พุทธปรัชญาการศึกษาในทรรศนะพุทธทาสภิกขุ
พุทธทาสภิกขุเป็นพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่มีผลงานและมีชื่อเสียงอย่างโดดเด่น
ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น
หากแต่ยังเป็นผู้มีชื่อเสียงทั้งในต่างประเทศอีกด้วย
มีทั้งผลงานที่เป็นเอกสาร หนังสือ แผ่นเสียง
การบรรยายเป็นจำนวนมากมาย
ทั้งยังมีผู้ทำการศึกษาวิจัยงานของท่านไว้มากมายยิ่ง
อาจเป็นด้วยการเพราะผลของการศึกษา
พระสัทธรรมที่ครอบคลุม ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ
จึงนำผลมาสู่การรังสรรค์
ผลงานที่เชื่อมโยงทั้งองค์ความรู้ปัจจุบันและการค้นคว้า
ตีความเนื้อหาในคัมภีร์ทางด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาต่างๆ
จนนำไปสู่การขยายองค์ความรู้ในวงกว้างทั้งทางด้านวิชาการและการปฏิบัติ
ซึ่งสอดรับกับปณิธานทั้ง ๓ ประการของท่านคือ
๑.
ความหมายการศึกษาในทรรศนะพุทธทาสภิกขุ
พุทธทาสภิกขุ
ได้กล่าวถึงการศึกษาและความหมายของการศึกษาไว้ว่า
“การศึกษา”
ที่แท้จริงมีลักษณะหรือมีความหมายเป็นพิเศษอยู่
คือต้องดูออกมาจากข้างใน แล้วแก้ปัญหาข้างนอก
คำว่าศึกษา หรือ สิกขา รวมความหมายแล้วท่านกล่าวคือการ ดูตัวเอง
เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง จึงจะเรียกว่า สิกขา[๑] คำว่า ศึกษาในภาษาไทยอาจจะแคบไป ภาษาบาลีว่า
สิกฺขา ในภาษาสันสกฤตเรียกว่า ศึกษา คำ ๓ คำ
นี้แม้จะต่างกันโดยเสียหรือโดยพยัญชนะก็เป็นคำเดียวกัน คำว่า
สิกฺขา ในภาษาบาลี หมายถึงการประพฤติปฏิบัติ
กระทำเพื่อให้ดับทุกข์สิ้นเชิง รวมถึงความรู้ด้วย
เพราะฉะนั้นความรู้กับการปฏิบัติต้องไปด้วยกัน ไม่แยกกัน
มีความมุ่งหมายคือการดับทุกข์[๒]
ถ้าจะกล่าว ตามภาษาบาลี คำว่าสิกขา-สิกขา มาจากคำว่า สะ
แปลว่าเอง อิกขะ แปลว่าดู-เห็น สะ+อิกขะ รวมกันเป็น
สิกขะคือ สิกขา แปลว่าผู้ดูเอง เห็นเอง
คือเห็นภายในให้ทั่วพร้อม[๓]
จากทรรศนะของพุทธทาสภิกขุ
ชี้ให้เห็นว่าการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อกระตุ้น
เพื่อไปสู่การดับทุกข์
ให้การศึกษาหันกลับมามองถึงธรรมชาติภายในตัวของมนุษย์ว่าเป็นอย่างไร
แทนที่การศึกษาจะมุ่งเน้นการพัฒนา
หรือให้ความสนใจกับสิ่งอื่นที่นอกเหนือจาก
