ผมได้มีโอกาสไปประชุมการเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติมา ก็เลยอยากจะเล่าให้ฟังครับ เข้าไม่ครบดังนั้นอาจจะไม่สามารถวิเคราะห์วิจารณ์ได้หมด
งานประชุมจัดที่เซ็นทรัลลาดพร้าว สะดวกดีครับ ทำให้สังคมรับทราบและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น งานก็จัดได้ดี มีประชาสัมพนธ์ในงานดี แต่การประชาสัมพันธ์ก่อนงานยังคงต้องเร็วกว่านี้ครับ รู้สึกว่ากระชั้นชิดมาก ทำให้หลายคนต้องพลาดไป
ใน session: การจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติ 9 กย 49 และ นักวิจัยมืออาชีพ 11 กย 49 สรุปคือ เราน่าจะเพิ่มงานวิจัยมากขึ้น โดยที่การทำวิจัยนั้นต้องตอบสังคมได้ว่ามีประโยชน์อย่างไร ทำไมต้องทำ ซึ่งเงินวิจัยที่ลงทุนในประทศไทยประมาณ 0.26% ต่อ GDP คิดต่อปีคือ 12,000 กว่าล้านบาท ประเทศที่พัฒนาแล้วมีนักวิจัยมากกว่า 50 คนต่อประชากร 10,000 คนและเงินลงทุนก็มากกว่า 2% ต่อ GDP แต่ประเทศไทยมีเพียง 3 คนต่อ 10,000 คน จริงๆแล้วประเทศไทยเริ่มพัฒนาด้านการวิจัยมาก่อนเกาหลี สิงคโปร์ แต่ปัจจุบันเรายังตามหลังประเทศทั้งสองอยู่ คำถามว่าเพราะอะไร เราคงตอบได้ดี
ในการประชุมจะพูดถึงสิทธิบัตรและนวตกรรมค่อนข้างมาก ในฐานะคนทำวิจัย เหมือนมีกรรม ถ้าต้องนึกว่าต้องทำงานวิจัยเพื่อการจดสิทธิบัตร ผมว่าคงต้องดูแล้วแต่กรณีไป ทำวิจัยเพื่อตอบคำถามเป็นประเด็นสำคัญมากกว่าสิทธิบัตร แต่ถ้าสามารถจดได้ก็ดีครับ ระวังจะเป็นแรงจูงใจที่ถูกบิดเบือนได้
อีกประเด็นหนึ่งคือการทำวิจัยอย่างยั่งยืน (Sustainability) ดูเหมือนคำนี้จะฮิตจริงๆ แต่ต้องมีประเด็นอื่นด้วยคือ Knowledge Based Economy/S ociety/Culture และ Speed development
ผมชอบคำหนึ่งที่ท่าน ศ. ดร. มนตรี จุฬาวัฒนทล ได้กล่าวไว้คือ การทำวิจัยต้องมี PLEARNING = Play + Learning คือ JOY of Learning กล่าวคือมีควาสุข สนุกสนานกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติที่พึงมีในนักวิจัยมีอาชีพครับ
ชอบคำว่า Plerning จังเลยค่ะ อ่านแล้วคิดเป็นคำไทยๆ เกิดความรู้สึกดีนะคะ ถ้าเราเรียนรู้แบบเพลินๆได้เสมอนี่ ไม่มีเบื่อ ไม่มีท้อ และมีความสุขแน่ค่ะ
อ.พรพรตเขียนเล่าได้ละเอียด ได้สาระ อ่านสนุกด้วยค่ะ มีหลายประเด็นชวนให้"คิด"ตามด้วย ขอบคุณที่นำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