เปรียบเทียบ Act Concerning the Application of Laws [Horei] (กฎหมายขัดกันของประเทศญี่ปุ่น) กับพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.2481 ของประเทศไทย
Article 14. ( Effect of marriage ) The effect of marriage shall be determined , in cases where the law of the countries of which the parties are nationals is the same , by that law , and upon absence of such law , in cases where the law of the parties’ habitual residence is the same , by that law , and in cases where neither of these is the case , by the law of the place most closely related to both parties.
มาตรา 14 ผลแห่งการสมรส ผลแห่งการสมรสให้เป็นไปตามนี้ ในกรณีที่คู่สมรสมีสัญชาติอันเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สมรส ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติอันเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาให้เป็นไปตามกฎหมายแห่งถิ่นที่คู่สมรสมีภูมิลำเนาร่วมกัน ถ้าไม่มีกฎหมายเช่นว่านั้น ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคู่สมรสมากที่สุดมาตรา 14 ของ Act Concerning the Application of Laws ของญี่ปุ่นนั้น น่าจะเทียบเคียงได้กับ มาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.2481 ของประเทศไทย ที่บัญญัติว่า
" มาตรา ๒๑ ถ้าคู่สมรสมีสัญชาติอันเดียวกัน หรือถ้าภริยาได้มาซึ่งสัญชาติแห่งสามีโดยการสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา ให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สมรสในกรณีที่ภริยามิได้ได้มาซึ่งสัญชาติแห่งสามีโดยการสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา ให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติแห่งสามี "
เปรียบเทียบความเหมือนกันของกฎหมาย 2 ฉบับนี้
ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายขัดกันของไทยหรือของญี่ปุ่น ลำดับแรกของการเลือกใช้กฎหมายอันจะมีผลต่อการสมรสของคู่สมรสให้ใช้กฎหมายตามสัญชาติร่วมกันของคู่สมรส
จุดที่แตกต่างก็คือ ในกรณีที่สามีภริยามีสัญชาติต่างกัน กฎหมายขัดกันของไทยให้ใช้กฎหมายสัญชาติแห่งสามีใช้บังคับ ส่วนกฎหมายขัดกันของญี่ปุ่นให้ดูก่อนว่าคู่สามีภริยานั้นมีภูมิลำเนาเดียวกันหรือไม่ ถ้ามีภูมิลำเนาร่วมกันก็ให้ใช้กฎหมายแห่งภูมิลำเนานั้นบังคับ หากสามีภริยาไม่มีทั้งสัญชาติร่วมกัน และภูมิลำเนาร่วมกันแล้ว ทางเลือกสุดท้ายคือให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดของคู่สามีภริยาที่มีร่วมกันใช้บังคับ
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า หากคู่สมรสมีสัญชาติเดียวกัน การเลือกใช้กฎหมายที่จะบังคับแก่คดีก็จะไม่เกิดปัญหามากนั้นเพราะก็หมายความว่าการพิจารณาคดีนั้นก็ใช้กฎหมายที่คู่สมรสมีสัญชาติร่วมกันใช้บังคับไป แต่ถ้าหากคู่สมรสเกิดมีสัญชาติที่แตกต่างกัน ในกรณีที่ใช้กฎหมายขัดกันของไทย ตัวบทบอกไว้ชัดเจนว่าให้ใช้กฎหมายสัญชาติแห่งสามีใช้บังคับ แต่สำหรับกฎหมายขัดกันของญี่ปุ่นนั้นหากสัญชาติของคู่สมรสต่างกันแล้ว ต้องไปดูที่ภูมิลำเนาของคู่สมรสว่าเป็นภูมิลำเนาเดียวกันหรือไม่ ถ้าเป็นภูมิลำเนาเดียวกันก็ใช้กฎหมายแห่งภูมิลำเนานั้นซึ่งตรงนี้ไม่มีปัญหาเพราะตัวบทบอกไว้ชัดแจ้ง แต่ถ้าหากว่าคู่สมรสนั้นมีทั้งสัญชาติที่ต่างกัน และมีภูมิลำเนาที่ต่างกันอีกด้วย กฎหมายขัดกันของญี่ปุ่นให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคู่สมรสมากที่สุด ซึ่งตรงนี้หมายความถึงอะไรล่ะ? จะหมายถึงถิ่นที่คู่สมรสจดทะเบียนสมรสหรือเปล่า? หรือหมายความถึงถิ่นที่คู่สมรสจัดพิธีสมรสขึ้น? หรือหมายความถึงถิ่นที่คู่สามีภริยาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภริยา? หรือหมายถึงถิ่นที่มีการฟ้องร้องคดี? เพราะคำว่าถิ่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคู่สมรสมากที่สุดนั้นอาจพิจารณาไปได้หลายแง่
ผมคิดว่าน่าจะเป็น ถิ่นที่สามีภริยา ร่วมอยู่กินกันฉันสามีและภริยามากว่า เนื่องจากดูตามเจตนารมณ์ของกฎหมายญีปุ่นแล้ว น่าจะไล่ควมสำคัญจากจุดใหญ่ทีสุดคือสัญชาติร่วมกัน ลงมาคือภูมิลำเนาร่วมกัน และลงมาน่าจะเป็นที่พักอาศัยทีสามีภริยาอยู่ร่วมกัน
ก็คล้ายๆกับคนไทยที่มีภูมิลำเนาอยู่ที่หนึ่งแต่ทีพักอาศัยอาจจะมีอีกทีหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น นายก.เป็นคนจังหวัดอุดร นั่นหมายความว่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่อุดร มาทำงานกรุงเทพ นั่นคือที่พักอาศัยอยู่ที่กรุงเทพ นายก.ทิ้งขยะในกรุงเทพเป็นความผิด นายก.ก็ต้องถือหลักข้อบังคับของกรุงเทพ จะอ้างว่าตนเป็นคนอุดรทิ้งที่อุดรไม่ผิด ทิ้งที่กรุงเทพก็ต้องไม่ผิดด้วย ดังที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นเพียงจะยกตัวอย่างให้เห็นว่า ถิ่นที่อยู่ก็มีความสำคัญ รองจากภูมิลำเนา คล้ายๆกับปพพ.ของไทยที่บัญญัติกี่ยวกับภูมิลำเนา
ให้ถือว่าถิ่นที่อยู่เป็นภูมิลำเนาสำหรับผู้ไม่มีภูมิลำเนา
เพราะฉนั้นแล้วกฎหมายญี่ปุ่นก็น่าจะมองว่าถิ่นที่อยู่นั้นสำคัญรองลงมาจากภูมิลำเนา ดังนั้น ถิ่นที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดของคู่สามีภริยาที่มีร่วมกันใช้บังคับ
ก็น่าจะหมายความถึง ถิ่นที่อยู่ที่สามีภริยาอยู่กินด้วยกัน