ความแตกต่างระหว่างบุคคลในชั้นเรียน
ความแตกต่างระหว่างบุคคล
เกิดขึ้น ได้ 2 ลักษณะคือ
1.มีมาแต่กำเนิด เช่น สติปัญญา อวัยวะ
ความเจริญเติบโต ความสามารถด้านภาษา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก กรรมพันธุ์
สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู การป่วยไข้ เป็นต้น
2.เกิดขึ้นทีหลัง
ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสิ่งต่างๆ เช่น ความสนใจ ประสบการณ์ การปรับตัว ทัศนคติ
ความสำเร็จทางการเรียน ซึ่งเกิดจากคุณภาพของผู้สอน แรงสนับสนุนจากครอบครัว ควาททะเยอทะยาน แรงผลักดันจากสังคม สิ่งแวดล้อม
เป็นต้น
1. ความแตกต่างด้านร่างกาย
บุคคลเกิดมาพร้อมด้วยองค์ประกอบทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน (ยกเว้นฝาแฝดแท้) และด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีลักษณะทางร่างกายแตกต่างกัน ทั้งในด้านโครงสร้าง และรูปทรงของอวัยวะที่เป็นส่วนประกอบของร่างกาย และการทำงานของอวัยวะร่างกาย
ความแตกต่างของรูปร่างและรูปทรงที่ปรากฏความแตกต่างทางด้านร่างกาย ได้รับอิทธิพลส่วนใหญ่จากพันธุกรรม แต่สิ่งแวดล้อมก็มีโอกาสเข้าไปแทรกแซงที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน ในกรณีของฝาแฝดแท้ เมื่อได้รับการเลี้ยงดู การให้อาหาร ตลอดจนความรัก ความเอาใจใส่ที่แตกต่างกันก็อาจทำให้เกิดความแตกต่างด้านรูปร่างและรูปทรงได้เช่นกัน
แนวทางแก้ไขปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคลด้านร่างกาย
-เรียนรู้ได้ด้วยการสัมผัส จับต้อง การเคลื่อนไหวร่างกาย และการปฏิบัติจริง
-สนับสนุนให้เล่นกีฬา การแสดง เต้นรำ การเคลื่อนไหวร่างกาย
-จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรง หรือได้ปฏิบัติจริง
-ให้เล่นเกม เดิน วิ่ง หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวร่างกาย
-ให้เล่นหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง กีฬา การเคลื่อนไหวประกอบจังหวะ
-ยุทธศาสตร์ในการสอนคือการให้นักเรียนปฏิบัติจริง ลงมือทำจริง ได้สัมผัส เคลื่อนไหว ใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้ และการเรียนผ่านการแสดงบทบาทสมมุติ แสดงละคร
-เปิดโอกาสให้ทำงานตามลำพัง ทำงานคนเดียว อิสระ แยกตัวจากกลุ่มบ้าง
-สอนให้เห็นคุณค่าของตัวเอง นับถือตัวเอง(self esteem)
-สนับสนุนให้ทำงานเขียน บันทึกประจำวัน หรือทำหนังสือ จุลสาร
-สนับสนุนให้ทำโครงงาน การศึกษารายบุคคล หรือทำรายงานเดี่ยว
-ให้เรียนตามความถนัด ความสนใจ ตามจังหวะการเรียนเฉพาะตน
-ให้อยู่กับกลุ่ม ทำงานร่วมกับผู้อื่นบ้าง
-ยุทธศาสตร์การสอนควรเน้นที่การเปิดโอกาสให้เลือกศึกษาในสิ่งที่สนใจเป็นพิเศษ การวางแผนชีวิต การทำงานร่วมกับผู้อื่น การศึกษารายบุคคล(Individual Study)
ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้มีความเหมาะสมที่จะประกอบอาชีพอิสระ เป็นเจ้าของกิจการ เป็นนายจ้างของตัวเอง นักคิด นักเขียน นักบวช นักปรัชญา นักจิตวิทยาครู–อาจารย์ เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่างบุคคลด้านทางเชาว์ปัญญา
ความแตกต่างทางเชาว์ปัญญา คือ ความแตกต่างของบุคคลในความสามารถที่ เกี่ยวกับการคิดและความสามารถในที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในเชิงนามธรรม และรูปธรรมที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังศึกษาเกี่ยวกับความสามารถในการคิดวิเคราะห์ มีความสารถในการแยกแยะสิ่งต่างๆ ได้ บุคคลที่เกิดในท้องพ่อแม่เดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะฉลาดเหมือนๆ กัน แต่โดยทั่วไปความฉลาดของลูกพ่อแม่เดียวกันมักจะไม่แตกต่างกันมากนัก เพื่อให้แน่ใจว่าคู่ของตนมีพันธุกรรมเกี่ยวกับสติปัญญาหรือไม่ควรตรวจสอบก่อนสมรส และนักจิตวิทยาปัจจุบันเชื่อว่าความความสามารถทางสติปัญญาเป็นผลพวงมาจากพันธุกรรม และสามารถเสริมได้ภายหลังให้บุคคลเกิดพัฒนาการที่ดีได้แต่ถ้าเกิดมาแล้วปัญญาอ่อนโอกาสที่จะแก้ไขยากมาก เชาว์ปัญญาหรือสติปัญญาจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คู่สมรสควรให้ความสำคัญลำดับต้นๆของการมีครอบครัว
แนวทางแก้ไขปัญหา-ให้มีโอกาสได้ทดลองหรือทำอะไรด้วยตนเอง-ส่งเสริมให้ทำงานสร้างสรรค์งานศิลปที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์-ให้เล่นเกมที่ฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เช่น เกมไพ่ เกมตัวเลข ปริศนาตัวเลข ฯลฯ
-ให้ช่วยทำงานบ้าน งานประดิษฐ์ ตกแต่ง
-ฝึกการใช้เหตุผล การแก้ปัญหา การศึกษาด้วยโครงงานในเรื่องที่นักเรียนสนใจ
-ฝึกฝนทักษะการใช้เครื่องคิดเลข เครื่องคำนวณ เครื่องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
-ยุทธศาสตร์ในการสอนคือให้ฝึกคิดแบบมีวิจารณญาณ วิพากษ์ วิจารณ์ ฝึกกระบวนการสร้างความคิดรวบยอด การชั่ง ตวง วัด การคิดในใจ การคิดเลขเร็ว ฯลฯ
ความแตกต่างระหว่างบุคคลด้านทางอารมณ์
ความแตกต่างทางอารมณ์ คือ ความแตกต่างของบุคคลในความสามารถที่จะควบคุมพฤติกรรมต่าง ๆ ขณะเกิดอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง การมีอารมณ์ของมนุษย์เริ่มตั้งแต่อารมณ์กลัว อารมณ์โกรธ อารมณ์รัก พอใจ ยินดี ตื่นเต้น การแสดงอารมณ์ต่างๆ ต้องแสดงออกอย่างเหมาะสมแต่ในความเป็นบุคคลพบว่ามีการใช้อารมณ์ค่อนข้างมาก ดังนั้นการฝึกในเรื่องการควบคุมอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญในสังคมปัจจุบัน ในการดำเนินชีวิตของบุคคลหากใช้อารมณ์มากกว่าความรู้สึก บุคคลนั้นก็จะอยู่ในสังคมอยาก เป็นมนุษย์ต้องใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์และความรู้สึก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลจะต้องเก็บความรู้สึกจนขาดความเป็นตัวเอง บางครั้งการเก็บอารมณ์และความรู้สึกจนขาดความเป็นตัวของตัวเองอาจทำให้บุคคลเกิดอาการเครียด ปวดท้องเป็นโรคกระเพาะหรือแม้กระทั่งปวดหัวโดยไม่ทราบสาเหตุ อารมณ์เป็นได้ทั้งตัวสร้างสรรค์และตัวทำลาย อารมณ์ขันทำให้จิตใจเบิกบาน อารมณ์เศร้าหมอง หดหู่ ทำให้คนเกิดความตึงเครียดวิตกกังวล
แนวทางแก้ไขปัญหา
ดังนั้นครูจึงมีหน้าที่ที่ต้องแนะนำ ให้ผเรียนแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสม สมเหตุสมผล พองามหรือรู้จักที่จะควบคุม ยับยั้งพอเหมาะพอควรไม่แสดงอารมณ์จนกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ หรือเก็บอารมณ์จนกลายเป็นคนเฉยเมยไปไม่มีปฏิกิริยาใดๆ โดยทั่วไปบุคคลควรจะแสดงอารมณ์อย่างเหมาะสมตามโอกาสอันควร
ความแตกต่างระหว่างบุคคลด้านทางสังคม
ความแตกต่างทางด้านสังคม คือ ความแตกต่างของบุคคลในความสามารถที่จะปรับตนให้เข้ากับบุคคลและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของสังคมที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ และของสังคมอื่น ๆ ด้วยมนุษย์ตั้งแต่เกิดมาก็ต้องอยู่ในระบบของสังคม ตั้งแต่สังคมครอบครัว สังคมเพื่อนบ้าน โตขึ้นก็เป็นสังคมโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงอุดมศึกษา บุคคลต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมทั้งสิ้น
แนวทางแก้ไขปัญหา
-จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้เข้ากลุ่ม ทำงานร่วมกัน
-ส่งเสริมให้อภิปราย เรียนรู้ร่วมกัน แก้ปัญหาร่วมกัน
-สามารถเรียนได้ดีหากให้โอกาสในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
-ยุทธศาสตร์ในการสอนได้แก่การให้ทำงานร่วมกัน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเพื่อน การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การจำลองสถานการณ์ บทบาทสมมุติ การเรียนรู้สู่ชุมชน เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่างเพศ
ความแตกต่างทางเพศมีทั้งความเหมือนและความแตกต่างเพศหญิงและเพศชายมีความแตกต่างด้านฮอร์โมน
ผู้ชายมีฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ที่ช่วยให้เขามีลักษณะภายนอกและพฤติกรรมของผู้ชาย
ผู้หญิงมีฮอร์โมนเอสโตรเจน
(Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่ช่วยให้ผู้หญิงมีลักษณะเป็นหญิงฯลฯ
เด็กหญิงมีแรงจูงใจในการแสวงหาความสำเร็จน้อยกว่าผู้ชาย
เด็กหญิงมักเอาความสำเร็จไปปนกับการได้รับความรัก และการยอมรับ
คือใฝ่หาความสำเร็จเพื่อให้ได้มาซึ่งความรักคำวิพากษ์วิจารณ์มักมีผลต่อจิตใจของเด็กหญิงมากกว่าเด็กชาย สิ่งที่เด็กชายชอบได้แก่
แท่งไม้ ยวดยานพาหนะ และบุคคลที่อยู่ในเครื่องแบบ ส่วนสิ่งที่เด็กหญิงชอบได้แก่
เครื่องตกแต่ง และบุคคลที่แต่งกายเป็นระเบียบความคิดของเพศชายหนักแน่นมากกว่าความคิดของเพศหญิงความคิดของเพศชายมุ่งในเรื่องของตนเองมากกว่า
ในขณะที่ความคิดของเพศหญิง
เน้นหนักในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเพศชายแสดงอาการก้าวร้าวมากกว่าเพศหญิงเพศหญิงมีความสามารถในการใช้ถ้อยคำได้ดีกว่า
จึงมีความสามารถในการติดต่อกับบุคคลอื่นได้เหมาะสม และนุ่มนวลกว่าเพศชาย
แนวทางแก้ปัญหา
-ให้ผู้เรียนเข้าใจในความแตกต่างระหว่างเพศ ทั้งชายและหญิง และร่วมมือกันช่วยเหลือด้วย พูดคุยกับเด็กถึงข้อดีของเพศตนเอง โดยพยายามให้เดกเป็นฝ่ายพูดมากกว่ารับฟัง เสริมความเชื่อมั่นในตนเองของเด็ก
-ส่งเสริมให้เล่นกิจกรรมเหมาะกับเพศตนเอง แต่ในระยะแรกเด็กอาจกลัวไม่กล้า ครูอาจเลือกกิจกรรมที่มีลักษณะกลางๆ ไม่รุนแรง เช่นศิลปะ ดนตรี หรือกีฬาที่ไม่หนักเกินไป โดยให้คลุกคลีในกลุ่มเพศชายด้วยกัน
-ครอบครัว เชิญผู้ปกครองมาพบ โดยมีหลักการพูดคุยกับผู้ปกครองดังนี้ ไม่สรุปว่า สาเหตุหลักเป็นผลจากการเลี้ยงดู หรือพ่อแม่ทำเพราะพ่อแม่อาจรู้สึกผิด โกรธ ต่อต้าน และเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องด้วยควรเน้นที่การแก้ไขที่เป็นไปได้โดยปรับความสัมพันธ์ของพ่อแม่ให้ดีขึ้น ให้พ่อใกล้ชิด มีกิจกรรมร่วมกับลูก และแม่ควรปรับอารมณ์ให้เข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ หรือเอาลูกมาเป็นพวก ให้พ่อแม่ใช้หลักการข้างต้นด้วย ควรให้ความหวังอย่างเป็นจริงในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเด็ก โดยทั่วไปในเด็กวัยเรียน ดังนั้น พ่อแม่ควรเตรียมพร้อมที่จะยอมรับลูก ละมองข้ามข้อดีด้านอื่น ตลอดจนพัฒนาเด็กให้รู้สึกมีคุณค่าในตนเอง เพราะหากเด็กยังรู้สึกหรือแสดงพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศจนเข้าถึงวัยรุ่นพ่อแม่ควรต้องปรับปรุงทัศนะที่จะแก้ไขเป็นการยอมรับในที่สุด อาจพิจารณาพบจิตแพทย์ หรือจิตแพทย์เด็ก หากพบปัญหาในครอบครัวมาก หรือครอบครัวแสดงความจำนงและต้องการแก้ไขอย่างจริงจัง
ความแตกต่างด้านความถนัดและความถนัด
ได้แก่ ความแตกต่างในด้านศักยภาพ หรือสมรรถภาพที่แฝงอยู่ในตัวบุคคล โดยอาศัยสติปัญญาและความสนใจเป็นพื้นฐาน ความถนัดอาจมีมาแต่กำเนิด เนื่องจากความถนัดต้องใช้สติปัญญาเป็นพื้นฐาน หรืออาจมีโดยอาศัยการฝึกฝน ทำให้เกิดทักษะได้
ความแตกต่างทางความสนใจ ได้แก่ ความโน้มเอียงที่บุคคลจะเลือก หรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนเองชอบ เช่น บางคนสนใจกล้วยไม้ บางคนสนใจการอ่านหนังสือพิมพ์ และบางคนสนใจวีดีทัศน์ เป็นต้น ความสนใจจะช่วยให้นผู้เรียนรู้จักตนเอง
แนวทางแก้ปัญหา - ครูสังเกตความเป็นอยู่ของผู้เรียน
- ครูต้องจับจุดความสนใจต่าง
ๆ ที่นักเรียนแสดงออกจากคำพูด - ศึกษากิจกรรมที่ผู้เรียนกระทำ
หรือประพฤติปฏิบัติ-.ให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็น
ในการเรียนการสอน-จัดให้มีการนำเสนองานที่ผู้เรียนชอบและถนัด
ไม่มีความเห็น