ทำไม? ชอบกดจัง...
ตั้งแต่สอบโอนเข้ามาอยู่ที่ ม. (เนื่องจากภาครัฐยุบตำแหน่งเดิม) นับเวลาได้ก็ประมาณ ๘ ปี กว่า ๆ แล้วสินะ...วัน เวลาในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี ผ่านไปเหมือนติดปีกบินเสียจริง ๆ ผู้เขียนก้าวย่างเข้ามาทำงานที่ ม. ทางสายสนับสนุน เพราะชีวิตใน ม. จะมีคนทำงานอยู่ ๒ สาย คือ สายวิชาการ + สายสนับสนุน ซึ่งสายวิชาการทำหน้าที่สอน สำหรับสายสนับสนุนทำหน้าที่ให้บริการทางวิชาการ
ผู้เขียนเติบโตมาจากชีวิตที่เคยรับราชการจากประถมศึกษา จึงทราบถึงบทบาท หน้าที่ ความอ่อนน้อมถ่อมตน การมีสายบังคับบัญชา การเคารพผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีคุณวุฒิมากกว่า ทราบถึงการทำงานต้องมีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน เพราะคนเราทำงานในองค์กรเดียวกัน แต่แตกต่างกันโดยหน้าที่ความรับผิดชอบเท่านั้นเอง สำหรับตำแหน่งหน้าที่การงานนั้น เป็น Career Part ของแต่ละคนที่ไขว่คว้า ดิ้นรน หามาด้วยตนเอง เช่น สอบเพื่อไต่ลำดับขึ้นจากลูกน้อง ไปเป็นหัวหน้างาน จนถึงผู้บังคับบัญชา ซึ่งมาจากความสามารถของตนเองทั้งสิ้น
แต่พอเข้ามาทำงานใน ม. แล้ว ดูเหมือนบรรยากาศมันแปลก ๆ ไม่เหมือนชีวิตของเราที่เคยเป็นคนทำงาน คือ ในโลกของการทำงาน เราทุกคนในที่ทำงานจะทำงานกันอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีเหตุ มีผลต่อกัน เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ที่ ม. (ไม่ทราบจะเหมือนกันทุก ม. หรือเปล่า?) ถ้าใครทำงานในสายสนับสนุนแล้ว จะถูกกดกว่าสายวิชาการ แต่ผู้เขียนซึ่งทำงานด้านบุคคล ก็พยายามพิจารณาแล้วพิจารณาอีกว่ามันแตกต่างกันอย่างไร? ดูเท่าไรก็ไม่เห็นแตกต่างกันเลย สำหรับส่วนที่จะแตกต่างกันนั้น มันคือ หน้าที่ที่แต่ละฝ่ายมีความรับผิดชอบให้ปฏิบัติมากกว่า เช่น สายวิชาการ มีหน้าที่สอนนักศึกษา สำหรับสายสนับสนุน มีหน้าที่ Support หรือบริการให้กับสายวิชาการ เช่น งานบุคคล ก็จะต้องทำเรื่องเกี่ยวกับ การลงเวลามาทำงาน การทำความดีความชอบ การพิจารณาผลงานวิชาการเพื่อเสนอผู้ทรงคุณวุฒิ การทำเรื่องเครื่องราชอิสริยาภรณ์ การสรรหาบุคคลเข้ามาทำงานแล้วส่งให้ไปทำงานตามหน่วยงานต่าง ๆ ภายใน ม. การอบรม พัฒนาบุคลากรของ ม. ฯลฯ ส่วนงานคลัง ก็จะต้องทำเรื่อง เบิก – จ่าย เงินเดือนให้กับบุคลากรของ ม. การจ่ายเงินตามโครงการต่าง ๆ ฯลฯ ฝ่ายแผน ฯ ก็จะต้องทำเรื่อง การวางแผนงบประมาณ การของบประมาณ การพิจารณาโครงการต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งแต่ละฝ่ายก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบแตกต่างกันไป สำหรับเส้นทางความก้าวหน้าแต่ละฝ่ายก็มีเส้นทางความเติบโตเป็นของตนเอง สายวิชาการมีงานวิจัย สายสนับสนุนก็มีงานวิจัยเช่นกัน สายวิชาการมีผู้บริหาร (ตามวาระ) สายสนับสนุนก็มีประเภทผู้บริหาร (ไม่ตามวาระ) สายวิชาการของ ผศ. รศ. ศ. สายสนับสนุนก็ขอชำนาญการ ชำนาญการพิเศษ เชี่ยวชาญ และเชี่ยวชาญพิเศษได้เช่นกัน...แต่ละสายก็มีเงินประจำตำแหน่งได้เช่นกัน...แล้วมันต่างกันตรงไหนรึ?...จึงชอบกดเราจัง!!!...สายสนับสนุนไปทำอะไรให้กับท่านรึ? พวกเรามาทำงานเช่นท่านนั่นแหล่ะ...ให้เกียรติกันบ้าง...ม. จะได้พัฒนาขึ้นกว่านี้อีก...
และนี่ก็คือ หน้าที่ของแต่ละคน แต่ละฝ่ายที่จะต้องทำหน้าที่ของตนเองให้บรรลุผลสำเร็จซึ่งเป็นเป้าหมายของ ม. แต่ผู้เขียนอดแปลกใจไม่ได้ว่า...ทำไม? สายวิชาการ (บางคน) ใน ม. จึงชอบกดสายสนับสนุน เช่น จากการใช้คำพูดที่ไม่ค่อยให้เกียรติกัน บางครั้งก็ไม่พูดต่อหน้า ชอบพูดว่าลับหลัง บางครั้งสงสัยอะไรในเรื่องของการทำงานก็ไม่ถาม แต่เก็บเอาไปว่ากับอีกคนหนึ่ง จนคนนั้นเขาเก็บเอาคำมาบอกกับเรา...ทั้ง ๆ ที่ ตัวผู้เขียนเองก็รู้ว่า หน้าที่ของตนเอง คือ เป็นข้าราชการ มีหน้าที่ที่จะต้องให้บริการในเรื่องต่าง ๆ ถ้าท่านถาม...เราจึงตอบ แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว อาจเป็นเพราะเราเข้าใจ + รู้ในเรื่องของคุณค่าของความเป็นคน + ความมีศักดิ์ศรีของการเป็นข้าราชการ ว่าควรที่จะต้องปฏิบัติตนต่อการทำงานอย่างไร?...แต่ถ้าได้ยิน ได้ฟังคำพูดที่ไม่พึงปรารถนา เช่น คำพูดที่เหมือนกับเหยียด ๆ ก็จะเกิดอาการขึ้นมาทันที...ทำไมล่ะ? เราก็คนเหมือนกันนะ...รัชกาลที่ ๕ ท่านก็เลิกทาสไปนานแล้ว...เรามาที่นี่ก็มาเพื่อทำงาน ทุกคนก็มาทำงาน ม. ก็เป็นส่วนราชการ...เวลาจะพูดก็ควรให้เกียรติกัน...แล้วทำไมต้องใช้คำพูดที่ไม่พึงปรารถนาต่อเราด้วย...ลองนึกย้อนกลับไปสิว่า...ถ้าผู้เขียนพูดกับเขา (สายวิชาการคนนั้น) แบบนั้นเข้าบ้าง... มันจะเกิดอะไรขึ้น? แต่เราก็ไม่พูดต่อเพื่อให้เกิดเรื่อง เพียงแต่นิ่งคิดอยู่ในใจ...แล้วทำไม? จึงชอบกดเราจัง ใช้คำพูดดี ๆ ก็ได้ “คนนะ...ไม่ใช่ “...” จึงจะไม่รู้สึก”…แม้แต่...มันยังรู้สึกเลยเพราะมันก็มีชีวิต...
ถ้าเทียบกับภาครัฐในปัจจุบันนี้แล้ว ภาครัฐต้องการให้คนทำงานมีชีวิตทั้งในที่ทำงานและของครอบครัวมีชีวิตที่มีความสุข แต่ทำไม? ใน ม. จึงกลับกันล่ะ...น่าแปลก!!!...นี่เป็นถึง “อุดมศึกษา” ชั้นปัญญาชน เป็นแหล่งรวมคนที่มีความรู้แล้วนะ...มีความเข้าใจในเรื่องของชีวิตการทำงานกันมากน้อยแค่ไหน?...พอผู้เขียนนั่งพิจารณาไตร่ตรองดูแล้ว...อาจเนื่องมาจาก “ระบบศักดินา” เดิมก็ได้ จึงทำให้มันเป็นเช่นนี้...โถ...น่าสงสารจัง!!! (คนทำงานทราบหรือไม่ว่าปัจจุบันนี้ภาครัฐเขาปรับเปลี่ยนระบบกันแล้ว...ควรอ่านหนังสือและติดตามความเป็นมา เป็นไปเกี่ยวกับการทำงานภาครัฐให้มาก ๆ ด้วยค่ะ จึงจะทราบ แล้วเมื่อทราบก็ควรนำมาปฏิบัติเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติจริง ๆ ด้วยนะคะ...)
ที่เขียนมาข้างต้น มิได้มีเจตนาจะทำให้เสียหาย แต่ต้องการให้เกิดการพัฒนาต่อมหาวิทยาลัยอย่างแท้จริง เพราะเหตุการณ์แบบนี้แหล่ะที่ทำให้ประเทศชาติไม่ได้รับการพัฒนาในทางที่ดีขึ้น ค่ะ...
ไม่มีใครรอบรู้ทุกเรื่อง...ไม่มีใครเก่งมาแต่เกิด
เพียงแต่นำสิ่งดี ๆ ที่มี...เอามาแบ่งปันกัน...ให้กับเพื่อน ๆ ของเรา
เท่านี้ก็เติมเต็ม...กับชีวิตที่ไม่สิ้นสุดการเรียนรู้...
น้องฟ้าครามเปล่าครับ คนนี้
ผมเคยอ่านผ่านตา เกี่ยวกับพระ 2 รูปที่เดินข้ามลำธาร มีพระรูปหนึ่งช่วยอุ้มผู้หญิง ที่อาจจะเจ็บป่วย ชรา ฯลฯ เพื่อข้ามลำธารนั้น
พอถึงอีกฝั่ง พระอีกรูปถามพระที่อุ้มสีกาว่า ท่านไม่รู้สึกผิดหรือที่ต้องทำเช่นนั้น
พระรูปนี้ตอบว่า ได้ช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว และเวลานี้ ไม่ได้นำมาคิดคำนึงอีก เพราะเรื่องมันผ่านไปแล้ว
น่าคิดนะครับ กับทางเลือกของเราที่จะจัดการกับชีวิตที่เหลืออยู่ ให้มีความสุข สงบ เจริญรุ่งเรือง ตามอัตภาพได้อย่างไร เมื่อยังมีผู้ชอบ "กด" อยู่รอบข้าง
นี่แหละครับคือโลก