กำหนด (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในตราสารเพื่อการลงทุนในทศวรรษหน้า

เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้ จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ ตามตาราง แสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ ดังนี้ พันธบัตรรัฐบาล คือตราสารที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ซึ่งสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นให้แก่ผู้ถือเมื่อครบกำหนดหรือจ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดๆแล้วแต่จะตกลงกัน รัฐบาลจะออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อกู้ยืมเงินจากประชาชนและ ผู้ซื้อพันธบัตรจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้รัฐบาลตามกฎหมาย ประเภทของพันธบัตรรัฐบาลไทยที่ออกจำหน่าย พันธบัตรหรือหุ้นกู้จะให้ผลตอบแทนในรูปของ “อัตราดอกเบี้ย” ตั๋วเงิน คือเอกสารที่คู่สัญญาใช้เป็นหลักฐานทางการเงิน เป็นนิติกรรมสองฝ่ายขึ้นไป จัดเป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่มีที่มาจากมูลหนี้เดิม มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน (Reciprocal contract) บุคคลที่จะเข้าเป็นคู่สัญญาตั๋วเงินได้ต้องมีความสามารถตามมาตรา ๑๕๓ และต้องแสดงเจตนาเข้ามาเป็นคู่สัญญาในตั๋วเงินด้วยความสมัครใจตามมาตรา ๑๔๙ ปราศจากความสำคัญผิด กลฉ้อฉล หรือการข่มขู่ เช่นเดียวกับการทำสัญญาทั่วไป ตราสารทุน (Equity Instruments) คือ ตราสารที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือเพื่อแสดงสิทธิของความเป็นเจ้าของในกิจการนั้น ประเภทของตราสารแห่งทุน 1. หุ้นสามัญ (Common Stocks หรือ Ordinary Shares) คือ ตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของ กิจการและเมื่อกิจการมีกำไรจาการดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับเงินปันผลใน อัตราที่จัดสรรโดยที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น โดยคำนวณตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นนั้นถือครอง ทั้งนี้เงินปันผลอาจสูงขึ้นหรือลดต่ำลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับผลกำไรจากการดำเนินงานประจำปี 2. หุ้นบุริมสิทธิ์ (Preferred Stocks) คือ ตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการที่มีการจดบุริม สิทธิ์ไว้อย่างแจ้งชัดไม่สามารถยกเลิกได้ เมื่อกิจการมีกำไรจากการดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับเงินปันผลใน อัตราคงที่ ตามที่จดบุริมสิทธิ์ไว้ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่าผู้ถือหุ้นสามัญก็ได้ แต่หากกิจการนั้นมีอันต้องเลิกดำเนินการและมีการชำระบัญชีโดยการขายทรัพย์สิน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับเงินคืนทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ 3. ใบสำคัญแสดงสิทธิในหุ้น (Stock Warrants) คือ ตราสารสิทธิที่กิจการออกให้แก่ผู้ลงทุนเพื่อให้สิทธิ ในการซื้อหุ้นออกใหม่ในราคา จำนวน และภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ลงทุนจะมีสิทธิในความเป็นเจ้าของกิจการต่อเมื่อได้ใช้สิทธิในการซื้อหุ้นของกิจการนั้นแล้วเท่านั้น 4. หน่วยลงทุนในกองทุนตราสารแห่งทุน คือ ตราสารสิทธิในการเป็นเจ้าของหน่วยลงทุนของกองทุน รวมที่มีนโยบายลงทุนเฉพาะในตราสารแห่งทุน ผู้ลงทุนจะมีสิทธิความเป็นเจ้าของกิจการที่กองทุนรวมนั้นลงทุนไว้ ตามสิทธิที่เฉลี่ยระหว่างผู้ถือหน่วยลงทุนทั้งหมดในกองทุนรวมนั้นนั่นเอง 5. ตราสารแสดงสิทธิ์ในอนุพันธ์ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้น (stock options & futures) คือ สัญญาที่ผู้ ลงทุนสองฝ่ายตกลงกันเพื่อซื้อหรือขายหุ้นในราคา จำนวน และภายในระยะเวลาที่กำหนด (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในตราสารเพื่อการลงทุนในทศวรรษหน้า

นางสาวนิลาวัลย์ ทองทิพย์ รหัส 55127326064

เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ เช่น ตราสารหนี้ มี พันธบัตร หุ้นกู้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตราสารอนุพันธ์ ตราสารหุ้น มี หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธ์

 ตราสารหนี้ หรือ ตราสารแห่งหนี้(อังกฤษ: bond) คือ ตราสารทางการเงินที่ผู้ออกตราสาร ซึ่งเรียกว่า ผู้กู้ หรือ ลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเงินต้น หรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ตามกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งเรืยกว่า เจ้าหนี้ หรือ ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไปตราสารหนี้ในตลาดทุนมักจะหมายถึง ตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

พันธบัตร คือ ตราสารทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐบาล จุดประสงค์ในการออกพันธบัตรก็เพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันและประชาชนทั่วไป โดยถือว่าผู้ออกพันธบัตรนั้นมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องมีภาระในการจ่ายคืนหนี้ให้กับผู้ถือพันธบัตรซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ออกพันธบัตรต่อไปในอนาคต โดยที่จำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืน ระยะเวลา และ อัตราผลตอบแทน ขึ้นกับสัญญาที่ได้กำหนดเอาไว้

หุ้นกู้ (อังกฤษ: corporate bond หรือ debenture) คือ ตราสารหนี้ระยะยาว ที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียน หรือ บริษัท มหาชน จำกัด ตามกฎหมายไม่ได้กำหนดอายุของหุ้นกู้ไว้ แต่โดยทั่วไป บริษัทผู้ออก มักจะกำหนดอายุของหุ้นกู้ประมาณ 2 - 20 ปี

ตั๋วสัญญาใช้เงิน (อังกฤษ: promissory note) หมายถึง หนังสือตราสารซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่า "ผู้ออกตั๋ว" (อังกฤษ: maker) ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือใช้ให้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า "ผู้รับเงิน" (อังกฤษ: payee)

ตราสารอนุพันธ์ (อังกฤษ: derivative บางตำราอาจเรียกว่า สัญญาอนุพันธ์) เป็นตราสารทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับกระแสเงินของสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ได้มีค่าจากกระแสเงินของตัวตราสารเองโดยตรง ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ ได้แก่ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบมาตรฐาน (futures), สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบไม่มาตรฐาน (forward), ตราสารแลกเปลี่ยน (swap), ตราสารสิทธิ (option) เป็นต้น และมีสินทรัพย์ที่สามารถอ้างอิงได้คือ เงินตราต่างประเทศ ตราสารหนี้ ตราสารทุน สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โลหะมีค่า สินค้าเกษตร น้ำมัน หรือสินค้าอื่นใดที่มีดัชนีแน่นอนรองรับการออกตราสารอนุพันธ์ได้

ตราสารทุน หรือ ตราสารแห่งทุน (อังกฤษ: equity instrument) เป็นตราสารทางการเงินที่แสดงถึงการจัดแหล่งเงินทุนจากการเป็นเจ้าของ ซึ่งจะมีความผูกผันในฐานะเจ้าของหุ้นส่วนกิจการ

 หุ้นสามัญ เป็นตราสารทุนที่บ่งชี้ถึงการมีส่วนในการเป็นเจ้าของกิจการนั้นๆ การถือหุ้นสามัญเป็นการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุม มีสิทธิในการได้รับเงินปันผล หรือประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ ตามที่ประชุมของผู้ถือหุ้นอนุมัติ อย่างไรก็ตามในทางทฤษฏี ผู้ถือหุ้นสามัญจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในลำดับสุดท้าย ในการได้รับส่วนที่เหลือจากการลงทุน หากบริษัทล้มละลายหรือเลิกกิจการ

ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นสามัญที่จดทะเบียนจะมีชื่อย่อ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ชื่อย่อคือ BBL หุ้นประเภทอื่นที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะมีเครื่องหมาย -(ขีด) ต่อจากชื่อย่อ แล้วตามด้วยประเภทของตราสารทุน

 หุ้นบุริมสิทธิ (preferred stock) เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน คล้ายกับหุ้นสามัญ เพียงแต่ว่าไม่มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร มีข้อแตกต่างจากหุ้นสามัญคือ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิในการชำระคืนเงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการ รายละเอียดของบุริมสิทธิที่พึงจะมีจะต้องดูในเอกสารของบริษัทนั้นๆ อีกครั้งหนึ่ง หุ้นประเภทนี้มีไม่มากนักในตลาดหลักทรัพย์ มีการซื้อขายกันน้อย หรือภาษาเทคนิคเรียกว่ามีสภาพคล่องต่ำ หุ้นบุริมสิทธิบนกระดานหุ้นสังเกตได้จากสัญลักษณ์ -P ท้ายอักษรย่อ ของหุ้นสามัญ

 ที่ชอบที่สุด คือ

    เช็ค ตามประมาลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 เอกเทศสัญญา ลักษณะ 21 หมวด 4 เช็ค มาตร 987 ได้ให้คำจำกัดความของเช็คไว้ว่า อันว่าเช็คนั้น คือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ง อันเรียกว่าผู้รับเงิน “
เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ เช่น ตราสารหนี้ มี พันธบัตร หุ้นกู้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตราสารอนุพันธ์ ตราสารหุ้น มี หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธ์

 ตราสารหนี้ หรือ ตราสารแห่งหนี้(อังกฤษ: bond) คือ ตราสารทางการเงินที่ผู้ออกตราสาร ซึ่งเรียกว่า ผู้กู้ หรือ ลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเงินต้น หรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ตามกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งเรืยกว่า เจ้าหนี้ หรือ ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไปตราสารหนี้ในตลาดทุนมักจะหมายถึง ตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

พันธบัตร คือ ตราสารทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐบาล จุดประสงค์ในการออกพันธบัตรก็เพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันและประชาชนทั่วไป โดยถือว่าผู้ออกพันธบัตรนั้นมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องมีภาระในการจ่ายคืนหนี้ให้กับผู้ถือพันธบัตรซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ออกพันธบัตรต่อไปในอนาคต โดยที่จำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืน ระยะเวลา และ อัตราผลตอบแทน ขึ้นกับสัญญาที่ได้กำหนดเอาไว้

หุ้นกู้ (อังกฤษ: corporate bond หรือ debenture) คือ ตราสารหนี้ระยะยาว ที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียน หรือ บริษัท มหาชน จำกัด ตามกฎหมายไม่ได้กำหนดอายุของหุ้นกู้ไว้ แต่โดยทั่วไป บริษัทผู้ออก มักจะกำหนดอายุของหุ้นกู้ประมาณ 2 - 20 ปี

ตั๋วสัญญาใช้เงิน (อังกฤษ: promissory note) หมายถึง หนังสือตราสารซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่า "ผู้ออกตั๋ว" (อังกฤษ: maker) ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือใช้ให้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า "ผู้รับเงิน" (อังกฤษ: payee) 

ตราสารอนุพันธ์ (อังกฤษ: derivative บางตำราอาจเรียกว่า สัญญาอนุพันธ์) เป็นตราสารทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับกระแสเงินของสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ได้มีค่าจากกระแสเงินของตัวตราสารเองโดยตรง ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ ได้แก่ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบมาตรฐาน (futures), สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบไม่มาตรฐาน (forward), ตราสารแลกเปลี่ยน (swap), ตราสารสิทธิ (option) เป็นต้น และมีสินทรัพย์ที่สามารถอ้างอิงได้คือ เงินตราต่างประเทศ ตราสารหนี้ ตราสารทุน สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โลหะมีค่า สินค้าเกษตร น้ำมัน หรือสินค้าอื่นใดที่มีดัชนีแน่นอนรองรับการออกตราสารอนุพันธ์ได้

ตราสารทุน หรือ ตราสารแห่งทุน (อังกฤษ: equity instrument) เป็นตราสารทางการเงินที่แสดงถึงการจัดแหล่งเงินทุนจากการเป็นเจ้าของ ซึ่งจะมีความผูกผันในฐานะเจ้าของหุ้นส่วนกิจการ

 หุ้นสามัญ เป็นตราสารทุนที่บ่งชี้ถึงการมีส่วนในการเป็นเจ้าของกิจการนั้นๆ การถือหุ้นสามัญเป็นการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุม มีสิทธิในการได้รับเงินปันผล หรือประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ ตามที่ประชุมของผู้ถือหุ้นอนุมัติ อย่างไรก็ตามในทางทฤษฏี ผู้ถือหุ้นสามัญจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในลำดับสุดท้าย ในการได้รับส่วนที่เหลือจากการลงทุน หากบริษัทล้มละลายหรือเลิกกิจการ

ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นสามัญที่จดทะเบียนจะมีชื่อย่อ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ชื่อย่อคือ BBL หุ้นประเภทอื่นที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะมีเครื่องหมาย -(ขีด) ต่อจากชื่อย่อ แล้วตามด้วยประเภทของตราสารทุน

 หุ้นบุริมสิทธิ (preferred stock) เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน คล้ายกับหุ้นสามัญ เพียงแต่ว่าไม่มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร มีข้อแตกต่างจากหุ้นสามัญคือ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิในการชำระคืนเงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการ รายละเอียดของบุริมสิทธิที่พึงจะมีจะต้องดูในเอกสารของบริษัทนั้นๆ อีกครั้งหนึ่ง หุ้นประเภทนี้มีไม่มากนักในตลาดหลักทรัพย์ มีการซื้อขายกันน้อย หรือภาษาเทคนิคเรียกว่ามีสภาพคล่องต่ำ หุ้นบุริมสิทธิบนกระดานหุ้นสังเกตได้จากสัญลักษณ์ -P ท้ายอักษรย่อ ของหุ้นสามัญ

   ที่ชอบที่สุดคือ

  เช็ค ตามประมาลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 เอกเทศสัญญา ลักษณะ 21 หมวด 4 เช็ค มาตร 987 ได้ให้คำจำกัดความของเช็คไว้ว่า อันว่าเช็คนั้น คือหนังสือตราสารซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง หรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ง อันเรียกว่าผู้รับเงิน “
   เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ   แสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ ดังนี้

เช็ค คือ ตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่ายสั่งให้ธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งอันเรียกว่า ผู้รับเงิน โดยเช็คเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบริหารเงินสดครับ เราสามารถจำแนกคู่สัญญาออกได้ดังนี้ 1. ผู้สั่งจ่ายเช็ค (Drawer) คือเจ้าของบัญชีกระแสรายวันที่เปิดบัญชีไว้กับธนาคาร ผู้เขียนสั่งจ่ายหรือออกเช็ค 2. ธนาคาร(Banker) คือธนาคารผู้รับฝากเงินประเภทกระแสรายวันที่ผู้สั่งจ่ายเช็คเปิดบัญชีไว้ 3. ผู้รับเงิน(Payee) คือผู้มีสิทธิที่จะขึ้นเงินตามเช็คนั้นในฐานะผู้ทรง(Holder) ทั้งนี้ผู้ทรงอาจมีฐานะเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้รับเงินตามที่ปรากฎในเช็คนั้น หรืออาจเป็นผู้รับเงินในฐานะ ผู้รับสลักหลัง หรือในฐานะผู้ถือได้ องค์ประกอบของเช็ค 1.คำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค 2.คำสั่งปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน 3. ชื่อหรือยี่ห้อและสำนักของธนาคาร 4.ชื่อ หรือยี่ห้อของผู้รับเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ 5.สถานที่ใช้เงิน 6.วันและสถานที่ออกเช็ค 7.ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย ครับหลังจากทราบองค์ประกอบที่ต้องปรากฎอยู่บนเช็คแล้ว เรามาดูกันว่าเช็คในปัจจุบันมีกี่ประเภท

