เรียนรู้บูรณาการ งานกับชีวิต
บูรณาการเป็นกระบวนการของชีวิต ชีวิตคือข่ายใยแห่งความสัมพันธ์ สิ่งมีชีวิตบูรณาการตนเองเสมอ ประสาน เชื่อมโยงตนเองกับโลกภายนอกอย่างต่อเนื่องเป็นพลวัต สูงสุดของบูรณาการคือความเจริญงอกงามของชีวิตและสังคม มนุษย์มีศักยภาพที่จะบูรณาการตนเอง ทำให้เราเติบโต มีศักยภาพที่จะเอื้อเฟื้อตนเองให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น และสิ่งอื่นๆ มนุษย์และคุณภาพความเป็นมนุษย์ คือหัวใจของงานบูรณาการ เพราะมนุษย์คือผู้คิดและแปรความคิดสู่การกระทำ ความเป็นคน ความคิด และคุณค่าที่คนๆ นั้นยึดถือ กำหนดแนวทางการดำเนินงานของเขา และชี้ชะตาความสำเร็จหรือ ล้มเหลวของงานที่ทำ
หลักปรัชญาบูรณาการได้รับการสังเคราะห์ขึ้นโดย อ.ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ โดยนำหลักปรัชญาเต๋า พุทธธรรม ประสาน กับความรู้จากวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ ทฤษฎีทางสังคมว่าด้วยความซับซ้อนที่เป็นพลวัตและระบบองค์กรที่มีชีวิต มาย่อยและเชื่อมร้อยหลักการความรู้ต่างๆ ให้เห็นภาพบูรณาการได้กระจ่างขึ้น และได้แนวทางเพื่อลงมือปฏิบัติบูรณาการได้ในสนามการทำงาน นอกจากหลักปรัชญาแล้วยังมีทฤษฎีและกระบวนการบางอย่างซึ่งเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานบูรณาการตามแบบระบบที่มีชีวิต ดังนี้
(1) บริบทชีวิตและบ้านเมือง เป็นการบูรณาการตัวเองกับสิ่งแวดล้อม มีการประเมิน สถานการณ์อย่างรอบด้าน เห็นตัวเรา เห็นผู้อื่น เห็นสถานการณ์ปัจจุบัน เห็นแนวโน้มในอนาคต เพื่อวางแผนงานบูรณาการให้ สอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของชีวิต
(2) การคิดกระบวนระบบ (systems thinking) เป็นการคิดแบบองค์รวม มองเห็นเส้นสาย ข่ายใยความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง เห็นความเป็นเอกภาพของสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์และส่งผลกระทบถึงกัน มองเห็นทางที่จะเชื่อมโยงกับบางสิ่งเพื่อสร้างสรรค์ปรากฏการณ์ที่ปรารถนาหรือตัดทอนบางอย่างที่สร้างวงจรอุบาทว์ในสังคม
(3) พลังปฏิบัติการที่นุ่มนวล เป็นพลังที่มองไม่ค่อยเห็น แต่ให้ผลสะเทือนยิ่งใหญ่ กว้างไกล และยั่งยืนกว่าการลงมือทำแบบปะทะ เป็นพลังที่ซึมซาบหยั่งลึกเข้าไปในวิธีคิด วิถีชีวิต
(4) การสนทนาอย่างสร้างสรรค์และผลิดอกออกผล เป็นหัวใจของงานบูรณาการ เป็นการประชุมที่สร้างแรงบันดาลใจและเชื่อมพลัง ดูแลสนามพลังของการสนทนาเพื่อหล่อเลี้ยงหัวใจของผู้คน ผลิดอกออกผลเป็นความคิดและการงานที่สร้างสรรค์
(5) ชุมชนจัดตั้งและจัดการตัวเอง และเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย เป็นการสร้างทุนทางสังคมเพื่อยกระดับความสามารถในการเรียนรู้และจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อน
(6) หนทางแห่งการฝึกตน ฝึกให้มีจิตใจนุ่มนวลควรแก่งาน จิตสงบนิ่งและว่างพอที่ความคิดใหม่ๆ จะผุดพรายขึ้นมาได้ เรียนรู้อย่างลึกซึ้งด้วยการฟัง สังเกต ครุ่นคิดใคร่ครวญด้วยใจ ตั้งคำถาม เล่าเรื่อง อ่านและเขียน
การเรียนรู้ (learning) เป็นกระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมและความคิด คนสามารถเรียนรู้ได้จากการได้ยิน การได้สัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี เด็กจะเรียนรู้ผ่านห้องเรียนและการซักถาม ผู้ใหญ่จะเรียนรู้ผ่านประสบการณ์โดยอาศัยปฏิสัมพันธ์และบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้
ในแต่ละวัน หากเราสามารถฝึกให้ตัวเองนิ่งสักพัก เพื่อทบทวน ครุ่นคิด กับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเราหรือกิจการงานที่ทำ โดยอาจถามตัวเองว่า “วันนี้ทำอะไร ทำกับใคร เกิดอะไรขึ้น และผลเป็นอย่างไร” ประสบการณ์ในวันนี้สอนอะไรเรา เราได้บทเรียนอะไรจากประสบการณ์นี้บ้าง และวันข้างหน้า เราจะทำหรือไม่ทำอะไร
อุปสรรคที่ทำให้การบูรณาการงอกงามช้าหรือติดขัด มีดังนี้
1) ความคุ้นชินกับโลกทัศน์ระบบกลไก
2) กลัวปัญหา
3) ประมาทกับชีวิต
4) ความพิการทางการเรียนรู้ (ขาดแรงบันดาลใจ แรงใฝ่ฝัน และวิสัยทัศน์, ไม่ให้เวลาฝึกฝนและไม่ใช้ทักษะการสนทนาที่สร้างสรรค์, ขาดความเข้าใจและทักษะในการคิดแบบกระบวนระบบ)
5) กำแพงในใจ ยึดติดในตำแหน่ง ฐานะ คิดว่ารู้แล้ว ไม่ก้าวออกไปในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย
6) วิ่งกวดปัญหา คิดว่าต้องทำทุกเรื่อง หลงทางแล้วไม่ปีนขึ้นต้นไม้สูง
7) ชี้ว่าคนอื่นผิดเสมอ
8) เป็นนักเรียนมากกว่านักเรียนรู้
9) ไม่ใส่ใจเรื่องพื้นที่สร้างพลัง
10) ใจกระด้าง ไม่รับรู้ทุกข์ยากและปัญหาต่างๆ
“บูรณาการไม่ใช่งาน แต่เป็นกระบวนการของชีวิต เราต้องฝึกฝนให้มีในตนในทุกเมื่อ ที่ใดมีการบูรณาการ ที่นั่นมีความเจริญงอกงามของชีวิต”
(5) ชุมชนจัดตั้งและจัดการตัวเอง และเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย เป็นการสร้างทุนทางสังคมเพื่อยกระดับความสามารถในการเรียนรู้และจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อน
การจัดการตนเองของชุมชนนำไปสู่สุขภาวะชุมชน