เมื่อสัปดาห์ก่อน อาจารย์ให้งานมาทำอยู่เรื่องหนึ่ง คือให้เลือกกฎหมายขัดกันของญี่ปุ่นมาตราใดมาตราหนึ่งและให้แปลแล้วก็เปรียบเทียบว่ามาตราที่เราเลือกตรงกับกฎหมายขัดกันของไทยมาตราใด
ก็เห็นเพื่อนๆ ในห้องต่างเลือก (แย่งกันใหญ่) เราก็มองดู อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง จะเลือกมาตราไหนดี เพราะวันนั้นไม่ได้พก ” Talking dic..” ไป เห็นเพื่อนๆ จองมาตราโน้นมาตรานี้ เอาล่ะซิคิดช้าเดี๋ยวโดนแย่งมาตราง่ายๆ ไป เราจะได้มาตรายากๆ แน่ พอดีมีน้องคนหนึ่งเค้าเป็นผู้ช่วยอาจารย์ เค้าก็ช่วยหามาตราให้เลยนะ (เราขอน้องเค้าช่วยหาให้) โชคดีมากๆ น้องเค้าก็ดีมากเลย หาให้เราได้มาตรา 26 เขียนไว้สองบรรทัด ว่า
“Succession shall be governed by the law of the country of which the ancestor was a national”
แปลเป็นภาษาไทยว่า การรับช่วงมรดกให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่เจ้ามรดกมีสัญชาติ
พอแปลอย่างนี้ปุ๊บ เราก็ตกลงเลย รีบลงชื่อเราจองมาตรานี้ทันที เราก็คิดว่ามันง่ายดีนะ แค่สองบรรทัดเองน่าจะทำได้ พอมานั่งเปิดดูกฎหมายขัดกันของไทย(พ.ร.บ ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481) ว่ากฎหมายขัดกันของญี่ปุ่นจะตรงกับมาตราไหนบ้าง ของกฎหมายขัดกันของไทย ก็มีที่เขียนเกี่ยวกับมรดก ไว้ 2 มาตรา คือ มาตรา 37,38
พออ่านมาตรา 37 เขียนว่า “มรดกเท่าที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่”
ทำให้ตัดมาตรานี้ไปได้เลย เพราะมาตรา 37 นี้พูดถึงอสังหาริมทรัพย์ (เช่น ที่ดิน บ้านติดกับที่ดิน เป็นต้น) ว่าให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่ทรัพย์นั้นตั้งอยู่ ไม่ได้ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของเจ้ามรดก ดังนั้นมาตรานี้ก็ไม่ตรงกับมาตรา 26 ของกฎหมายขัดกันญี่ปุ่นที่ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของเจ้ามรดก เมื่อไม่ตรงก็จะไม่พูดถึงนะ เพราะอาจารย์ให้หากฎหมายไทยที่ตรงกับกฎหมายญี่ปุ่น
พอมาดูมาตรา 38 เขียนว่า “ในส่วนที่เกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์ มรดกโดยสิทธิ โดยธรรมหรือโดยพินัยกรรม ให้เป็นไปตามกฎหมายภูมิลำเนาของเจ้ามรดก ในขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”
กรณีมาตรา 38 ก็เป็นเรื่องสังหาริมทรัพย์ ว่าถ้าเจ้ามรดกมีสังหาริมทรัพย์ (เช่น รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ ทีวี ตู้เย็น เป็นต้น) ทายาทจะได้ทรัพย์เหล่านี้ ก็ต้องไปดูว่าเจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ที่ใดในขณะถึงแก่ความตาย จึงจะใช้กฎหมายของประเทศนั้นๆ ถ้าอยู่ในประเทศไทยก็ใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยว่าด้วยการรับมรดกบังคับ ถ้าอยู่ประเทศญี่ปุ่นก็ใช้กฎหมายแพ่งญี่ปุ่นบังคับ แต่เมื่อมาตรา 38 ก็ไม่ได้พูดถึงให้ใช้กฎหมายสัญชาติของเจ้ามรดกบังคับ มาตรานี้ก็ไม่ตรงกับมาตรา 26 ของกฎหมายญี่ปุ่น
เมื่อพิจารณากฎหมายขัดกันของไทยที่เกี่ยวกับการรับมรดก จะเห็นได้ว่า กฎหมายขัดกันของญี่ปุ่นให้ใช้กฎหมายสัญชาติของเจ้ามรดก ส่วนกฎหมายขัดกันของประเทศไทยแบ่ง เป็น 2 มาตรา และสามารถแยกได้เป็น 2 กรณี คือ ถ้ากรณีที่เจ้ามรดกมีทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ เช่นพวกบ้านพร้อมที่ดิน ที่นา ที่สวน อะไรทำนองนี้ ก็จะต้องใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่ทรัพย์ตั้งอยู่ ถ้าบ้านพร้อมที่ดินอยู่ในประเทศญี่ปุ่นก็ไปใช้กฎหมายของประเทศญี่ปุ่นบังคับ แต่ถ้ากรณีเป็นสังหาริมทรัพย์ ก็ให้ใช้กฎหมายของประเทศที่เจ้ามรดกมีภูมิลำเนาอยู่ขณะถึงแก่ความตาย เช่น เจ้ามรดกเป็นคนญี่ปุ่น แต่มาเป็นวิศวกรในประเทศไทย อยู่มานานประมาณ 3 ปี มีรถยนต์ 1 คัน กรณีนี้ก็ใช้กฎหมายไทยบังคับ เป็นต้น
ส่วนกฎหมายขัดกันของญี่ปุ่นจะไม่แยกเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์อย่างประเทศไทย แต่จะกำหนดรวมกันว่าให้ใช้กฎหมายสัญชาติของเจ้ามรดก ไม่ว่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์
การกำหนดสัญชาติก็จะมีปัญหาตรงที่ ถ้าเจ้ามรดกมีหลายสัญชาติจะใช้กฎหมายใดบังคับ
แต่โดยหลักแต่ละประเทศ เค้าก็จะใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของตนบังคับมากกว่า นอกจากว่าคู่ความ หรือผู้ร้องจะกล่าวอ้างความมีลักษณะระหว่างประเทศให้ศาลเห็น ศาลจึงจะนำกฎหมายขัดกันมาเป็นเครื่องมือชี้ว่า กรณีดังกล่าวควรจะใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับ หากคู่ความมิได้กล่าวอ้าง ศาลก็จะใช้กฎหมายของประเทศที่คู่ความฟ้องหรือร้องขอ มากกว่าจะยอมไปใช้กฎหมายของประเทศอื่น
แต่ก็อย่าลืมว่า หากความเกี่ยวพันของนิติสัมพันธ์ของเอกชนมีความคาบเกี่ยวกันอยู่หลายประเทศ กรณีอย่างนี้ต้องมีลักษณะระหว่างประเทศแน่นอน ก็ควรปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศจะดีกว่า มิฉะนั้นคำพิพากษานั้นๆ อาจใช้ได้เฉพาะแต่ประเทศของตน แต่ไม่อาจนำไปบังคับในทางระหว่างประเทศได้ ก็ได้นะ ต้องพิจารณาให้ดี
ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า กฎหมายขัดกันของไทย กับ กฎหมายขัดกันของญี่ปุ่น ที่พูดถึงเรื่องการรับมรดกนั้น มีความแตกต่างกัน เพราะญี่ปุ่นให้ใช้กฎหมายสัญชาติเจ้ามรดก แต่ไทยแยกเป็นทรัพย์ 2 ประเภท ดังอธิบายข้างต้นแล้ว ส่วนใครจะอยากใช้กฎหมายใดบังคับแก่ทรัพย์สิน ก่อนตายก็ระบุด้วยนะจะได้ไม่ปัญหากับทายาท จบก่อนนะ คราวหน้ามีเรื่องอื่นมาเล่าอีก ติดตามต่อไปนะ
ไม่มีความเห็น