บทสัมภาษณ์ นายโสภณ ด้วงประเสริฐ น้องชายร่วมสายโลหิตพระสุพจน์ สุวโจ


น้องชายของพระสุพจน์ เป็นคนที่เห็นหน้าแล้วก็ทำให้เรารู้สึกเชื่อว่า พระสุพจน์คงไม่ใช่คนประเภทที่จะไปด่าทอชาวบ้าน เพราะเขาดูสงบเยือกเย็น เห็นหน้าโยมพ่อโยมแม่ในงานศพ ก็คล้ายคลึงกัน

โสภณ ด้วงประเสริฐ

บทสัมภาษณ์ นายโสภณ ด้วงประเสริฐ น้องชายร่วมสายโลหิตพระสุพจน์ สุวโจ 

26 มิถุนายน 2548 กองบรรณาธิการ

น้องชายของพระสุพจน์ เป็นคนที่เห็นหน้าแล้วก็ทำให้เรารู้สึกเชื่อว่า พระสุพจน์คงไม่ใช่คนประเภทที่จะไปด่าทอชาวบ้าน เพราะเขาดูสงบเยือกเย็น เห็นหน้าโยมพ่อโยมแม่ในงานศพ ก็คล้ายคลึงกัน

ถามเขาว่าโยมพ่อโยมแม่ของพระสุพจน์เป็นอย่างไรบ้าง

"ก็เข้มแข็ง วันแรกก็เสียใจเป็นปกติ แต่หลังจากนั้นก็ยึดหลักธรรมที่ท่านสอนไว้ ตอนนี้ท่านก็เข้มแข็งดี แต่คืนแรกที่ต้องเสียใจเป็นปกติเพราะเราก็ไม่คาดคิด ถ้าท่านไปแบบปกติก็ไม่เท่าไหร่ ผมเองก็คิดแล้วว่าท่านละทางโลกไปแล้ว แต่ไปเจอแล้วมันไม่ไหว ทำใจไม่ได้ เห็นที่โรงพยาบาลแม่เขาก็เสียใจมาก"

"รู้ข่าวตอนเที่ยง ท่านกิตติศักดิ์โทร.บอก ผมก็หยุดงานเลย ขึ้นไปรับท่าน กว่าจะเคลียร์ก็ยังออกไม่ได้คืนนั้น สัก 9 โมงถึงจะออกจากฝางมาได้"

เล่าให้ฟังว่าพระสุพจน์ยังใกล้ชิดครอบครัวตลอด 13 ปีที่บวช โดยดึงทั้งครอบครัวไปร่วมปฏิบัติธรรมจนซึมซับเลื่อมใสสนับสนุนท่านเสมอมา

"หลวงพี่ท่านใฝ่ทางธรรมมาตั้งแต่เด็ก พอท่านไปทางนั้นเราก็ใกล้ชิดด้วย ตั้งแต่ท่านบวชที่วัดชลประทานฯ ที่สวนโมกข์เราก็ไปเยี่ยม แล้วท่านก็ไปอยู่หลายที่ เราก็ไปเยี่ยมบ้าง ดูแลท่านบ้าง อย่างท่านไปเมืองกาญจน์ ไกลๆ อยู่สถานปฏิบัติธรรมรูปเดียว ก็ตามไป"

พระสุพจน์เรียนจบได้ 4 ปีก็บวช โดยใช้เวลานั้นช่วยเหลือครอบครัวก่อน เพราะยังมีน้องชายกับน้องสาว 2 คน

"ท่านทำงานช่วงหนึ่ง ช่วยทางบ้าน เราไม่ได้ร่ำรวย พ่อแม่ก็ข้าราชการ พี่ชายก็ผ่อนบ้านในกรุงเทพฯ ในช่วงเริ่มต้น พอผมจบออกมาท่านก็บวช ผมก็ต่อได้ ไม่ต้องห่วงทางโลกแล้ว เราก็ไม่รั้งท่านไว้"

ท่านบอกไว้ก่อนหรือ "ไม่ได้พูด ท่านไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ ปกติท่านเป็นคนเงียบๆ แต่ธรรมะนี่ท่านสนใจตั้งแต่แรกแล้ว"

บอกว่าแรกๆ โยมพ่อโยมแม่ก็ห่วง แต่ต่อมาก็ไม่ท้วงถามว่าจะสึกไหม "ท่านไม่ได้บอกว่าท่านจะบวชนานแค่ไหน เราก็ไม่ถาม แต่หลังๆ เห็นว่าท่านทำงาน ท่านอยู่ตรงนั้นมีความสุข เราก็ต้องให้ท่านไปทางธรรม ก็สนับสนุนท่าน เราสร้างคนเข้าพุทธศาสนาเราก็ได้บุญเยอะแล้ว เพราะเราเองคงทำบุญไม่ได้ขนาดนั้นหรอก"

โดยเฉพาะเมื่อเห็นพระสุพจน์เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาทั้งด้านการพิมพ์การทำเว็บไซต์

"แนวทางการเผยแผ่พุทธศาสนาที่ทันสมัย ตรงนี้สำคัญ ตอนแรกเราก็มองปกติ แต่มองภาพรวมมันไม่มีใคร ท่านนี่ต้องเรียบเรียงจากคำสอนท่านพุทธทาสบ้าง ทำหนังสือกลุ่มเสขิยธรรม แล้วก็หนังสือเป็นรูปเล่มอีก เอกสารประกอบต่างๆ ใช้เวลาเยอะ ไปนอนที่ฝางกับท่านก็เห็นท่านทำถึงกลางคืนเลย"

ที่สถานปฏิบัติธรรมครอบครัวก็เคยไปหลายครั้ง แต่พระสุพจน์ไม่เคยเล่าเรื่องอิทธิพลและที่ดิน "ชอบไปเพราะอากาศดี ร่มรื่น เราก็ไปเยี่ยมท่าน ปีที่แล้วป้าที่เลี้ยงหลวงพี่มาตั้งแต่เด็กก็ไป ท่านไม่เล่าเรื่องปัญหาอะไร เราก็ไม่ได้ถามเพราะเห็นท่านอยู่สบาย ท่านอยู่มาตั้งหลายปี ตอนเข้าไปแรกๆ ยังไม่ร่มรื่นขนาดนี้ อากาศก็ดี แม่ก็ชอบไป มีศาลากลางน้ำ มีกุฏิ แล้วก็บ้านพักคนที่ไปดูแลท่าน เราก็ไปนอนตรงนั้น กุฏิท่านสวยติดลำธาร"

เขาบอกว่าที่อยากย้ำให้ชัดเจนคือนิสัยของพระพี่ชาย เป็นไปไม่ได้ที่จะไปทะเลาะกับชาวบ้าน

"นิสัยส่วนตัวท่านชัดเจน อยากให้ช่วยดูตรงนี้ด้วยเพราะหลายคนพูดไปในเรื่องที่มันไม่ถูก ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้ ผมไปก็รู้จักก็เห็น ปกติท่านก็บิณฑบาต แต่วัตรปฏิบัติท่านต้องขึ้นลงกรุงเทพฯ ท่านทำหนังสือ ไม่มีเวลาไปบิณฑบาตตลอดเวลา แต่ปกติที่ผมเคยไปท่านก็ออก ถ้าไปถามที่สวนโมกข์ท่านจะเป็นคนบิณฑบาตสายที่ไกลที่สุด ผมบวชไปอยู่กับท่าน จะไปกับหลวงพี่ ท่านบอกไม่ต้องไปหรอก ไปกับหลวงพี่อีกรูปแล้วกัน เพราะถ้าไปกับท่านเดินไม่ไหว ผมเดินประมาณ 3 .. แต่ถ้าเป็นท่านเดินจากสวนโมกข์ไปตลาดไชยา เดินรอบ ไกลมากเลย แล้วที่นี่ถ้าจะหยุด ไม่บิณฑบาต ก็จะบอกชาวบ้านก่อนว่าจะไม่อยู่นะจะไปไหน ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องรอ ปัญหาตรงนั้นไม่น่าใช่ คนจะยกเอาข้อแปลกๆ ตรงนี้มาพูด ต้องระวัง"

"สถานปฏิบัติธรรมชาวบ้านเข้าได้ตลอด คนงานอยู่ท่านเลี้ยงอยู่ตลอด จะไปมีอารมณ์กับชาวบ้านได้ยังไง จะตัดไม้ตัดอะไรก็ได้อยู่แล้ว ผมไปนี่ไปเดิน ก็มีคนงานกะเหรี่ยง ถ้าถามว่ากลัวอะไรกลัวงู คนน่ะไม่กล้วหรอก คนเดินเข้าเดินออกตลอด คำว่ารั้วก็คือต้นไม้ ที่เขาปลูกไผ่ไว้ ฉะนั้นที่บอกว่าท่านออกไปทะเลาะเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่เคยห้ามอยู่แล้ว ตรงนี้ต้องฝากด้วยเพราะทางบ้านฟังก็ไม่สบายใจ ที่ออกข่าวกันไป"

"ก็คงต้องฝากหลายฝ่ายช่วย เพราะจากที่เราไปสัมผัส รู้สึกไม่ค่อยดี ที่เราเห็นในพื้นที่กับที่เขาพูดมันคนละทาง สภาพเหตุการณ์ที่เรามองกับที่ตำรวจสรุปออกมา ก็อยากฝากหลายๆ ฝ่ายช่วยดูแลตรวจสอบตรงนั้นหน่อย ถ้าผิดนิดเดียวกระบวนการมันก็ผิดหมด แต่ถ้ามีการตรวจสอบกระบวนการก็จะมั่นใจได้"

"ตำรวจบอกว่าทะเลาะกัน แค่นี้ก็ผิดแล้ว เรารู้ว่าหลวงพี่ไม่มีทาง บอกได้ยินเสียงตัดไม้แล้ววิ่งไป เป็นไปไม่ได้ 300 เมตร ป่าตรงนั้น แค่ลำธารที่ติดกุฏิได้ยินอะไรไหม ไม่มีทาง หลวงพี่ก็กำลังเปิดคอมพ์ทำงานอยู่ ถ้าเดินไปก็ต้องข้ามลำธาร ข้ามสระน้ำตรงกลางอีก ถามว่าท่านจะไปทำไมตรงนั้น มันไม่ใช่ทางเดินปกติด้วย เป็นทางเก่า รกๆ ไฟฉายก็ไม่มี 5 โมงนี่เริ่มมืดแล้วนะในป่า ชุดสงฆ์ก็ไม่ครบด้วย มีสบง แว่นตา แล้วจะไปทำไม มันต้องมีอะไร เราก็ไม่เชื่อที่เขาพูดมา ไม่ไว้ใจ ก็อยากฝากหลายฝ่ายไปดูแลหน่อย ถ้าบอกว่าท่านไปทะเลาะกับชาวบ้านนี่ไม่มีทาง หลวงพี่เป็นคนที่นิ่งที่สุดแล้ว เงียบๆ"

 

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=tabloid&post_date=26/Jun/2548&news_id=109051&cat_id=220100

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 499เขียนเมื่อ 27 มิถุนายน 2005 01:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 14:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท