วิชญธรรม
ผศ. ดร. สิริวิชญ์ เตชะเจษฎารังษี

“ มือถือสาก ปากถือศีล ”


....คนเรามัน สายตายาว.... มองเห็นแต่คนอื่น....... แต่มองไม่เห็นตัวเอง ไม่มองตัวเอง......เป็นคำสอนหลวงพ่อชา ที่ตรงประเด็น

อีกมุมมองที่ชวนคิด ทำความเข้าใจในการใช้ของสำนวนนี้ กับผู้มาปฏิบัติธรรม

วันนี้ผมขอคำชี้แนะผู้รู้ต่างๆ  ผมค้นความหมายของสำนวนนี้บน web ได้ดังนี้

(เท่าที่เวลาจำกัด)

-                  มือถือสาก ปากถือศีล  หมายถึง การแสดงตัวเป็นคนมีศีลธรรม แต่กลับประพฤติชั่ว

บทขยายความ สำนวนนี้ใช้เปรียบเทียบคนที่สร้างภาพหรือเสแสร้งให้คนอื่นเห็นว่า เป็นคนดี อยู่ในศีลธรรม มีความจริงใจ คุณธรรมสูงส่ง มีความยุติธรรม แท้จริงแล้วจิตใจชั่วร้าย ........... เขาจะพร่ำสอนให้คนอื่นมีคุณธรรมสูง ............ แต่อยู่เบื้องหลังการทำผิดกฎหมาย................  คนส่วนใหญ่ในสังคมมักหลงเชื่อคำพูดของเขา น้อยคนที่จะรู้จักตัวตนแท้จริงได้......... [ย่อๆ นะครับ]

[จาก ภาษิตชวนคิด by magnabrainin http://magnadream.wordpress.com/2007/09/26/ ]

 

-                  มือถือสากปากถือศีล     คำแปล

(สว.) ว. พูดให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ประพฤติตนตรงข้ามกับที่พูด.

[จาก พจนานุกรม ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร ]

ผมสรุปก็คือว่า

การทำตัว การแสดงตัว ว่าตนเองเป็นคนดี แต่ลับหลังกลับประพฤติตัวไม่ดี คิดไม่ดี

เมื่อก่อนนี้ หรือจากประสบการณ์ในอดีตที่เคยบวชเป็นพระ ทำให้ผมขาดความศรัทธาในพุทธศาสนา ผมมองผู้ที่เข้าวัดส่วนใหญ่ หรือแม้แต่พระเอง ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม .......(มีเหตุการณ์ต่างๆที่พบเจอ ต้องไม่ต่างจากผู้ขาดศรัทราในหลักธรรม ณ ที่นี้หลายท่าน เมื่อต้องก้าวเข้าวัด ผมคงไม่นำมาสาธยาย)

ความคิดผมเปลี่ยนไปเมื่อมีเหตุให้ผมต้องเริ่มมาสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรม

ผมเห็นว่า คนที่เข้าวัดนั้นมีทั้งกลุ่มคนดี และกลุ่มคนไม่ดีปะปนกันไป เราแยกไม่ได้จากการที่เขาจะนุ่งขาวห่มขาว หรือแม้กระทั่งนุ่งห่มจีวร ผู้ที่ “นุ่งขาวห่มขาว” ที่ทำตัวดีสุดยอด แต่พฤติกรรมเอาเปรียบผู้อื่น หรือแม้กระทั่งเอาเปรียบวัด ก็มีให้เห็นเป็นประจำ แต่มีไม่น้อยเหมือนกันที่เข้าวัดเพื่อมาศึกษาและปฏิบัติธรรมจริงๆ  

ความเหมือนกันของทั้งสองกลุ่มนี้คือ โดยส่วนมากบุคคลนั้นๆยังละกิเลสไม่ได้ ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมตามแต่ศรัทราเช่น ตัวข้าน้อยเอง ก็ยังละกิเลสไม่ได้

ถามว่าเขายังทำอะไรผิดอยู่หรือไม่?  ผมตอบว่า เขาก็ยังมีความคิด ความเห็นผิดอยู่ มีโกรธ มีโลภ มีหลงอยู่ การเข้าวัดไม่ได้ทำให้ความหลงผิดนั้นอันตรธานหายไป มันยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าผู้ปฏิบัติเขามีการใช้หลักธรรมมาคอยระงับ คอยสอน คอยเตือนใจตัวเองไม่ให้หลงทาง หลงเมื่อไรก็ต้องรีบพาใจกลับมา ให้เร็ว ให้ทัน ต้องฝึกครับ!!!

มาปฏิบัติก็คือ มาฝึกจิตฝึกใจ ให้เข้มแข็ง มีกำลัง ให้รู้ทันกิเลส ความคิดของตน

ดังนั้น คำว่า มือถือสากปากถือศีล     สำหรับผมนั้น ผมจะไปใช้ว่าต่อว่าใครต้องคิดหนัก เพราะเราไม่รู้ว่าในใจใครเป็นอย่างไร ไม่ดีในสายตาเรา แต่ก็ในสายตาคนใกล้ตัวเขา เราจะเอาอะไรไป “วัด”  

....คนเรามัน สายตายาว.... มองเห็นแต่คนอื่น....... แต่มองไม่เห็นตัวเอง ไม่มองตัวเอง......เป็นคำสอนหลวงพ่อชา ที่ตรงประเด็น

เข้าวัดไม่ต้องไปมองใคร มองตัวเอง มองจิต มองใจตัวเอง ครับ

พี่ผมพูด “ เรามือถือสากก็จริง.... ไว้ทำครัว ไว้ตำส้มตำ ปากก็ถือศีลก็จริงอีก.... ดูตัวเองคุณน้อง ดูตัวเอง “  

 

   แถมรูปให้อีกครั้ง

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 495267เขียนเมื่อ 19 กรกฎาคม 2012 08:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 ตุลาคม 2013 15:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ

เมื่อก่อนตอนไฟยังแรงก็มัวแต่มองดูผู้อื่นเวลาไปวัด ทำให้ความรู้สึกของคำว่าศรัทธาถูกบดบังไปหลายปี พอไฟเริ่มอ่อนลงใช้เวลาที่มีดูตัวเองมากขึ้น อ่านมากขึ้น จึงค่อยๆเปลี่ยนมุมมอง คิดเสียว่าคนที่ไปวัดก็ไม่ต่างอะไรจากเรา เขาก็คือผู้แสวงหาเช่นกัน เพราะไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้มาพบกันในตอนนี้

ขึ้นสวรรค์ไปพลาง ตกนรกไปพลาง ดังที่ท่านพุทธทาสสอน

ก็เลยตั้งใจว่าจะดูตัวเองให้มากกว่าดูคนอื่นค่ะ หมั่นเก็บกวาดขยะในใจเราให้บ่อย โลกทั้งโลกก็จะสะอาดขึ้นเอง

ขอบคุณบันทึกดีดีที่ชวนให้คิดเช้านี้ค่ะ

  • ชื่นชมมากค่ะ
  • "เมื่อก่อนนี้ หรือจากประสบการณ์ในอดีตที่เคยบวชเป็นพระ ทำให้ผมขาดความศรัทธาในพุทธศาสนา ผมมองผู้ที่เข้าวัดส่วนใหญ่ หรือแม้แต่พระเอง ปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม .......(มีเหตุการณ์ต่างๆที่พบเจอ ต้องไม่ต่างจากผู้ขาดศรัทราในหลักธรรม ณ ที่นี้หลายท่าน เมื่อต้องก้าวเข้าวัด ผมคงไม่นำมาสาธยาย)              ความคิดผมเปลี่ยนไปเมื่อมีเหตุให้ผมต้องเริ่มมาสนใจศึกษาและปฏิบัติธรรม"
  • บางท่าน เห็นเช่นนั้นแล้ว ก็ทำให้ไม่นับถือ ไม่ศรัทธา และก็จะไม่ปฏิบัติ โดยมองว่าคนไปปฏิบัติธรรมมาแล้วก็ไม่ได้เห็นว่าจะเปลี่ยนอะไรได้ เป็นเหมือนเดิม หรือมากกว่าเดิม หากข่มเอาไว้...ทั้งที่จริง ๆ แล้ว ใครจะเป็นเช่นไร ก็เรื่องของเรา เรื่องของเราคือเอาเวลามาฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง "ดูตัวเอง" เป็นงานหลัก
  • ข้อคิดที่ท่านให้ไว้จึงเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านอย่างมากค่ะ
  • ขอบคุณค่ะ

คุณ Blank ปริม .....หมั่นเก็บกวาดขยะในใจเราให้บ่อย..... นี้แหละที่ผู้ปฏิบัติ"ธรรมต้องทำ" 

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นดีๆครับ Blank อาจารย์ศิลา ภู ชยา

บางครั้งเรารู้สึก.... ไม่ดีเหมือนกัน เช่นผมคุยกับน้องที่ทำงาน เขาเคยเข้าวัดก็ไปพบสิ่งที่ไม่ประทับใจเหมือนกัน เลยไม่อยากเข้าวัด

แล้วถ้าคิดอย่างนี้กันหมด คนดีไม่เข้าวัด เพราะขาดแรงศรัทรา คนเข้าวัดกลับถูกมองไปอีกอย่าง.... หลวงปู่ก็ถามหา " คนซิมาปฏิบัติอีหลี มันบ่มีแล้วคุมื่อนี้ (ทุกวันนี้) มันหมดแล้ว "

อย่ามุ่งประเด็นแต่สิ่งที่ไม่ดีในวัด อย่าคาดหวังว่าทุกคนจะดี

ถ้าจะมอง ให้มองหาครูบาอาจารย์ที่เขาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เชื่อในหลักคำสอน (ที่ถูกทาง) ในธรรมะ  คนที่จะได้ประโยชน์คือตัวเราเอง

พูดไป...ก็ถามน้องๆ แถวนี้...... งง!!!! อาจารย์บอกอะไร พูดอะไรงง???

คิดแล้วจะกลุ้มเอา...... 

    

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท