เมื่อพูดถึงการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หลายคนอาจจะมีความวิตกกังวล หลายด้านไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวในการใช้ชีวิต การทำงาน การศึกษา เป็นต้น เพราะทุกภาคส่วนในประเทศไทยได้โหมประชาสัมพันธ์ และกระตุ้นเตือนประชาชนทุกเพศทุกวัยเสมือนเป็นเรื่องใหม่ และไกลตัว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยกับประเทศต่างๆในอาเซียนได้มีการเปิดการเชื่อมโยง ติดต่อกันในทุกๆด้านมานานแล้ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การขนส่ง ที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจน แทบจะไม่มีอะไรต้องเปลี่ยนแปลงเลย เพียงแต่มีการร่วมลงนามในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือกันอย่างเป็นทางการ และวางขอบข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศในอาเซียน เพื่อยกระดับความเป็นกลุ่มความร่วมมือที่มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขัน และต่อรองผลประโยชน์กับกลุ่มต่างๆระดับโลกได้
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับประเทศในประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) กันก่อน เพื่อเป็นข้อความรู้พื้นฐานที่จะใช้ร่วมกับการพัฒนาตนเอง ประชาคมอาเซียนประกอบด้วย 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย (2510) อินโดนีเซีย (2510) ฟิลิปปินส์ (2510) บรูไน (2527) สิงคโปร์ (2510) มาเลเซีย (2510) เวียดนาม (2538) ลาว (2540) พม่า (2540) และกัมพูชา (2542) มีประชากรรวมกันประมาณ 600 ล้านคน ได้มีการลงนามในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียนที่เรียกว่า ข้อตกลงบาหลี2 เห็นชอบให้มีการจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) คือการให้อาเซียนรวมตัวกันเป็นชุมชน หรือประชาคมเดียวกันให้สำเร็จภายในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ. 2015) เนื่องจากการแข่งขันรุนแรง เช่น อัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจของจีน และอินเดียสูงมากในช่วงที่ผ่านมา
ประชาคมอาเซียนประกอบด้วยความร่วมมือหลักๆใน 3 ด้าน คือ : ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Security Community - ASC) มุ่งให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีระบบแก้ไขความขัดแย้ง ระหว่างกันได้ด้วยดี : ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community- AEC) มุ่งให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และการอำนวยความสะดวกในการติดต่อค้าขายระหว่างกัน ซึ่งประเทศไทยได้รับมอบหมายให้ทำ Roadmap ทางด้านการท่องเที่ยว และการขนส่งทางอากาศ (การบิน) : ประชาคมสังคม และวัฒนธรรม (ASEAN Socio-Cultural Community- ASCC) เพื่อให้ประชาชนแต่ละประเทศอาเซียนอยู่ร่วมกันภายใต้แนวคิดสังคมที่เอื้ออาทร มีสวัสดิการทางสังคมที่ดี และมีความมั่นคงทางสังคม
เมื่อจะต้องเปลี่ยนแปลงทุกด้านเช่นนี้แล้ว คนไทยควรจะมีการปรับตัว และพัฒนาตนเองอย่างไรให้มีความพร้อมที่จะดำเนินชีวิตท่ามกลางประชากรนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียน ครูอาจารย์ นักศึกษา หรือคนวัยทำงาน ก็จำจะต้องหันมาคิดเรื่องการพัฒนาด้านการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมแทบทั้งสิ้น ดังที่เราสามารถติดตามได้จากข่าวสารทางทีวี ที่เห็นโรงเรียนต่างๆมีการพัฒนา อบรมครูด้านภาษาต่างประเทศ และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ให้มีความสามารถใช้และสอน นักเรียนทางด้านภาษา และเทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจ ตลอดจนคนวัยทำงานที่แสวงหาสถาบันสอนภาษา เพื่อนำมาพัฒนาตนเองในการทำงานไม่ว่าสายงานใดก็ตาม โดยภาษาที่ได้รับความนิยมคือ ภาษาอังกฤษ ซึ่งต้องใช้เป็นภาษากลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างประเทศอาเซียนด้วยกันเอง และประเทศคู่ค้าสำคัญๆนอกกลุ่ม นอกจากนั้นก็มีภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ส่วนภาษาของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่เข้ามาเป็นที่นิยมศึกษาเพิ่มเติมเป็นภาษาที่ 2 หรือภาษาที่3 ในบ้านเราก็อย่างเช่น ภาษาอินโดนีเซีย และภาษาฟิลิปปินส์
ไม่ว่าโลกเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เปลี่ยนไปรวดเร็วเพียงใด ก็หนีไม่พ้นต้องกล่าวถึงเรื่องการศึกษา เช่น มีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้ในการเรียนการสอน การทำงาน ยังต้องมีการจัดอบรม ให้ความรู้ รวมทั้งศึกษาวิธีการใช้ คนวัยทำงานอยากเปลี่ยนงาน ยกระดับหน้าที่การงาน ก็ต้องหันมาคิดวางแผนเรื่องการศึกษาต่อ เมื่อต้องเปิดประชาคมอาเซียนทุกภาคส่วนก็มุ่งเป้าสู่การศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง เพื่อให้มีพื้นฐานความรู้ในการเตรียมการ และดำเนินชีวิตต่อไป ในเมื่อพูดถึงการศึกษาแล้ว เราก็ควรต้องมารู้ความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนในด้านการศึกษาของไทย ว่าหน่วยงานต่างๆด้านการศึกษา เขาเตรียมความพร้อม และมีโครงการอะไรบ้าง เช่น
- สำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
มีโครงการ Education Hub School มีการพัฒนาหลักสูตร และสื่อเกี่ยวกับอาเซียน
- สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษามาเลเซีย-อินโดนีเซีย-ไทย และการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านการอุดมศึกษาอาเซียน
- สำนักเลขาธิการสภาการศึกษา จัดโครงการสัมมนาการวิจัยการศึกษาไทย-มาเลเซีย เป็นต้น (ณัฐตินัน วรรณารักษ์, ศูนย์ข่าวการศึกษา)
จากข้อมูลข้างต้นทำให้ผู้ที่ติดตามข่าวสารด้านการศึกษา และการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้ทราบกันแล้วถึงนโยบายการเตรียมความพร้อมของวงการศึกษาไทย เราก็ควรมาศึกษาเปรียบเทียบการศึกษาของสิงคโปร์ซึ่งถือเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงของไทย ซึ่งประชากรในสิงคโปร์เป็นผู้ที่มีคุณภาพทุกด้าน สามารถไปประกอบอาชีพและสามารถปรับตัวในการดำรงชีวิตในประเทศต่างๆได้เป็นอย่างดี เขามีระบบการศึกษาอย่างไร เรื่องระบบการศึกษาของสิงคโปร์ (สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ) แบ่งออกเป็นระดับประถม 6 ปี ระดับมัธยมศึกษา 4 ปี แต่ผู้ที่จะเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย จะต้องศึกษาขั้นเตรียมมหาวิทยาลัยอีก 2 ปี การศึกษาภาคบังคับของสิงคโปร์จะต้องเรียนรู้ 2 ภาษา ควบคู่กันไป ได้แก่ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก และเลือกเรียนภาษาแม่ อีก 1 ภาษาคือ จีน (แมนดาริน) มาเลย์ หรือ ทมิฬ (อินเดีย)
รัฐบาลสิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการศึกษามาก โดยถือว่าประชาชนเป็นทรัพยากรที่สำคัญ และมีค่าที่สุดของประเทศในการนี้ รัฐบาลได้ให้การอุดหนุนด้านการศึกษาจนเสมือนกับเป็นการศึกษาแบบให้เปล่า โรงเรียนในระดับประถม และมัธยมล้วนเป็นโรงเรียนของรัฐบาล หรือกึ่งรัฐบาล สถานศึกษาของเอกชนในสิงคโปร์ มีเฉพาะในระดับอนุบาล และโรงเรียนนานาชาติเท่านั้น มหาวิทยาลัยในสิงคโปร์มี 3 แห่ง คือ National University of Singapore (NUS) ทำการเรียนการสอนครอบคลุมเกือบทุกสาขา Nanyang Technology University จะเน้นการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์สาขาต่างๆ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ และธุรกิจ Singapore Management University (SMU) เน้นเฉพาะด้านธุรกิจการจัดการ นอกจากนั้นแล้วสิงคโปร์ยังมีวิทยาลัยครูเพียงแห่งเดียว คือ National Institute of Education
ผู้ปกครองนักเรียนของสิงคโปร์จะส่งบุตรหลานเข้ารับการเตรียมความพร้อมในโรงเรียนเมื่อเด็กมีอายุ ได้ 2 ขวบครึ่ง เมื่อเด็กอายุได้ 6 ขวบ ก็จะเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ระดับ ป.5-6 จะเรียกว่า Orientation Stage ชั้นประถมต้นจะเรียน 3 วิชาหลัก คือ ภาษาอังกฤษ ภาษาแม่ และคณิตศาสตร์ นอกจากนั้น จะมีวิชาดนตรี ศิลปหัตภกรรม หน้าที่พลเมือง สุขศึกษา สังคม และพลศึกษา ส่วนระดับประถมปลาย นักเรียนจะถูกแยกออกเป็น 3 กลุ่มทางภาษา คือ EM1, EM2, EM3 การแยกนักเรียนเข้ากลุ่มทางภาษานั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถทางภาษาของแต่ละคน เมื่อจบ ป.6 แล้วจะมีการสอบที่เรียกว่า Primary School Leaving Examination (PSLE) เพื่อที่จะเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาต่อไป ผลการเข้าสอบมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งตอการศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ส่วนระดับที่สูงขึ้นไป นักศึกษาและสถาบันในสิงคโปร์เน้นที่เรียนแล้วมีความรู้สามารถทำงานได้
ในโอกาสที่ประเทศไทยเราจะต้องเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ควรจะได้เห็นระบบการศึกษาไทยได้รับการพัฒนา เน้นให้นักเรียน นักศึกษา เรียนแล้วสามารถทำงานได้ ผลผลิตมีคุณภาพสู้นานาประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกันได้ อย่างน้อยควรมีคุณภาพทัดเทียมกับสิงคโปร์ และประเทศอื่นๆในภูมิภาคอาเซียน การปรับวิธีการเรียนและการเปลี่ยนวิธีการสอนถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จึงฝากให้ทุกภาคส่วนมุ่งช่วยกันในการปรับและพัฒนาทุกๆด้านเพื่อให้ได้ประชากรที่มีคุณภาพ และสามารถปรับตัวในการดำเนินชีวิตได้ดี
สัญลักษณ์อาเซียน
สัญลักษณ์อาเซียน คือ ต้นข้าวสีเหลือง 10 ต้น มัดรวมกันไว้ หมายถึง ประเทศสมาชิกรวมกันเพื่อมิตรภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพและความมั่นคง
สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญและความก้าวหน้า
สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ และ
สีเหลือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง
คำขวัญของอาเซี่ยน
"One Vision, One Identity, One Community"
"หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม "
ปรียาพัชร ตุลาเนตร
ผู้เขียน
สวัสดีค่ะท่านนางสาว ภวิตรา เนาว์ชารี ตุลาเนตร
ขอบคุณค่ะ ได้ความรู้เพิ่มขึ้น
สวัสดีค่า ค่ะ มีคนเขียนแนวนี้เยอะ พยามจะเขียนเปรียบทุกอย่าง แต่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน มันยาวแล้ว เลยพอแค่นั้นค่ะ อิอิ
ว้าว เด๋วเข้าไปเยี่ยมชมค่า ผ่านมือถือเข้ายากเม้นท์ก็ยาก ขอบคุณค่า