สหภาพยุโรปได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชากรในภูมิภาคของตน ไม่ว่าจะมีสัญชาติเดียวกันหรือมีหลายสัญชาติ
จึงได้มีการจัดการปัญหาดังกล่าวนี้โดยใช้หลักสัญชาติเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา โดยผ่านทางสนธิสัญญา EUROPEAN CONVENTION ON NATIONALITY ปี ค.ศ 1997 หรือที่เรียกโดยย่อว่า ECN เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดการปัญหาของบุคคลผู้มีหลายสัญชาติ
บทความนี้จึงมุ่งศึกษาหลักเกณฑ์ในการแก้ไขปัญหาของบุคคลผู้มีหลายสัญชาติใน ECN ว่ามีลักษณะเด่นอย่างไร เพื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศไทยที่มีอยู่ในปัจจุบันว่า มีการจัดการปัญหาในเรื่องนี้อย่างไร?
I การจัดการปัญหาของบุคคลผู้มีหลายสัญชาติในสหภาพยุโรป
สนธิสัญญาECN ได้ให้ความสำคัญกับบุคคลผู้มีสัญชาติว่า บุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลกลุ่มหนึ่งที่จะสร้างหรือก่อให้เกิดความเป็นอ้นหนึ่งอันเดียวกันหรือก่อให้เกิดความมันคงให้แก่ประชาคมยุโรปที่ประกอบด้วยประเทศสมาชิกเป็นจำนวนมาก ที่ซึ่งบุคคลภายในรัฐแต่ละรัฐสมาชิกสามารถเดินทางหรือเข้าไปตั้งรกรากในประเทศสมาชิกอื่น ๆ ได้อย่างเสรี ECN ฉบับนี้ จึงได้วางมาตรการในการคุ้มครองและดูแลบุคคลเหล่านี้ เพื่อให้การอยู่ร่วมกันของสหภาพสามารถก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเพื่อให้มีปัญหาน้อยที่สุด
สาระสำคัญของสนธิสัญญาECN ในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลผู้มีหลายสัญชาติ
ก. การให้ความคุ้มครองบุคคลผู้มีหลายสัญชาติ
มาตรา 2(b) ได้กำหนดนิยามของบุคคลผู้มีหลายสัญชาติไว้ว่า หมายถึง การถือสัญชาติมากกว่าหนึ่งสัญชาติโดยบุคคลเดียวกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีการอนุญาตให้บุคคลสามารถมีหลายสัญชาติได้นั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีบทบัญญัติอื่น ๆ ในการคุ้มครองบุคคลผู้มีหลายสัญชาติเหล่านี้อีกเช่น
มาตรา 14 (a) ที่กำหนดว่า รัฐภาคีจะอนุญาตให้เด็กซึ่งมีสัญชาติอื่น ๆโดยการเกิด มีสิทธิในการรักษาสัญชาติเดิมเอาไว้
(b) ที่กำหนดว่า สามารถได้สัญชาติอีกสัญชาติหนึ่ง โดยวิธีการสมรส
มาตรา 16 ที่กำหนดว่า ประเทศภาคีต้องไม่บังคับให้มีการสละหรือเสียสัญชาติ เพื่อที่จะได้สงวนรักษาอีกสัญชาติหนึ่งเอาไว้
นอกจากกฎเกณฑ์พื้นฐานในการให้ความคุ้มครองแก่บุคคลผู้มีหลายสัญชาติดังกล่าวข้างต้นแล้ว สนธิสัญญาฉบับนี้ยังได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ให้แก่บุคคลเหล่านี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่บรรดาประเทศหรือรัฐที่บุคคลเหล่านี้ได้ถือสัญชาติอีกด้วย
ข. สิทธิและหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีหลายสัญชาติ
โดยมีการกำหนดเอาไว้ในมาตรา 17 ซึ่งมีสาระสำคัญว่า
1. บุคคลที่ถือสัญชาติและได้พำนักอาศัยอยู่ในรัฐภาคีหนึ่ง จะต้องมี่สิทธิ,หน้าที่ อย่างเดียวกันกับรัฐอีกรัฐหนึ่งที่ตนมีสัญชาติ
2. สิทธิและหน้าที่ซึ่งมีต่อรัฐหนึ่งนั้น จะไม่มีผลกับหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มกันทางการฑูตตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่ใช้กับกฎหมายขัดกันที่มีอยู่ในแต่ละประเทศ
อันหมายความว่า บุคคลผู้มีหลายสัญชาติ เมื่อมีสิทธิที่จะพึงมีพึงได้หรือประโยชน์ในสัญชาติที่ตนถือ เช่น การถือหนังสือเดินทางของทั้งสองประเทศ การมีสิทธิพักอาศัยหรือถือครองอสังหาริมทรัพย์ในทั้งสองประเทศ บุคคลเหล่านี้ย่อมต้องมีหน้าที่ที่จะต้องปฎิบัติตามกฎเกณฑ์ของทั้งสองประเทศในฐานะของการเป็นพลเมือง เช่น การเสียภาษี การเกณฑ์ทหาร เป็นต้น
II การจัดการปัญหาของบุคคลผู้มีหลายสัญชาติในประเทศไทย
กฎหมายในประเทศไทยที่กำหนดและควบคุมดูแลในเรื่องของการมีสัญชาติไทยนั้นคือ พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ 2508 แก้ไขเพิ่มเติม ( ฉบับที่ 2 และ 3) พ.ศ 2535
สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับถือสัญชาติ
ก. การให้ความคุ้มครองผู้มีหลายสัญชาติ
กฎหมายฉบับนี้กำหนดถึงการได้สัญชาติไทยโดยการเกิด โดยให้เป็นไปตามหลักสืบสายโลหิตและโดยหลักดินแดน โดยกำหนดไว้ในมาตรา 7
ส่วนการได้สัญชาติไทยในภายหลังการเกิดนั้น ได้แก่ การได้สัญชาติไทยโดยการสมรส ตามมาตรา 9 ที่กำหนดว่า หญิงซึ่งเป็นคนต่างด้าวและได้สมรสกับผู้มีสัญชาติไทย ถ้าประสงค์จะได้สัญชาติไทย ให้ยื่นคำร้องขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีนี้ พระราชบัญญัติสัญชาติ ไม่ได้กำหนดเป็นเงื่อนไขว่า หญิงนั้นจะต้องสละสัญชาติเดิมของตนเสียก่อน ดังนั้น ในกรณีนี้หญิงนั้นจึงอาจมีสองสัญชาติ ส่วนมาตรา 13 ได้กำหนดว่า หญิงซึ่งมีสัญชาติไทยและได้สมรสกับคนต่างด้าวและอาจได้สัญชาติของสามีตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติของสามี ถ้าประสงค์จะสละสัญชาติไทย ให้แสดงควาจำนงต่อเจ้าพนักงาน โดยเป็นบทบัญญัติที่ไม่ได้บังคับให้หญิงนั้นมีการสละสัญชาติไทย
ส่วนมาตรา 14 กำหนดว่า ผู้มีสัญชาติไทยซึ่งในขณะเกิดบิดาเป็นคนต่างด้าวและได้สัญชาติของบิดาด้วยตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาติของบิดาตามหลักในมาตรา 12 วรรค 2 ถ้ายังประสงค์ที่จะถือสัญชาติอื่นต่อไปให้แสดงความจำนงสละสัญชาติไทยตามแบบที่กำหนดภายใน 1 ปีนับแต่วันทีมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ไม่มีบทบัญญัติที่ได้กำหนดเกี่ยวกับการมีหลายสัญชาติเอาไว้โดยตรง และไม่ได้มีบทบัญญัติกำหนดให้ผู้มีสัญชาติไทยและสัญชาติอื่นในขณะเดียวกัน ต้องเสียสัญชาติไทยเพราะข้อเท็จจริงที่บุคคลนั้นมีสัญชาติอื่นอยู่ด้วย เว้นเสียแต่บุคคลนั้นจะได้แสดงเจตนาแปลงสัญชาติหรือสละสัญชาติหรือถูกถอนสัญชาติไทยตามหลักเกณฑ์ที่อยู่ในมาตรา 22 ฉะนั้น บุคคลที่ถือสัญชาติไทยจึงสามารถถือสัญชาติอื่นได้ในเวลาเดียวกัน
ข. สิทธิและหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมีหลายสัญชาติ
สืบเนื่องจากการที่พระราชบัญญัติสัญชาติของประเทศไทย ไม่ได้กำหนดในเรื่องของการมีหลายสัญชาติเอาไว้โดยตรง ทำให้ไม่มีบทบัญญัติที่กำหนดสิทธิและหน้าที่ของบุคคลที่มีหลายสัญชาติเหล่านี้ไว้เป็นการเฉพาะ จึงส่งให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ดังต่อไปนี้
1) บุคคลผู้มีสัญชาติไทยและในขณะเดียวกันได้ถือสัญชาติอื่นด้วย หากไม่ได้พำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีใดปีหนึ่ง ประมวลรัฎษากรให้ถือว่าเป็นบุคคลผู้ไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีนั้น หากบุคคลดังกล่าวมีเงินได้ที่ไดจากการทำงานในต่างประเทศ และมิได้นำเงินนั้นกลับเข้ามาในประเทศไทยในปีเดียวกัน บุคคลผู้นั้นไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีในเงินได้นั้น กรณีนี้ทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้จากเงินได้ในส่วนนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นเงินได้ของคนสัญชาติไทย
2) บุคคลผู้มีสัญชาติไทยและถือสัญชาติอื่นในขณะเดียวกัน ย่อมสามารถที่จะถือครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยหรือเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรต่าง ๆ ของประเทศได้ไม่ต่างจากผู้มีสัญชาติไทยเพียงสัญชาติเดียว ขณะเดียวกันย่อมสามารถเข้าไปแสวงหาประโยชน์ในอีกประเทศหนึ่งที่ตนถือสัญชาติอีกสัญชาติหนึ่งด้วย เช่นการได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในการศึกษาในประเทศเหล่านั้น เป็นต้น
3) บุคคลผู้มีสัญชาติไทยและถือสัญชาติอื่นด้วย หากมีชื่อในฐานข้อมูลของรัฐทั้งสองรัฐแตกต่างกัน ย่อมทำให้บุคคลผู้นั้นเปรียบเสมือนเป็นบุคคลสองคนในเวลาเดียวกัน หากมีการกระทำความผิดในรัฐหนึ่งแล้วหลบหนีเข้าไปพำนักอยู่ในอีกรัฐหนึ่งที่ตนถือสัญชาติ ย่อมเป็นการยากที่จะจับกุมและนำกลับมาดำเนินคดีในรัฐไทย
ผู้เขียนมีความเห็นว่า ประเทศไทยควรมีการกำหนดยุทธศาสตร์ในเรื่องเกี่ยวกับบุคคลหลายสัญชาติไว้เป็นการเฉพาะ เพื่อวางแนวนโยบายและแนวปฎิบัติสำหรับการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย
สรุป ในเรื่องบุคคลหลายสัญชาติ ประเทศไทยกับสหภาพยุโรป ได้ให้ความคุ้มครองบุคคลที่มีหลายสัญชาติ แต่แตกต่างกันในเรื่องของการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลเหล่านี้ โดยในสหภาพยุโรปได้มีกฎหมายที่เข้ามาจัดการและดูแลในเรื่องนี้ ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่มีมาตราการทางกฎหมายใด ๆ ที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม
ไม่มีความเห็น