"จารย์..เดี๋ยวค่อยลงไปนะครับ เหลด ๆ (late) หน่อยก็ได้"
"อ้าว..ทำไมหล่ะ เดี๋ยวคะแนนเรื่องตรงเวลาโดนหักนะ"
"ป่าวหรอกจารย์..ยังมีอะไรอีกนิดหน่อยที่ยังไม่เรียบร้อย"
"โอเค..ครู late ให้ 10 นาทีพอมั๊ย"
"โอเคครับ"
อีกสักพัก...ข้าพเจ้าก็ลงไปที่ห้องเรียนซึ่ง late ไปประมาณ 10 นาที พอข้าพเจ้าเดินถึงห้อง ที่หน้าประตูทางเข้ามีริบบิ้นขึง
แล้วนักศึกษาหญิงคนหนึ่งก็ยื่นกรรไกรที่ผูกริบบิ้นสวยงามให้ข้าพเจ้า
"เชิญอาจารย์ตัดริบบิ้นเปิดงานนิทรรศการสื่อสิ่งพิมพ์ค่ะ"
พอข้าพเจ้าตัดริบบิ้นขาด..นักศึกษาทุกคนปรบมือเสียงดัง
ตอนนั้น..ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าข้าพเจ้าจะยิ้มไม่หุบเลย..เพราะว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยถูกใครเชิญไปตัดริบบิ้นเปิดงานเลย งานนี้...งานแรกจริง ๆ ค่ะ
จากนั้น..ข้าพเจ้าก็เดินเข้างาน "นิทรรศการ..สื่อสิ่งพิมพ์" ที่ข้าพเจ้าได้มอบหมายให้นักศึกษาเอกการตลาด ชั้นปีที่ 3 ทำในครั้งนี้ ซึ่งก็คือที่มาของชื่อบันทึกค่ะ
หัวข้อที่จะต้องเรียน ข้าพเจ้านำมาคิดเป็นงานให้นักศึกษาไปค้นคว้า หาความรู้ แล้วมานำเสนอในรูปแบบของการจัดนิทรรศการ ซึ่งแต่ละกลุ่มได้ไปคนละหัวข้อ (ไม่ซ้ำกัน) เพราะแทนที่ข้าพเจ้าจะมาบรรยายในแต่ละหัวข้อเอง ดูออกจะน่าเบื่อ..ไม่ตื่นเต้นและเร้าใจ..เท่าไหร่นัก
ทุกกลุ่ม..ถ้าให้ข้าพเจ้าให้เกรดเรื่องการจัดนิทรรศการ ทุกกลุ่มได้ A หมด จะมีข้อบกพร่องก็นิดหน่อย ไม่เอามาคิดหักลบ เพราะนี่คืองานแรกของพวกเค้ากับการจัดนิทรรศการ
งานนี้...ข้าพเจ้าต้องการให้พวกเค้าได้รู้จักส่วนประกอบของสื่อสิ่งพิมพ์ว่าประกอบไปด้วยอะไร และแต่ละประเภทเป็นอย่างไร มีอะไรบ้างและเรียนรู้เรื่องการจัดนิทรรศการ
แต่ก็ยังมีสิ่งที่ได้นอกเหนือจากสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการอีก ซึ่งหลังจากการจัดนิทรรศการผ่านพ้นไปแล้ว ข้าพเจ้าให้แต่ละกลุ่มบอกถึงสิ่งที่ได้..จากการจัดนิทรรศการสื่อสิ่งพิมพ์ในครั้งนี้ นักศึกษาให้คำตอบมามากมาย ซึ่งข้าพเจ้าขอสรุปเป็นประเด็น ๆ ดังนี้
คำตอบที่เกี่ยวกับ "ความชอบ"
- ชอบผลงานที่เมื่อทำสำเร็จแล้วออกมาดี (ภูมิใจ)
- ชอบที่มีอิสระทางความคิด..จารย์ไม่จำกัดไอเดีย
- ชอบทำงานร่วมกับเพื่อน ๆ
- ชอบที่ไม่ต้องนั่งเรียน..ได้ปฏิบัติ
- ชอบลักษณะการนำเสนอของเพื่อนแต่ละกลุ่มที่มีความหลากหลาย
- ชอบความสนุกสนาน
- ชอบตกแต่ง..การออกแบบ
- ชอบที่ได้เต้น
- ชอบที่ได้รู้จักเพื่อนขึ้นอีก
- ชอบเพลงที่เพื่อน ๆ เปิด..สนุกดี
- ชอบชุดที่ได้ใส่ในการนำเสนอ
- ชอบที่ได้ตัดดอกไม้ ตกแต่งนิทรรศการ
- ชอบรอยยิ้ม
- ชอบที่อาจารย์ถ่ายรูป..ได้ถ่ายรูป
- ชอบที่ได้แสดงออก
- และ ชอบตอนอาจารย์ตัดริบบิ้น (ข้อนี้..ครูก็ชอบเหมือนกันค่ะ :D)
คำตอบที่เกี่ยวกับปัญหา/อุปสรรค ที่เกิดขึ้น
ข้าพเจ้าขอแยกเป็น
ช่วงเตรียมงาน
- นัดแล้วไม่มา / มาไม่ตรงเวลา
- เวลาว่างไม่ตรงกัน / รวมตัวกันยาก
- อุปกรณ์ไม่ครบ / หาไม่ได้
- หาข้อมูลได้ช้า / ไม่ครบ
- ความคิดเห็นไม่ตรงกัน
- ของกินเยอะทำให้งานล่าช้า (เป็นปัญหาได้เหมือนกันค่ะ :D)
- งบประมาณไม่เพียงพอ
- อุปกรณ์บางชิ้นมีขนาดใหญ่ ทำให้การขนส่งไม่สะดวก
- ได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน (ตัดดอกไม้จนมือบวม)
ช่วงนำเสนองาน
- ตื่นเต้น /ประหม่า (กลัวอาจารย์ถามแล้วตอบไม่ได้)
- ตื่นกล้องถ่ายรูปอาจารย์ (ไม่รู้ว่าจะตื่นไม่ทำไม)
- เพลงที่เปิดประกอบติดขัด
- ไมค์ไม่ดัง..ช่วงที่ต้องนำเสนอพอดี
ช่วงเสร็จสิ้นงาน
- ขยะเยอะ
- เพื่อนบางคนไม่ช่วยเก็บ
- ขนย้ายอุปกรณ์กลับลำบาก
- เหนื่อย (แต่สนุก)
- หลอดเสียงอักเสบ (คนนำเสนอ)
พอคำตอบหมด ข้าพเจ้าเลยถามกลับบ้างว่า...แล้วนักศึกษาแก้ปัญหากันอย่างไร?? คำตอบที่ได้สรุปได้ ดังนี้
- กำหนดเวลาและสถานที่ในการนัดหมายที่แน่นอน
- หาเวลาว่างของแต่ละคนในกลุ่มให้ตรงกัน
- แบ่งงานให้สมาชิกแต่ละคนรับผิดชอบ
- หาวัสดุที่เหลือจากการทำงานครั้งก่อนมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ /หาอุปกรณ์ที่ใช้แทนกันได้เพื่อประหยัดงบประมาณ
- ช่วยกันหาข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง
- วิเคราะห์ข้อมูลที่จะนำเสนอให้รอบคอบก่อนลงมือทำ
- ใช้ประชาธิปไตยในการตัดสินปัญหา (กรณีความคิดเห็นไม่ตรงกัน)
- จัดเตรียมงบประมาณไว้ให้พร้อม
ข้าพเจ้าถามกลับอีกว่า..ถ้าครูให้ทำงานในลักษณะนี้อีก นักศึกษาจะมีวิธีการทำอย่างไร?? คำตอบสรุปได้ คือ
- แบ่งงานให้ชัดเจนกว่านี้
- มีการวางแผน และทำงานตามลำดับขั้น
- จัดเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ก่อนลงมือทำ
- กำหนดงบประมาณในการทำงาน
- และ..จะทำให้ดีกว่าเดิม
..ข้าพเจ้าถามว่า ได้ประโยชน์อะไรจากการทำงานชิ้นนี้?? นักศึกษาแย่งกันตอบใหญ่ สรุปได้ดังนี้ คือ
- ความสามัคคี / Unity / รู้จักการทำงานเป็นทีม
- ความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของสื่อสิ่งพิมพ์ในหัวข้อต่าง ๆ
- ได้รู้รูปแบบการนำเสนอหลากหลายรูปแบบจากกลุ่มของเพื่อน ๆ
- ได้รู้จักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
- ทำให้กล้าแสดงออก
- ได้ความรู้ใหม่ ๆ จากอินเทอร์เนต/ ได้ใช้เทคโนโลยี (จากการค้นคว้าข้อมูล)
- ได้รู้ว่ารูปแบบการจัดนิทรรศการเป็นอย่างไร
- มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
- ได้ไอเดียใหม่ ๆ ในการทำงาน
- รู้จัก Website เกี่ยวกับงานโฆษณามากขึ้น
- รู้ถึงข้อบกพร่องในการทำงาน และวิธีการแก้ไขปัญหา
- ฝึกความอดทนในการทำงาน
- ได้รู้จักวางแผนในการทำงาน
- ทำให้เป็นคนกระตือรือร้น
ข้าพเจ้าแอบยิ้มอยู่ในใจกับคำตอบที่ได้ยิน...
และสุดท้าย..ข้าพเจ้าถามว่า จากประสบการณ์ในครั้งนี้สามารถนำไปใช้ในอนาคตได้อย่างไร?? สรุปคำตอบได้ คือ
- กล้าที่จะเสนอความคิดเห็นกับผู้ร่วมงานด้วยความมั่นใจ
- สร้างความเชื่อมั่นในการนำเสนองาน (เพราะได้ฝึกมาแล้ว)
- นำความรู้ที่ได้ไปสอนต่อให้คนอื่น ๆ ได้
- สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เพราะเมื่อจบไปก็ต้องทำงานร่วมกับคนอื่น
- นำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ
- เกิดแรงบันดาลใจ..อยากทำงานเกี่ยวกับด้านงานโฆษณา
ข้าพเจ้าแอบดีใจอยู่ลึก ๆ ว่างานที่ข้าพเจ้าได้มอบหมายให้นักศึกษาทำนั้น นอกจากความรู้ในภาคทฤษฎีที่นักศึกษาจะได้รับไปแล้วนั้น ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่นักศึกษาได้รับไปด้วยจากคำตอบที่ข้าพเจ้าสรุปไว้ข้างต้น
ข้าพเจ้าพูดกับพวกเค้าว่า...การจัดนิทรรศการในครั้งนี้..ครูไม่ได้หวังว่าจะให้ออกมาในรูปแบบที่สวยงามขนาดนี้..แต่นักศึกษาทำออกมาได้ดีมาก..และคำตอบจากนักศึกษาก็ไม่มีใครเลยที่บอกว่าทำเพราะต้องการคะแนนจากครู พอพูดถึงตรงนี้นักศึกษาทุกคนยิ้มกันใหญ่..ข้าพเจ้าเลยให้ทุกคนปรบมือให้ตัวเอง...
"จริง ๆ แล้วนักศึกษาอาจจะมองว่าทำไมครูต้องให้จัดนิทรรศการด้วย นำเสนอในรูปแบบอื่น ที่ง่าย ๆ กว่านี้ไม่ได้เหรอ...นั่นก็เป็นเพราะ การจัดนิทรรศการ..ก็เป็นศาสตร์หนึ่งของวิชาด้านการตลาด..แต่เรื่องนี้ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในวิชาที่นักศึกษาจะต้องเรียน แล้วทำไมต้องเรียนรู้..ก็เพราะว่าการจัดนิทรรศการก็คล้าย ๆ กับการจัด Display ที่พวกทำงานด้านการตลาดเค้าเรียกกัน...คือเราจะจัดอย่างไรให้พื้นที่ที่จำกัดแค่นี้ สามารถดึงดูดสายตาลูกค้าได้" (นักศึกษาบางคนร้องอ๋อ...รู้แล้วว่าทำไมอาจารย์ถึงให้จัดที่ห้องเรียนเล็ก ๆ แค่นี้) นั่นแหละคือสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการฝึกพวกเค้าอีกแง่หนึ่ง ซึ่งพวกเค้าก็สามารถสรรค์สร้างมันออกมาได้เป็นอย่างดี
นอกเหนือจากนี้ข้าพเจ้ามองว่า..สิ่งที่พวกเค้าสามารถจัดนิทรรศการในครั้งนี้ได้ โดยไม่ได้เรียนวิชาการจัดนิทรรศการมาเลยนั้น มันมาจากประสบการณ์ ความสามารถของนักศึกษาเองที่มีอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเป็น การตัดดอกไม้กระดาษ , การต่อไฟตกแต่ง , การเต้นระบำ , การตัดโฟม/ตัดสติกเกอร์ , การทำริบบิ้น , การตัดกระดาษแบบฉลุลวดลายต่าง ๆ , การเขียนโฟม , การสานตอก และอื่น ๆ อีกที่ข้าพเจ้าอาจจะสังเกตไม่หมด ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเรียกว่าเป็น Tacit knowledge ได้รึเปล่า...
โอ้โห..นี่เป็นบันทึกที่ 3 ของข้าพเจ้า ทำไมมันยาวจัง...ยังไงถ้าใครได้แวะมาอ่านก็ขอความคิดเห็น มาแลกเปลี่ยนกันบ้างนะคะ
ปล.จริง ๆ แล้วอยากลงรูปให้เยอะกว่านี้อีก แต่เนตช้ามากค่ะ
ก่อนอื่นต้องบอกว่า อ่านแล้วอิจฉาลูกศิษย์จัง มีอาจารย์ที่น่ารักแบบนี้ คงไม่มีใครอยากจะโดดเรียนในวิชานี้เป็นแน่ และต่างฝ่ายต่างก็คงจะ Happyในการเรียนการสอนมากเลย .. เชื่อมะว่าครั้ง หนึ่งนะ เคยได้คุยกับอาจารย์สอนภาษาไทยท่านหนึ่ง(นานมาแล้วนะ) ท่านเล่าถึงวิธีการสอนของท่าน ว่าเน้นการปฎิบัติแทนที่จะสอนด้วยการอ่านตำราให้ฟังอยู่หน้าห้องหรือให้นักเรียนอ่านหนังสือแล้วตัวเองก็อาจจะนั่งทำกิจกรรมอื่น มีการจัดทำกิจกรรมต่างที่เกี่ยวกับบทเรียน ทำให้นักเรียนมีส่วนร่วมจึงทำให้วิชาภาษาไทยนี้กลายเป็นวิชาหนึ่งที่สนุกและน่าเรียนมาก ( ซึ่งในความเป็นจริงมันน่าเบื่อมากกกกกกก..) ในความคิดนะอาจารย์ในยุคปัจจุบันควรจะมีแนวการสอนที่เน้นการปฎิบัติจริงมากกว่านะ เพราะการได้ฝึกจริงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการนั่งเป็นผู้รับอย่างเดียว เพราะเท่าที่สังเกตุเด็กไทย ไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมของเราที่เหมือนจะมีผลให้เป็นแบบนี้ ดังนั้นการเรียนการสอนยุคใหม่มีผลต่อพฤติกรรมของเด็กเป็นอย่างยิ่ง ยังไงก็ฝากให้คุณครูช่วยด้วยนะคะ อนาคตของชาติบางส่วนอยู่ในมือท่านแล้ววววววววววว.........
ปุ้ยเป็นอาจารย์ที่มีจิตวิญญาณความเป็นอาจารย์ที่สูงมาก จริง ๆ เราดีใจที่ปุ้ยยืนอยู่ตรงนี้มาก เหมือนได้ความเป็นตัวปุ้ย จริง ๆ อย่างนี้เรียกว่าทำงานที่ชอบ และที่สำคัญปุ้ยคงชอบงานที่ทำด้วย มันเป็นความสุขที่เราเองก้อยังค้นตัวเองไม่พบเลย อยากพบตัวเองแต่เราก้อยังไม่ได้ลองค้นตัวเองเลย ดีใจที่ปุ้ยหาเจอ เป็นกำลังใจให้นะ
iKnow ไอโนว์ => ตลาดความรู้ออนไลน์ 24 ชั่วโมง เป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารออนไลน์จากกว่า 30 สำนักข่าวชั้นนำทั่วไทย อัพเดทข้อมูลล่าสุดทุกวันตลอด 24 ชม. ด้วยเทคโนโลยี RSS (Really Simple Syndicate) เพียงเปิดเว็บไอโนว์เว็บเดียวเท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลาเปิดเว็บข่าวหลายๆเว็บ สะดวก รวดเร็ว รอบรู้ ทันข่าว ทันเหตุการณ์ตลอดเวลา รีบคลิกไปที่ http://www.tarad.com/iknow/index.php?lang=th