Article 32 ของ Act Concerning the Application of Laws (Horei) ซึ่งบัญญัติว่า In cases where the law of the contry of which a party is a national is to govern and according to the law of such country , Japanese law is to govern , Japanese law shall govern , however this shall not apply in cases where the law of the country of which the party is a national is to govern in accordance with the provisions of Article14 (including case where Article 14 is mutatis mutandis Applied in Article 15 , paragraph 1 and Article 16) or Article 21. ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับย้อนส่ง โดยบทบัญญัติในมาตราดังกล่าวได้ระบุว่า ในคดีที่กฎหมายของประเทศที่คู่กรณีมีสัญชาติเป็นกฎหมายที่จะใช้บังคับ และตามกฎหมายของประเทศนั้น ,กฎหมายของประเทศญี่ปุ่นคือกฎหมายที่ใช้บังคับ , ให้ใช้กฎหมายญี่ปุ่นบังคับ อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ไม่ใช้บังคับในคดีที่กฎหมายของประเทศที่คู่กรณีมีสัญชาติเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับตรงกันกับบทบัญญัติในมาตรา 14 (ประกอบด้วยคดี ตามมาตรา 14 ที่อนุโลมนำวรรคหนึ่งในมาตรา 15 และมาตรา 16 มาใช้บังคับ ) หรือ มาตรา 21 โดยบทบัญญัติในมาตรา 32 ของกฎหมายขัดกันญี่ปุ่น เป็นเรื่องเดียวกันกับมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พุทธศักราช 2481 ซึ่งบัญญัติว่า " ถ้าจะต้องใช้กฎหมายต่างประเทศบังคับ และตามกฎหมายต่างประเทศนั้น กฎหมายที่จะใช้บังคับได้แก่ กฎหมายแห่งประเทศสยาม ให้ใช้กฎหมายภายในแห่งประเทศสยามบังคับ มิใช่กฎเกณฑ์แห่งกฎหมายสยามว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย" โดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายในมาตราดังกล่าวได้แสดงว่ากฎหมายไทยยอมรับการย้อนส่งคือเมื่อกฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายของต่างประเทศย้อนส่งกลับมาให้ใช้กฎหมายไทยแล้ว พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายได้บัญญัติว่าให้รับไว้ และให้ใช้กฎหมายภายในประเทศไทยคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับแก่คดีนั้นทีเดียว ซึ่งเป็นบทบัญญัติในทำนองเดียวกับประเทศญี่ปุ่น แต่มีข้อน่าสังเกตุว่า ตามกฎหมายไทยไม่มีข้อยกเว้นในการใช้หลักการย้อนส่งเช่นที่ประเทศญี่ปุ่นได้บัญญัติไว้
ไม่มีความเห็น