ณ ดินแดนอันไกล.......... ได้มีครอบครัวอยุ่ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งได้อาศัยอยู่ในหุบเขาและเลี้ยงชีพด้วยความมุมานะ จนสามารถส่งลูกชายไปเรียนในเมืองตักกะศิลาได้จนสำเร็จ
แต่ทว่าเมื่อลูกชายได้ศึกษาสำเร็จกลับมาที่บ้านของตนแล้ว ผู้เป็นมารดา ก็กล่าวบอกลูกชายว่า
มารดา...ลูกเอ๋ย เจ้าก็อายุอย่างเข้า ๒๐ ปี บริบรูณ์แล้ว ต่อไปเจ้าก็ต้องหาคู่ครอง เพื่อสืบสกุลและทรัพย์สมบัติที่พ่อและแม่หาไว้ให้เจ้า
ลูก...ครับแม่
มารดา....แม่อยากที่จะให้เจ้าได้ไปศึกษาวิชาอีกวิชาหนึ่ง ที่อยู่เมืองถัดไป เมื่อเจ้าได้ศึกษาจนสำเร็จแล้วแม่ก็จะให้เจ้าเลือกคู่ครองของเจ้าต่อไป
อาจารย์ผู้สอนวิชานี้ ท่านได้อาศัยอยู่บนยอดเขาเมืองข้าง ๆ ซึ่งจะต้องเดินเข้าไป โดยใช้เวลา ๑ เดือนเต็ม เมื่อเด็กหนุ่มได้รับปากกับมารดาของตนเสร็จแล้ว ก็ได้เดินทางไปศึกษาวิชาที่มารดาของตนได้แนะนำมา
เมื่อเด็กหนุ่มได้เดินทางครบ ๑ เดือนพอดี เด็กหนุ่มก็ได้พบกับหมู่บ้านหนึ่ง ซึ่งอยู่บนยอดเขาพอดี ก็ได้เข้าไปถามถึงอาจารย์ที่มารดาของตนได้แนะนำให้มาศึกษา ชาวบ้านก็ชี้และบอกทางให้หนุ่มน้อย ผู้มีความต้องการจะศึกษาวิชาขั้นสุดยอดนี้
หนุ่มน้อยได้เดินทางมาถึงบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งได้เข้าไปสอบถาม ก็พบว่าใช่บ้านที่ตนหาอยู่ และก็ได้บอกเรื่องราวที่มารดาของตนบอกว่าให้มาศึกษาวิชากับอาจารย์
ท่านอาจารย์ก็บอกว่า ๒ ถึง ๓ วันนี้ เราจะให้ไปเก็บกวาดและถูกบ้านก็พอ และหลังจากนั้น เราจึจะสอนวิชาให้ เด็กหนุ่มก็ทำตามจนครบกำหนด
ท่านอาจารย์ก็บอกอีกว่า วันนี้จะเริ่มแบบทดสอบของวิชา คือให้เจ้าไปดูแลมารดาของเรา ท่านอายุ ๙๘ ปี เป็นระยะเวลา ๒ เดือน เมื่อครบกำหนดแล้ว เราก็จะสอนวิชาสุดยอดนี้จริง ๆ แก่เจ้า
และการดูแลมารดาของเรานั้น ไม่เหมือนที่อื่น เวลาเช้า เจ้าจะต้องตักน้ำไปให้ผู้เป็นมาของเราทุกเช้า และเจ้าต้องกล่าวบอกมารดาของว่า ท่านหญิงท่านช่างดูงดงามกว่าสาวรุ่น ๆ ที่กระผมเคยพบเจอมานะขอรับ โดยให้กล่าวแบบนี้ทุกวัน ถ้าวันไหนมารดาของเรามีเรื่องหรือ กล่าวอะไรกับเจ้า เจ้าต้อมาบอกเราทุกครั้ง ทุกวัน
เมื่อเด็กหนุ่มได้รับหน้าที่เรียบร้อยแล้วก็ดำเนินตามที่ท่านอาจารย์ได้บอกกล่าวไว้ทุกประการ
จนเวลาล่วงเลยไปเดือนครึ่ง ผู้เป็นมารดาของอาจารย์ก็กล่าวกับหนุ่มน้อยว่า หนุ่มน้อยเอ๋ย เราถามเจ้าหน่อยนะว่า เราดูงดงามกว่าสาวรุ่น ๆ ที่เจ้าเคยพบเจอมาจริงหรือ?
หนุ่มน้อย..จริงขอรับ ท่านดูงดงามมากกว่าสาวรุ่นเสียอีกครับ
มารดาอาจารย์..อืมมมมม
ตอนเย็นวันนั้น เจ้าหนุ่มก็ได้ บอกกับผู้เป็นอาจารย์ว่า วันนี้ มารดา ได้กล่าวอะไรกับตนบ้าง
อาจารย์...ก็ดีแล้ว ถ้ามีอะไรอีก เจ้าอย่าลืมมาบอกให้เราทราบนะ
ลูกศิษย์...ครับอาจารย์
พอวันรุ่งขึ้น เจ้าหนุ่มน้อยก็ตักน้ำและนำเข้าไปให้มารดาของผู้เป็นอาจารย์ตามปรกติ มารดาผู้เป็นอาจารย์เลยกล่าวกับหนุ่มน้อยว่า
มารดาอาจารย์.....หนุ่มน้อย ฉันดูงดงามจริงหรือ?
หนุ่มน้อย....จริงขอรับ
มารดาอาจารย์......ฉันคิดดูทั้งคืนแล้วนะ สิ่งเดียวที่จะทำให้เรานั้นได้อยู่ด้วยกันได้ เจ้าจะต้องฆ่าลูกชายของเราเสีย แล้วเราก็จะหนีไปอยู่ด้วยกันนะ ดีไหม
หนุ่มน้อย....ดีขอรับ
มารดาอาจารย์....ถ้าอย่างเย็น เจ้าจงนำย่าพิษนี้ ไปใส่ในอาหารให้ลูกชายของฉัน
หนุ่มน้อย...ผมไม่กล้าขอรับ
มารดาอาจารย์...งั้นไม่เป็นไร เดียวตอนเย็น ๆ ฉันจะจัดการเอง
เมื่อมารดาอาจารย์กล่าวเสร็จ เด็กหนุ่มน้อยก็ออกไป โดยรับปากวาจะไปบอกอะไรให้อาจารย์ทราบ
แต่ว่าเด็กหนุ่มน้อยได้รับปากกับอาจารย์เสียแต่ตอนแรกแล้ว จึงไม่ถือสัญญาที่ให้ไว้กับมารดาอาจารย์
ลูกศิษย์....อาจารย์ขอรับ มารดาของท่านวันนี้ได้กล่าวว่า.....
อาจารย์....ดีแล้ว เดียวเราจัดการเอง
พอถึงเวลาเย็น มารดาของผู้เป็นอาจารย์ก็เข้าไปในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหาร โดยบอกลูกชายว่า วันนี้แม่จะทำอาหารที่แสนอร่อยให้ลูกทานเองนะ มารดาของผู้เป็นอาจารย์ก็เข้าไปทำอาหาร
แต่ไม่ได้สังเกตเลยว่า อาจารย์ หรือ ผู้เป็นบุตร นั้น ได้ยืนดูอยู่ตลอดเวลากับลูกศิษย์ของเขา
พอผู้เป็นมารดาได้ใส่ยาพิษลงไปในอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็หันหลังกับมา พร้อมกับตกใจอย่างมาก เมื่อพบว่า ลูกชายและศิษย์ของเขานั้นได้ยืนดูอยู่ตลอดเวลา
มารดาของผู้เป็นอาจารย์ก็ตกใจ จนหัวใจวาย และตายจากไป
ผู้เป็นอาจารย์เลยกล่าวกับลูกศิษย์ว่า....วิชาที่มารดาของเจ้าให้มาเรียนนั้นก็คือวิชานี้แหละ อันเป็นวิชาที่ว่าด้วยกิเลสของคนเรา เเม้อายุจะมากเท่าไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นนักบวช ผู้สูงอายุขนาดนั้นก็ตาม หรือ แม้แต่เด็ก ก็มีกิเลสทั้งนั้น
โบราณกล่าวไว้ว่า กิเลสของคนเราจะสิ้นกับคนเราก็ต่อเมื่อเวลาใกล้ตายมาถึงเพียง ๕ วินาทีเท่านั้นละ
เมื่อเจ้าได้เรียนวิชาสุดยอดนี้กับเราเสร็จ เราก็เดินทางกลับบ้านของเจ้าได้แล้ว
เมื่อเด็กหนุ่มลาอาจารย์และเดินทางกลับ ไปหาผู้เป็นมารดาของตน เมื่อมาถึงบุตรก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้มารดาของตนฟัง
มารดาก็กล่าวว่า นี้ละคือสิ่งที่แม่อยากให้เจ้าได้รับรู้ไว้ และเจ้าจะได้พิจารณาและใช้ทรัพย์ของเราอย่างมีค่า
ขอบคุณที่สละเวลาอ่านนะครับ
อันเป็น.....วิชาที่ว่า....ด้วยกิเลส.....ของคนเรา เเม้ อายุ จะมากเท่าไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น นักบวช .... ผู้สูงอายุ ... ขนาดนั้นก็ตาม หรือ แม้แต่ ...เด็ก ..... ก็มีกิเลสทั้งนั้น
โบราณกล่าวไว้ว่า ....กิเลสของคน...... เราจะสิ้นกับคนเราก็ต่อเมื่อ....เวลาใกล้ตายมาถึงเพียง ๕ วินาที เท่านั้นละ ......... "ต้องทำ กิเลส Management .....แล้วหละค่ะ"
ขอบคุณทุกท่านกับดอกไม้นะครับ
และพี่เปิ้ลกับ Comment นะครับ
เรื่องนี้เป็นการบอกบางสิ่งกับมนุษย์นะครับว่าแท้ที่จริงแล้ว
คนที่บอกว่ามีศีล อาจไม่มีศีลก็ได้
คนที่ว่าดี อาจไม่ดีอย่างที่เห็นหรือคิดก็ได้ครับ
แต่อยู่ที่ว่า คนนั้นจะมีวิธีจัดการกับกิเลสได้อย่างไรมากกว่านะครับ