(เบื้องหลัง ประธานคณะกรรมการยกร่าง ..... ให้เหล่าทันตแทพย์ทาย ใครเอ่ย ?)
ชาติไทยมีช่องปากไหม ? .... ไม่น่ามี ชาติไทยเป็นนามธรรมที่มองไม่เห็น แต่รับรู้ว่ายังมี
ชาวไทย พลเมืองไทย ประชาชน ผู้คนอาศัยบนผืนแผ่นดินไทย มีช่องปากไหม ? …… มีแน่นอน
แม้นินทาว่าร้าย ด่าพ่อด่าแม่ .... บาปกรรม ยังมีปากเท่ารูเข็มเลย
การรวมศูนย์ระบบบริหารราชการ การตราพระราชบัญญัติวิชาชีพทันตกรรม การมีแผนพัฒนาระดับชาติเกี่ยวกับการพัฒนาสุขภาพช่องปากมา ๓ ทศวรรษ
คงไม่ใช่ผู้ร้ายซะทีเดียว ที่ภาครัฐจะยึดอำนาจการดูแลสุขภาพช่องปากไปจากคนไทยได้ ...... คนโบราณรุ่นปู่ย่าตายายฟันดีเต็มปาก
กว่าจะตื่นเช้ามืด ปีนพะองขึ้นลง กลับมาเคี่ยวน้ำตาลจากต้นตาล หยอดหลุมเป็นก้อน ส่งออกขายต่างถิ่น นอกจากแถบสมุทรสาคร เพชรบุรี ราชบุรี
หรือแถวบ้านเบิดเมืองบาง หนองคาย เคี่ยวและหยอดน้ำตาลก้อนจากต้นตาล ได้มากเพียงพอ เดินหาบส่งออกขายต่างหมู่บ้าน.....ต้องใช้เวลา เตรียมการนอนค้างต่างหมู่บ้าน จนกว่าจะแลกได้ข้าว เกลือ หรืออาหารอย่างอื่นที่พื้นเพบ้านตนเองไม่มี
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ส่งเสริมการปลูกอ้อยริมแม่น้ำท่าจีน บางปะกง ยังใช้แรงควายในการหีบอ้อย นึกถึงท่านกวีสุนทรภู่
เห็นโรงหีบหนีบอ้อยเขาคอยป้อน มีคนต้อนควายตวาดไม่ขาดเสียง
เห็นน้ำอ้อยย้อยรางที่อ่างเรียง โอ้พิศเพียงชลนาพี่จาบัลย์
อันลำอ้อยย่อยยับเหมือนกับอก น้ำอ้อยตกเหมือนน้ำตาพี่กว่าขัน
เขาโหมไฟในโรงโขมงควัน เหมือนอ้นอั้นอกกลุ้มรุมระกำ
โอ้น้ำในใจคนเหมือนต้นอ้อย ข้างปลายกร่อยชืดชิมไม่อิ่มหนำ
ต้องหันหีบหนีบแตกให้แหลกลำ นั่นแลน้ำจึงจะหวานเพราะจานเจือฯ
น้ำตาจะย้อยตกไหลรวมได้เป็นโอ่ง ก็ไม่มีทางย้อนคืนกลับได้ “งาน คือ เงิน เงิน คือ งาน บันดาลสุข”
ล่วงเข้า พ.ศ. ๒๕๐๔ ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี ..... ทางการเขา “สั่ง” มาว่า ๆ ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร ....... หมาน้อย ๆ ธรรมดา
เป้าหมายการพัฒนาเข้าสู่วาทกรรมความทันสมัย อุตสาหกรรมน้อยใหญ่ผูกขาดไม่กี่ตระกูลใหญ่
รวมทั้ง รัฐบาลส่งเสริมการปลูกอ้อย ตั้งโรงงานน้ำตาล ผลิตส่งออกและส่งเสริมให้บริโภคในประเทศ
น้ำตาลทราย (sucrose) คือ สินค้าที่มาเพิ่มในก้นครัว แต่ที่ไม่รู้ตัว คือ การถนอมอาหาร อุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูป ขนม ลูกอม ทอฟฟี่ เครื่องดื่มหวาน นมเปรี้ยว น้ำอัดลม .... ภัยเงียบ
สัดส่วนอุตสาหกรรมแปรงและยาสีฟัน มาทดแทนการเคี้ยวหมากและไม้ขัดฟันทำจากต้นข่อย แต่เทียบไม้ได้เลยกับมูลค่ารวมอุตสาหกรรมน้ำตาล เครื่องดื่มและอาหารที่มีน้ำตาลชนิดต่าง ๆ เป็นส่วนประกอบ
แถมธรรมชาติสมองชอบความหวาน ยิ่งหวานยิ่งสุขหรรษา รื่นรมย์ มีเรี่ยวแรงทันใด ใครกันเล่า .... ไม่ชอบความสุข
สิ่งที่ต้องพิจารณา
๑. “เงิน คือ พระเจ้า” ระบบทุนนิยมตั้งแต่ชาติจนถึงหมู่บ้าน การค้าขายอาหารสำเร็จรูป – กึ่งสำเร็จรูป ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ พ่อ แม่ไปทำงานที่อื่น ส่งเงินกลับมาเลี้ยงลูก ด้วยคนทางบ้านพ่อแก่แม่เฒ่า ที่สื่อสารคนละช่องทาง ความเป็นปัจเจกสูงขึ้น ต่างคนต่างอยู่ ครอบครัวมีความหมายว่าอย่างไร การรวมหมู่ ชุมชนมีจริงไหม เสริมสร้างอย่างไร
๒. จะปล่อยเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่รู้เท่าทัน ไม่ลุกขึ้นมากำหนดชะตาชีวิต ครอบครัว หรือชุมชนของเรา
๓. ทันตแพทย์ ทันตบุคลากร ผู้รับงานซ่อมแซมรักษาฟันทีละคน ๆ ควรจะปล่อยสถานการณ์ไปเรื่อย ๆ จนฟันผุ โยกคลอน เตรียมถอนหมดทั้งปาก แล้วรอใส่ฟันเทียม
หรืออยากมาร่วมเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง สลายบางสิ่ง สร้างบรรทัดฐานของสังคมอันใหม่ที่ดีกว่าเดิม ดังที่คณะกรรมการร่าง ๑ ใน ๕ ยุทธศาสตร์ในแผนพัฒนาสุขภาพช่องปากชาติ ประเด็นสร้างเสริมความเข้มแข็งของประชาชนและภาคีเครือข่าย
ระดมสมองช่วยกันเล่าประสบการณ์การเป็นทันตแพทย์ พยาบาล ทันตาภิบาล ทีมสหสาขาวิทยาการ กลุ่มชายขอบ ที่ชอบทำอะไรแหวก ๆ แปลก ๆ แตกต่างจากความคิดส่วนใหญ่ของทันตแพทย์ประเทศไทย (ชื่อเล่น...พวกผีบ้า)
เป็นกลุ่มชายขอบที่มีความสุข ความภาคภูมิใจ .... ทำให้ชาวบ้านชาวเมืองลุกขึ้นมาดูแลสุขภาพตนเอง สุขภาพช่องปาก ด้วยศักยภาพ ด้วยภูมิปัญญา ด้วยความเป็นเพื่อนกัน
สร้างเครือข่าย สร้างนโยบาย สร้างสรรค์สิ่งแวดล้อม เสริมสร้างความเข้มแข็งจากภายในตน กลุ่ม ชมรม องค์กร ภาคท้องถิ่นและชุมชนของตนเอง ด้วยพวกกันเอง เพื่อพวกเรากันเอง
อาจเริ่มที่ต่างระดับการมีส่วนร่วม แต่เป้าหมาย คือ การพึ่งตนเองและใช้ทรัพยากรของชุมชนมากที่สุด
จากนี้ถึงปี ๒๕๕๙ จะมีแผนปฏิบัติการระดับต่าง ๆ ออกมาให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง คิดเอง ทำเอง ขยายผล ชื่นชมสุขภาพช่องปากดี ชีวีมีสุข
ในพื้นที่ของเรา ชุมชนของเรา ตรงนั้น ตรงนี้ ที่เริ่มง่ายก่อน คือ บ้านนอก...... ยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมือง
ทางเดินระยะแรกอาจช้า หรือหากเรียนรู้จากกัลยาณมิตร เกลียวความรู้หมุนวนขึ้น อาจก้าวกระโดดหรือบินข้ามสิ่งกีดขวาง มีทางถึงจุดหมายที่กรรมการยกร่างแผนยุทธศาสตร์นี้ตั้งความหวัง ..... ในไม่ช้า
อย่างน้อยคนนี้ก็ไม่เกษียณง่าย ๆ หรอก
(โปรดติดตามฉบับวิชาการแบบมีสาระจาก “เพื่อนร่วมทาง” ทพญ.นนทลี วีรชัย สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัย นะคะ)