การที่ผมออกเดินทางไปยังชุมชน พูดคุยแลกเปลี่ยนในหลาย ๆ เวที ต่างกรรมต่างวาระกัน หรือไปเป็นผู้ฟังอย่างเดียว อย่างเช่นที่ชุมชนลำกะ ก็จะได้ยินสิ่งหนึ่งที่ชาวบ้านมักจะพูดถึงบ่อย ๆ คือพิษของอาหารที่กินเข้าไป ทำให้สุขภาพในปัจจุบันต่างจากในอดีต
“มะเร็งอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด หรือโรคแปลก ๆ ที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน ทำไมถึงได้มากมายอย่างนี้ คิดว่าเพราะอาหารนี้แหละทีเป็นสาเหตุ”
หรืออย่างเช่น
“เดี่ยวนี้จะปลูกอะไรก็ต้องใช้ยารองหลุม เวลาจะเก็บขายก็ต้องฉีดพ่นยาก่อน ไม่งั้นไม่สวยขายไม่ได้ พอที่จะเว้นไว้กินเองไม่ใช้ แต่ก็ไม่ได้กิน เพราะแมง (แมลง) กินหมด”
ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพัทลุง ได้มีการจัดลำดับความสำคัญของปัญหากัน โดยใช้ข้อมูลจากปีที่ผ่านมา ก็พบว่าปัญหาการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรมไม่ถูกระบุเป็นปัญหา ดีที่ผู้บริหาร (นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด) ให้ถือว่าเป็นปัญหาโดยนำยุทธศาสตร์จังหวัดที่บอกว่าเป็นเมืองเกษตรมาจับ นี่แหละความสำคัญที่ต้องมีผู้บริหารประเด็นหนึ่ง โดยเฉพาะผู้บริหารที่มีความเป็นวิชาการสูง
แต่โดยส่วนตัวแล้ววันนั้น (วันที่ประชุมเพื่อจัดลำดับความสำคัญของปัญหา) ไม่ค่อยเห็นด้วยกับกระบวนการเลย ด้วยมีการให้ผู้เข้าร่วมประชุมใส่คะแนนของปัญหา แล้วนำมาหาผลรวม แต่ผู้ที่เข้าร่วมประชุมคือ คนส่วนน้อย เฉพาะกลุ่มข้าราชการสาธารณสุข มีผู้ที่เกี่ยวข้องบ้าง 2-3 คน ที่ไม่สามารถเป็นตัวแทนคนจังหวัดพัทลุงได้ ซึ่งก็ได้พยายามท้วงติงบ้างแล้ว แต่ทำได้ไม่เต็มที่นัก เรื่องนี้ผมก็เลยได้ข้อสรุปว่าการตัดสินอะไรสักอย่าง จะใช้ความเป็นประชาธิปไตยตัดสินไม่ได้ทุกเรื่องเสมอไป (ความเห็นส่วนตัวจริง ๆ) บางครั้งต้องใช้เหตุผลทางวิชาการ (ปัญญา) ให้มาก ๆ ด้วย
มาลองดูผลงานทางวิชาการ “ผลกระทบสุขภาพของการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม” ที่นายแพทย์ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้นำเสนอไว้ คือ การใช้สารเคมีภาคเกษตรกรรม ไม่ว่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งผลผลิต ป้องกัน หรือกำจัดศัตรูพืชก็ตาม หากใช้ปริมาณที่มากเกินไป หรือวิธีการใช้ที่ไม่เหมาะสมก็อาจส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อสุขภาพของเกษตรกร อีกทั้งเกิดปัญหาสรเคมีตกค้างในดิน แหล่งน้ำ อากาศ ตลอดจนพืชผลทางการเกษตร รวมทั้งกระทบต่อสภาพแวดล้อมในชุมชน
ปัจจุบันปัญหาจากการใช้สารเคมีภาคเกษตรกรรมที่กระทบต่อสุขภาพแลสภาพแวดล้อมมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากสำรวจสารเคมี 49 ชนิดพบว่าสารเคมีที่มีระดับความเป็นพิษรุนแรงถึงรุนแรงมาก 11% พิษปานกลาง 27% พิษน้อย 21% ซึ่งผู้รับสารเคมีเหล่านี้อาจจะมีอาการตั้งแต่ คลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชา สายตาพร่ามัว แน่นหน้าอก หายใจติดขัด และอาจถึงขั้นเสียชีวิต จึงควรทำการศึกษาวิจัยเพื่อหามาตรการในการแก้ไข และได้สนับสนุนงานวิจัยของ ดร.ปาริชาติ วิสุทธิสมาจาร คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และคณะ ทำการศึกษาวิจัยถึงปัญหา สถานการณ์และผลกระทบต่อสุขภาพของการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรมและหาแนวทางในการป้องกัน โดยเลือกศึกษาบริเวณพื้นที่จังหวัดหนึ่งในภาคใต้ตอนล่าง มีเนื้อที่ปลูกผักมากกว่า 2,000 ไร่ มีผลผลิต 5,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท
พบว่าพฤติกรรมซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการใช้สารเคมีของเกษตรกรมีสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ การขาดความรู้ความเข้าใจถึงวิธีการใช้สารเคมีอย่างถูกต้อง และมีการฉีดพ่นยาบ่อยครั้งกว่าที่กำหนดและเก็บเกี่ยวผลผลิตก่อนถึงกำหนดที่เหมาะสมที่แนะนำในคู่มือ ก่อให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพ ทั้งในมิติทางกาย จิต สังคมและสิ่งแวดล้อม
จังหวัดพัทลุง จึงน่าจะได้ทดสอบผลการวิจัยนี้แบบเชิงปฏิบัติการ (Action) เพื่อแก้ปัญหาไปด้วย และทบทวนไปด้วยว่าสภาพการณ์เป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่ และหากแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนี้ได้ จะลดความเสี่ยงลงได้จริงหรือไม่ด้วย
ในขณะเดียวกันด้านประชาชนโดยทั่วไปที่ต้องซื้อหาผลผลิตทางการเกษตรมาบริโภคนั้น จะต่อสู้กับภาวะคุกคามสุขภาพนี้จากตลาดที่ทำการซื้อขายได้อย่างไรบ้าง นี่เป็นประเด็นเพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน (แต่เห็นผลช้า ข้าราชการผู้ปฏิบัติอาจจะไม่ชอบนัก ด้วยระบบการประเมินผลยังต้องรอการปรับปรุงให้สอดคล้องกับกระบวนคิดแบบนี้ด้วย) ซึ่งผมคนหนึ่งก็รออยู่…ด้วย ฮา…
เรื่องนี้มีกรณีที่ถือว่าสำเร็จ น่าศึกษามาก คือที่ พิจิตร เคยเป็นรองแชมป์สารเคมีตกค้างในเลือดสูงระดับประเทศ แต่ตอนนี้มีกิจกรรมจัดการความรู้เรื่องนี้ และทำออกมาได้ดีมาก
หากสนใจติดต่อ หมอชัยณรงค์ ดูนะครับ เพราะหมอชัยฯ เป็นหนึ่งในทีมคุณอำนวย ของ สสจ.พิจิตร