ประเภทของเช็ค 1.เช็คเงินสด หรือเช็คจ่ายผู้ถือ (Cash or bearer’s cheque) คือเช็คที่มีคำว่า เงินสด แทนชื่อผู้รับเงิน หรือเช็คที่ระบุชื่อผู้รับเงินแต่ไม่ได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ผู้ที่มีเช็คประเภทนี้สามารถนำเช็คไปเบิกเงินสดจากธนาคารได้ทันที ดังนั้นหากเจ้าของเช็คทำเช็คเงินสดสูญหาย ผู้ใดก็ตามที่เก็บเช็คเงินสดนั้นได้สามารถนำเช็คไปเบิกเงินสดกับธนาคารได้ เนื่องจากเช็คไม่ได้มีการขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” 2. เช็คที่ระบุชื่อผู้รับเงิน หรือเช็คจ่ายตามสั่ง (Order’s cheque) คือเช็คที่ระบุชื่อผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” เช้คประเภทนี้ผู้ที่มีชื่อเป็นผู้รับเงินจะต้องนำเช็คนั้นไปเบิกธนาคารด้วยตัวเองและหากผู้รับเงินต้องการโอนเช็คให้ผู้อื่น ผู้รับเงินต้องทำการสลักหลังเช็คนั้นก่อน 3. แคชเชียร์เช็ค (Cashier’s cheque) คือเช็คที่บุคคลต้องนำเงินสดมาซื้อเช็คกับธนาคารแล้วธนาคารจะออกแคชเชียร์เช็คให้โดยคิดค่าธรรมเนียมด้วย และธนาคารจะเป็นผู้จ่ายเงินให้กับผู้รับเงินตามที่ระบุไว้ในเช็คนั้น แคชเชียร์เช็คต่างจากเช็คเงินสดที่เช็คเงินสดสั่งจ่ายจากบัญชีกระแสรายวันของผู้สั่งจ่ายซึ่งผู้รับเงินอาจจะไม่แน่ใจว่าในบัญชีของผู้สั่งจ่ายมีเงินพอจ่ายหรือไม่ แต่แคชเชียร์เช็คบุคคลจะนำเงินสดไปซื้อแคชเชียร์เช็คกับธนาคารก่อนและธนาคารเป็นผู้จ่ายเงินให้กับผู้รับเงิน ดังนั้นผู้รับแคชเชียร์เช็คจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับเงินแน่นอน 4. เช็คที่ธนาคารรับรอง คือเช็คที่บุคคลเขียนสั่งจ่ายแล้วให้ธนาคารรับรองการจ่ายเงินตามเช็คนั้น โดยธนาคารจะเขียนคำว่า “ใช้ได้” หรือ “รับรองจ่าย” หรือ “Good” ลงในเช็คพร้อมทั้งลงลายมือชื่อผู้มีอำนาจของธนาคาร และธนาคารจะหักเงินออกจากบัญชีของผู้สั่งจ่ายทันที ซึ่งทำให้ผู้รับมั่นใจได้ว่า จะได้รับเงินแน่นอน ทั้งนี้ธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียมในการรับรองเช็คด้วย 5. เช็คเดินทาง เป็นเช็คที่ผู้เดินทางนำหลักฐานการเดินทางมาขอซื้อเช็คเดินทางกับธนาคาร เช็คเดินทางจะช่วยให้ผู้เดินทางไม่ต้องพกเงินสดเป็นจำนวนมาก เมื่อผู้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆสามารถใช้เช็คเดินทางขึ้นเงินสดจากธนาคารต่างๆ รวมทั้งสามารถใช้เช้คเดินทางชำระค่าสินค้าได้มนร้านค้าที่ยอมรับเช็คเดินทางนั้น พันธบัตรรัฐบาล เป็นตราสารหนี้ที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก เพื่อกู้เงินจากประชาชน ดังนั้น รัฐบาลจะอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ ส่วนผู้ที่ถือพันธบัตร ได้แก่ ประชาชน สถาบันการเงิน หรือองค์กรใดๆที่ถือพันธบัตรก็จะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาล สำหรับพันธบัตรที่ออกโดยหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจะเรียกว่า พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ตราสารหนี้ หรือ ตราสารแห่งหนี้ (อังกฤษ: bond) คือ ตราสารทางการเงินที่ผู้ออกตราสาร ซึ่งเรียกว่า ผู้กู้ หรือ ลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเงินต้น หรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ตามกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งเรืยกว่า เจ้าหนี้ หรือ ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไปตราสารหนี้ในตลาดทุนมักจะหมายถึง ตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ตั๋วเงิน คือ เอกสารเครดิตที่ใช้แทนเงินในวงการธุรกิจ ตั๋วเงินอาจถูกขายเปลี่ยนมือผู้ถือหรือโอนสลักหลัง ตั๋วเงินแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) 2. ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) 3. เช็ค (Cheque) 1. ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) ตั๋วสัญญาใช้เงิน คือ หนังสือตราสารที่บุคคลผู้หนึ่งที่เรียกว่าผู้ออกตั๋ว ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้รับเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงินต้องมีข้อความต่อไปนี้ 1. คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน 2. คำมั่นสัญญาโดยปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน 3. วันถึงกำหนดใช้เงิน 4. สถานที่ใช้เงิน 5. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงิน 6. วันและสถานที่ที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 7. ลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว หุ้นกู้ (Bonds) คือ ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะยาวประเภทหนึ่งที่ออกโดยผู้กู้ ซึ่งระบุว่าผู้กู้ ได้กู้ยืมเงินจำนวนหนึ่งจากผู้ซื้อ หรือผู้ถือหุ้นกู้โดยผู้กู้สัญญาว่าจะจ่ายคืนเงินจำนวนดังกล่าวในอนาคต และจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายงวดตามวันที่กำหนดไว้ตลอดอายุหุ้นกู้ ผู้ถือหุ้นกู้จะมีสภาพ เป็นเจ้าหนี้ของบริษัทที่ออกหุ้นกู้นั้นหุ้นกู้ที่ออกจำหน่ายจะต้องระบุข้อมูล ดังนี้ ระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอน หรืออายุหุ้นกู้ มูลค่าที่ตราไว้ หรือ มูลค่าเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน ซึ่งเป็นเงินต้นที่ผู้กู้ต้องชำระคืน ณ วันครบกำหนดไถ่ถอน โดยปกติจะเท่ากับ 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ย ที่ระบุไว้บนใบหุ้นกู้ ซึ่งแสดงถึงร้อยละของมูลค่าที่ตราไว้ โดยมักจะจ่ายเป็นรายปีหรือรายครึ่งปี หุ้นกู้จัดเป็นหลักทรัพย์ที่ให้รายได้ประจำ เนื่องจากการจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นของหุ้นกู้ ได้ระบุไว้แน่นอน ณ เวลาที่ออกและกำหนดเป็นจำนวนเงินคงที่ ตลอดอายุหุ้นกู้ ดังนั้นผู้ซื้อหรือผู้ถือหุ้นกู้จะทราบถึงกระแสเงินสดในอนาคตที่จะได้รับนับจากวันที่ซื้อจนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอน ส่วนหุ้นสามัญ (Common Stocks) หรือที่บางคนเรียกว่า หุ้นทุน คือ ตราสารทุนที่บอกถึงความมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในบริษัท ซึ่งออกโดยบริษัทมหาชนจำกัด ที่ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในธุรกิจนั้น ๆ โดยตรง เช่น การมีสิทธิเข้าประชุมและลงคะแนนเสียงในที่ประชุม มีสิทธิร่วมตัดสินในปัญหาสำคัญในที่ประชุมผู้ถือหุ้นคะ โดยผลตอบแทนที่ผู้ซื้อหุ้นสามัญจะได้โดยตรงก็คือ เงินปันผลจากกำไรในธุรกิจตามอัตราที่ที่ประชุมใหญ่กำหนด ซึ่งไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัท และอาจไม่มีการจ่ายเงินปันผลเลยก็ได้เงินกำไรจากการขายหุ้นถ้าหุ้นปรับตัวขึ้น และสิทธิในการจองซื้อหุ้นใหม่ ในกรณีที่มีการเพิ่มทุนจดทะเบียน ฯลฯ แล้วก็ในตลาดหุ้นที่ซื้อขายกันอยู่ในทุกวันนี้ หุ้นสามัญเป็นหุ้นที่นักลงทุนส่วนใหญ่ซื้อขายกันอยู่ มากกว่า 80% ของหุ้นในตลาดทั้งหมด ความแตกต่างระหว่างหุ้นสองประเภทนี้จะเห็นได้ชัดตอนที่เลิกบริษัท คือ ผู้ถือหุ้นกู้จะมีสิทธิ์มาเรียกคืนเงินของตนเองก่อน เพราะว่าเป็นเงินกู้ยืม แต่ผู้ถือหุ้นสามัญ จะเป็นรายสุดท้ายที่จะได้เงินคืน หรืออาจไม่ได้คืนเลยก็ได้ ถ้าบริษัทไม่มีจ่าย เพราะว่าเป็นเจ้าของ

   เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ  ทั้งนี้ จะ แสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ ดังนี้

พันธบัตรรัฐบาล คือ ตราสารที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ซึ่งสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยพร้อมเงินต้นให้แก่ผู้ถือเมื่อครบกำหนดหรือจ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดๆแล้วแต่จะตกลงกัน รัฐบาลจะออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อกู้ยืมเงินจากประชาชนและ ผู้ซื้อพันธบัตรจะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้รัฐบาลตามกฎหมาย เช็ค คือ ตราสารซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่าผู้สั่งจ่ายสั่งให้ธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถามให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งอันเรียกว่า ผู้รับเงิน โดยเช็คเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการบริหารเงินสดครับ เราสามารถจำแนกคู่สัญญาออกได้ดังนี้ 1. ผู้สั่งจ่ายเช็ค (Drawer) คือเจ้าของบัญชีกระแสรายวันที่เปิดบัญชีไว้กับธนาคาร ผู้เขียนสั่งจ่ายหรือออกเช็ค 2. ธนาคาร(Banker) คือธนาคารผู้รับฝากเงินประเภทกระแสรายวันที่ผู้สั่งจ่ายเช็คเปิดบัญชีไว้ 3. ผู้รับเงิน(Payee) คือผู้มีสิทธิที่จะขึ้นเงินตามเช็คนั้นในฐานะผู้ทรง(Holder) ทั้งนี้ผู้ทรงอาจมีฐานะเป็นผู้มีชื่อเป็นผู้รับเงินตามที่ปรากฎในเช็คนั้น หรืออาจเป็นผู้รับเงินในฐานะ ผู้รับสลักหลัง หรือในฐานะผู้ถือได้ องค์ประกอบของเช็ค 1.คำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค 2.คำสั่งปราศจากเงื่อนไขให้ใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน 3. ชื่อหรือยี่ห้อและสำนักของธนาคาร 4.ชื่อ หรือยี่ห้อของผู้รับเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ 5.สถานที่ใช้เงิน 6.วันและสถานที่ออกเช็ค 7.ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย ครับหลังจากทราบองค์ประกอบที่ต้องปรากฎอยู่บนเช็คแล้ว เรามาดูกันว่าเช็คในปัจจุบันมีกี่ประเภท

ประเภทของเช็ค 1.เช็คเงินสด หรือเช็คจ่ายผู้ถือ (Cash or bearer’s cheque) คือเช็คที่มีคำว่า เงินสด แทนชื่อผู้รับเงิน หรือเช็คที่ระบุชื่อผู้รับเงินแต่ไม่ได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ผู้ที่มีเช็คประเภทนี้สามารถนำเช็คไปเบิกเงินสดจากธนาคารได้ทันที ดังนั้นหากเจ้าของเช็คทำเช็คเงินสดสูญหาย ผู้ใดก็ตามที่เก็บเช็คเงินสดนั้นได้สามารถนำเช็คไปเบิกเงินสดกับธนาคารได้ เนื่องจากเช็คไม่ได้มีการขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” 2. เช็คที่ระบุชื่อผู้รับเงิน หรือเช็คจ่ายตามสั่ง (Order’s cheque) คือเช็คที่ระบุชื่อผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” เช้คประเภทนี้ผู้ที่มีชื่อเป็นผู้รับเงินจะต้องนำเช็คนั้นไปเบิกธนาคารด้วยตัวเองและหากผู้รับเงินต้องการโอนเช็คให้ผู้อื่น ผู้รับเงินต้องทำการสลักหลังเช็คนั้นก่อน 3. แคชเชียร์เช็ค (Cashier’s cheque) คือเช็คที่บุคคลต้องนำเงินสดมาซื้อเช็คกับธนาคารแล้วธนาคารจะออกแคชเชียร์เช็คให้โดยคิดค่าธรรมเนียมด้วย และธนาคารจะเป็นผู้จ่ายเงินให้กับผู้รับเงินตามที่ระบุไว้ในเช็คนั้น แคชเชียร์เช็คต่างจากเช็คเงินสดที่เช็คเงินสดสั่งจ่ายจากบัญชีกระแสรายวันของผู้สั่งจ่ายซึ่งผู้รับเงินอาจจะไม่แน่ใจว่าในบัญชีของผู้สั่งจ่ายมีเงินพอจ่ายหรือไม่ แต่แคชเชียร์เช็คบุคคลจะนำเงินสดไปซื้อแคชเชียร์เช็คกับธนาคารก่อนและธนาคารเป็นผู้จ่ายเงินให้กับผู้รับเงิน ดังนั้นผู้รับแคชเชียร์เช็คจึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับเงินแน่นอน 4. เช็คที่ธนาคารรับรอง คือเช็คที่บุคคลเขียนสั่งจ่ายแล้วให้ธนาคารรับรองการจ่ายเงินตามเช็คนั้น โดยธนาคารจะเขียนคำว่า “ใช้ได้” หรือ “รับรองจ่าย” หรือ “Good” ลงในเช็คพร้อมทั้งลงลายมือชื่อผู้มีอำนาจของธนาคาร และธนาคารจะหักเงินออกจากบัญชีของผู้สั่งจ่ายทันที ซึ่งทำให้ผู้รับมั่นใจได้ว่า จะได้รับเงินแน่นอน ทั้งนี้ธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียมในการรับรองเช็คด้วย 5. เช็คเดินทาง เป็นเช็คที่ผู้เดินทางนำหลักฐานการเดินทางมาขอซื้อเช็คเดินทางกับธนาคาร เช็คเดินทางจะช่วยให้ผู้เดินทางไม่ต้องพกเงินสดเป็นจำนวนมาก เมื่อผู้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆสามารถใช้เช็คเดินทางขึ้นเงินสดจากธนาคารต่างๆ รวมทั้งสามารถใช้เช้คเดินทางชำระค่าสินค้าได้มนร้านค้าที่ยอมรับเช็คเดินทางนั้น

  1. ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) ตั๋วสัญญาใช้เงิน คือ หนังสือตราสารที่บุคคลผู้หนึ่งที่เรียกว่าผู้ออกตั๋ว ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้รับเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงินต้องมีข้อความต่อไปนี้
  2. คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน
  3. คำมั่นสัญญาโดยปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน
  4. วันถึงกำหนดใช้เงิน
  5. สถานที่ใช้เงิน
  6. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงิน
  7. วันและสถานที่ที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน
  8. ลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว

ตราสารหนี้ คือ ตราสารทางการเงินที่แสดงความเป็นหนี้ระหว่างกัน โดยลักษณะของการเป็นตราสารเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนมือได้กล่าวอีกนัยหนึ่งตราสารหนี้ก็คือ การกู้ยืมเงินชนิดหนึ่งที่มีความเป็นมาตรฐาน ผู้ออกตราสารเป็นผู้กู้หรือลูกหนี้ ในขณะที่ผู้ให้กู้เป็นผู้ซื้อหรือเจ้าหนี้ โดยทั้งสองฝ่ายมีข้อผูกพันทางกฎหมายที่จะได้รับชำระเงินหรือผลประโยชน์อื่นใด เช่น ดอกเบี้ย เงินต้น ตามเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ ตราสารหนี้มีคุณสมบัติที่สามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยๆที่เท่าๆกันโดยได้ผลประโยชน์หรืออัตราผลตอบแทนเท่ากันทุกหน่วย และมีคุณสมบัติที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือกันได้จนกว่าจะหมดอายุของตราสารนั้น สำหรับการเรียกชื่อตราสารหนี้ มีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยทั่วไปในต่างประเทศใช้คำว่า Bond สำหรับตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน(Secured bond) และใช้คำว่า Debenture สำหรับตราสารหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน(Unsecured bond) สำหรับในประเทศไทยนิยมเรียกตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลหรือองค์กรของรัฐว่า พันธบัตร(Bond) ส่วนตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชนจะเรียกว่า หุ้นกู้(Debenture)

ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) หมายถึง สินทรัพย์ทางการเงินชนิดหนึ่งที่มูลค่าของตัวเองขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นที่เรียกว่า สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) ตราสารอนุพันธ์มีหลายรูปแบบเช่น ในรูปแบบที่เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งจะเป็นการทำสัญญากันระหว่างบุคคล 2 ฝ่ายที่ทำการตกลงกัน ณ วันนี้ เพื่อซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยมีการระบุประเภท จำนวน และเวลาส่งมอบสินค้ากัน ที่สำคัญคือตกลงราคากันไว้ ณ วันนี้ เพื่อนำมาใช้เป็นราคาที่ทำการซื้อขายเมื่อถึงเวลาที่ตกลงจะส่งมอบสินค้ากันในอนาคต โดยตราสารอนุพันธ์นั้นมีหลายประเภท แต่ที่มักซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ได้แก่ Futures และ Options ตราสารทุน คือ ตราสารที่บริษัทออกให้แก่ผู้ถือเพื่อแสดงสิทธิของความเป็นเจ้าของในกิจการนั้น ประเภทของตราสารแห่งทุน 1. หุ้นสามัญ (Common Stocks หรือ Ordinary Shares) คือ ตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของ กิจการและเมื่อกิจการมีกำไรจาการดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้รับเงินปันผลใน อัตราที่จัดสรรโดยที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น โดยคำนวณตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นนั้นถือครอง ทั้งนี้เงินปันผลอาจสูงขึ้นหรือลดต่ำลงก็ได้ ขึ้นอยู่กับผลกำไรจากการดำเนินงานประจำปี 2. หุ้นบุริมสิทธิ์ (Preferred Stocks) คือ ตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการที่มีการจดบุริม สิทธิ์ไว้อย่างแจ้งชัดไม่สามารถยกเลิกได้ เมื่อกิจการมีกำไรจากการดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับเงินปันผลใน อัตราคงที่ ตามที่จดบุริมสิทธิ์ไว้ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่าผู้ถือหุ้นสามัญก็ได้ แต่หากกิจการนั้นมีอันต้องเลิกดำเนินการและมีการชำระบัญชีโดยการขายทรัพย์สิน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์จะได้รับเงินคืนทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ 3. ใบสำคัญแสดงสิทธิในหุ้น (Stock Warrants) คือ ตราสารสิทธิที่กิจการออกให้แก่ผู้ลงทุนเพื่อให้สิทธิ ในการซื้อหุ้นออกใหม่ในราคา จำนวน และภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ลงทุนจะมีสิทธิในความเป็นเจ้าของกิจการต่อเมื่อได้ใช้สิทธิในการซื้อหุ้นของกิจการนั้นแล้วเท่านั้น 4. หน่วยลงทุนในกองทุนตราสารแห่งทุน คือ ตราสารสิทธิในการเป็นเจ้าของหน่วยลงทุนของกองทุน รวมที่มีนโยบายลงทุนเฉพาะในตราสารแห่งทุน ผู้ลงทุนจะมีสิทธิความเป็นเจ้าของกิจการที่กองทุนรวมนั้นลงทุนไว้ ตามสิทธิที่เฉลี่ยระหว่างผู้ถือหน่วยลงทุนทั้งหมดในกองทุนรวมนั้นนั่นเอง 5. ตราสารแสดงสิทธิ์ในอนุพันธ์ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นหุ้น (stock options & futures) คือ สัญญาที่ผู้ ลงทุนสองฝ่ายตกลงกันเพื่อซื้อหรือขายหุ้นในราคา จำนวน และภายในระยะเวลาที่กำหนด

เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้ จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ ตามตาราง แสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ ดังนี้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) ตั๋วสัญญาใช้เงิน คือ หนังสือตราสารที่บุคคลผู้หนึ่งที่เรียกว่าผู้ออกตั๋ว ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้รับเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงินต้องมีข้อความต่อไปนี้ 1. คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน 2. คำมั่นสัญญาโดยปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน 3. วันถึงกำหนดใช้เงิน 4. สถานที่ใช้เงิน 5. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงิน 6. วันและสถานที่ที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 7. ลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว ตัวอย่างตั๋วสัญญาใช้เงิน

ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) ตั๋วแลกเงิน คือ หนังสือตราสารที่บุคคลผู้หนึ่งที่เรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งบุคคลอีกผู้หนึ่ง เรียกว่าผู้จ่าย ให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน ตั๋วแลกเงินต้องมีข้อความต่อไปนี้ 1. คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน 2. คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินจำนวนแน่นอน 3. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้จ่าย 4. วันถึงกำหนดใช้เงิน 5. สถานที่ใช้เงิน 6. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงินหรือจ่ายให้แก่ผู้ถือ 7. วันและสถานที่ที่ออกตั๋ว 8. ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย ตัวอย่างของตั๋วแลกเงิน

เช็ค (cheque) เช็ค คือ หนังสือตราสารที่บุคคลคนหนึ่งที่เรียกว่า ผู้สั่งจ่าย สั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถาม ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกว่า ผู้รับเงิน เช็คต้องมีข้อความต่อไปนี้ 1. คำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค 2. คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินจำนวนแน่นนอน 3. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงินหรือจ่ายให้แก่ผู้ถือ 4. ชื่อหรือยี่ห้อและสำนักงานของธนาคาร 5. สถานที่ใช้เงิน 6. วันและสถานที่ออกเช็ค 7. ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย ตัวอย่างของเช็ค

พันธบัตรรัฐบาล คือ ตราสารทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐบาล จุดประสงค์ในการออกพันธบัตรก็เพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันและประชาชนทั่วไป โดยถือว่าผู้ออกพันธบัตรนั้นมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องมีภาระในการจ่ายคืนหนี้ให้กับผู้ถือพันธบัตรซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ออกพันธบัตรต่อไปในอนาคต โดยที่จำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืน ระยะเวลา และ อัตราผลตอบแทน ขึ้นกับสัญญาที่ได้กำหนดเอาไว้ ตราสารทุนหรือหุ้นทุน (Share) คือ ส่วนของทุนของกิจการที่ถูกแบ่งออกเป็นหุ้น ซึ่งแต่ละหุ้นจะให้อำนาจผู้ถือหุ้นในการเป็นเจ้าของของกิจการตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือ ซึ่งหมายความรวมถึงการได้สิทธิในการได้รับส่วนแบ่งกำไรและสิทธิในการบริหาร ในที่นี้จะยกตัวอย่างหุ้นทุน 2 ประเภท คื

หุ้นสามัญ ( Common Stock ) เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน ซึ่งออกโดยบริษัทมหาชนจำกัดที่ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน โดยผู้ถือหุ้นสามัญจะมีสิทธิร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือครองอยู่ กล่าวคือ ร่วมเป็นผู้ตัดสินใจในปัญหาสำคัญในที่ประชุมผู้ถือหุ้น อาทิ การเพิ่มทุน การจ่ายเงินปันผล การควบรวมกิจการ นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นสามัญยังมีสิทธิได้รับเงินปันผลเมื่อบริษัทมีผลกำไร และมีโอกาสได้รับกำไรจากส่วนต่างของราคาเมื่อราคาหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นตามศักยภาพของบริษัท รวมถึงมีโอกาสได้รับสิทธิในการจองซื้อหุ้นออกใหม่เมื่อบริษัทเพิ่มทุนหรือจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิต่างๆ ให้แก่ผู้ถือหุ้น

หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นหุ้นที่มีลักษณะกึ่งหนี้สินและกึ่งหุ้นสามัญ (Hybrid) มีราคาหน้าตั๋ว (Par Value) และมีอัตราเงินปันผลกำหนดไว้ตายตัว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ เช่น ได้รับเงินปันผลก่อนหรือมากกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ และมีสิทธิในทรัพย์สินของบริษัทก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ (แต่หลังจากผู้เป็นเจ้าหนี้ของบริษัท) ในกรณีที่บริษัทจะต้องเลิกกิจการ อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับสิทธิในการออกเสียง และการบริหารงานของบริษัท ตราสารอนุพันธุ์ (Derivatives) หมายถึง ตราสารทางการเงินประเภทที่มูลค่า หรือราคาของตราสารนั้นเกี่ยวเนื่องอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์ที่ตราสารนั้นอิงอยู่ เช่น ตราสารสิทธิที่จะซื้อหรือขายหุ้น (Stock Options) เป็นตราสารอนุพันธุ์ เพราะราคาของตราสาร ดังกล่าวจะเกี่ยวโยงกับราคา ของหุ้นที่จะใช้ตราสารสิทธินั้นไปซื้อหรือขายได้ สัญญาซื้อขายดัชนีราคาหุ้นล่วงหน้า (Stock Index Futures) เป็นตราสารอนุพันธ์ เพราะราคาของตราสารนี้สืบเนื่องมาจากดัชนีราคาหุ้นที่ตราสารอิงอยู่ การจัดให้มีการซื้อขายตราสารอนุพันธ์จะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้อง กับ ตลาดการเงินมีเครื่องมือไว้ปกป้อง และบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่ และเป็นการเพิ่มช่องทางลงทุนซื้อขายที่หลากหลายยิ่งขึ้น หน่วยลงทุน (Unit trust) หมายถึง หลักทรัพย์ที่ออกขายโดยบริษัทจัดการลงทุน เพื่อระดมเงินเข้ากองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้น แล้วจัดสรรเงินในกองทุนนั้น ลงทุนในตลาดการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน เช่น ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ลงทุนในตราสารการเงิน ต่าง ๆ และฝากไว้กับสถาบันการเงิน เป็นต้น ผู้ถือหน่วยลงทุนมีฐานะร่วมเป็นเจ้าของกองทุนนั้น ๆ และมีสิทธิได้รับเงินปันผลตอบแทนจากผลกำไรที่เกิดขึ้น หากถือไว้จนถึงกำหนดไถ่ถอนก็จะได้รับส่วนแบ่งคืนจากเงินกองทุนตามสัดส่วนของหน่วยลงทุนที่ถืออยู่

ประภาพร เหลือถนอม รหัส 55127326047

 

เครื่องมือทางการเงิน

เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ ตามตาราง แสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ ดังนี้

ตราสารหนี้ หรือ ตราสารแห่งหนี้(อังกฤษ: bond) คือ ตราสารทางการเงินที่ผู้ออกตราสาร ซึ่งเรียกว่า ผู้กู้ หรือ ลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเงินต้น หรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ตามกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งเรืยกว่า เจ้าหนี้ หรือ ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไปตราสารหนี้ในตลาดทุนมักจะหมายถึง ตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

พันธบัตร คือ ตราสารทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐบาล จุดประสงค์ในการออกพันธบัตรก็เพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันและประชาชนทั่วไป โดยถือว่าผู้ออกพันธบัตรนั้นมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องมีภาระในการจ่ายคืนหนี้ให้กับผู้ถือพันธบัตรซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ออกพันธบัตรต่อไปในอนาคต โดยที่จำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืน ระยะเวลา และ อัตราผลตอบแทน ขึ้นกับสัญญาที่ได้กำหนดเอาไว้

หุ้นกู้ (อังกฤษ: corporate bond หรือ debenture) คือ ตราสารหนี้ระยะยาว ที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียน หรือ บริษัท มหาชน จำกัด ตามกฎหมายไม่ได้กำหนดอายุของหุ้นกู้ไว้ แต่โดยทั่วไป บริษัทผู้ออก มักจะกำหนดอายุของหุ้นกู้ประมาณ 2 - 20 ปีในปัจจุบัน บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ได้ออกหุ้นกู้หลายหลายรูปแบบ ทั้งนี้เพื่อเป็นการดึงดูดนักลงทุนให้สนใจหุ้นกู้ของบริษัท และเพื่อให้บริษัทสามารถออกหุ้นกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ตัวอย่างของหุ้นกู้ที่มีออกจำหน่ายในปัจจุบัน เช่น

หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (มักออกโดยธนาคาร เพราะตามกฎหมายธนาคารต้องให้คำสำคัญการชำระหนี้กับผู้ฝากเงินก่อน หุ้นกู้ที่ออกมาจึงต้องเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์)

หุ้นกู้แปลงสภาพ

หุ้นกู้ชนิดมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

หุ้นกู้ชนิดทยอยจ่ายคืนเงินต้น

หุ้นกู้ชนิดที่ให้สิทธิในการไถ่ถอนคืนก่อนกำหนด (callable or putable)

ตั๋วเงิน คือ เอกสารเครดิตที่ใช้แทนเงินในวงการธุรกิจ  ตั๋วเงินอาจถูกขายเปลี่ยนมือผู้ถือหรือโอนสลักหลัง

ตั๋วเงินแบ่งเป็น  3  ประเภท  ได้แก่

1. ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note)

2. ตั๋วแลกเงิน  (Bill of Exchange)

3. เช็ค (Cheque)

 

1.   ตั๋วสัญญาใช้เงิน  (Promissory Note)

ตั๋วสัญญาใช้เงิน คือ หนังสือตราสารที่บุคคลผู้หนึ่งที่เรียกว่าผู้ออกตั๋ว ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกบุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้รับเงิน 

ตั๋วสัญญาใช้เงินต้องมีข้อความต่อไปนี้

1. คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน

2. คำมั่นสัญญาโดยปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน

3. วันถึงกำหนดใช้เงิน

4. สถานที่ใช้เงิน

5. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงิน

6. วันและสถานที่ที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน

7. ลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว

 

2. ตั๋วแลกเงิน  (Bill of Exchange)

ตั๋วแลกเงิน  คือ  หนังสือตราสารที่บุคคลผู้หนึ่งที่เรียกว่าผู้สั่งจ่าย  สั่งบุคคลอีกผู้หนึ่ง เรียกว่าผู้จ่าย ให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน 

ตั๋วแลกเงินต้องมีข้อความต่อไปนี้

1. คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน

2. คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินจำนวนแน่นอน

3. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้จ่าย

4. วันถึงกำหนดใช้เงิน

5. สถานที่ใช้เงิน

6. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงินหรือจ่ายให้แก่ผู้ถือ

7. วันและสถานที่ที่ออกตั๋ว

8. ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

 

3.   เช็ค (cheque)

เช็ค  คือ  หนังสือตราสารที่บุคคลคนหนึ่งที่เรียกว่า  ผู้สั่งจ่าย  สั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถาม  ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกว่า 

ผู้รับเงิน เช็คต้องมีข้อความต่อไปนี้

1. คำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค

2.  คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินจำนวนแน่นนอน

3. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงินหรือจ่ายให้แก่ผู้ถือ

4. ชื่อหรือยี่ห้อและสำนักงานของธนาคาร

5. สถานที่ใช้เงิน

6. วันและสถานที่ออกเช็ค

7. ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

 

รายละเอียดต่างๆ  เกี่ยวกับตั๋วเงิน

1. เงินหน้าตั๋ว  (Face  Value)  คือ  จำนวนเงินที่ระบุไว้ในตั๋ว

2. วันถึงกำหนด   (Maturity  Date)   คือ  วันที่ผู้ออกตั๋วจะต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือตั๋วตามสัญญาใช้เงิน

3. เงินถึงกำหนด  (Maturity  Value)  คือ  เงินหน้าตั๋วบวกดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงิน

4.เงินส่วนลด คือ  เงินที่ผู้ถือตั๋วถูกหักไว้เป็นค่าป่วยการ เนื่องจากนำตั๋วไปขายก่อนถึงวันกำหนด เงินที่ได้รับหลังจากหักเงินส่วนลดแล้วเรียกว่าเงินปัจจุบัน และวันที่นำตั๋วเงินไปขายเรียกว่าวันคิดลด และการนับจำนวนวันสำหรับคิดเงินส่วนลดให้เริ่มนับหลังจากวันคิดลด 1  วัน จนถึงวันกำหนด

ตราสารอนุพันธ์ (อังกฤษ: derivative บางตำราอาจเรียกว่า สัญญาอนุพันธ์) เป็นตราสารทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับกระแสเงินของสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ได้มีค่าจากกระแสเงินของตัวตราสารเองโดยตรง ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ ได้แก่ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบมาตรฐาน (futures), สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบไม่มาตรฐาน (forward), ตราสารแลกเปลี่ยน (swap), ตราสารสิทธิ (option) เป็นต้น และมีสินทรัพย์ที่สามารถอ้างอิงได้คือ เงินตราต่างประเทศ ตราสารหนี้ ตราสารทุน สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โลหะมีค่า สินค้าเกษตร น้ำมัน หรือสินค้าอื่นใดที่มีดัชนีแน่นอนรองรับการออกตราสารอนุพันธ์ได้

น.ส. นฤมล  แก้วพันตา  เลขที่11 รหัส 55127326054

เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ

        ตราสารหนี้ หรือ Fixed Income Securities คือ ตราสารทางการเงิน ที่ผู้ออกตราสาร ซึ่งเรียกว่า ผู้กู้ หรือ ลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเงินต้น หรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ตามกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งเรืยกว่า เจ้าหนี้ หรือ ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไปตราสารหนี้ในตลาดทุนมักจะหมายถึง ตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

       ตราสารหนี้ประเภทที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (secured bond) เป็นตราสารหนี้ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นหุ้นกู้ที่บริษัทผู้ออกนำสินทรัพย์ของตนมาค้ำประกันการออกหุ้นกู้ นั้นและผู้ถือหุ้นกู้จะมีสิทธิในสินทรัพย์ที่วางเป็นประกันนั้นเหนือเจ้าหนี้สามัญรายอื่นๆ

        ตราสารอนุพันธ์ (อังกฤษ: derivative) เป็นสินทรัพย์ทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับกระแสเงินของสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ได้มีค่าจากกระแสเงินของตัวตราสารเองโดยตรง ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ ได้แก่ futures, forward, swap, options เป็นต้น และมีสินทรัพย์ที่สามารถอ้างอิงได้คือ เงินตราต่างประเทศ พันธบัตร ตั๋วเงิน หุ้นสามัญ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือทรัพย์สินใดๆ เป็นต้น

        พันธบัตร คือ ตราสารทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่ออกโดยรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และ สถาบันการเงินที่มี กฎหมายจัดตั้งขึ้นมา จุดประสงค์ในการออกพันธบัตรก็เพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันและประชาชน ทั่วไป โดยถือว่าผู้ออกพันธบัตรนั้นมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องมีภาระในการจ่ายคืน หนี้ให้กับผู้ถือพันธบัตรซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ออกพันธบัตรต่อไปในอนาคต โดยที่จำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืน ระยะเวลา และ อัตราผลตอบแทน ขึ้นกับสัญญาที่ได้กำหนดเอาไว้

        สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า หรือ โกลด์ฟิวเจอร์ส (Gold Futures) เป็นตราสารอนุพันธ์ หรือเครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่งที่ผู้ลงทุนสามารถใช้เก็งกำไรจากการผันผวนของราคาทองคำ ทั้งในภาวะขาขึ้นและภาวะขาลงของราคาทองคำ คุณลักษณะเด่นของตราสารอนุพันธ์ชนิดนี้คือ เป็นตราสารที่สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ และที่สำคัญที่สุดของการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประเภทนี้คือ ใช้เงินลงทุนน้อยประกอบกับราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวทุกวัน จะทำให้โอกาสในการรับผลตอบแทนนั้นมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง แต่ผู้ลงทุนต้องไม่ลืมที่ว่า การลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทนสูง โอกาสในการรับความเสี่ยงก็จะสูงด้วยเช่นเดียวกัน

        หุ้นบุริมสิทธิ (อังกฤษ: Preferred Stock) คือ ตราสารสิทธิที่แสดงความเป็นเจ้าของกิจการที่มีการจดบุริมสิทธิไว้อย่างชัดเจนไม่สามารถยกเลิกได้ โดยผู้ถือหุ้นมีสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นแต่สิทธิในการออก เสียงอยู่ที่การกำหนดว่าจะให้กี่หุ้นเท่ากับ 1 เสียงยกตัวอย่างเช่น 2 หุ้นเท่ากับ 1 เสียงหมายความว่าถ้าเราถือหุ้นอยู่ 100หุ้น จะถือว่าเรามีสิทธิออกเสียง 50เสียง และมีสิทธิได้รับเงินปันผลเป็นจำนวนที่ระบุไว้เมื่อกิจการมีกำไรจากการ ดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับเงินปันผลในอัตราคงที่ตามที่จดบุริมสิทธิไว้ อาจจะมากหรือน้อยกว่าผู้ถือหุ้นสามัญก็ได้ แต่หากกิจการนั้นต้องเลิกดำเนินการและมีการชำระบัญชีโดยการขายทรัพย์สิน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับเงินคืนทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ

อันนี้จะมีตัวอย่างด้วนนะค๊ะ

           ตราสารทางการเงิน  หมายถึง เอกสารที่แสดงสิทธิเรียกร้อง ที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานทางการเงิน ทั้งที่เกี่ยวกับการออมและการลงทุน อาทิเช่น ตรา สารทางการเงินที่ ให้ผลตอบแทนเป็น “ดอกเบี้ย” หรือ “เงิน ปันผล” เช่น บัญชีเงินฝากประเภทต่าง ๆ หุ้นกู้ หุ้นทุน เป็นต้น หรือตรา สารทางการเงินที่ มูลค่าเพิ่มหรือลดได้ เช่น หุ้นทุน หุ้นกู้ เป็นต้น

            ตราสารทางการเงินสามารถแบ่งตามอายุของตราสารได้เป็น 2 ประเภท
  1. ตราสารการเงินในตลาดเงิน ได้แก่ ตราสารที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี เป็นตราสารหนี้ไม่มีหลักประกัน การซื้อขายส่วนใหญ่ทำ โดยการหักส่วนลด เช่น

  2. ตราสารหนี้ระยะสั้น ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง ตั๋วแลกเงินที่ธนาคารรับรองหรืออาวัล

  3. ตราสารประเภทเงินออม ได้แก่ ใบรับฝากเงิน (Certificates of Deposits) เงินฝากธนาคาร

2.ตราสารการเงินในตลาดทุน ได้แก่ ตราสารที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป เช่น

  • ตราสารประเภทหนี้ระยะยาว เป็นตราสารที่อาจมีหลักประกัน หรือไม่มีก็ได้ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธุรกิจ หุ้นกู้
  • ตราสารประเภทกึ่งหนี้กึ่งทุน ได้แก่ หลักทรัพย์แปลงสภาพ (Convertible Security) ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ในการซื้อหุ้น
  • ตราสารประเภทหุ้น เป็นตราสารทุนแสดงความเป็นเจ้าของในกิจการซึ่งไม่กำหนดอายุไถ่ถอน หรือ อาจมีกำหนดอายุไถ่ถอนก็ได้ ผู้ถือตราสารได้รับผลตอบแทนตามผลการดำเนินงานของกิจการในรูปของเงินปันผล ไดแก่ หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์ หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดแปลงเป็นหุ้นทุน เอกสารสิทธิ์ในการซื้อหุ้น (Warrants)
  • หน่วยลงทุนได้แก่ หน่วยลงทุนของกองทุนประเภทต่างๆ

ภาพตัวอย่างเครื่องมือทางการเงิน - พันธบัตรรัฐบาล

        “ตราสารอนุพันธ์ (Derivative)” เป็นเครื่องมือทางการเงินประเภทหนึ่งที่มีมูลค่าเกี่ยวเนื่องกับมูลค่าของสินทรัพย์ที่ถูกนำมาใช้อ้างอิงในการซื้อขาย หรือที่เราเรียกกันว่า“สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset)” นั่นเอง โดยมูลค่าของตราสารอนุพันธ์จะได้รับอิทธิพลโดยตรงจากมูลค่าของสินทรัพย์อ้างอิงนั้นๆ ทั้งนี้ เมื่อมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ และอุปทานของสินค้าอ้างอิงในอนาคต มูลค่าของตราสารอนุพันธ์ก็จะปรับตัวตามทันทีเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น ก็เหมือนกับการที่เราไปจองซื้อรถยนต์ในงานมหกรรมรถยนต์ ซึ่งย่อมได้รับข้อเสนอในราคาพิเศษสุดๆ แต่เนื่องจากรถที่จองรุ่นนี้เป็นที่ต้องการของตลาดมากๆ จึงทำให้ขาดตลาดในขณะนั้น และยังไม่มีรถสำหรับส่งมอบภายในงานได้ทันที ดังนั้น เพื่อเป็นการประกันว่า หากจองซื้อรถภายในงาน ผู้จองจะได้รับการส่งมอบรถยนต์ในอนาคตอันใกล้ บริษัทรถยนต์ ก็จะทำการออกใบจองซึ่งระบุรายละเอียดทั้งรุ่นรถ จำนวนที่จองซื้อ ราคาที่จองซื้อ และระยะเวลาที่คาดว่าจะได้รับรถให้แก่เราเป็นการล่วงหน้า สำหรับเป็นหลักฐานว่า เมื่อมีรถยนต์รุ่นนี้วางจำหน่าย ทางบริษัทจะดำเนินการส่งมอบให้แก่เราผู้ถือใบจองก่อนตามรายละเอียดที่ได้ระบุไว้ข้างต้น ซึ่งใบจองที่บริษัทออกให้นี้เปรียบเสมือนกับตราสารอนุพันธ์ประเภทหนึ่งนั่นเอง นอกจากนี้ ทางบริษัทก็จะขอเรียกเก็บเงินมัดจำจำนวนหนึ่งจากเราในฐานะผู้ซื้อเพื่อแลกกับใบจองนั้น เกิดเป็นข้อตกลง หรือภาระผูกพันซึ่งคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องปฎิบัติตามขึ้นในอนาคต โดยเมื่อมีรถ บริษัทก็ต้องดำเนินการส่งมอบรถยนต์ให้แก่เรา ในทางกลับกัน เมื่อได้รับรถ เราก็ต้องจ่ายเงินสำหรับชำระราคาค่ารถยนต์รุ่นที่เราได้จองซื้อไว้นั้น อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าสินทรัพย์ทุกชนิดมีราคาผันผวนเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หากสมมติว่า ภายหลังจากงานมหกรรมรถยนต์ ความต้องการรถยนต์รุ่นนี้ในตลาดยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาของรถรุ่นนี้ในตลาดสูงกว่าราคาจองซื้อในงาน ใบจองที่เราถือครองอยู่ก็ย่อมที่จะมีมูลค่าสูงขึ้นตามเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ก็เพราะ เราสามารถซื้อรถได้ในราคาพิเศษ (ตามที่ระบุไว้ในใบจอง) ถูกกว่าราคาตลาดนั่นเอง ในทางกลับกัน หากรถยนต์รุ่นนี้ไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป และราคาในตลาดลดต่ำลงกว่าราคาที่จองซื้อในงาน ใบจองซึ่งเราถือครองอยู่นั้นก็จะมีมูลค่าลดลงตามไปด้วย

ลักษณะที่สำคัญของตราสารอนุพันธ์ที่เราควรทราบได้ดังต่อไปนี้

1. เป็นการตกลงทำธุรกรรมซื้อขายกันล่วงหน้าระหว่างคู่สัญญาสองฝ่าย ซึ่งได้แก่ ผู้ซื้อล่วงหน้า และผู้ขายล่วงหน้า โดยมีการตกลงรายละเอียดกัน ณ เวลาปัจจุบัน แต่จะมีการส่งมอบ และชำระราคากันจริงในอนาคต กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การซื้อขายยังไม่เกิดขึ้น ณ เวลาปัจจุบัน แต่จะไปเกิดขึ้นจริงในอนาคตแทนนั่นเอง

2. มีค่าเกี่ยวเนื่อง หรือขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ที่ถูกนำมาใช้อ้างอิงในการซื้อขายนั้น ซึ่งอาจเป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตนจับต้องได้ (Physical Asset) เช่น ยางพารา ข้าว มันสำปะหลัง หรืออาจเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Asset) เช่น พันธบัตร หุ้นสามัญ ก็ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถมีค่าเกี่ยวเนื่องกับตัวแปรอ้างอิง (Underlying Variable) ใดๆ ที่ถูกกำหนดขึ้นมา เช่น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และอัตราดอกเบี้ยได้เช่นเดียวกัน

3. มีการกำหนดระยะเวลาในการปฎิบัติตามภาระผูกพัน หรือใช้สิทธิของคู่สัญญา กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ตราสารอนุพันธ์มีอายุจำกัดนั่นเอง

4. มีการกำหนดพันธะผูกพัน (Obligation) หรือให้สิทธิ (Right) แก่คู่สัญญาในการซื้อ หรือขายสินทรัพย์อ้างอิง หรือตัวแปรอ้างอิง ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต โดยมีการระบุทั้งคุณภาพ จำนวน ราคาซื้อขาย รวมถึงวิธีการส่งมอบไว้เป็นการล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ลักษณะของตราสารอนุพันธ์ที่กล่าวถึงข้างต้น เป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้นที่สำคัญเท่านั้น ตราสารอนุพันธ์ยังมีความสลับซับซ้อนไม่น้อยไปกว่าเครื่องมือทางการเงินประเภทอื่นๆ ดังนั้น ตราสารอนุพันธ์ประเภทต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว จะสามารถแบ่งตราสารอนุพันธ์ออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังต่อไปนี้

1. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หมายถึง ข้อตกลง หรือสัญญาซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงที่จัดทำขึ้น ณ เวลาปัจจุบันระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขาย แต่จะมีการส่งมอบ และชำระราคาจริงในอนาคต ทั้งนี้ เมื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำสัญญากันแล้ว คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างมีพันธะผูกพันต้องปฎิบัติตามข้อตกลงที่ได้กำหนดขึ้น ไม่สามารถบิดพริ้วได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชำระราคา หรือการส่งมอบสินทรัพย์ โดยผู้ซื้อต้องรับมอบสินทรัพย์ และชำระราคาเมื่อถึงวันครบกำหนดตามข้อตกลง ในขณะที่ผู้ขายก็มีหน้าที่ต้องส่งมอบ และรับชำระราคาสินทรัพย์อ้างอิงนั้น ซึ่งเราสามารถแบ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าออกได้อีกเป็น 2 ประเภท คือ

           ฟอร์เวิร์ด (Forward Contract) หมายถึง ข้อตกลง หรือสัญญาซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงล่วงหน้าระหว่างผู้ซื้อ และ ผู้ขายเองเป็นการส่วนตัว หรืออาจดำเนินการผ่านสถาบันการเงินก็ได้ โดยผู้ซื้อตกลงที่จะซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนดขึ้น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต หรือที่เรียกกันว่า “Forward Price” ในขณะที่ผู้ขายตกลงที่จะขายสินทรัพย์ให้ตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้กับผู้ซื้อ และมีการส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิง ตลอดจนการชำระราคาให้แก่กันจริงตามที่ตกลงในสัญญานั้นๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฟอร์เวิร์ดเกิดขึ้นจากการทำสัญญาส่วนตัวระหว่างคู่สัญญากันเอง เปรียบเสมือนดั่งเป็นสัญญาลูกผู้ชาย (Gentleman Agreement) ระหว่างกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีการวางเงินประกัน หรือนำสินทรัพย์ใดๆ มาใช้ในการค้ำประกันสัญญาที่ได้จัดทำขึ้น การที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะไม่ปฎิบัติตามสัญญาย่อมมีโอกาสเป็นไปได้สูง โดยเฉพาะในกรณีที่ราคาสินทรัพย์อ้างอิงมีความผันผวนอย่างมากภายหลังจากที่ได้ทำสัญญาไปแล้ว ดังนั้นก่อนที่จะตกลงทำสัญญาขึ้น ต้องพิจารณาถึงความสามารถ และความน่าเชื่อถือของคู่สัญญาในการปฎิบัติตามสัญญาที่ได้ทำขึ้นนั้นด้วย นอกจากนี้ การที่รายละเอียดของสัญญามีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ทั้งในด้านคุณภาพของสินทรัพย์อ้างอิง ขนาดของสัญญา สถานที่ส่งมอบ วันครบกำหนดชำระราคา และกฎเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ ส่งผลให้การนำฟอร์เวิร์ดไปซื้อขายแลกเปลี่ยนมือในท้องตลาดเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เรียกได้ว่า มีสภาพคล่องต่ำมาก หรือแทบไม่มีเลยก็ได้ ทั้งนี้ ฟอร์เวิร์ดมักถูกนิยมนำไปใช้กับการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) เช่น ข้าวเจ้า ข้าวโพด ถั่ว ล่วงหน้า นอกจากนี้ ยังถูกสถาบันการเงินนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงทางด้านอัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในอนาคตให้แก่ลูกค้าของตนด้วย

              ฟิวเจอร์ส (Futures Contract) หมายถึง ข้อตกลง หรือสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ล่วงหน้าที่มีลักษณะลม้ายคล้ายคลึงกับฟอร์เวิร์ด แต่จะแตกต่างกันตรงที่ ประการแรก ตัวสัญญาฟิวเจอร์สจะมีความเป็นมาตรฐาน โดยมีการกำหนดรายละเอียด และเงื่อนไขไว้อย่างแน่นอน ทั้งในด้านคุณภาพของสินทรัพย์อ้างอิง ขนาดของสัญญา สถานที่ส่งมอบ และวันครบกำหนดชำระราคา ประการที่สอง การซื้อขายฟิวเจอร์สจะทำในตลาดล่วงหน้า (Futures Market) ที่มีการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ (Organized Exchange) เท่านั้น โดยต้องซื้อขายผ่านนายหน้า (Broker) ที่เป็นบริษัทสมาชิกของตลาดล่วงหน้าแห่งนั้น และจากการที่เป็นสัญญามาตรฐาน และมีสถานที่ซื้อขายอย่างเป็นทางการนี้เอง จึงทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายสามารถนำฟิวเจอร์สไปซื้อขายแลกเปลี่ยนมือในท้องตลาดได้ง่าย ทำให้มีสภาพคล่องสูงกว่าฟอร์เวิร์ด ประการที่สาม ราคาที่ใช้สำหรับซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงตามที่กำหนดไว้ในสัญญา มีชื่อเรียกว่า “Futures Price” ประการที่สี่ มีการกำหนดบัญชีวงเงินประกัน (Margin Account) ของทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย รวมถึงมีการปรับมูลค่าทุกสิ้นวันทำการ (Daily Settlement) ทำให้สามารถรับรู้กำไร หรือขาดทุนได้ตลอดเวลาจนกว่าจะถึงวันที่ครบกำหนดตามข้อกตกลง ประการที่ห้า มีสำนักหักบัญชี (Clearing House) ดูแลในเรื่องการรับประกันการซื้อขายตามสัญญาที่ระบุไว้ โดยจะทำหน้าที่เป็นคู่สัญญาแทน (Central Counterparty)ให้กับทั้งผู้ซื้อ และผู้ขายด้วยครับ ประการที่หก มีองค์กรกำกับดูแลควบคุมให้การซื้อขายเป็นไปอย่างเป็นธรรม และโปร่งใส ทั้งนี้ สังเกตได้ว่า จากการที่ฟิวเจอร์สมีทั้งการกำหนดบัญชีวงเงินประกัน และมีสำนักหักบัญชี ตลอดจนองค์กรกำกับดูแลนี้เอง ที่ส่งผลให้ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำสัญญาฟิวเจอร์สมีน้อยกว่าฟอร์เวิร์ด และประการสุดท้าย การซื้อขายฟิวเจอร์สส่วนใหญ่จะไม่มีการส่งมอบสินทรัพย์จริงๆ เกิดขึ้นเหมือนกับกรณีของฟอร์เวิร์ด โดยคู่สัญญาสามารถล้าง หรือปิดฐานะ (Offset) ของตนเองลงได้ ไม่จำเป็นต้องมีพันธะผูกพันกันจนถึงวันครบกำหนดตามข้อตกลงแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม หากมีการถือครองจนถึงวันที่ครบกำหนดตามข้อตกลง ก็อาจใช้วิธีส่งมอบสินทรัพย์อ้างอิง และชำระราคาจริง (Physical Delivery) หรือจะใช้วิธีหักล้างกันด้วยเงินสด (Cash Settlement) แทนก็ได้ครับ

2. สัญญาสิทธิ หรือ ออปชัน (Option) หมายถึง ข้อตกลง หรือสัญญาที่ให้สิทธิแก่ผู้ถือครองในการซื้อ หรือขายสินทรัพย์อ้างอิงที่ได้กำหนดไว้ตามจำนวน ราคา และระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า สัญญาประเภทนี้จะแตกต่างจากสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตรงที่ ประการแรก เป็นสัญญาที่ให้สิทธิที่แก่ผู้ซื้อ หรือผู้ถือครอง โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น สิทธิในการซื้อสินทรัพย์อ้างอิง หรือที่เรียกว่า “Call Option” และสิทธิในการขายสินทรัพย์อ้างอิง หรือที่เรียกกันว่า “Put Option” ประการที่สอง เนื่องจากเป็นเพียงการได้รับสิทธิ ดังนั้น ผู้ถือครองอาจเลือกที่จะใช้ หรือไม่ใช้สิทธินั้นก็ได้ ไม่ถือว่าเป็นภาระผูกพันที่ต้องซื้อ หรือ ขายสินทรัพย์อ้างอิงดังที่ระบุไว้ในข้อตกลงแต่อย่างใด ประการที่สาม เฉพาะในกรณีที่ผู้ถือครองเลือกใช้สิทธิตามสัญญาเท่านั้นที่ผู้ขายสัญญาจะมีภาระผูกพันต้องปฎิบัติตามสัญญาที่ตนเองเป็นผู้ออก ประการที่สี่ ราคาที่ใช้สำหรับซื้อ หรือ ขายสินทรัพย์อ้างอิงตามสิทธิที่กำหนดไว้ในสัญญา มีชื่อเรียกว่า “Exercise Price หรือ Strike Price” และประการสุดท้าย นอกเหนือจากราคาที่กำหนดให้ใช้สิทธิข้างต้น ผู้ถือครองยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียม (Premium) ให้แก่ผู้ขายสัญญา เพื่อให้ได้สิทธิในการซื้อ หรือ ขายสินทรัพย์อ้างอิงตามที่สัญญานั้นได้กำหนดไว้

3. สัญญาสวอป (Swap) หมายถึง ข้อตกลง หรือสัญญาที่จัดทำขึ้นระหว่างคู่สัญญาสองฝ่าย ที่มีความต้องการที่จะแลกเปลี่ยนสินทรัพย์อ้างอิง หรือตัวแปรอ้างอิงระหว่างกันตามจำนวนที่ระบุไว้ในอนาคต เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของการดำเนินธุรกิจของตน โดยอาจมีสถาบันการเงินทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน หรือเป็นคู่สัญญาอีกด้านหนึ่งให้แทนก็ได้

           นอกจากนี้ ตราสารอนุพันธ์ในแต่ละประเภทหลักที่กล่าวถึงข้างต้น ยังสามารถแบ่งย่อยออกตามประเภทของสินทรัพย์ หรือตัวแปรที่ถูกนำมาใช้อ้างอิงในการซื้อขายได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น สัญญาซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (Agricultural Futures) สัญญาซื้อขายดัชนี SET50 ล่วงหน้า (SET50 Index Futures) เป็นต้น

เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการบริหารการเงินส่วนบุคคลกันมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ทั้งนี้นอกจากจะท่านจะมีสุขภาพร่างกายที่ดีแข็งแรงแล้ว การมีสุขภาพทางการเงินที่ดีก็เป็นสิงที่สำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นหากนักทุนท่านใด มีเครื่องมือทางการเงินที่ดีจะช่วยจัดการให้ท่านได้รับความสะสวกสบายและสามารถจัดทำได้อย่างง่าย เครื่องมือทางการเงินเช่น 1.ตราสารหนี้ หรือ ตราสารแห่งหนี้ คือ ตราสารทางการเงินที่ผู้ออกตราสาร ซึ่งเรียกว่า ผู้กู้ หรือ ลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเงินต้น หรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ตามกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งเรียกว่า เจ้าหนี้ หรือ ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไปตราสารหนี้ในตลาดทุนมักจะหมายถึง ตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป 2.ตราสารหุ้น

2.1 หุ้นสามัญ (Common Stock)

เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน ซึ่งออกโดยบริษัทมหาชนจำกัดที่ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน โดยผู้ถือหุ้นสามัญจะมีสิทธิร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือครองอยู่

2.2 หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) 

เป็นตราสารประเภทหุ้นทุนที่ผู้ถือมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการเช่นเดียวกับหุ้นสามัญ มีข้อแตกต่างจากหุ้นสามัญคือ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิในการชำระคืนเงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการ 3. ตราสารอนุพันธ์ (อังกฤษ: derivative บางตำราอาจเรียกว่า สัญญาอนุพันธ์) เป็นตราสารทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับกระแสเงินของสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ได้มีค่าจากกระแสเงินของตัวตราสารเองโดยตรง ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ ได้แก่ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบมาตรฐาน (futures), สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบไม่มาตรฐาน (forward), ตราสารแลกเปลี่ยน (swap), ตราสารสิทธิ (option) เป็นต้น และมีสินทรัพย์ที่สามารถอ้างอิงได้คือ เงินตราต่างประเทศ ตราสารหนี้ ตราสารทุน สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โลหะมีค่า สินค้าเกษตร น้ำมัน หรือสินค้าอื่นใดที่มีดัชนีแน่นอนรองรับการออกตราสารอนุพันธ์ได้ 4. หน่วยลงทุน คือ สินค้าทางการเงินของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ที่ได้จากการรวบรวมเงินทุนของนักลงทุน (เรียกว่า ผู้ถือหน่วยลงทุน) จำนวนมาก เพื่อนำเงินทุนไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ เช่น ตราสารทุน ตราสารหนี้ หลักทรัพย์ในตลาดเงิน หรือ หลักทรัพย์เหล่านี้รวมกัน ซึ่งหลักทรัพย์เหล่านี้จะถูกบริหารจัดการโดยมืออาชีพแทนผู้ถือหน่วยลงทุน และ ผู้ถือหน่วยแต่ละคนจะถือครองสัดส่วนของเงินกองทุน และ ได้รับประโยชน์จาก มูลค่าทรัพย์สินของกองทุนที่เพิ่มขึ้น เงินปันผล ดอกเบี้ย และ สิทธิประโยชน์ต่างๆ แต่ผู้ถือหน่วยก็มีความเสี่ยงต่อการสูญเสียในมูลค่าของหน่วยลงทุนเช่นกัน

รูปภาพตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงิน

พันธบัตร

เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้ จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ ตามตาราง แสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ ดังนี้ ตารางแสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ เครื่องมือทางการเงิน ผลตอบแทน / สิทธิของผู้ถือ สถานะของผู้ถือ ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน 1. ดอกเบี้ย 2. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือ เจ้าหนี้กิจการ ตราสารหุ้น เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ
1. เงินปันผล 2. สิทธิในการบริหาร 3. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือ 4. สิทธิจองหุ้นออกใหม่ เจ้าของกิจการ ตราสารอนุพันธ์ เช่น ใบสำคัญ แสดงสิทธิการซื้อหุ้น (Warrant)
กรณี (Warrant) 1. ผลต่างระหว่างราคาใช้สิทธิในการซื้อหุ้นกับราคาตลาด 2. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือ กรณี (Warrant) ผู้ถือมีสิทธิในการจองซื้อหุ้น สามัญของบริษัท หน่วยลงทุน (Unit trust)
1. เงินปันผล 2. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือหรือขายคืน เจ้าของกองทุนรวม

           สำหรับตราสารทางการเงินประเภทตราสารหนี้นั้น จะได้กล่าวถึงโดยละเอียดโดยแยกหัวข้อนำไปอธิบายในเรื่องถัด ๆ ไป เนื่องจากตราสารหนี้เป็นตราสารทางการเงินที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์การเงิน ส่วนตราสารอีก 3 ประเภท จะได้อธิบายโดยสังเขปเพิ่มเติมจากตารางสรุปข้างต้น ดังนี้
           1. ตราสารทุนหรือหุ้นทุน (Share) คือ ส่วนของทุนของกิจการที่ถูกแบ่งออกเป็นหุ้น ซึ่งแต่ละหุ้นจะให้อำนาจผู้ถือหุ้นในการเป็นเจ้าของของกิจการตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือ ซึ่งหมายความรวมถึงการได้สิทธิในการได้รับส่วนแบ่งกำไรและสิทธิในการบริหาร ในที่นี้จะยกตัวอย่างหุ้นทุน 2 ประเภท คือ
               1.1 หุ้นสามัญ (Common Stock) คือ หลักทรัพย์ที่บริษัทออกจำหน่าย เพื่อให้สิทธิแก่ผู้ถือในการร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อร่วมตัดสินใจในการบริหาร การวางนโยบายการดำเนินการของบริษัท การเลือกตั้งกรรมการของบริษัท และเพื่อร่วมตัดสินใจในปัญหาสำคัญของบริษัท ผู้ถือหุ้นมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล เมื่อบริษัทมีกำไรและอนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผล หรือเมื่อราคาหุ้นในตลาดรองสูงขึ้นก็สามารถนำไปขาย เพื่อรับส่วนต่างจากราคาหุ้นที่ซื้อมา (Capital Gain) นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นจะได้รับสิทธิจองหุ้นใหม่ (Right) เมื่อบริษัทต้องการจะเพิ่มทุนด้วย
               1.2 หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นหุ้นที่มีลักษณะกึ่งหนี้สินและกึ่งหุ้นสามัญ (Hybrid) มีราคาหน้าตั๋ว (Par Value) และมีอัตราเงินปันผลกำหนดไว้ตายตัว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ เช่น ได้รับเงินปันผลก่อนหรือมากกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ และมีสิทธิในทรัพย์สินของบริษัทก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ (แต่หลังจากผู้เป็นเจ้าหนี้ของบริษัท) ในกรณีที่บริษัทจะต้องเลิกกิจการ  อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับสิทธิในการออกเสียง และการบริหารงานของบริษัท
           2. ตราสารอนุพันธุ์ (Derivatives) หมายถึง ตราสารทางการเงินประเภทที่มูลค่า หรือราคาของตราสารนั้นเกี่ยวเนื่องอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์ที่ตราสารนั้นอิงอยู่ เช่น ตราสารสิทธิที่จะซื้อหรือขายหุ้น (Stock Options) เป็นตราสารอนุพันธุ์ เพราะราคาของตราสาร ดังกล่าวจะเกี่ยวโยงกับราคา ของหุ้นที่จะใช้ตราสารสิทธินั้นไปซื้อหรือขายได้ สัญญาซื้อขายดัชนีราคาหุ้นล่วงหน้า (Stock Index Futures) เป็นตราสารอนุพันธ์ เพราะราคาของตราสารนี้สืบเนื่องมาจากดัชนีราคาหุ้นที่ตราสารอิงอยู่ การจัดให้มีการซื้อขายตราสารอนุพันธ์จะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้อง กับ ตลาดการเงินมีเครื่องมือไว้ปกป้อง และบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่ และเป็นการเพิ่มช่องทางลงทุนซื้อขายที่หลากหลายยิ่งขึ้น
           3. หน่วยลงทุน (Unit trust) หมายถึง หลักทรัพย์ที่ออกขายโดยบริษัทจัดการลงทุน เพื่อระดมเงินเข้ากองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้น แล้วจัดสรรเงินในกองทุนนั้น ลงทุนในตลาดการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน เช่น ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ลงทุนในตราสารการเงิน ต่าง ๆ และฝากไว้กับสถาบันการเงิน เป็นต้น ผู้ถือหน่วยลงทุนมีฐานะร่วมเป็นเจ้าของกองทุนนั้น ๆ และมีสิทธิได้รับเงินปันผลตอบแทนจากผลกำไรที่เกิดขึ้น หากถือไว้จนถึงกำหนดไถ่ถอนก็จะได้รับส่วนแบ่งคืนจากเงินกองทุนตามสัดส่วนของหน่วยลงทุนที่ถืออยู่
           อย่างไรก็ตาม มีกองทุนรวมอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมิได้นำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ เหมือนกองทุนรวมทั่วไป เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ซึ่งบริษัทจัดการกองทุนรวมจัดตั้งขึ้น เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนไปซื้อ หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์และจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว เป็นต้น 

ตราสารทางการเงินในตลาด ตราสารทางการเงิน (Financial Instruments) คือ หลักฐานแสดงการถือครองและสิทธิเรียกร้องต่างๆ ที่บริษัทผู้ออก หลักทรัพย์นำออกมาจำหน่ายเพื่อระดมเงินจากผู้ลงทุน และนำมาจดทะเบียนเพื่อให้มีการซื้อขายในตลาดรอง ซึ่งปัจจุบันมี ตราสารทางการเงินที่ซื้อขายกันในตลาดรองมากกว่า 1,000 ชนิด ทำให้ผู้ลงทุนมีทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย ตลอดจนสามารถกระจายการลงทุนได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเปลี่ยนเงินออมไปเป็นการลงทุนทั้งในรูปของการให้สินเชื่อ และการลงทุนในหลักทรัพย์ ตลาดการเงิน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. ตลาดเงิน (Money market) คือตลาดที่มีการระดมเงินจากประชาชนและการให้ สินเชื่อระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ทั้งแก่ภาครัฐและเอกชน ซึ่งรวมถึงนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา รวมทั้งการซื้อขายหลักทรัพย์ทางการเงินที่มีอายุ การไถ่ถอนระยะสั้น เช่น ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตั๋วเงินคลัง เป็นต้น 2. ตลาดทุน (Capital market) คือ แหล่งระดมเงินทุนได้โดยผ่านการกู้ยืมจากธนาคารและสถาบันการเงิน ซึ่งจะระดม เงินทุนจากผู้มีเงินออมในรูปของการรับฝากหรือกู้ยืมเงิน โดยมีผลตอบแทนเป็นการจูงใจคือดอกเบี้ย 2.1 ตลาดสินเชื่อทั่วไป สามารถระดมเงินทุนได้โดยผ่านการกู้ยืมจากธนาคารและสถาบันการเงิน ซึ่งจะระดมเงินจากผู้มีเงินออมในรูปของการรับฝากหรือกู้ยืมเงิน โดยมีผลตอบแทนเป็นการจูงใจคือดอกเบี้ย

            2.2   ตลาดหลักทรัพย์และตลาดตราสารหนี้  เป็นตลาดที่มีการออดตราสารทางการเงินหรือหลักทรัพย์ เช่น
           หุ้นสามัญ หุ้นกู้ และพันธบัตร เป็นต้น                นอกจากนั้น ทั้งสองตลาดนี้ ยังสามารถแบ่งออกเป็น
  1. ตลาดแรก (Primary market) คือ ตลาดที่ทำการซื้อขายเฉพาะหลักทรัพย์จากองค์กรหรือ บริษัทผู้ออกโดยตรง โดยไม่ผ่านสถาบันการเงิน บริษัท หลักทรัพย์ หรือกองทุนรวมใดๆ
  2. ตลาดรอง (Secondary market) คือตลาดที่ทำการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เคยถูกทำการซื้อขาย มาแล้วในตลาดแรก ส่วนใหญ่มักจะซื้อผ่านคนกลาง เช่น สถาบันการเงิน ท่านอาจจะจำลักษณะ ของตลาดรองว่าคล้ายๆ กับตลาดขายของมือสอง ซึ่งเป็นตลาดที่มีไว้สำหรับเปลี่ยนมือ หลักทรัพย์เท่านั้น การจัดหาแหล่งเงินทุนระยะสั้น (Short-Term Financing)
         เงินทุนระยะสั้น  หมายถึง  เงินทุนที่ธุรกิจจัดหามาเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการที่มีระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี 
    

    จำนวนและระยะเวลาของเงินทุนระยะสั้นที่ธุรกิจต้องจัดหามานั้น ได้จาการจัดทำงบประมาณเงินสดแหล่งเงินทุนระยะสั้นสินเชื่อทางการค้า (Trade Credit) • ผู้ขายมอบสินค้าให้ก่อนที่ผู้ซื้อจะชำระเงิน (เงินทุนที่เกิดโดยอัตโนมัติ) • เงื่อนไขของสินเชื่อการค้ามีรายละเอียดเกี่ยวกับ o การกำหนดเวลาเริ่มต้น (EOM หรือ วันที่ที่ปรากฏในใบกำกับสินค้า) o การกำหนดเวลาที่ได้รับส่วนลด o การกำหนดอัตราส่วนลด o การกำหนดเวลาชำระหนี้สิน o เช่น 2/10, n/30 EOM ตราสารพาณิชย์ (Commercial Paper) • ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้น ไม่ต้องมีหลักประกัน • ออกโดยบริษัทขนาดใหญ่ มีฐานะทางการเงินที่ดี • ต้นทุนต่ำกว่าการกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ เงินกู้ระยะสั้นจากธนาคารโดยไม่มีหลักประกันเงินกู้เฉพาะกรณี (Transaction Loan) • กู้เฉพาะโครงการใดโครงการหนึ่ง ที่ระบุระยะเวลาและอัตราดอกเบี้ย • พิจารณาเป็นโครงการไป แบบกำหนดวงเงินกู้ (Line of Credit) • เป็นข้อตกลงระหว่างธนาคารกับลูกค้าอย่างไม่เป็นทางการโดยธนาคารกำหนดวงเงินสูงสุดในการให้กู้ • ข้อตกลงดังกล่าวโดยทั่วไปอายุไม่เกิน 1 ปี เมื่อครบกำหนดอาจขอต่อสัญญาใหม่ เงินกู้ระยะสั้นจากธนาคารโดยไม่มีหลักประกันเงินกู้แบบหมุนเวียน (Revolving Credit) • เป็นข้อตกลงระหว่างธนาคารกับลูกค้าอย่างเป็นทางการ • ผู้กู้สามารถกู้เงินจากธนาคารจนครบวงเงินที่ตกลงไว้ • ธนาคารคิดค่าธรรมเนียมผูกพันเงินกู้ (Commitment Fee) ต้นทุนการกู้ยืม (Cost of Borrowing)อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates) • คิดจากความน่าเชื่อถือของผู้กู้ และจำนวนเงินขอกู้ o Collect Basis - จ่ายดอกเบี้ยเมื่อถึงวันครบกำหนด o Discount Basis - หักดอกเบี้ยออกจากเงินต้นทันที • เช่น กู้เงิน 10,000 บาท ต้องจ่ายดอกเบี้ย 1,000 บาท ระยะเวลา 1 ปี หาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย (Accruals) • ถือเป็นแหล่งเงินทุนอัตโนมัติ • ค่าแรงค้างจ่าย ค่าภาษีค้างจ่าย • ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นแล้ว แต่กิจการยังไม่ได้จ่ายเงินสดออกไป แหล่งเงินทุนระยะสั้น 1. เครดิตการค้า ( Trade Credit )

  3. ตราสารพาณิชย์ ( Commercial Paper )
  4. เงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ ( Short Term Loans)เครดิตการค้า มี 3 รูปแบบคือ
  5. บัญชีเงินเชื่อ ( Open Account ) หมายถึง ผู้ขายสินค้าส่งสินค้าให้กับผู้ซื้อพร้อมทั้งใบแจ้งหนี้ ซึ่งแสดงรายการต่าง ๆ เกี่ยวกับราคาสินค้า จำนวนสินค้า ยอดเงินที่ต้องชำระโดยผู้ซื้อไม่ต้องเซ็นหลักฐานใดๆที่แสดงความเป็นหนี้อย่างเป็นทางการ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ขายจะมีการตรวจสอบฐานะทางการเงินของผู้ซื้อก่อน
  6. ตั๋วเงินจ่าย ( Note Payable ) ในกรณีนี้ผู้ขายจะขอให้ผู้ซื้อลงนามในตั๋วสัญญาใช้เงิน เพื่อรับรองสภาพการเป็นหนี้ ตั๋วสัญญาใช้เงินนี้จะระบุวันที่ที่ผู้ซื้อจะต้องชำระเงินไว้อย่างชัดเจน
  7. ตั๋วแลกเงิน ( Trade Acceptance ) เป็นวิธีการที่ผู้ซื้อต้องเซ็นรับรองการเป็นหนี้ไว้เป็นหลักฐาน ผู้ขายจะออกดราฟท์ให้ผู้ซื้อเซ็นรับรองว่าจะชำระหนี้ภายในกำหนด และเมื่อถึงกำหนดจะให้นำ ดราฟท์นั้นไปขึ้นเงินที่ธนาคารใด เมื่อผู้ซื้อเซ็นแล้วดราฟท์ก็จะกลายเป็นตั๋วแลกเงิน และตั๋วแลกเงินนี้สามารถนำไปขายลดในท้องตลาดเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันทีการชำระเงินค่าสินค้าตามเครดิตการค้า มี 2 ลักษณะ ดังนี้
  8. การชำระเงินค่าสินค้าในวันครบกำหนดการค้า (Payment on the Final Due Date) กรณีเงื่อนไขไม่มีส่วนลดเงินสด ธุรกิจจะชำระเงินค่าสินค้าในวันครบกำหนดชำระแต่ถ้าเงื่อนไขการขายมีส่วนลดเงินสด ผู้ซื้ออาจชำระเงินภายใน กำหนดเวลาที่ให้ส่วนลดเงินสดโดยได้รับส่วนสดหรืออาจชำระเงินในวันครบกำหนดโดยไม่รับส่วนลดเงินสดก็ได้
  9. การยืดระยะเวลาชำระหนี้ (Streching Accounts Payable/ Leaning on the Trade) เป็นการ ยืดระยะเวลาชำระหนี้ หลังจากวันครบกำหนดชำระตามเงื่อนไขการขาย การกระทำเช่นนี้ธุรกิจจะต้องเสียต้นทุนค่าเสียโอกาสจากการ ไม่รับส่วนลดเงินสด ค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยเนื่องจากการชำระหนี้ช้ากว่ากำหนดชำระตามเงื่อนไขการขาย และที่สำคัญก็คืออาจทำให้เสียเครดิตในวงการค้า ข้อดีของเครดิตการค้า
  10. เป็นแหล่งเงินทุนที่มีอยู่ทั่วไปและหาได้ง่าย
  11. ไม่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายใด ๆ
  12. การขอเครดิตการค้าไม่ต้องทำเป็นทางการ
  13. เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีเครดิตพอที่จะหาเงินจากแหล่งอื่น
  14. มีความยืดหยุ่นสูง เช่นอาจจะเลื่อนเวลาการชำระเงินได้ ตราสารพาณิชย์ (Commercial Paper) ตราสารพาณิชย์ คือ ตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีอายุสั้นประมาณ 3 วัน - 9เดือน ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ออกโดยบริษัท ที่มีชื่อเสียง มีฐานะทางการเงินน่าเชื่อถือ และสัญญาว่าจะจ่ายเงินแก่ผู้ถือตั๋ว ตลาดตราสารพาณิชย์ แบ่งออกได้ 2ประเภทคือ
  15. ตลาดตราสารพาณิชย์ที่ขายผ่านผู้ค้าหลักทรัพย์ ( Dealer Market ) ซึ่งผู้ค้าหลักทรัพย์จะคิดค่านายหน้าจากผู้ออกตราสาร
    1. ตลาดตราสารพาณิชย์ที่ขายโดยผู้ออกโดยตรง ( Direct Placement Market ) วิธีนี้ผู้ออกตราสารจะขายให้นักลงทุนโดยตรง ผู้ซื้อตราสารอาจจะเป็นธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน หรือบริษัททั่วไป โดยซื้อไว้เพื่อเก็งกำไร หารายได้ ข้อดีและข้อเสียของตราสารพาณิชย์ ข้อดี
  16. อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น
  17. ไม่ถูกจำกัดโดยกฎหมายเหมือนการกู้ยืมเงินจากธนาคาร
  18. ไม่ต้องมีหลักประกันข้อเสีย
  19. ผู้ซื้อตราสารมีเงินทุนจำกัดในบางช่วง ทำให้การขายตราสารไม่เป็นตามที่คาดไว้
  20. ผู้ออกตราสารพาณิชย์ที่มีปัญหาทางการเงิน จะขาดความน่าเชื่อถือทำให้ขายตราสารได้ยากเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ (Unsecured short-termloand) แบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้
  21. เงินกู้ชนิดไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ( Unsecured Loans ) คือ เงินกู้ประเภทที่สามารถชำระหนี้คืนในตัวมันเอง ( Self - liquidating ) ซึ่งหมายความว่าสินทรัพย์ที่จัดหามาโดยการใช้เงินกู้ยืมนี้ รายได้ที่ได้กลับมาเปลี่ยนเป็นเงินสด ไหลเข้ามาพอเพียงที่จะชำระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวภายใน 1 ปี
  22. เงินกู้ชนิดมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ( Secured Loans ) กรณีที่ธนาคารเห็นว่าผู้กู้มีความสามารถในการจ่ายเงินคืน ไม่เพียงพอ จึงกำหนดให้มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อลดความเสี่ยงภัยทางการเงิน ซึ่งพิจารณาจาก
  23. กระแสเงินสดที่เกิดขึ้นจากความสามารถในการดำเนินงานของธุรกิจ
  24. เงินที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ที่ค้ำประกัน ประโยชน์ของการใช้แหล่งเงินทุนระยะสั้น
  25. ต้นทุนต่ำกว่า เพราะกิจการจะชำระดอกเบี้ยของทุนเฉพาะช่วงที่นำมาใช้เท่านั้น
  26. เกิดความสัมพันธ์กับธนาคารอย่าใกล้ชิด กู้ยืมเฉพาะเวลาที่ต้องการและชำระคืนทันทีเมื่อหมดความต้องการแหล่งเงินทุนระยะยาว (Long-Term Financing) เงินทุนระยะยาว หมายถึง เงินทุนที่ธุรกิจจัดหามาเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการที่มีระยะเวลามากกว่า 1 ปี โดยทั่วไปธุรกิจจัดหาเงินทุนระยะยาวเพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์ถาวร แหล่งที่มาของเงินทุนระยะยาว จากแหล่งเงินทุนภายในและเงินทุนระยะยาวจากแหล่งเงินทุนภายนอก เงินทุนระยะยาวจากแหล่งเงินทุน ภายในเป็นเงินทุนที่ได้จากการดำเนินงาน ได้แก่กำไรสะสม เงินทุนระยะยาวจากแหล่งเงินทุนภายนอก จัดหาได้หลายลักษณะ เช่น การกู้ยืมเงินทุนระยะยาวจากสถาบันการเงิน การออกหุ้นกู้ หุ้นบุริมสิทธ์และ หุ้นสามัญ เป็นต้น แหล่งเงินทุนระยะยาวการจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินทุนโดยมีระยะเวลากู้ยืมมากกว่า 1 ปี • การจัดหาแหล่งเงินทุนจากแหล่งเงินทุนภายใน o เงินลงทุนส่วนตัว o กำไรสะสมของกิจการ (retain profit) • การจัดหาแหล่งเงินทุนจากแหล่งเงินทุนภายนอก o การกู้ยืมเงินระยะยาวจากสถาบันการเงินหรือบุคคลทั่วไป o การออกหลักทรัพย์ชนิดต่าง ๆ แก่บุคคลหรือสถาบันการเงิน ได้แก่ การขายหุ้นให้มหาชน o การออกหุ้นกู้, ฯลฯ พันธบัตร หรือ หุ้นกู้ “สัญญา (ตราสาร) ที่แสดงการกู้ยืมเงิน ระหว่างผู้กู้ (บริษัทผู้ออกตราสารหนี้) กับผู้ให้กู้ (ผู้ลงทุน/ ถือตราสารหนี้) โดยในสัญญาระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการกู้ยืมนั้น”
    หุ้นสามัญ • เป็นการจัดหาเงินทุนจากส่วนของทุน (Equity) • โดยการออกจำหน่ายหุ้นสามัญ • ผู้ถือหุ้นสามัญมีสถานะเป็นเจ้าของบริษัทและมีสิทธิตามกฎหมายดังต่อไปนี้ o การควบคุมบริษัท o สิทธิในการซื้อหุ้นสามัญได้ก่อน หุ้นบุริมสิทธ์ • เป็นการจัดหาเงินทุนจากส่วนของทุน (Equity) • แต่มีลักษณะเป็นหลักทรัพย์ผสมกึ่งหนี้สินและกึ่งหุ้นสามัญ • ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์ คือ เงินปันผล (แต่จะระบุไว้คงที่ เช่นเดียวกับดอกเบี้ยของหุ้นกู้หรือพันธบัตร) • ปกติจะอยู่กำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคา Par ประโยชน์ของการใช้แหล่งเงินทุนระยะยาว
  27. ลดความเสี่ยง
  28. ให้ความมั่นคง
  29. เพิ่มสภาพคล่อง

รูปตั๋วแลกเงินและเช็ค

เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments)

หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้ จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ ตามตาราง แสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ ดังนี้

  1. ตราสารทุนหรือหุ้นทุน (Share) คือ ส่วนของทุนของกิจการที่ถูกแบ่งออกเป็นหุ้น ซึ่งแต่ละหุ้นจะให้อำนาจผู้ถือหุ้นในการเป็นเจ้าของของกิจการตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือ ซึ่งหมายความรวมถึงการได้สิทธิในการได้รับส่วนแบ่งกำไรและสิทธิในการบริหาร ในที่นี้จะยกตัวอย่างหุ้นทุน 2 ประเภท คือ

               1.1 หุ้นสามัญ (Common Stock) คือ หลักทรัพย์ที่บริษัทออกจำหน่าย เพื่อให้สิทธิแก่ผู้ถือในการร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อร่วมตัดสินใจในการบริหาร การวางนโยบายการดำเนินการของบริษัท การเลือกตั้งกรรมการของบริษัท และเพื่อร่วมตัดสินใจในปัญหาสำคัญของบริษัท ผู้ถือหุ้นมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล เมื่อบริษัทมีกำไรและอนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผล หรือเมื่อราคาหุ้นในตลาดรองสูงขึ้นก็สามารถนำไปขาย เพื่อรับส่วนต่างจากราคาหุ้นที่ซื้อมา (Capital Gain) นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นจะได้รับสิทธิจองหุ้นใหม่ (Right) เมื่อบริษัทต้องการจะเพิ่มทุนด้วย
    
               1.2 หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นหุ้นที่มีลักษณะกึ่งหนี้สินและกึ่งหุ้นสามัญ (Hybrid) มีราคาหน้าตั๋ว (Par Value) และมีอัตราเงินปันผลกำหนดไว้ตายตัว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ เช่น ได้รับเงินปันผลก่อนหรือมากกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ และมีสิทธิในทรัพย์สินของบริษัทก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ (แต่หลังจากผู้เป็นเจ้าหนี้ของบริษัท) ในกรณีที่บริษัทจะต้องเลิกกิจการ  อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับสิทธิในการออกเสียง และการบริหารงานของบริษัท
    
           2. ตราสารอนุพันธุ์ (Derivatives) หมายถึง ตราสารทางการเงินประเภทที่มูลค่า หรือราคาของตราสารนั้นเกี่ยวเนื่องอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์ที่ตราสารนั้นอิงอยู่ เช่น ตราสารสิทธิที่จะซื้อหรือขายหุ้น (Stock Options) เป็นตราสารอนุพันธุ์ เพราะราคาของตราสาร ดังกล่าวจะเกี่ยวโยงกับราคา ของหุ้นที่จะใช้ตราสารสิทธินั้นไปซื้อหรือขายได้ สัญญาซื้อขายดัชนีราคาหุ้นล่วงหน้า (Stock Index Futures) เป็นตราสารอนุพันธ์ เพราะราคาของตราสารนี้สืบเนื่องมาจากดัชนีราคาหุ้นที่ตราสารอิงอยู่ การจัดให้มีการซื้อขายตราสารอนุพันธ์จะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้อง กับ ตลาดการเงินมีเครื่องมือไว้ปกป้อง และบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่ และเป็นการเพิ่มช่องทางลงทุนซื้อขายที่หลากหลายยิ่งขึ้น
    
           3. หน่วยลงทุน (Unit trust) หมายถึง หลักทรัพย์ที่ออกขายโดยบริษัทจัดการลงทุน เพื่อระดมเงินเข้ากองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้น แล้วจัดสรรเงินในกองทุนนั้น ลงทุนในตลาดการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน เช่น ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ลงทุนในตราสารการเงิน ต่าง ๆ และฝากไว้กับสถาบันการเงิน เป็นต้น ผู้ถือหน่วยลงทุนมีฐานะร่วมเป็นเจ้าของกองทุนนั้น ๆ และมีสิทธิได้รับเงินปันผลตอบแทนจากผลกำไรที่เกิดขึ้น หากถือไว้จนถึงกำหนดไถ่ถอนก็จะได้รับส่วนแบ่งคืนจากเงินกองทุนตามสัดส่วนของหน่วยลงทุนที่ถืออยู่
    

ตราสารทางการเงิน

1.ตราสารการลงทุน เป็นตราสารที่ให้สิทธิการเป็น “เจ้าของกิจการ” แก่ผู้ลงทุน ดังนั้น ในฐานะเจ้าของกิจการ ผู้ลงทุนจึงมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีถ้ากิจการมีผลการดำเนินงานดี และมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนหรือไม่ได้ผลตอบแทนถ้าผลการดำเนินงานของกิจการไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย 1.1 หุ้นสามัญ เป็นตราสารที่ออกโดยบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) ที่ต้องการระดมเงินทุนจากประชาชน โดยผู้ถือหุ้นสามัญจะมีสิทธิร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือครองอยู่ กล่าวคือ ร่วมเป็นผู้ตัดสินใจในปัญหาสำคัญในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เช่น การเพิ่มทุน การจ่ายเงินปันผล การควบรวมกิจการ ฯลฯ นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นสามัญยังมีสิทธิได้รับเงินปันผลเมื่อบริษัทมีผลกำไร และมีโอกาสได้รับกำไรจากส่วนต่างของราคาเมื่อราคาหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นตามศักยภาพของบริษัท รวมถึงมีโอกาสได้รับสิทธิในการจองซื้อหุ้นออกใหม่เมื่อบริษัทเพิ่มทุนหรือจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิต่างๆ ให้แก่ผู้ถือหุ้น 1.2หุ้นบุริมสิทธิเป็นตราสารที่ผู้ถือมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการเช่นเดียวกับหุ้นสามัญ แม้จะไม่มีสิทธิในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมผู้ถือหุ้น แต่เมื่อกิจการมีกำไรจากการดำเนินงาน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับเงินปันผลในอัตราคงที่ ซึ่งอาจจะมากหรือน้อยกว่าผู้ถือหุ้นสามัญก็ได้ ขณะเดียวกัน หากกิจการนั้นต้องเลิกกิจการและมีการชำระบัญชีโดยการขายทรัพย์สิน ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิก็จะได้รับเงินคืนทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ 2.ตราสารหนี้ หรือ ตราสารแห่งหนี้(อังกฤษ: bond) เป็นตราสารที่ให้สิทธิการเป็น “เจ้าหนี้ของกิจการ” แก่ผู้ลงทุน ซึ่งในฐานะเจ้าหนี้ ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนหรือผลประโยชน์อื่นๆ ตามที่ได้มีการกำหนดไว้ โดยผู้ออกตราสารหนี้จะระบุอัตราผลตอบแทน กำหนดวันจ่ายดอกเบี้ย และวันครบอายุหรือกำหนดไถ่ถอนตราสารไว้อย่างชัดเจน 3.หน่วยลงทุน เป็นตราสารที่ออกจำหน่ายและบริหารการลงทุนโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) เพื่อระดมเงินเข้า “กองทุนรวม” ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อลงทุนตามวัตถุประสงค์และนโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ผู้ลงทุนมีฐานะเป็น “เจ้าของร่วมในทรัพย์สินของกองทุนรวม” จึงมีส่วนได้ส่วนเสียและได้รับผลตอบแทนตามผลการดำเนินงานของกองทุน ซึ่งจุดเด่นของการลงทุนในกองทุนรวมก็คือ การมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนดูแลการลงทุนให้ จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่มีเวลาดูแลการลงทุนด้วยตัวเอง 4.ตราสารอนุพันธ์ เป็นสัญญาทางการเงินที่ทำขึ้นในปัจจุบัน เพื่อตกลงซื้อขายหรือให้สิทธิในการซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) เช่น หุ้นสามัญ ดัชนีหลักทรัพย์ อัตราแลกเปลี่ยน ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ ในอนาคต กล่าวคือ ทำสัญญาตกลงกันวันนี้ว่าจะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงจำนวนกี่หน่วย ที่ราคาเท่าใด แล้วจะส่งมอบและชำระราคากันเมื่อใด ลักษณะเฉพาะของตราสารอนุพันธ์ คือ “มีอายุสัญญาจำกัด” เมื่อครบอายุสัญญา มูลค่าของตราสารก็จะหมดลง นอกจากนี้ ราคาตราสารอนุพันธ์ก็จะผันผวนไปตามราคาสินทรัพย์อ้างอิง ผู้ลงทุนจึงมักใช้ตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือเพื่อป้องกันความเสี่ยง -พันธบัตรรัฐบาล เป็นตราสารหนี้ที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก เพื่อกู้เงินจากประชาชน ดังนั้น รัฐบาลจะอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ ส่วนผู้ที่ถือพันธบัตร ได้แก่ ประชาชน สถาบันการเงิน หรือองค์กรใดๆที่ถือพันธบัตรก็จะมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของรัฐบาล สำหรับพันธบัตรที่ออกโดยหน่วยงานรัฐวิสาหกิจจะเรียกว่า พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ

         เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ  

เครื่องมือทางการเงิน

1.   ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน 

        ผลตอบแทน / สิทธิของผู้ถือ  1. ดอกเบี้ย   2. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือ

         สถานะของผู้ถือ  เจ้าหนี้กิจการ

2.   ตราสารหุ้น เช่น  หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ 

        ผลตอบแทน / สิทธิของผู้ถือ  1. เงินปันผล   2. สิทธิในการบริหาร   3. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือ   4. สิทธิจองหุ้นออกใหม่

        สถานะของผู้ถือ  เจ้าของกิจการ

3.   ตราสารอนุพันธ์ เช่น ใบสำคัญ  แสดงสิทธิการซื้อหุ้น (Warrant)

       ผลตอบแทน / สิทธิของผู้ถือ   กรณี (Warrant)   1. ผลต่างระหว่างราคาใช้สิทธิในการซื้อหุ้นกับราคาตลาด  2. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือ

       สถานะของผู้ถือ   กรณี (Warrant) ผู้ถือมีสิทธิในการจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัท

4.   หน่วยลงทุน (Unit trust) 

       ผลตอบแทน / สิทธิของผู้ถือ   1. เงินปันผล  2. กำไรจากการขายเปลี่ยนมือหรือขายคืน

       สถานะของผู้ถือ   เจ้าของกองทุนรวม

        สำหรับตราสารทางการเงินประเภทตราสารหนี้นั้น จะได้กล่าวถึงโดยละเอียดโดยแยกหัวข้อนำไปอธิบายในเรื่องถัด ๆ ไป เนื่องจากตราสารหนี้เป็นตราสารทางการเงินที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์การเงิน ส่วนตราสารอีก 3 ประเภท จะได้อธิบายโดยสังเขปเพิ่มเติมจากตารางสรุปข้างต้น ดังนี้

               1. ตราสารทุนหรือหุ้นทุน (Share) คือ ส่วนของทุนของกิจการที่ถูกแบ่งออกเป็นหุ้น ซึ่งแต่ละหุ้นจะให้อำนาจผู้ถือหุ้นในการเป็นเจ้าของของกิจการตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือ ซึ่งหมายความรวมถึงการได้สิทธิในการได้รับส่วนแบ่งกำไรและสิทธิในการบริหาร ในที่นี้จะยกตัวอย่างหุ้นทุน 2 ประเภท คือ

                   1.1 หุ้นสามัญ (Common Stock) คือ หลักทรัพย์ที่บริษัทออกจำหน่าย เพื่อให้สิทธิแก่ผู้ถือในการร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อร่วมตัดสินใจในการบริหาร การวางนโยบายการดำเนินการของบริษัท การเลือกตั้งกรรมการของบริษัท และเพื่อร่วมตัดสินใจในปัญหาสำคัญของบริษัท ผู้ถือหุ้นมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล เมื่อบริษัทมีกำไรและอนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผล หรือเมื่อราคาหุ้นในตลาดรองสูงขึ้นก็สามารถนำไปขาย เพื่อรับส่วนต่างจากราคาหุ้นที่ซื้อมา (Capital Gain) นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นจะได้รับสิทธิจองหุ้นใหม่ (Right) เมื่อบริษัทต้องการจะเพิ่มทุนด้วย

                   1.2 หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นหุ้นที่มีลักษณะกึ่งหนี้สินและกึ่งหุ้นสามัญ (Hybrid) มีราคาหน้าตั๋ว (Par Value) และมีอัตราเงินปันผลกำหนดไว้ตายตัว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ เช่น ได้รับเงินปันผลก่อนหรือมากกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ และมีสิทธิในทรัพย์สินของบริษัทก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ (แต่หลังจากผู้เป็นเจ้าหนี้ของบริษัท) ในกรณีที่บริษัทจะต้องเลิกกิจการ  อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับสิทธิในการออกเสียง และการบริหารงานของบริษัท

               2. ตราสารอนุพันธุ์ (Derivatives) หมายถึง ตราสารทางการเงินประเภทที่มูลค่า หรือราคาของตราสารนั้นเกี่ยวเนื่องอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์ที่ตราสารนั้นอิงอยู่ เช่น ตราสารสิทธิที่จะซื้อหรือขายหุ้น (Stock Options) เป็นตราสารอนุพันธุ์ เพราะราคาของตราสาร ดังกล่าวจะเกี่ยวโยงกับราคา ของหุ้นที่จะใช้ตราสารสิทธินั้นไปซื้อหรือขายได้ สัญญาซื้อขายดัชนีราคาหุ้นล่วงหน้า (Stock Index Futures) เป็นตราสารอนุพันธ์ เพราะราคาของตราสารนี้สืบเนื่องมาจากดัชนีราคาหุ้นที่ตราสารอิงอยู่ การจัดให้มีการซื้อขายตราสารอนุพันธ์จะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้อง กับ ตลาดการเงินมีเครื่องมือไว้ปกป้อง และบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่ และเป็นการเพิ่มช่องทางลงทุนซื้อขายที่หลากหลายยิ่งขึ้น

               3. หน่วยลงทุน (Unit trust) หมายถึง หลักทรัพย์ที่ออกขายโดยบริษัทจัดการลงทุน เพื่อระดมเงินเข้ากองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้น แล้วจัดสรรเงินในกองทุนนั้น ลงทุนในตลาดการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน เช่น ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ลงทุนในตราสารการเงิน ต่าง ๆ และฝากไว้กับสถาบันการเงิน เป็นต้น ผู้ถือหน่วยลงทุนมีฐานะร่วมเป็นเจ้าของกองทุนนั้น ๆ และมีสิทธิได้รับเงินปันผลตอบแทนจากผลกำไรที่เกิดขึ้น หากถือไว้จนถึงกำหนดไถ่ถอนก็จะได้รับส่วนแบ่งคืนจากเงินกองทุนตามสัดส่วนของหน่วยลงทุนที่ถืออยู่

               อย่างไรก็ตาม มีกองทุนรวมอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมิได้นำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ เหมือนกองทุนรวมทั่วไป เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ซึ่งบริษัทจัดการกองทุนรวมจัดตั้งขึ้น เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนไปซื้อ หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์และจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว เป็นต้น

        ตราสารหนี้ (Bond) คือ ตราสารทางการเงินประเภทหนึ่ง ในรูปของสัญญาทางการเงินระหว่างผู้ออกตราสารหนี้ และ ผู้ถือตราสารหนี้ ตราสารหนี้ต้องมีกำหนดอายุและอัตราดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์อื่นใดเป็นจำนวนที่แน่นอน โดยระบุวันที่ชำระดอกเบี้ยและเงินต้นล่วงหน้า ตั้งแต่เมื่อออกตราสารนั้น ซึ่งถ้าตราสารนั้นออกโดยภาครัฐก็เรียกว่า พันธบัตร แต่ถ้าออกโดยภาคเอกชน ที่คุ้นเคยกันดีก็คือ หุ้นกู้ 

      ผู้ออกตราสารหนี้ คือ ผู้ที่ต้องการระดมเงินทุน โดยขอกู้จากผู้ที่ซื้อตราสารหนี้ ดังนั้น ผู้ออกตราสารหนี้จะมีสถานะเป็น ลูกหนี้ ส่วนผู้ซื้อ จะมีสถานะเป็นผู้ให้กู้ หรือ เจ้าหนี้ นั่นเอง ซึ่งแตกต่างจากตราสารทุนหรือหุ้นสามัญที่ผู้ออกตราสารทุนนั้น ลงทุนในส่วนของผู้ถือหุ้น และมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการนั้นๆ ไม่ใช่เจ้าหนี้

           ตราสารหนี้ที่ออกจำหน่ายในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ตราสารหนี้ภาครัฐและตราสารหนี้ภาคเอกชน โดยตราสารหนี้ภาครัฐ ประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ารวมประมาณร้อยละ 85 ของตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทย

ตราสารหนี้ภาครัฐ

1. พันธบัตรรัฐบาล

พันธบัตรรัฐบาลเป็นตราสารหนี้ระยะกลางถึงระยะยาวที่ออกโดยกระทรวงการคลัง มีทั้งหมดสามประเภท ได้แก่ พันธบัตรเพื่อการลงทุน พันธบัตรเพื่อการกู้ยืม และพันธบัตรออมทรัพย์ ตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมาไม่มีการออกพันธบัตรเพื่อการลงทุนอีก พันธบัตรในตลาดส่วนใหญ่จะเป็นพันธบัตรเพื่อการกู้ยืม ซึ่งออกมาเพื่อแก้ไขภาวะขาดดุลงบประมาณการเงิน  ส่วนพันธบัตรออมทรัพย์นั้นเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการออมทรัพย์เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง

2. พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ (SOE)

พันธบัตรรัฐวิสาหกิจเป็นตราสารหนี้ระยะกลางถึงระยะยาวที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจ ส่วนใหญ่จะได้รับการค้ำประกันโดยกระทรวงการคลัง 

       ผลตอบแทนของพันธบัตรจะขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยของตลาดเงินในขณะนั้น ระดับความเสี่ยง และระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอน  โดยปกติ พันธบัตรที่มีอายุคงเหลือยาวจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรุ่นที่มีอายุคงเหลือสั้น และพันธบัตรรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันจะมีผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรที่กระทรวงการคลังค้ำประกันและพันธบัตรรัฐบาล

ตราสารหนี้ภาคเอกชน

การออกหุ้นกู้ค่อนข้างจะเป็นที่นิยมกันมาก และมักจะขายหมดภายในเวลาไม่กี่วัน เนื่องจากผู้ที่กู้เงินผ่านตลาดซื้อขายตราสารหนี้ คือบริษัท มิใช่ธนาคาร ดังนั้น ความมั่นคงของเงินกู้จำนวนนั้นจึงขึ้นอยู่กับความมั่งคงของบริษัท โดยไม่มีการประกันทั้งจากธนาคารและรัฐบาล ดังนั้น นักลงทุนจะพบว่าหุ้นกู้มีข้อได้เปรียบพันธบัตรรัฐบาลตรงที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า เนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่า การลงทุนขั้นต่ำสุดในหุ้นกู้สำหรับนักลงทุนที่เป็นบุคคล ขึ้นอยู่กับว่าเป็นการเสนอขายแก่ประชาชน (Public Offering - P/O) หรือเป็นการเสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement - P/P) หุ้นกู้ที่เสนอขายแก่ประชาชน ท่านสามารถซื้อได้ตั้งแต่หนึ่งหน่วยขึ้นไป (โดยราคาที่ตราต่อหน่วยอาจเป็น 1,000 บาท 10,000 บาท หรือขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของผู้ออกหุ้นกู้) ส่วนการเสนอขายแก่บุคคลในวงจำกัด ต้องซื้อขั้นต่ำ 10 ล้านบาท หรือ 10,000 หน่วย บริษัทต่าง ๆ เริ่มออกตราสารหนี้ในปี 2535 หลังจากมีการตราพระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขให้การออกหุ้นกู้ทำได้ง่ายขึ้น


ลักษณะและประเภทของเครื่องมือทางการเงิน เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ สำหรับตราสารทางการเงินประเภทตราสารหนี้นั้นจะได้กล่าวถึงโดยละเอียดโดยแยกหัวข้อนำไปอธิบายในเรื่องถัด ๆ ไป เนื่องจากตราสารหนี้เป็นตราสารทางการเงินที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและการดำเนินนโยบายการเงินซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์การเงิน ส่วนตราสารอีก 3 ประเภทจะได้อธิบายโดยสังเขปเพิ่มเติมจากตารางสรุปข้างต้น ดังนี้ 1. ตราสารทุนหรือหุ้นทุน (Share) คือ ส่วนของทุนของกิจการที่ถูกแบ่งออกเป็นหุ้น ซึ่งแต่ละหุ้นจะให้อำนาจผู้ถือหุ้นในการเป็นเจ้าของของกิจการตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือ ซึ่งหมายความรวมถึงการได้สิทธิในการได้รับส่วนแบ่งกำไรและสิทธิในการบริหาร ในที่นี้จะยกตัวอย่างหุ้นทุน 2 ประเภท คือ 1.1 หุ้นสามัญ (Common Stock) คือ หลักทรัพย์ที่บริษัทออกจำหน่ายเพื่อให้สิทธิแก่ผู้ถือในการร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อร่วมตัดสินใจในการบริหาร การวางนโยบายการดำเนินการของบริษัท การเลือกตั้งกรรมการของบริษัท และเพื่อร่วมตัดสินใจในปัญหาสำคัญของบริษัท ผู้ถือหุ้นมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลเมื่อบริษัทมีกำไรและอนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผล หรือเมื่อราคาหุ้นในตลาดรองสูงขึ้นก็สามารถนำไปขายเพื่อรับส่วนต่างจากราคาหุ้นที่ซื้อมา (Capital Gain) นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นจะได้รับสิทธิจองหุ้นใหม่ (Right) เมื่อบริษัทต้องการจะเพิ่มทุนด้วย 1.2 หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นหุ้นที่มีลักษณะกึ่งหนี้สินและกึ่งหุ้นสามัญ (Hybrid) มีราคาหน้าตั๋ว (Par Value) และมีอัตราเงินปันผลกำหนดไว้ตายตัว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ เช่น ได้รับเงินปันผลก่อนหรือมากกว่าผู้ถือหุ้นสามัญและมีสิทธิในทรัพย์สินของบริษัทก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ (แต่หลังจากผู้เป็นเจ้าหนี้ของบริษัท) ในกรณีที่บริษัทจะต้องเลิกกิจการ อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับสิทธิในการออกเสียงและการบริหารงานของบริษัท 2. ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) หมายถึง ตราสารทางการเงินประเภทที่มูลค่าหรือราคาของตราสารนั้นเกี่ยวเนื่องอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์ที่ตราสารนั้นอิงอยู่ เช่น ตราสารสิทธิที่จะซื้อหรือขายหุ้น (Stock Options) เป็นตราสารอนุพันธ์ เพราะราคาของตราสาร ดังกล่าวจะเกี่ยวโยงกับราคา ของหุ้นที่จะใช้ตราสารสิทธินั้นไปซื้อหรือขายได้ สัญญาซื้อขายดัชนีราคาหุ้นล่วงหน้า (Stock Index Futures) เป็นตราสารอนุพันธ์ เพราะราคาของตราสารนี้สืบเนื่องมาจากดัชนีราคาหุ้นที่ตราสารอิงอยู่ การจัดให้มีการซื้อขายตราสารอนุพันธ์จะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้อง กับ ตลาดการเงินมีเครื่องมือไว้ปกป้องและบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่และเป็นการเพิ่มช่องทางลงทุนซื้อขายที่หลากหลายยิ่งขึ้น 3. หน่วยลงทุน (Unit trust) หมายถึง หลักทรัพย์ที่ออกขายโดยบริษัทจัดการลงทุนเพื่อระดมเงินเข้ากองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้น แล้วจัดสรรเงินในกองทุนนั้น ลงทุนในตลาดการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน เช่น ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ลงทุนในตราสารการเงิน ต่าง ๆ และฝากไว้กับสถาบันการเงิน เป็นต้น ผู้ถือหน่วยลงทุนมีฐานะร่วมเป็นเจ้าของกองทุนนั้น ๆ และมีสิทธิได้รับเงินปันผลตอบแทนจากผลกำไรที่เกิดขึ้น หากถือไว้จนถึงกำหนดไถ่ถอนก็จะได้รับส่วนแบ่งคืนจากเงินกองทุนตามสัดส่วนของหน่วยลงทุนที่ถืออยู่

เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments)

หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ

ลักษณะและประเภทของเครื่องมือทางการเงิน เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ สำหรับตราสารทางการเงินประเภทตราสารหนี้นั้นจะได้กล่าวถึงโดยละเอียดโดยแยกหัวข้อนำไปอธิบายในเรื่องถัด ๆ ไป เนื่องจากตราสารหนี้เป็นตราสารทางการเงินที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและการดำเนินนโยบายการเงินซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์การเงิน ส่วนตราสารอีก 3 ประเภทจะได้อธิบายโดยสังเขปเพิ่มเติมจากตารางสรุปข้างต้น ดังนี้ 1. ตราสารทุนหรือหุ้นทุน (Share) คือ ส่วนของทุนของกิจการที่ถูกแบ่งออกเป็นหุ้น ซึ่งแต่ละหุ้นจะให้อำนาจผู้ถือหุ้นในการเป็นเจ้าของของกิจการตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือ ซึ่งหมายความรวมถึงการได้สิทธิในการได้รับส่วนแบ่งกำไรและสิทธิในการบริหาร ในที่นี้จะยกตัวอย่างหุ้นทุน 2 ประเภท คือ 1.1 หุ้นสามัญ (Common Stock) คือ หลักทรัพย์ที่บริษัทออกจำหน่ายเพื่อให้สิทธิแก่ผู้ถือในการร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อร่วมตัดสินใจในการบริหาร การวางนโยบายการดำเนินการของบริษัท การเลือกตั้งกรรมการของบริษัท และเพื่อร่วมตัดสินใจในปัญหาสำคัญของบริษัท ผู้ถือหุ้นมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลเมื่อบริษัทมีกำไรและอนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผล หรือเมื่อราคาหุ้นในตลาดรองสูงขึ้นก็สามารถนำไปขายเพื่อรับส่วนต่างจากราคาหุ้นที่ซื้อมา (Capital Gain) นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นจะได้รับสิทธิจองหุ้นใหม่ (Right) เมื่อบริษัทต้องการจะเพิ่มทุนด้วย 1.2 หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นหุ้นที่มีลักษณะกึ่งหนี้สินและกึ่งหุ้นสามัญ (Hybrid) มีราคาหน้าตั๋ว (Par Value) และมีอัตราเงินปันผลกำหนดไว้ตายตัว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ เช่น ได้รับเงินปันผลก่อนหรือมากกว่าผู้ถือหุ้นสามัญและมีสิทธิในทรัพย์สินของบริษัทก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ (แต่หลังจากผู้เป็นเจ้าหนี้ของบริษัท) ในกรณีที่บริษัทจะต้องเลิกกิจการ อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับสิทธิในการออกเสียงและการบริหารงานของบริษัท 2. ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) หมายถึง ตราสารทางการเงินประเภทที่มูลค่าหรือราคาของตราสารนั้นเกี่ยวเนื่องอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์ที่ตราสารนั้นอิงอยู่ เช่น ตราสารสิทธิที่จะซื้อหรือขายหุ้น (Stock Options) เป็นตราสารอนุพันธ์ เพราะราคาของตราสาร ดังกล่าวจะเกี่ยวโยงกับราคา ของหุ้นที่จะใช้ตราสารสิทธินั้นไปซื้อหรือขายได้ สัญญาซื้อขายดัชนีราคาหุ้นล่วงหน้า (Stock Index Futures) เป็นตราสารอนุพันธ์ เพราะราคาของตราสารนี้สืบเนื่องมาจากดัชนีราคาหุ้นที่ตราสารอิงอยู่ การจัดให้มีการซื้อขายตราสารอนุพันธ์จะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้อง กับ ตลาดการเงินมีเครื่องมือไว้ปกป้องและบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่และเป็นการเพิ่มช่องทางลงทุนซื้อขายที่หลากหลายยิ่งขึ้น 3. หน่วยลงทุน (Unit trust) หมายถึง หลักทรัพย์ที่ออกขายโดยบริษัทจัดการลงทุนเพื่อระดมเงินเข้ากองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้น แล้วจัดสรรเงินในกองทุนนั้น ลงทุนในตลาดการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน เช่น ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ลงทุนในตราสารการเงิน ต่าง ๆ และฝากไว้กับสถาบันการเงิน เป็นต้น ผู้ถือหน่วยลงทุนมีฐานะร่วมเป็นเจ้าของกองทุนนั้น ๆ และมีสิทธิได้รับเงินปันผลตอบแทนจากผลกำไรที่เกิดขึ้น หากถือไว้จนถึงกำหนดไถ่ถอนก็จะได้รับส่วนแบ่งคืนจากเงินกองทุนตามสัดส่วนของหน่วยลงทุนที่ถืออยู่

เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้ จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ ตามตาราง แสดงตัวอย่างของเครื่องมือทางการเงินชนิดต่าง ๆ ดังนี้

           สำหรับตราสารทางการเงินประเภทตราสารหนี้นั้น จะได้กล่าวถึงโดยละเอียดโดยแยกหัวข้อนำไปอธิบายในเรื่องถัด ๆ ไป เนื่องจากตราสารหนี้เป็นตราสารทางการเงินที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์การเงิน ส่วนตราสารอีก 3 ประเภท จะได้อธิบายโดยสังเขปเพิ่มเติมจากตารางสรุปข้างต้น ดังนี้ 

           1. ตราสารทุนหรือหุ้นทุน (Share) คือ ส่วนของทุนของกิจการที่ถูกแบ่งออกเป็นหุ้น ซึ่งแต่ละหุ้นจะให้อำนาจผู้ถือหุ้นในการเป็นเจ้าของของกิจการตามสัดส่วนของหุ้นที่ถือ ซึ่งหมายความรวมถึงการได้สิทธิในการได้รับส่วนแบ่งกำไรและสิทธิในการบริหาร ในที่นี้จะยกตัวอย่างหุ้นทุน 2 ประเภท คือ 

               1.1 หุ้นสามัญ (Common Stock) คือ หลักทรัพย์ที่บริษัทออกจำหน่าย เพื่อให้สิทธิแก่ผู้ถือในการร่วมเป็นเจ้าของบริษัท ผู้ถือหุ้นสามัญมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อร่วมตัดสินใจในการบริหาร การวางนโยบายการดำเนินการของบริษัท การเลือกตั้งกรรมการของบริษัท และเพื่อร่วมตัดสินใจในปัญหาสำคัญของบริษัท ผู้ถือหุ้นมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล เมื่อบริษัทมีกำไรและอนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผล หรือเมื่อราคาหุ้นในตลาดรองสูงขึ้นก็สามารถนำไปขาย เพื่อรับส่วนต่างจากราคาหุ้นที่ซื้อมา (Capital Gain) นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นจะได้รับสิทธิจองหุ้นใหม่ (Right) เมื่อบริษัทต้องการจะเพิ่มทุนด้วย 

               1.2 หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) เป็นหุ้นที่มีลักษณะกึ่งหนี้สินและกึ่งหุ้นสามัญ (Hybrid) มีราคาหน้าตั๋ว (Par Value) และมีอัตราเงินปันผลกำหนดไว้ตายตัว ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ เช่น ได้รับเงินปันผลก่อนหรือมากกว่าผู้ถือหุ้นสามัญ และมีสิทธิในทรัพย์สินของบริษัทก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ (แต่หลังจากผู้เป็นเจ้าหนี้ของบริษัท) ในกรณีที่บริษัทจะต้องเลิกกิจการ  อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับสิทธิในการออกเสียง และการบริหารงานของบริษัท 

           2. ตราสารอนุพันธุ์ (Derivatives) หมายถึง ตราสารทางการเงินประเภทที่มูลค่า หรือราคาของตราสารนั้นเกี่ยวเนื่องอยู่กับมูลค่าของสินทรัพย์ที่ตราสารนั้นอิงอยู่ เช่น ตราสารสิทธิที่จะซื้อหรือขายหุ้น (Stock Options) เป็นตราสารอนุพันธุ์ เพราะราคาของตราสาร ดังกล่าวจะเกี่ยวโยงกับราคา ของหุ้นที่จะใช้ตราสารสิทธินั้นไปซื้อหรือขายได้ สัญญาซื้อขายดัชนีราคาหุ้นล่วงหน้า (Stock Index Futures) เป็นตราสารอนุพันธ์ เพราะราคาของตราสารนี้สืบเนื่องมาจากดัชนีราคาหุ้นที่ตราสารอิงอยู่ การจัดให้มีการซื้อขายตราสารอนุพันธ์จะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้อง กับ ตลาดการเงินมีเครื่องมือไว้ปกป้อง และบริหารความเสี่ยงที่มีอยู่ และเป็นการเพิ่มช่องทางลงทุนซื้อขายที่หลากหลายยิ่งขึ้น 

           3. หน่วยลงทุน (Unit trust) หมายถึง หลักทรัพย์ที่ออกขายโดยบริษัทจัดการลงทุน เพื่อระดมเงินเข้ากองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้น แล้วจัดสรรเงินในกองทุนนั้น ลงทุนในตลาดการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน เช่น ลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ลงทุนในตราสารการเงิน ต่าง ๆ และฝากไว้กับสถาบันการเงิน เป็นต้น ผู้ถือหน่วยลงทุนมีฐานะร่วมเป็นเจ้าของกองทุนนั้น ๆ และมีสิทธิได้รับเงินปันผลตอบแทนจากผลกำไรที่เกิดขึ้น หากถือไว้จนถึงกำหนดไถ่ถอนก็จะได้รับส่วนแบ่งคืนจากเงินกองทุนตามสัดส่วนของหน่วยลงทุนที่ถืออยู่ 

           อย่างไรก็ตาม มีกองทุนรวมอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมิได้นำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ เหมือนกองทุนรวมทั่วไป เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ซึ่งบริษัทจัดการกองทุนรวมจัดตั้งขึ้น เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุนไปซื้อ หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์และจัดหาผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว เป็นต้น 
                                                       เครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงิน
  1. การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (Reserve Requirement)

  2. การดำเนินการผ่านตลาดการเงิน (Open Market Operations หรือ OMOs)

    2.1 การทำธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตร

    2.2 การทำธุรกรรมซื้อขาดขายขาดหลักทรัพย์รัฐบาล

    2.3 การออกพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย

    2.4 สวอปเงินตราต่างประเทศ

    2.5 หน้าต่างซื้อตราสารหนี้ ธปท.

  3. หน้าต่างตั้งรับ (Standing Facilities)

  4. การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง (Reserve Requirement)

  5. การดำเนินการผ่านตลาดการเงิน (Open Market Operations หรือ OMOs)

    2.1 การทำธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตร

    2.2 การทำธุรกรรมซื้อขาดขายขาดหลักทรัพย์รัฐบาล

    2.3 การออกพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย

    2.4 สวอปเงินตราต่างประเทศ

    2.5 หน้าต่างซื้อตราสารหนี้ ธปท.

  6. หน้าต่างตั้งรับ (Standing Facilities)

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินแบบการกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้อัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน เป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Rate) ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินผ่านอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว โดยในการดูแลรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้เป็นไปตามที่ กนง. กำหนด ธปท. จะดำเนินการผ่านเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงิน (Monetary Policy Instruments) ต่าง ๆ

                                                เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments)
เครื่องมือทางการเงิน (Financial Instruments) หมายถึง หนังสือสำคัญซึ่งเป็นเอกสารแสดงสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของ สิทธิในการเป็นเจ้าหนี้ สิทธิที่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ฯลฯ ทั้งนี้จะยกตัวอย่างตราสารทางการเงินชนิดต่าง ๆ เช่น    
     -ตราสารหนี้ คือ  พันธบัตร หุ้นกู้ ตั๋วเงิน ตราสารอนุพันธ์ 
     -ตราสารหุ้น คือ  หุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธ์

1.ตราสารหนี้ หรือ ตราสารแห่งหนี้(อังกฤษ: bond) คือ ตราสารทางการเงินที่ผู้ออกตราสาร ซึ่งเรียกว่า ผู้กู้ หรือ ลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเงินต้น หรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ตามกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งเรืยกว่า เจ้าหนี้ หรือ ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไปตราสารหนี้ในตลาดทุนมักจะหมายถึง ตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป

1.1พันธบัตร คือ ตราสารทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐบาล จุดประสงค์ในการออกพันธบัตรก็เพื่อระดมเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันและประชาชนทั่วไป โดยถือว่าผู้ออกพันธบัตรนั้นมีฐานะเป็นลูกหนี้ที่จะต้องมีภาระในการจ่ายคืนหนี้ให้กับผู้ถือพันธบัตรซึ่งมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ออกพันธบัตรต่อไปในอนาคต โดยที่จำนวนเงินที่ต้องจ่ายคืน ระยะเวลา และ อัตราผลตอบแทน ขึ้นกับสัญญาที่ได้กำหนดเอาไว้

1.2หุ้นกู้ (อังกฤษ: corporate bond หรือ debenture) คือ ตราสารหนี้ระยะยาว ที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียน หรือ บริษัท มหาชน จำกัด ตามกฎหมายไม่ได้กำหนดอายุของหุ้นกู้ไว้ แต่โดยทั่วไป บริษัทผู้ออก มักจะกำหนดอายุของหุ้นกู้ประมาณ 2 - 20 ปี
            1.3ตั๋วเงิน คือ เอกสารเครดิตที่ใช้แทนเงินในวงการธุรกิจ  ตั๋วเงินอาจถูกขายเปลี่ยนมือผู้ถือหรือโอนสลักหลัง

ตั๋วเงินแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) 2. ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) 3. เช็ค (Cheque) 1. ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) ตั๋วสัญญาใช้เงิน (อังกฤษ: promissory note) หมายถึง หนังสือตราสารซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่า "ผู้ออกตั๋ว" (อังกฤษ: maker) ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือใช้ให้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า "ผู้รับเงิน" (อังกฤษ: payee) ตั๋วสัญญาใช้เงินต้องมีข้อความต่อไปนี้ -คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน -คำมั่นสัญญาโดยปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน -วันถึงกำหนดใช้เงิน -สถานที่ใช้เงิน -ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงิน -วันและสถานที่ที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน -ลายมือชื่อผู้ออกตั๋ว

  1. ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) ตั๋วแลกเงิน คือ หนังสือตราสารที่บุคคลผู้หนึ่งที่เรียกว่าผู้สั่งจ่าย สั่งบุคคลอีกผู้หนึ่ง เรียกว่าผู้จ่าย ให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่บุคคลหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้รับเงิน ตั๋วแลกเงินต้องมีข้อความต่อไปนี้
  2. คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน
  3. คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินจำนวนแน่นอน
  4. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้จ่าย
  5. วันถึงกำหนดใช้เงิน
  6. สถานที่ใช้เงิน
  7. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงินหรือจ่ายให้แก่ผู้ถือ
  8. วันและสถานที่ที่ออกตั๋ว
  9. ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย
  10. เช็ค (cheque) เช็ค คือ หนังสือตราสารที่บุคคลคนหนึ่งที่เรียกว่า ผู้สั่งจ่าย สั่งธนาคารให้ใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อทวงถาม ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือให้ใช้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งเรียกว่า ผู้รับเงิน เช็คต้องมีข้อความต่อไปนี้
  11. คำบอกชื่อว่าเป็นเช็ค
  12. คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินจำนวนแน่นนอน -ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับเงินหรือจ่ายให้แก่ผู้ถือ
  13. ชื่อหรือยี่ห้อและสำนักงานของธนาคาร
  14. สถานที่ใช้เงิน -วันและสถานที่ออกเช็ค
  15. ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย
            1.4ตราสารอนุพันธ์ (อังกฤษ: derivative บางตำราอาจเรียกว่า สัญญาอนุพันธ์) เป็นตราสารทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับกระแสเงินของสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ได้มีค่าจากกระแสเงินของตัวตราสารเองโดยตรง ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ ได้แก่ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบมาตรฐาน (futures), สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบไม่มาตรฐาน (forward), ตราสารแลกเปลี่ยน (swap), ตราสารสิทธิ (option) เป็นต้น และมีสินทรัพย์ที่สามารถอ้างอิงได้คือ เงินตราต่างประเทศ ตราสารหนี้ ตราสารทุน สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โลหะมีค่า สินค้าเกษตร น้ำมัน หรือสินค้าอื่นใดที่มีดัชนีแน่นอนรองรับการออกตราสารอนุพันธ์ได้
    

    2.ตราสารทุน หรือ ตราสารแห่งทุน (อังกฤษ: equity instrument) เป็นตราสารทางการเงินที่แสดงถึงการจัดแหล่งเงินทุนจากการเป็นเจ้าของ ซึ่งจะมีความผูกผันในฐานะเจ้าของหุ้นส่วนกิจการ

    2.1หุ้นสามัญ เป็นตราสารทุนที่บ่งชี้ถึงการมีส่วนในการเป็นเจ้าของกิจการนั้นๆ การถือหุ้นสามัญเป็นการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุม มีสิทธิในการได้รับเงินปันผล หรือประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ ตามที่ประชุมของผู้ถือหุ้นอนุมัติ อย่างไรก็ตามในทางทฤษฏี ผู้ถือหุ้นสามัญจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในลำดับสุดท้าย ในการได้รับส่วนที่เหลือจากการลงทุน หากบริษัทล้มละลายหรือเลิกกิจการ

ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นสามัญที่จดทะเบียนจะมีชื่อย่อ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ชื่อย่อคือ BBL หุ้นประเภทอื่นที่มีการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะมีเครื่องหมาย -(ขีด) ต่อจากชื่อย่อ แล้วตามด้วยประเภทของตราสารทุน

2.2หุ้นบุริมสิทธิ (preferred stock) เป็นตราสารประเภทหุ้นทุน คล้ายกับหุ้นสามัญ เพียงแต่ว่าไม่มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร มีข้อแตกต่างจากหุ้นสามัญคือ ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิจะได้รับสิทธิในการชำระคืนเงินทุนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทเลิกกิจการ รายละเอียดของบุริมสิทธิที่พึงจะมีจะต้องดูในเอกสารของบริษัทนั้นๆ อีกครั้งหนึ่ง หุ้นประเภทนี้มีไม่มากนักในตลาดหลักทรัพย์ มีการซื้อขายกันน้อย หรือภาษาเทคนิคเรียกว่ามีสภาพคล่องต่ำ หุ้นบุริมสิทธิบนกระดานหุ้นสังเกตได้จากสัญลักษณ์ -P ท้ายอักษรย่อ ของหุ้นสามัญ

นางสาวหนึ่งฤทัย เวฬุวนารักษ์ รหัส 55127326071

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท