ชีวิตที่พอเพียง : 110. งาน ชีวิต และความรัก


         ผมได้แรงบันดาลใจในการเขียนบันทึกนี้จากการฟังคุณโหน่งเล่าเรื่องแผนงานของ KM Extern ในการประชุมประจำสัปดาห์ของ สคส. เมื่อวันที่ ๙ สค. ๔๙

        ชีวิตของผมเป็นชีวิตของคนบ้างาน และคลั่งความสำเร็จ     จึงดูเสมือนเป็นชีวิตที่แล้งรัก    ซึ่งมีทั้งส่วนจริงและไม่จริง  

        ในบางช่วงชีวิต ผมทบทวนชีวิตและถามตัวเองว่า ความคิดจิตใจของเราชักจะหยาบกระด้างเกินไปหรือไม่     เราให้ความรัก ความเอาใจใส่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ต่อคนรอบข้างน้อยไปหรือไม่    

        ภรรยาและลูกๆ ตอบว่าใช่     พ่อบ้าหนังสือ  บ้างาน  ไม่ค่อยเอาใจใส่ลูกๆ   แต่พอถึงเรื่องสำคัญของครอบครัว เขาก็จะแปลกใจ ที่พ่อให้เวลามาก     พ่อไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของลูก     แต่เมื่อถึงคราววิกฤต หรือจุดสำคัญ พ่อจะเข้ามา      นี่คือลักษณะของผมที่ครอบครัวเขารู้กัน     และรู้ไปในหมู่พี่น้อง พ่อแม่ของผมด้วย

        ตอนหนุ่มๆ อยู่ที่ศิริราช ผมเคยทำ lab (วิจัย) จนถึงตี ๒ ตี ๓     จนภรรยาโทรศัพท์มาตาม (บ้านอยู่ที่บางขุนนนท์)     ตอนอยู่ที่หาดใหญ่ การไปทำงานเวลากลางคืนและตอนก่อนสว่าง เป็นเรื่องปกติ    อยู่ที่บ้านก็นั่งอ่านบทความวิจัย หรือเขียนต้นฉบับรายงานวิจัยจนตี ๑ ตี ๒ เป็นเรื่องปกติ    เดี๋ยวนี้วัตรปฏิบัติของผมก็ยังอยู่ในทำนองนั้น     เพียงแต่เปลี่ยนสาระของงานเท่านั้น     และเปลี่ยนเวลานอนมาเป็นนอนหัวค่ำ ตื่นเช้ามืด

       ความสำเร็จในการทำงานของผมจึงอยู่ที่การทำงานหนักและทุ่มเท ๙๐%     เป็นเรื่องของความสามารถและดวงดีเพียง ๑๐%  นี่เป็นการตีความและคาดคะเนของผม     ไม่ทราบว่าผิดหรือถูก

       พูดถึงเรื่องความรัก    ที่จริงภรรยาของผมเขาไม่ค่อยไว้ใจ ว่าผมจะรักเดียวใจเดียว     ผมพร่ำบอกเขาเท่าไรเขาก็ไม่ปลงใจเชื่อ ๑๐๐%     ผมบอกว่าผมต้องการใช้เวลาทำงาน      จึงไม่ต้องการสร้างความยุ่งยากในเรื่องชู้สาว เรื่องผู้หญิง      เพราะถ้ามี ก็จะมีเรื่องยุ่งยากตามมา     สมาธิในการทำงานก็จะน้อยลง      ผมบอกตัวเองว่ามีเมียคนเดียวก็เกินพอแล้ว .... สำหรับชีวิตที่พอเพียง

        ที่จริงชีวิตครอบครัวมีความสำคัญมาก    ผมโชคดีที่ภรรยายิ่งเป็นคนพอเพียงยิ่งกว่าผมเสียอีก     เขาไม่ต้องการแหวนเพชร  เครื่องประดับ  หรือของใช้ราคาแพง     เขาประหยัดและเก็บหอมรอมริบเก่ง     ผมอวดใครๆ เสมอ ว่าผมเป็นคนโชคดีที่ไม่ต้องดูแลเงินทองทรัพย์สมบัติเลย     เพราะภรรยาเอาไปหมด     เอาไปดูแลไว้อย่างดีและดูแลลูกๆ อย่างดีด้วย     ลูกทุกคนจะสนิทกับแม่มากกว่าสนิทกับพ่อ     ดังนั้น การที่ลูกของเราเป็นคนดีทุกคนต้องยกให้เป็นความดีของแม่ ๘๐%  เป็นส่วนของพ่อเพียง ๒๐%     

วิจารณ์ พานิช
๘ กย. ๔๙

หมายเลขบันทึก: 49881เขียนเมื่อ 13 กันยายน 2006 12:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:53 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

อ่านแล้วสนุกค่ะ  บันทึกนี้ผู้เขียนอ่านเสียงดังให้คนในบ้าน (สามี) ฟังไปด้วยค่ะ ในที่ทำงานเนื่องจากทำงานห้องเดียวกัน

จำได้ว่าวันก่อนได้คุยกับอ.ธวัชชัย และอ.จันทวรรณ และฟันธงกันว่า ในการเขียน Blog สังเกตุหรือไม่ ว่าไม่มีผู้ชายคนไหนพูดถึงภรรยาเลย

แต่.....มีอยู่เพียงคนเดียว เท่านั้นค่ะ และผู้เขียนก็เห็นจริงตามนั้นค่ะ

เรื่องนี้ของอาจารย์ ชื่อน่ารักจังค่ะ ตามปกติบันทึกของอาจารย์หนูจะบันทึกไว้ใน word ก่อนเพราะเป็นเรื่องลึก...ซะส่วนใหญ่ที่ต้องอ่านดีๆ สมาธิดีดี จึงจะเข้าใจ แม้กระนั้นบางเรื่องก็ไม่เข้าในในวันอ่าน มาเข้าใจทีหลังหรือไปเจอการณี จึงเข้าใจอีกนิด...ทีละนิดแต่เรื่องนี้อดไม่ได้ที่จะอ่านเลย.....เพราะชื่อเรื่อง อ่านพลางหนูลุ้นพลางว่ามาดวิชาการขนาดนี้จะเขียนถึงความรักในมุมไหน...อย่างไร... เขียนแบบวิชาการ หมอจ๋าเช่นเดิม...

กับประโยคที่อาจารย์กล่าว "....พูดถึงเรื่องความรักที่จริงภรรยาของผมเขาไม่ค่อยไว้ใจ ว่าผมจะรักเดียวใจเดียว     ผมพร่ำบอกเขาเท่าไรเขาก็ไม่ปลงใจเชื่อ ๑๐๐%  ......" ก็อาจารย์ออกจะหน้าตาดีขนาดนั้น....ใครจะเชื่อ....หมายถึงบุคลิกหน้าตาดึงดูดเพศตรงข้ามให้เข้ามาในรัศมีได้อย่างง่ายค่ะ.... อ่านถึงวรรคนี้เป็นคำแปล"ตบมือข้างเดียวไม่ดัง" ได้เป็นอย่างดีค่ะ

ด้วยความศรัทธา...คะ

อ่านไปยิ้มไป...ตั้งแต่ประโยคต้น...

อ่านแล้วมีความสุขคะ...

อย่างน้อยกะปุ๋มก็รู้ว่าตนเองไม่ผิดปกติคะ...

*^__^*

กะปุ๋ม

     เมื่อครั้งที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับเด็กๆ ตอนที่เตรียมจัด Workshop KM ให้กับเค้าซึ่งเป็นการทำงานกับเด็กเป็นครั้งแรกจึงอยากจะพยายามเตรียมงานให้ดีอย่างที่สุด  จึงประสานงานกับ น้องปืน และน้องๆ จากสภานิสิตฯ ด้วยความละเอียดละออค่อนข้างมาก  คิดว่าน้องปืนเองก็คงสัมผัสได้  เค้าจึงพูดกับหนูขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า "30 ลิขิตฟ้า 70 ต้องฝ่าฟัน"  หนูเองพยายามต่อลองเค้าว่างานนี้ขอเป็น 20 : 80 ซึ่งพองานสำเร็จหนูได้รู้ซึ้งว่าเด็กตัวเล็กแต่ความสามารถเค้าไม่ได้น้อยไปตามตัวเลยค่ะ  หนูนับถือการทำงานของเค้าและเชื่อมั่นในพวกเค้ามากขึ้นอีกหลายเท่าตัว  เพราะงานนั้นหนูให้คะแนนพวกเค้าเต็ม100 เลยค่ะ

  แบบว่า แข็งนอก แต่ อ่อนใน น่ะครับ
   .. ผมหมายถึงคนหลายคน มีเงื่อนไขหรือความเคยชินบางอย่างที่สั่งสมมานาน จนทำให้เป็นคนออกจะดูห่ามๆ บ้าบิ่นกับการทำงาน เรียกว่าไม่เห็นผลไม่ยอมเลิก จนดูเหมือนไม่ค่อยมีเวลาสนใจใครสักเท่าไร .. ยิ่งคิด ยิ่งทำ ยิ่งเพลิน ความสุข ความตื่นเต้นเร้าใจมีอยู่เบ็ดเสร็จในนั้น  งานเป็นเป็นเหมือนมโหรสพที่ให้ความบันเทิง+ระทึกใจไปด้วยพร้อมๆกัน .. แต่ในใจลึกๆมีความละเอียดอ่อนแฝงอยู่ เห็นความเป็นจริงในโลก  เห็นความเกี่ยวเนื่อง การพึ่งพิง อิงอาศัยกันของสรรพสิ่ง ทั้งฝ่าย รูปธรรม - นามธรรม .. เพียงแต่ไม่ค่อยมีช่องว่างให้ได้แสดงออกให้ปรากฏบ่อยนัก .. ลองให้เขามีเวลาเขียนออกมา ก็จะค่อยๆพบความจริงว่าที่แท้ก็  แข็งนอก แต่ อ่อนใน ... อ่อนนี่คือ อ่อนโยน ละเอียดอ่อน นะครับ ไม่ใช่อ่อนไหว
อ่านแล้วอยากจะร้องไห้ กับวันเวลาที่ผ่านมาที่บ้างานเหมือนกันจนไม่สามารถย้อนคืนอีก ข้าทุ่มเวลาให้กับงานจนไม่รู้ว่าการลาคลอด 60วันคืออะไรตัวเองคลอดได้7วันก็ได้ทำคลอดให้ชาวบ้านเพราะสงสารเขาที่อยู่ไกลโรงบาลและเหตุผลสำคัญคือชาวบ้านแต่ก่อนบอกให้ไปโรงบาลเท่ากับบอกเขาไปตาย สงสารตัวเองที่บ้างานจนสมองเริ่มเสื่อมกะจะกลับมาเรียนต่อตอนนี้ก็สายเกินไปแล้วเพราะเขาไม่รับคนอายุมากในบางสาขาวิชาที่เราชอบชาติหน้ามีจริงขอให้ผลบุญที่ข้าสละชีวิตเพื่องานให้ข้ามีดวงดีสอบติดที่ดีๆได้เรียนต่อสูงๆมีเงินพอใช้ไม่จนเหมือนอย่างนี้ทั้งๆที่ไม่มีหนี้แต่รัฐบาลก็เก่งที่ให้เงินใช้พอดีแต่ละเดือน(ไม่ค่อยเหลือเก็บ)ขอเป็นกำลังใจให้คนวัยใกล้แก่มีพลังทำงานเหมือนกันค่ะตราบใดที่พระเจ้าอยู่หัวจ้างเราไม่ไล่ออกเราจะต้องทำงานให้คุ้มทุกวัน(มีที่ไหนได้ค่าจ้างวันละเกือบพัน ไม่เว้นเสาร์อาทิตย์)หาที่ไหนได้ตั้งใจทำให้ดีที่สุดเหมือนกันนะค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท