หลังจากที่เราได้นำข้อคิดดีจาก "ธรรมะหลับสบาย" ของ ว.วชิรเมธี
วันนี้กัลยาณมิตรได้มอบหนังสือดีๆของว.วชิรเมธีมาอีก1เล่ม...
หนังสือเล่มนี้ชื่อ "ธรรมะติดปีก: ข้อคิดติดปีกปัญญาจากพระแท้แห่งยุคสมัย)
เมื่อเปิดอ่านพบว่า...เนื้อหาของเล่มนี้แบ่งเป็น 2 ภาค คือ เกร็ดธรรมะจากพระแท้ และ ยารักษาใจ หลังจากอ่านสารบัญ มีข้อคำถามมากมายอยู่ในหัว
ไม่ว่าจะเป็น...เอาหูไปรองเกี๊ยะเขาทำไม (นั่นสิ เจ็บหูเปล่าๆ)...ลูกถีบหลวงพ่อชา...อย่าปล่อยให้ความโง่ลอยนวล (เอ๊ะ!ยังไง เคยได้ยินแต่อย่าปล่อยคนชั่วลอยนวล)...กุ้งฝอยตกปลากะพง (จะเหมือนกับเอาปลาเล็กตกปลาใหญ่ไหมเนี่ย)...และอื่นๆอีกมากมาย
ไม่ได้การณ์แล้ว ต้องรีบอ่านให้หายสงสัย...
..............................................................................................................
เอาหูไปรองเกี๊ยะเขาทำไม...
ผู้เขียนหนังสือได้ยกตัวอย่างจากชีวิตจริงของ หลวงปู่บุดดาถาวะโร แห่งวัดกลางชูศรีเจริญ ว่า
วันหนึ่งหลวงปู่ได้รับนิมนต์มาฉันเพลที่บ้านของอุบาสิกาท่านหนึ่งที่กรุงเทพฯ พอฉันเสร็จ หลวงปู่ก็เอนกายพักผ่อนอิริยาบถอย่างสบาย ทันใดนั้นเอง ทุกคนที่มาร่วมทำบุญก็ได้ยินเสียงเกี๊ยะดังขึ้นมาจากห้องข้างๆที่อยู่ติดกัน ดังกึงๆกระทบพื้น ศิษย์คนหนึ่งคงรู้สึกรำคาญเสียงเกี๊ยะเหมือนรำคาญเสียงโทรศัพท์ในโรงหนังจึงอุทานขึ้นมาว่า...
"แหม แม่เจ้าประคุณเอ๋ย ไม่รู้จักเกรงใจชาวบ้านชาวเมืองเขาบ้างเลย"
หลวงปู่บุดดาแม้จะหลับตาพริ้มอย่างสบาย แต่ท่านได้ยินเสียงอุทานของศิษย์และเสียงเกี๊ยะต้นเหตุโดยตลอด จึงพูดขึ้นด้วยเสียงดังพอให้ได้ยินกันทั่วห้องว่า...
"เขาเดินของเขาอยู่ดีๆ โยมเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาทำไม"
..............................................................................................................
จากตัวอย่างที่ยกมาพอจะสะท้อนให้เห็นถึง...ความทุกข์ที่เกิดจากอาการ "อวดดี" ของเราเองที่อยู่ไม่สุข ชอบเอา "ตัวตน" ออกไปแส่รับทุกข์ หมายถึง เรื่องบางเรื่อง เราไม่น่าจะเก็บมาเป็นทุกข์ เช่น ปัญหารถติด ถ้าเรารู้จักสภาพการจราจรในเมืองหลวงเป็นอย่างดี เมื่อรถติดเราจะไม่โกรธ ไม่ฉุนเฉียว แต่จะคิดว่า มันเป็นของมัน "อย่างนั้นเอง" เหตุปัจจัยมันใหญ่เกินกว่าที่เราจะเข้าไปแก้ หรือเกินกว่าที่เราจะเปลืองตัว เปลืองความรู้สึกไปดุด่าว่ากล่าวกับใคร ถ้าเข้าใจแล้วปล่อยวาง ไม่อวดดีเก็บมาใส่สมอง เราก็ไม่ต้องโกรธ เมื่อไม่โกรธก็ไม่ทุกข์ รถติดเดี๋ยวมันก็เคลื่อนไปได้เองแหละ พอปัญญามาอารมณ์เสียก็หายไป
สติมา ปัญญาเกิด ความโกรธก็จรลี
ที่ใดมีสติปัญญา ณ ที่นั้น ถึงมีกิเลสอยู่ก็หมดโอกาสแสดงตัว
แต่ที่ใดก็ตามหากขาดสติปัญญา แม้ไม่น่ามีปัญหา ก็อาจมีปัญหาขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
คนเราถ้าขาดสติปัญญา ไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจสังคม ไม่เข้าใจคน วันหนึ่งๆเราจะเสียค่าโง่ให้กิเลสไม่รู้เท่าไหร่ หากประเมินเป็นตัวเงิน ก็คงจะขาดทุนย่อยยับ
ขอบคุณ พี่moomiกะป้าบวม อีกครั้งครับ
ขอบคุณสำหรับธรรม
ขอบคุณสำหรับการเผยแพร่
กระซิบๆๆ
ว่าแต่ว่า อมรินท์ เขาจะไม่ค้อนเอานะครับ
ที่เอามาเผยแพร่ต่ออย่างนี้
ฮา...
รู้สึกช่วงนี้moomiกะป้าบวม เป็นคอธรรมะนะจ๊ะ เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่เพิ่งผ่านมาป้าไปทำบุญทอดผ้าป่า 5 วัดที่กาญจนบุรีมา เอาบุญมาฝาก ได้หนังสือของท่านมิซุโอะ เล่มเล็กๆ ฉบับกระเป๋า กระทัดรัด มาฝากด้วย
."ธรรมะ."...ใครทำ ใครได้ ......ขอให้เจริญในธรรม และธรรมะคุ้มครองนะจ้ะ
ป้าเปรี้ยว
ปล. ขอบพระคุณสำหรับบุญที่ป้าเปรี้ยวเอามาฝากค่ะ เดี๋ยวคืนนี้จะแผ่เมตตาไปให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต่อไป สาธุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด....
อืม...โดนใจอย่างจังกับสติที่หลวงปู่บุดดาท่านได้เมตตาสอน
"เอาหูไปรองเกี๊ยะเขาทำไม"
คงจะขอเก็บเอาใช้ให้สติตัวเองให้ทั้ง1เลือกรับแต่ในสิ่งที่เป็นธรรมะและความสงบใจให้มากขึ้น และ
2ลดการพลั้งเผลอที่จะเอาอัตตาตัวเองไปโดนเกี๊ยะของชาวบ้านเขา....
ขอให้moomiกะป้าบวมพักร้อนอย่างมีความสุข และแข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ...