วิเคราะห์แนวทางการแก้ปัญหาครูหมดไฟ


ครูหมดไฟ ทำไงดี (อาจเกิดขึ้นได้กับครูทุกวัย...)


          จากรูป ข้อมูลเบื้องต้นของครูที่หมดไฟได้แก่ ผมหงอกเพราะความเครียด, สมองเสื่อมเพราะคิดหาวิธีคุมเด็ก, รอยเหี่ยวย่นถาวรบนใบหน้าจากการยิ้มให้ผู้ปกครอง, ตาเหลือกเพราะต้องคอยถลึงตาให้เด็กหยุดพูด, หูอื้อเพราะเสียงบ่นจากผู้ปกครอง, หูตึงเพราะชาชินกับเสียงดัง, ฟันหลุดเพราะต้องกัดฟันสอน, การทรงตัวเสียและปวดหลังเพราะยกแบบฝึกหัดเด็ก, เสื้อผ้าเก่าเป็นขุยเพราะเงินเดือนน้อย, นิ้วมือเน่าเพราะต้องตรวจรายงานเด็กตลอดเวลา, เล็บมือซ้ายจากการต่อสู้เพื่อเด็ก, เส้นเลือดบริเวณขาขอดเพราะไม่มีเวลานั่งพัก, มีถุงพลาสติกห้อยไว้ใต้กระโปรงเพราะไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ และต้องใส่รองเท้ากีฬาเอาไว้วิ่งหนีผู้บริหาร

          จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับครูนั้นอาจมีมาจากสาเหตุหลักๆได้แก่ ตัวครูเอง นักเรียน ผู้ปกครอง และผู้บริหาร ซึ่งผู้คนเหล่านี้จะต้องเกี่ยวข้องกับครูแทบทุกวันทั้งสิ้น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับครูในทุกวันนี้ที่น่าจะเป็นสาเหตุหลักคือ หน้าที่รับผิดชอบของครูที่นอกจากจะต้องรับภาระสอนที่มากมายแล้วยังต้องรับหน้าที่อื่นๆในโรงเรียนอีก และค่าใช้จ่ายของครูไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าใช้จ่ายเพื่อการจัดการเรียนการสอนให้แก่เด็กเป็นพิเศษ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซี่งเงินเดือนที่ครูได้รับถือว่าน้อยหากเทียบกับความรับผิดชอบต่ออนาคตของเด็ก และมักก่อให้เกิดหนี้สินแก่ครูแทบทุกคน เมื่อหนุ่มสาวที่ตั้งใจมาเป็นครูประสบกับสภาพเหล่านี้เป็นระยะเวลานาน ก็อาจทำให้ความมุ่งมั่นตั้งใจที่มีลดลงหรือเหือดหายไปตามกาลเวลา หรือที่เรียกว่า “หมดไฟ” ก็ได้

          ถ้าปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ครูทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ไม่เต็มที่จะส่งผลทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมการสอน การสอน การทำงานอื่นๆที่โรงเรียนมอบหมาย และการมีปฎิสัมพันธ์กับนักเรียน ผู้ปกครอง ผู้บริหาร และบุคคลอื่น

          หากจะพิจารณาสาเหตุและหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับครูที่หมดไฟจากลักษณะต่างๆอาจพิจารณาได้ดังนี้

          1. ผมหงอกเพราะความเครียด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้สิน ความสัมพันธ์กับนักเรียน เพื่อนครู ผู้ปกครอง และผู้บริหาร ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาคือการหาสาเหตุของความเครียดแล้วจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่จะไปพบเจอใคร หากแก้ไขไม่ได้ให้ลองหาคนปรึกษาอาจเริ่มจากคนใกล้ตัวก่อน แต่หากแก้ไขไม่ได้ขอแนะนำให้ลองพบจิตแพทย์เพื่อบำบัดรักษาในทางที่ถูกต้อง และอย่ากลัวว่าคนอื่นจะหาว่าเราบ้าที่ไปพบจิตแพทย์เพราะความเครียดสะสมอาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางจิตได้หากไม่ได้รับการเยียวยารักษาที่ถูกต้อง

          2. สมองเสื่อมเพราะคิดหาวิธีคุมเด็ก เป็นผลสืบเนื่องมาจากความเครียดและเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดความเครียดเพิ่มเติมในเวลาเดียวกัน ในการแก้ปัญหาตรงจุดนี้ครูควรที่จะรู้จิตวิทยา และทราบพัฒนาการของเด็กในวัยต่างๆ เพื่อยอมรับและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมตามวัย และเด็กไม่เครียดจนเกินไป

          3. รอยเหี่ยวย่นถาวรบนใบหน้าจากการยิ้มให้ผู้ปกครอง หากครูยิ้มด้วยความจริงใจไม่ปั้นหน้ารอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นนั้นจะบ่งถึงความสุขในอดีตและสะท้อนจิตวิญญาณความเป็นครูได้เป็นอย่างดี แต่หากเป็นการปั้นหน้าสิ่งที่เกิดขึ้นกับครูคือความเบื่อหน่ายและนำไปสู่ความเครียดในที่สุด สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณและความภาคภูมิใจในความเป็นครู และการยิ้มให้ผู้ปกครองไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำตลอดเวลา แต่หากเป็นการยิ้มทักทายตามประเพณีนิยมของไทย

          4. ตาเหลือกเพราะต้องคอยถลึงตาให้เด็กหยุดพูด อาจถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ครูไม่สมควรทำ เพราะนอกจากบางครั้งเด็กอาจจะไม่สนใจแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนอีกด้วย และเด็กจะคุยในห้องเรียนก็ต่อเมื่อสิ่งที่เรียนนั้นไม่สนุก ไม่น่าสนใจ เรียนแล้วไม่มีความสุข ซึ่งการที่เด็กจะเรียนรู้สิ่งใดนั้นเขาควรจะต้องมีความสุขเป็นพื้นฐานเสียก่อน การสร้างความสุข การดึงความสนใจในบทเรียน และเห็นความสำคัญของสิ่งที่จะเรียนนั้นเป็นทักษะที่ครูทุกคนต้องมี แต่อาจแตกต่างกันได้ในครูแต่ละคน

          5. หูอื้อเพราะเสียงบ่นจากผู้ปกครอง เป็นธรรมดาที่ต้องพบเจอกับคนหมู่มากซึ่งจะคาดหวังให้เขาเหล่านั้นมีความคิดเห็นที่ตรงกับเราเป็นไปได้ยาก แต่จะไม่รับฟังความคิดเห็นผู้อื่นก็ออกจะไม่เป็นประชาธิปไตย และเห็นแก่ตัวมากเกินไป ครูควรจะเปลี่ยนแนวคิดจากเสียงบ่นเป็นเสียงที่แสดงออกถึงความเห็นที่แตกต่างและนำมาปรับแก้ให้ได้ทางออกที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

          6. หูตึงเพราะชาชินกับเสียงดัง อันนี้เห็นว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นกับครูได้

          7. ฟันหลุดเพราะต้องกัดฟันสอน เป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้กับครูที่หมดไฟ หรือครูที่หมดอาลัยในวิชาชีพครู เพราะการที่ต้องกัดฟันทำสิ่งใดถือเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้คือต้องนึกถึงตอนที่ตนเองเป็นครูใหม่ๆ ระลึกถึงความตั้งใจที่จะมาเป็นครู น่าจะพอเยียวยาความทุกข์ไปได้บ้าง

          8. การทรงตัวเสียและปวดหลังเพราะยกแบบฝึกหัดเด็ก การประเมินผลนักเรียนไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องดูจากผลสัมฤทธิ์ทางสติปัญญาเพียงอย่างเดียว หากครูปรับการจัดการเรียนการสอนให้เด็กได้แสดงความสามารถหรือลงมือทำในสิ่งที่เขาสามารถทำได้ เขาจะสามารถซึมซับความรู้และสร้างสรรค์ผลงานได้โดยไม่รู้ตัว และความรู้ที่ได้จากการลงมือทำจะติดตัวเขาไปตลอดชีวิตและนำไปใช้สร้างสรรค์สังคมได้ดีกว่าความรู้ในกระดาษ

          9. เสื้อผ้าเก่าเป็นขุยเพราะเงินเดือนน้อย เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่หากครูรู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีและอยู่อย่างพอเพียงคงจะพอบรรเทาสิ่งที่เกิดขึ้นกับครูได้มาก

          10. นิ้วมือเน่าเพราะต้องตรวจรายงานเด็กตลอดเวลา ครูมักจะสั่งรายงานเด็กเพื่อให้ไปค้นคว้าหาความรู้แล้วสร้างความคิดรวบยอดสรุปความคิด แต่ปัญหาที่เกิดคือครูต้องมานั่งอ่าน และตรวจทานความรู้ที่เด็กนำเสนอผ่านรายงานทำให้เกิดความเบื่อหน่ายเหนื่อยล้าแก่ครูเป็นอย่างมาก ปัจจุบันได้มีการนำเทคนิควิธีการสอนและสื่อคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย ทำให้ลดภาระการประเมินผลงานนักเรียนได้ในระดับหนึ่ง แต่ครูต้องฝึนฝนตนเองเพื่อจะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้

          11. เสียมือซ้ายจากการต่อสู้เพื่อเด็ก หากครูต้องสูญเสียสิ่งใดไปเพื่อพวกเด็กๆแล้วละก็ ถือได้ว่าผู้นั้นเป็นครูด้วยใจอย่างแท้จริง และน่าเทิดทูนเป็นพระคุณที่สามด้วยความเคารพ

          12. เส้นเลือดบริเวณขาขอดเพราะไม่มีเวลานั่งพัก การยืนหรือเดินนานๆเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับครูทุกคน วิธีแก้เบื้องต้นคือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (กางมุ้งแบบทหาร เป็นต้น) เพื่อชะลอการเกิดและบรรเทาอาการเบื้องต้น การกินยาหรือผ่าตัดเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ

          13. มีถุงพลาสติกห้อยไว้ใต้กระโปรงเพราะไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ สำหรับครูทุกคนควรแบ่งเวลาเพื่อดูแลสุขภาพ และสุขลักษณะของตนเอง ควรปรับนาฬิกาชีวิตของตัวเองให้ดำเนินชีวิตเป็นระบบ กิน นอน ถ่ายให้เป็นเวลา ชีวิตจะเป็นสุขมากขึ้น

          14. ต้องใส่รองเท้ากีฬาเอาไว้วิ่งหนีผู้บริหาร จัดเป็นนิสัยที่ไม่ดีของครูหมดไฟ เพราะถือเป็นการหนีปัญหา ซึ่งเป็นปัญหาโลกแตกเสียด้วย เพราะงานสอนก็หนักแล้วยังต้องมารับงานอื่นๆอีก ทำให้ครูหลายคนหมดไฟเลยทีเดียว ครูคงต้องสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ ความมุ่งมั่นตั้งใจเท่านั้นที่จะเอาชนะทุกสิ่งได้

          จากแนวทางทั้งหมดที่ได้นำเสนอมานี้ครูต้องตั้งมั่นและศรัทธาในวิชาชีพ รักและให้ความรู้แก่นักเรียนให้เหมือนลูกของตน แต่อย่าได้คาดหวังว่าเขาจะเป็นได้เหมือนลูกของตน เพราะเด็กแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน การทำงานสิ่งใดขอให้ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งยั่วยวนจากสื่อต่างๆ ไม่เอนเอียงตามคำคน คิดในแง่บวก ตั้งตนอยู่ในความสำรวม ดำรงตนเป็นแบบอย่างแก่นักเรียน หมั่นเพียรพร่ำสอนศิษย์อย่างเต็มใจ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย อย่าได้บกพร่อง แล้วครูทุกคนจะได้รับสิ่งตอบแทนคือความสุขที่มีในชีวิต

 

ป.ล. พอดีเข้าไปอ่านเรื่อง ครูหมดไฟที่ http://www.vcharkarn.com/vblog/1461/9 เลยเอารูปเขามา

หมายเลขบันทึก: 502194เขียนเมื่อ 14 กันยายน 2012 00:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 กันยายน 2012 18:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ก่อนอื่นต้องขอหัวเราะภาพประกอบก่อนนะคะ 555+ มาเห็นด้วยกับครู และวัยทำงานทุกคน สามารถหมดไฟได้ทุกเพศทุกวัยเลยค่ะ

  • เห็นด้วยนะ
  • แต่....ขอเพิ่มเติมนิด...ที่หมดไฟ...เพราะ เบื่อระบบการบริหารงานของผู้ที่ได้ชื่อว่า..."บังคับ+บัญชา" ด้วยจ้ะ
  • ประเภท..." ทฤษฎีเต็ม...แต่...ปฏิบัติตก"  เดี๋ยวนี้มีเกลื่อน  เกะกะโรงเรียนไปหมด....

เรื่อง ผบช ก็คงต้องทำใจครับ

......

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท