จากการที่ได้สอบถามชาวบ้านกับชาวบ้านที่เป็นเกษตรกรส่วนใหญ่นั้นจะทำการเกษตรแบบเชิงเดี่ยว ซึ่งได้แก่ การปลูกมันสำปะหลัง อ้อย ซึ่งทั้งการปลูกมันสำปะหลังและอ้อยนั้น ซึ่งหลังจากการคำนวณดูทั้งรายได้และรายจ่ายและเห็นว่า ส่วนมากรายจ่ายเยอะกว่ารายรับหรือ จะมีการลงทุนมากแต่ได้กำไรที่ขายผลผผลิตนั้นจะน้อยกว่าเท่าตัว โดยส่วนมาก จะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องของ ปุ๋ยเคมี และน้ำมัน
ถึงแม้กระนั้นก็ตามเกษตรกรก็ยังคงปลูกพืชชนิดเดิม ทำตามวิธีเดิม มีความคิดที่เดิมๆ ที่จะมีการปลูกพืชชนิดนี้ต่อไป ในแง่ทางหนึ่งอาจจะเห็นว่า เกษตรกรนั้นไม่ได้วางแผนในการที่จะปลูกพืชชนิดนั้นๆว่า มีการลงทุนไปเท่าไหร่ และอาจจะได้กำไรเท่าไหร่ โดยส่วนนั้นชาวบ้านที่มีที่ดินเยอะจะปลูกมันสำปะหลัง อ้อย เสียเป็นส่วนใหญ่ บางรายก็ให้คนอื่นเช่าต่อไป
ถึงแม้ว่าจะมีที่ดินเยอะก็ไม่ได้หมายความว่าจะรวย บางรายมีที่ดินเยอะลงทุนทำเยอะและบางรายได้ยังติดลบต้องกู้หนี้ยืมสินมาลงทุนด้วยซ้ำไป
มีคำถามหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า เกษตรนั้นต้องทุกข์ทนกับการเป็นหนี้มากแค่ไหน ข้อความนี้มาจากเสียงที่หน้าตาเศร้าหมองของผู้หญิงที่มีอายุราวๆ 60 ปี ท่านบอกว่า" แม่ไม่รู้ว่าจะเอาที่ไหนมาชำระหนี้สินที่มีอยู่ อยุ่ทุกวันนี้แม่นอนไม่หลับ มันทุกข์ทรมานมากกับการที่เป็นหนี้ที่ไม่รู้จักจบสิ้น"
การค้นหาความพอเพียงที่มีแต่แสงที่ริบรี่นั้นยากเต็มที การไม่รู้จักพอของเรามันกลับมาทำทำร้ายเราอย่างแสนสาหัสเช่นนี้เอง