การจัดเวทีประชุมในวันที่ 17 กรกฎาคม 2555 ณ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัว มีความน่าสนใจอยู่หลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นความร่วมมือของสาขา หรือหลักสูตรจากต่างคณะ และการเปิดเวทีให้ชุมชนได้ “ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมลงมือทำ และรับผิดชอบ” (เป็นเจ้าของ)
เกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือของสาขาจากต่างคณะนั้น ประกอบด้วยการทำงานร่วมของสาขาสารสนเทศศาสตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ และสาขาพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยสาขาสารสนเทศศาสตร์ เป็นการดำเนินงานในกิจกรรม “1 หลักสูตร 1 ชุมชน” ในโครงการ “ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน อบต.หนองบัว” ซึ่งมี ดร. ฉันทนา เวชโอสถศักดา เป็นผู้รับผิดชอบหลัก
ส่วนสาขาพัฒนาชุมชน เป็นโครงการ “วิจัยแนวทางการพัฒนาความเข้มแข็งกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่นตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง” มีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชูพักตร์ สุทธิสาร เป็นผู้รับผิดชอบหลัก และเป็นการขับเคลื่อนต่อเนื่อง (ต่อยอด) จากปี 2554 ตามนโยบาย “1 คณะ 1 ชุมชน”
การจัดเวทีร่วมกันเช่นนี้ถือเป็นการบูรณาการในอีกมิติหนึ่งของการบริการวิชาการแก่สังคม แทนที่จะจัดคนละเวที แทนที่จะจัดคนละครั้ง ก็ผนึกเข้าเป็นเวทีเดียวกัน เชื่อมร้อยประเด็นเข้าสู่ทิศทางเดียวกัน เพื่อร่วมสร้างกลไกให้ชุมชนเกิดการตื่นตัวที่จะวิเคราะห์ตัวเองไปสู่การสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนได้ด้วยตนเอง
ก่อนการเวทีการเรียนรู้ร่วมกันจะเปิดตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย ดร.ฉันทนา เวชโอสถศักดา ถือโอกาสประชุมชี้แจงกับนิสิตในภารกิจที่กำลังจะมีขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการปฐมนิเทศก็ว่าได้ ซึ่งประกอบด้วยประเด็นสำคัญๆ เช่น ชี้แจงและทำความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายของกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น จากนั้นจึงมอบหมายภารกิจแก่นิสิต อาทิ การบันทึกภาพ จดบันทึก ลงทะเบียน ต้อนรับขับสู้ เสมือนเป็นเจ้าภาพไปในตัว ฯลฯ
จนในที่สุดเมื่อชาวบ้านหรือแม้แต่แกนนำชาวบ้านเดินทางมาถึง นายก อบต.หนองบัวจึงทำหน้าที่เป็นผู้แทนกล่าวทักทายและนำเข้าสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน โดยเริ่มจากการทบทวนถึงสิ่งที่ได้รับจากการศึกษาดูงานเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2555 ณ สำนักวิทยาบริการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งหลักๆ ก็ถามทักอย่างเป็นกันเองในทำนองว่า “เห็นอะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร รวมถึงการจะนำอะไรมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับศูนย์การเรียนรู้ที่กำลังจะสร้างขึ้นบ้าง...”
และโดยส่วนใหญ่มักสะท้อนแนวคิดที่สอดคล้องกันแทบทั้งสิ้น นั่นก็คือความประทับใจกับระบบข้อมูลของศูนย์สิรินทรที่สามารถสืบค้นได้อย่างสะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
รวมถึงความตื่นตาตื่นใจเกี่ยวกับ “มรดกวัฒนธรรมอีสาน” ที่จัดแสดงไว้อย่างหลากหลาย ทั้งๆ ที่หลายสิ่งหลายอย่างก็มีในชุมชนของตนเอง แต่ชาวบ้านยังนึกไม่ออกว่าจะหยิบยกให้เกิดมูลค่าได้อย่างไร
และที่สำคัญอีกประการก็คือการสะท้อนมุมมองแห่งการชื่นชอบถึงเรื่อง "นิทรรศการ” ข้าวของเครื่องใช้ในแบบ “อีสานๆ” ที่จัดแสดงไว้อย่างเป็นรูปธรรม มีตัวอย่างที่หลากหลายทั้งของจริงและของจำลอง ซึ่งแต่ละชนิดล้วนมีคำอธิบายเกี่ยวกับ “ขั้นตอนการผลิต" ในแต่ละกระบวนการอย่างเด่นชัด บางอย่างชัดเจนกว่าการบอกเล่าของชาวบ้านด้วยซ้ำไป
นอกจากนั้นจึงระดมความคิดร่วมกันว่าศูนย์การเรียนรู้ที่จะจัดทำขึ้นนั้น ชาวบ้าน หรือชุมชนต้องการสิ่งใดบ้าง โดยประมวลจากสิ่งที่พบเห็นมาจากที่ต่างๆ เป็นต้นว่า สิ่งที่พบเจอจากการทัศนศึกษาดูงาน สิ่งที่เป็นประสบการณ์ตรง หรือปัญญาปฏิบัติของตนเอง รวมถึงการจินตนาการด้วยก็ไม่ผิด ซึ่งหลักๆ ชาวบ้านก็มีมุมมองคล้ายกัน คือ
เมื่อกระบวนการระดมความคิดเรื่องศูนย์การเรียนรู้ในฝันได้ยุติลง ก็ได้เวลาของการ ”วิเคราะห์ตัวตน” ของชุมชนว่า “แต่ละหมู่บ้านมีจุดเด่น/ศักยภาพ” อย่างไร เพื่อให้รู้ว่าแต่ละหมู่บ้านมีทุนทางสังคมอย่างไร จะได้จัดวางระบบการเก็บข้อมูล เพื่อนำกลับเข้าสู่ศูนย์การเรียนรู้ร่วมกันให้ได้มากที่สุด
ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุมต่างสามารถสะท้อนข้อมูลชุมชนของตนเองได้อย่างลื่นไหลและแจ่มชัดอย่างน่ายกย่อง เป็นต้นว่า
นอกจากนั้นกระบวนการที่ว่านี้ยังช่วยกระตุ้นให้ชาวบ้านได้มองเห็น “คุณค่าตัวเอง” ไปในตัว บางเรื่องสูญหายไปแล้ว แต่ยังอยู่ในความทรงจำ ก็พร้อมที่จะนำพากลับไปสู่การสืบค้นอย่างไม่อิดออด เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และภาคภูมิใจในสายธารประวัติศาสตร์ของตนเอง ขณะบางเรื่องที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ก็พร้อมเสมอกับการเป็นฟันเฟือง เพื่อหนุนนำให้มีการต่อยอดและยืนหยัดสู่การเป็นมรดกวัฒนธรรมของชุมชนสืบไปอย่างไม่สิ้นหวัง
และที่สำคัญเลยก็คือ กระบวนการสำรวจผ่านเวทีเช่นนี้ ไม่เพียงทำให้รู้ “สถานะทางข้อมูล” อันเป็น “ทุนเดิม” ของแต่ละหมู่บ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้ชาวบ้านตื่นตัวและมีพลังในการที่จะขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้ร่วมกัน มีความกระหายที่จะเรียนรู้และเปิดใจที่จะให้ข้อมูลโดยไม่อำพรางซ่อนงำ เพราะหลายฝ่ายต่างเชื่อมั่นว่ากิจกรรมที่มีขึ้นนั้น จะก่อเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนของตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย รวมถึงต่างฝ่ายต่างยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ยิ่งในช่วงของการ “โสเหล่” เพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อ “ศูนย์การเรียนรู้” นั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่าบรรยากาศเป็นด้วยความชื่นมื่น สนุกสนาน และเป็นกันเอง ต่างคนต่างช่วยกันเสนอชื่อและลงคะแนนเสียงร่วมกัน จนในที่สุดก็ได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ศูนย์การเรียนรู้และถ่ายทอดภูมิปัญญาตำบลหนองบัว”
ถัดจากนั้นก็ระดมกำลังแต่งตั้งคณะทำงานในระดับชุมชน ผูกโยงถึงการจัดทำแผนร่วมกัน เป็นต้นว่า การกำหนดปฏิทินในการเก็บข้อมูลในแต่ละหมู่บ้าน รวมถึงการมอบหมายภารกิจให้กับแกนนำชาวบ้านของแต่ละหมู่บ้าน เพื่อรับผิดชอบเป็นผู้ประสาน และทำการขับเคลื่อนเรื่องเหล่านี้ร่วมกับนิสิตและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยฯ
ด้วยเหตุนี้ จึงอาจนับได้ว่าเวทีการประชุมดังกล่าว เป็นปรากฏการณ์แห่งการบูรณาการที่น่าสนใจไม่แพ้โครงการอื่นๆ เพราะเป็นการผนึกกำลังทะลุมิติของวิชาชีพจากต่างคณะ ลดทอนเวทีที่ซับซ้อนให้กับชาวบ้าน นิสิตจากต่างสาขาและต่างคณะได้เรียนรู้ร่วมกันโดยมีชุมชนเป็นฐานหลักของการเรียนรู้
นอกจากนี้ยังเปิดเวทีให้ชาวบ้านและนิสิตได้เรียนรู้ร่วมกัน ขณะที่ชาวบ้านก็ชัดเจนกับการถอดบทเรียน หรือทบทวนความรู้จากมิติต่างๆ มาประยุกต์ใช้จริงกับตนเองและชุมชน รวมถึงได้กำหนดวิถีปฏิบัติในนามศูนย์การเรียนรู้ฯ ด้วยตนเองอย่างเสร็จสรรพ ทั้ง “ริเริ่มคิด ตัดสินใจ...ลงมือทำ” หรือแม้แต่ “รับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง” ไปพร้อมๆ กัน
ขอบคุณค่ะเป็นบันทึกที่มีคุณค่ามาก ชลัญเข่้ามา blog ของอาจารย์ แล้วไม่เคยผิดหวัง ชอบ ประโยคนี้ "
สวัสดีครับ คุณ ชลัญธร
นี่แทบจะเป็นวันแรกๆ ในรอบหลายวันที่ชีวิตมีโอกาสได้นั่งสูดลมหายใจกับแดดเช้าอ่อนๆ และสายลมรวยระริน เนื่องจากว่างเว้นจาการลงพื้นที่ รวมถึงการรู้แก่ใจว่าทั้งสัปดาห์ผมงดการสอน เพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้ด้วยตนเอง...
เหมือนเรือที่แล่นออกจากฝั่งอย่างมีหางเสือ และมองเห็นอีกฟากฝั่งหนึ่งที่เป็นจุดหมายอย่างชัดเจน
ประโยคข้างต้น
ผมบอกเล่ากับนิสิตในชั้นเรียนบ่อยมาก เพราะผมอยากให้นิสิตทบทวนทิศทางการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ไม่อยากให้เขาเหมือนเรือที่แล่นจากออกจากฝั่ง แต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน อย่างไร...อย่างน้อยมันจะช่วยให้เขามีสมาธิกับสิ่งที่เรากำลังเรียนรู้ หรือเติบโตในถนนสายนั้น อย่างน้อยก็ในห้วงสั้นๆ นั้น...
ขอบคุณครับ
ร่วมคิด..ร่วมใจ..ร่วมทำ..ล้วนนำสังคมสู่ความสุข..ชื่นชมมากค่ะ..
ขอบคุณครับพี่ใหญ่...(นงนาท สนธิสุวรรณ)
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับกับวาทกรรม "ร่วมคิด-ร่วมใจ-ร่วมทำ"
นอกจากนั้นกระบวนการที่ว่านี้ยังช่วยกระตุ้นให้ชาวบ้านได้มองเห็น “คุณค่าตัวเอง"
ชอบกระบวนการนี้มากนะคะอาจารย์ เพราะแอบคิดไปไกลว่าปัญหาสังคมหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในขณะนี้ส่วนหนึ่งก็คงเนื่องมาจากการไม่ตระหนักถึงคุณค่าในตัวเองของคนเรา
หากเรามองเห็นศักยภาพตรงนี้ความมั่นใจในการดำเนินชีวิตจะตามมา การยืนหยัดด้วยตนเอง ความหวัง ความฝัน จะต่อยอดจากตรงจุดนี้ และการพัฒนาตนและรอบข้างเพื่อการเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
กิจกรรมเหล่านี้จึงมีค่าต่อสังคมจริงๆ ค่ะ ขอชื่นชมผู้มีส่วนร่วมอย่างจริงใจค่ะ