เมื่อวัยเด็กผมได้เข้าเรียนที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน เข้าใจว่าตอนนั้นเป็นคงเป็นโครงการอะไรสักอย่าง เพื่อช่วยพัฒนาการให้แก่เด็กก่อนวัยเรียน ผมจำได้แต่ว่าตอนนั้นผมไม่ชอบเอาเสียเลย ช่วงบ่ายที่เขาให้นอน ผมต้องมายืนร้องที่หน้าต่าง เรียกคนที่รู้จักช่วยพากลับบ้านด้วย
พอโตหน่อยได้เข้าโรงเรียนประถม ผมชอบวิชาศิลปะมากที่สุด เพราะว่า "ครูประสงค์" จะพาพวกเราไปวาดรูปที่ลานวัด ลานโรงเรียน และตอน ป.6 เราก็ได้เรียนการทำเครื่องปั้นดินเผา ครูประสงค์ ลงทุนเองโดยไปฝึกปั้นที่บ้านมะยิง ซึ่งที่นี่เขาทำเป็นอาชีพดั้งเดิมตั้งแต่ผมจำได้ก็มีอยู่แล้ว ครูประสงค์มาคิดทำแท่นปั้น เพื่อห้มีจำนวนพอกับจำนวนนักเรียน และทำเตาเผาลูกเล็กๆ ใกล้ๆบ้านภารโรง
พวกเรามีการบ้านทุกเย็นวันพฤหัส คือ ต้องไปหาดินเหนียวที่ทุ่งนา มาเตรียม ครูประสงค์ จะสอนวิธีการเตรียมดินให้เราดูก่อน สอนการนวดดิน ในตอนนั้นผมสามารถปั้นกระถาง โอ่งใบเล็กๆได้
เมื่อจบ ป.6 ก็ต้องเข้ามาสอบแข่งขันเข้าโรงเรียนประจำจังหวัด เริ่มรู้สึกเครียด ปนๆความท้าทาย ตั้งแต่นั้นมาจะรู้สึกเสมอว่าการเรียนคือการแข่งขัน เพื่อนๆที่อยู่ในเมืองเขาจะพูดถึงการเรียนต่อในโรงเรียนดังๆ เสมอในวงการพูดคุย
ผมจบ ม.3 ด้วยคะแนนสะสมที่ค่อนข้างดี ทำให้เป็นผลได้เข้าไปเรียนในห้อง King ในตอน ม. 4 และตอนนี้นี่เองที่ความเครียดซึ่งซ่อนอยู่ข้างในมานาน ทำให้ผมต้องตัดสินใจทิ้งเส้นทางการเรียนสายสามัญ สู่สายอาชีพ
พอจบ ม.4 ผมไปสมัครสอบเข้าสายอาชีวะ และไปเริ่มเรียนในระดับ ปวช.1 เท่ากับผมเสียเวลาเรียนตอน ม. 4 ไปหนึ่งปี
การเรียนอาชีพในตอนนั้น เนื่องจากว่าวิทยาลัยที่ผมเรียนเพิ่งเปิดรับนักเรียน และผมก็เป็นรุ่นที่ 2 ความพร้อมของการเรียนภาคปฏิบัติจึงได้ค่อนข้างน้อย มีเพื่อนหลายคนแซวกันว่า เราเลี้ยงปลากันบนกระดาน แต่เราก็ยังมีภาคฝึกงานในสถานที่จริงทำให้ได้เสริมการเรียนรู้มากขึ้นอีกนิดหนึ่ง
ในปีท้ายสุดของ ปวส. มีบริษัทเอกชนชื่อดังเข้ามารับนักศึกษาเข้าไปทำงานในตอนนั้นเลย ผมเลยได้งานทำตั้งแต่ยังไม่ทันจบเรียบร้อย จริงๆก็คิดจะเรียนต่อระดับ ป.ตรีอีกเหมือนเพื่อนหลายๆคน แต่เห็นสภาพความลำบากของพ่อ กับแม่ในตอนนั้น ผมต้องตัดใจทำงานก่อน
ผมเข้าสู่มหาวิทยาลัยแห่งชีวิตการทำงาน เป็นครั้งแรกก็ตอนนี้ ต้องเรียนรู้การอยู่กับเพื่อนร่วมงานในฟาร์ม เรียนรู้การทำงานร่วมกับคนงานที่เราต้องรับผิดชอบ เรียนรู้ความรับผิดต่อหน้าที่ที่ได้รับจากหัวหน้างาน
หนึ่งปีของการทำงานในฟาร์ม ที่ตำบลเขายี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ทำให้เราเริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และอีกครั้งกับการตัดสินเลือกทางเดินชีวิตอีกครั้ง เกิดจากคำถามที่ถามตัวเองทุกครั้งเมื่อตอนเช้ามืด ที่ต้องหิ้วอุปกรณ์วัดสำรวจคุณภาพน้ำ เดินรอบพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้งกุลาดำกว่า 10 ไร่ ระหว่างที่เดินก็มักจะคิดอะไรไปด้วย จึงเกิดสงสัยว่า เอ๊ะ! เราต้องทำงานซ้ำๆแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร?
เป็นเหตุให้ลองสมัครสอบเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรี พอสอบได้ก็ลาออกมาเรียนอีก 2 ปี ตอนนี้มีความรู้สึกว่าสมใจที่อยากสัมผัส ชีวิตการเรียนที่เขาเรียกกันว่า เรียนในมหาวิทยาลัย
จากนั้นได้เข้าไปทำงานที่ไม่เคยคิดมาก่อน เป็นงานพัฒนาชนบทในโครงการความช่วยเหลือของต่างประเทศ ซึ่งทำงานที่อำเภอจักราช จ.นครราชสีมา เป็นเวลาเกือบ 5 ปี ได้เรียนรู้ชีวิตขึ้นอีกมากทีเดียว เรียนรู้จากชุมชน เรียนรู้จากเพื่อนร่วมงาน และเรียนรู้จากที่ปรึกษาโครงการ
ชีวิตต้องกลับเข้าการเรียนในระบบอีกครั้ง แต่ครั้งหลังนี้เป็นระบบที่ต่างจากเดิมมากทีเดียว ต้องเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินมาก่อน ทุกอย่างใหม่หมด ต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ ต้องเรียนรู้ในสภาพวัฒนธรรมที่แตกต่าง สภาพภูมิประเทศแตกต่าง และสภาพภาษาที่แตกต่าง แบบแผนทางความคิดที่แตกต่าง ทำให้ตัวเองเรียนรู้ภาพใหญ่ของสังคมมากขึ้น
และการเรียนที่สำคัญอีกครั้งหนึ่งของชีวิต ตอนที่กลับมาทำงาน อีกครั้ง เมื่อมารู้จัก "การจัดการความรู้" ทำให้ได้มีโอกาสเรียนรู้จาก Best Practice หลากหลายที่ หลากหลายบริบท มันทำให้ความเข้าใจต่อ "การเรียนรู้" เปลี่ยนไปจากเดิมมากทีเดียว มากจริงๆ