การส่งเสริมคุณค่าที่อยู่ภายในตัวตนของแต่ละคน เพราะมิฉะนั้น
การศึกษาก็ไม่สามารถนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้ พุทธทาสภิกขุ
จึงต้องการให้การศึกษา เป็นไปเพื่อการดับทุกข์
จึงต้องเริ่มจากการมีศีล มีสมาธิ และปัญญา
ซึ่งก็ต้องเกิดจากการฝึกฝนอบรมอย่างครอบคลุม
หรือการให้ความสำคัญอย่างจริงจัง
และเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญอย่างต่อเนื่อง
ควบคู่กับการปฏิบัติจากหลักวิชา
เพราะเพียงแต่วิชาอย่างเดียวหากขาดการปฏิบัติ
จะเป็นการทำให้การศึกษาเป็นไปในทางที่ดีงาม
เพราะการศึกษาเป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์
หรือการศึกษาที่สอดคล้องกับความเป็นมนุษย์ที่ชื่อว่า
สามารถฝึกฝนพัฒนาได้ ให้เป็นยิ่งกว่าการเป็นมนุษย์ทั่วไป
๒.จุดมุ่งหมายการศึกษาในทรรศนะพุทธทาสภิกขุ
พุทธทาสภิกขุได้กล่าวเกี่ยวกับ
จุดมุ่งหมายของการศึกษาไว้ว่า การศึกษาหากมุ่ง
ให้ฉลาดมันจะไปสู่ความเห็นแก่ตัว
การศึกษาที่ควบคุมความฉลาด
มันก็นำมาสู่ความไม่เห็นแก่ตัว[๔]อย่างการศึกษาของคนโบราณที่มุ่งการศึกษาเพื่อสร้างให้เป็นบุตรที่ดี
ศิษย์ที่ดี เพื่อนที่ดี พลเมืองที่ดี สาวกที่ดี
มนุษย์ที่ดี คือ เต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์
การศึกษาต้องช่วยให้เรารู้ว่าเราอยู่ คนเดียวในโลก
ไม่ได้การศึกษากับศาสนาต้องอยู่เคียงคู่กันไป
การศาสนาจำเป็นทางฝ่ายจิต
เคียงคู่กับการศึกษาซึ่งจำเป็นทางฝ่ายกาย การศึกษาต้องเป็น
การศึกษาที่ควบคุม ความฉลาดที่มาจากการศึกษาเอง
สร้างสันติสุขที่เป็นส่วนบุคคล ของสังคม
โดยการปฏิบัติให้ถูกต้องตามจริยธรรมที่เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘[๕]เพราะการปฏิบัติตนตามมรรคมีองค์ ๘ จะเป็นไป
เพื่อไปสู่อุดมคติทางการศึกษา คือ
การดับทุกข์ได้ทั้งปวงโดยสิ้นเชิง
หมดสิ้นซึ่งสัญชาตญาณอย่างสัตว์[๖]
จุดมุ่งหมายของพุทธทาสภิกขุ
จึงต้องการให้การศึกษา เป็นไปตามมรรคมีองค์แปด
จึงจะสามารถทำให้ได้การศึกษา
ที่เป็นการศึกษาเพื่อการพัฒนาให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
คือการศึกษาที่สามารถดับทุกข์ (ปัญหาอย่างละเอียดจนถึงขั้นหมดกิเลส)
แต่หากกการศึกษาไม่สามารถช่วยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็น
“การศึกษา”
๓.
สถานที่เรียนในทรรศนะพุทธทาสภิกขุ
พุทธทาสภิกขุ
ได้กล่าวถึงสถานที่เรียนว่า
สถานที่เรียนนั้นไม่จำเป็นต้องไปหาที่อื่นหรือแสวงหาที่อื่น แต่
โรงเรียน คือร่างกายของคนเรา
ในร่างกายอันยาววาหนึ่งที่มีพร้อมทั้งสัญญาและใจ[๗]
เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สามารถช่วยให้พ้นทุกข์ได้และเป็นที่สุดของการศึกษาที่มนุษย์สามารถพัฒนาได้
แต่ขณะเดียวกันการศึกษาต้องมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมหรือสถานที่
ที่เอื้อต่อการเรียนรู้
ถ้าจะมีก็ควรมีจัดเฉพาะให้ได้บรรยากาศที่เหมาะสม
จะได้ผลดีกว่าในห้องเรียน มีการเรียนในห้องเรียนรวมขนาดใหญ่
การสร้างบรรยากาศเพื่อให้ได้ความศักดิ์สิทธิ์ เช่นใน อุโบสถ
วิหาร สถานที่ต่างๆ[๘]
ท่านพุทธทาสภิกขุ
เห็นว่าการศึกษาต้องเข้าใจในสิ่งที่ใกล้ๆ ตัว ของผู้เรียนก่อน
จะเป็นการศึกษาที่สอดคล้องกับชีวิต ใกล้ชิด เป็นธรรมชาติมากกว่า
การให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ห่างหรือไกลออกไป
การศึกษาอาจทำให้เสียเวลาไปการแสวงหาสิ่งที่มิใช่ประโยชน์
เอาการศึกษาไปเป็นการเพิ่มตัวตน ให้ยึดติดมากขึ้น การศึกษาจึงต้องเป็น
การถอนความยึดถือติดแน่น ในลัทธิและนิกาย นั้น
ย่อมหมายถึงการไม่ยึดในบุคคลหรือวัตถุภายนอกอื่นๆ[๙]
พุทธทาสภิกขุ ให้ความเห็นว่า
การยึดมั่นในสิ่งใดก็แล้วแต่ไม่ดีทั้งนั้น แม้แต่
การให้ความสำคัญกับการเรียนรู้หรือศึกษา
ทำความเข้าใจในร่างกายก็เพื่อให้เกิด การมองอย่างเข้าใจชีวิต
หรือคิดอย่างลึกซึ้งว่าชีวิต
หรือร่างกายของคนเรานั้นเป็นเพียงการอิงอาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น
เปรียบกับการศึกษาก็ไม่ควรไปเสียเวลากับสิ่งอื่นๆ
เพราะอาจจะทำให้ชีวิตไม่ได้รับประโยชน์สูงสุดในการได้เกิดมาเป็นมนุษย์
๔.ผู้สอนหรือครูในทรรศนะพุทธทาสภิกขุ
พุทธทาสภิกขุ ได้ให้ความหมาย คำว่า
ครู ว่า ตรงกับคำว่าครุแปลว่าหนัก หมายถึง
ผู้ที่ทุกคนจะต้องสนใจด้วยความเคารพ
บุคคลที่ทุกคนต้องให้ความเคารพและท่านกล่าวว่ายังมีนักภาษาศาสตร์ได้ให้ความหมายว่า
เปิดประตู กิริยาที่เปิดประตูเรียกว่าครู จึงบัญญัติใหม่ว่า
ครู คือผู้เปิดประตู
หมายถึงเปิดประตูฝ่ายจิตใจฝ่ายวิญญาณ
จึงมีความหมายเป็นผู้ปลดปล่อย โดยอรรถ ครู
คือผู้แสดงโลกใหม่แก่กุลบุตร โดยอุดมคติ ครูเป็นดวงประทีปของโลก
การสอนเป็นหน้าที่ของครู[๑๐]
พุทธทาสภิกขุ เห็นว่า
“ครูที่แท้จริงเป็นปูชนียบุคคล ด้วยการนำทางจิตวิญญาณ
เปิดประตูคุกแห่งอวิชชา ให้สัตว์ออกมาเสียจากความโง่เขลา
ทำงานเพื่อช่วยโลก เพื่อยกโลก เพื่อสร้างโลก
ไม่ได้ทำงานเพื่อเงินเดือน จึงเป็นครู[๑๑]ซึ่งการเป็นครู
หรือผู้สอนไม่เพียงแต่หมายถึงผู้ที่มีอาชีพเป็นครู เท่านั้น
แต่ทุกคนสามารถเป็นครูได้
ซึ่งครูที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดก็คือ พ่อแม่
พ่อแม่ก็เป็นพระพรหมของลูก เป็นอาจารย์คนแรกของลูก
เป็นพระอรหันต์ของลูก[๑๒]
พ่อแม่จึงเป็นครูที่มีอิทธิพลต่อคนทุกคน หรือผู้เรียนทุกคน
หากผู้เรียนเป็นคนไม่ดื้อ
เชื่อฟังพ่อแม่ก็สามารถบรรลุผลสูงสุดได้
พุทธทาสภิกขุ เรียกผู้สอนว่า “ครู”
ซึ่งคำว่าครูเป็นคำที่สื่อความถึงผู้ประเสริฐ
เป็นคำทางพุทธศาสนาที่สื่อถึง ปูชนียบุคคล
ที่ควรแก่การกราบไหว้หรือบูชา คำว่าครู
เป็นการสื่อถึงการมีวิชาและความความประพฤติที่ดีงามควบคู่กัน
เรียกว่ามีความความทั้งทางกายและจิตใจ
ผู้สอนในทรรศนะของพุทธทาสจึงเป็นไปได้ทุกคน โดยเฉพาะพ่อแม่
ซึ่งพุทธทาสท่าน
เห็นว่าเป็นบุคคลที่สามารถสอนได้ดีกว่าผู้อื่นเพราะอยู่ใกล้ชิดตลอดเวลา
และมีเวลาอยู่ร่วมกันมากกว่าผู้สอนในโรงเรียน
๕.
หลักสูตรการศึกษาในทรรศนะพุทธทาสภิกขุ
พุทธทาสภิกขุ
ได้กล่าวถึงหลักสูตรการศึกษาไว้ว่า
หลักสูตรต้องมีจริยธรรมควบคู่กันไป คือ
ประกอบด้วย
๑.
ลักษณะการสอนหรืออบรมความรู้วิทยาการ
ครูอาจารย์ทั้งหลายควรจะสอนในลักษณะการอบรมให้สัมฤทธิ์ผลทางจิตใจ
๒. การสอนวิชาธรรมโดยตรง
จะต้องสอนเนื้อหาความรู้ประมาณ ๘๐ %
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดมีการเปลี่ยนแปลงทางจิต
๓.
การสอนต้องทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจแจ่มแจ้ง
แทงตลอดมีความเข้าใจตามผู้สอนด้วยการฟังตาม
มีความคิดเห็นคล้อยตามความเป็นจริง
๔.
การสอนคุณธรรมหรือธรรมะที่เป็นหลักปฏิบัติ
จะต้องสอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๒ ชั่วโมง
จะต้องสอนให้ถูกต้องตามหลักปฏิบัติจนตาย
๕. การสอนโดยอ้อม
แต่มีผลต่อผู้เรียนมาก
โดยครูผู้สอนที่ฉลาดจะนำธรรมะเข้ามาสอดแทรกแก่ผู้เรียนได้เรียนรู้
โดยผู้เรียนไม่มีความรู้สึกว่าถูกสอน
เรียนรู้ด้วยวิธีการสังเกตพร้อมมีสติสัมปชัญญะ
๖.การสอนต้องมีการเลือกสรรธรรมะให้เหมาะสมกับวัย อายุ
ระดับการศึกษาด้วยการสอดแทรกคุณธรรมเพื่อให้ผู้เรียนมีปัญญาตรองตามได้
๗.สอนโดยผู้เรียนไม่มีความรู้สึกตัวว่าถูกกระทำ
เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสปรับปรุงแก้ไข
๘.การสอนนอกสถานที่ อาศัยการศึกษาเรียนรู้จากสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
๙.
การศึกษาเรียนรู้พิธีกรรมทางศาสนา
เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักพิธีกรรม ประเพณีอย่างถูกต้อง
๑๐.
การศึกษาเพื่อควบคุมตนในการดำเนินชีวิตประจำวันที่ถูกต้อง
ทุกลมหายใจเข้าออกหรือทุกอิริยาบถ
๑๑.
การศึกษาต้องมีการบังคับในสิ่งที่ควรบังคับ
เพราะการศึกษาที่มุ่งแต่จะปล่อยเสรีทำให้ขาดความสมดุล
๑๒.
ปัญหาปลีกย่อยของการศึกษาโดยเฉพาะการสอนวิชาพระพุทธศาสนาใน
มหาวิทยาลัยเมื่อไม่สามารถจัดตั้งเป็นคณะได้
ก็ควรจัดตั้งในรูปแบบของคณะกรรมการควบคุมให้เหมาะสม[๑๓]
พุทธทาสภิกขุชี้ให้เห็นได้ว่า
หลักสูตรการศึกษาต้องมีลักษณะที่สำคัญคือ ต้องมีการสอนคุณธรรม
ให้เหมาะกับวัยของแต่ละบุคคล
และให้รู้จักการใช้เหตุผลให้ถูกต้อง
ไม่สุดโต่งเกินไปเพราะการสอนคุณธรรมที่เหมาะแก่วัย
จะเป็นการทำให้เกิดความสมดุลในการดำรงชีวิต และการพัฒนา
ซึ่งต้องสอนให้เดินสายกลางรู้จักช่วยตัวเอง รู้จักกฎแห่งเหตุผล
และปัจจัยปรุงแต่ง จะต้องสอนจัดการที่เหตุให้ถูกต้อง
จึงจะได้รับผลที่เราต้องการ[๑๔]
๖.
การเรียนการสอนในทรรศนะพุทธทาสภิกขุ
พุทธทาสภิกขุ
ได้กล่าวถึงการเรียนการสอนว่า
การสอนก็ต้องเป็นไปตามหลักไตรสิกขา
สิ่งที่ได้คือการสิ้นราคะ โทสะ และโมหะ เป็นการรับ
“ปริญญา[๑๕]
ปริญญาที่แท้จริงเป็นไปเพื่อการดับทุกอย่างเดียว
หากไม่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ก็ไม่ชื่อว่าเป็นการศึกษาและยิ่งการเรียนการสอนที่ผู้สอนไม่ได้มีสิ่งแปลกใหม่ในการสอนก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อการเรียนการสอนระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนด้วย
ครูอาจารย์สอนอะไรก็ตามให้รู้ว่านี่เป็นของใหม่
ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ถ้าเรียกความสนใจในความเป็นของแปลกของใหม่น่าอัศจรรย์ได้ละก็จะประสบสำเร็จในการสอน
ผู้เรียนก็สนุก การศึกษาก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ[๑๖]การเรียนการสอนจึงจะประสบผลสำเร็จได้อย่างลุล่วง
ไม่เพียงแต่ผู้เรียนเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์
ผู้สอนก็จะต้องศึกษาค้นคว้า
ขณะเดียวกันก็ต้องมีการปฏิบัติเพื่อเป็นแบบอย่างแก่ผู้เรียนด้วย
เพื่อน้อมศรัทธาให้เกิดต่อผู้เรียน
ก่อให้การเรียนการสอนที่อำนวยประโยชน์ทั้งผู้เรียนและผู้สอนทั้งในปัจจุบันและภายภาคหน้าต่อไปด้วย
การเรียนการสอนพุทธทาสภิกขุเห็นว่าต้องเป็นไปตามสภาพธรรมชาติซึ่งเกิดจากการร่วมมือกันระหว่างกันครูกับนักเรียนจึงจะสามารถทำให้การเรียนเกิดประโยชน์สูงสุดและต้องสอนสิ่งที่ผู้เรียนไม่เคยรู้ไม่เคยได้รับฟังหรือได้ยินมาก่อนก็จะเป็นการเร้าให้ผู้เรียนสนใจอยากจะรู้
อยากจะเรียนมากขึ้น
๗.
การจัดการศึกษาในทรรศนะพุทธทาสภิกขุ
พุทธทาสภิกขุ
ได้กล่าวเปรียบการศึกษา หรือชีวิตของคน ไว้เหมือนกับวัว
ไว้ว่า ชีวิตต้องเทียมด้วยวัวสองตัวคือตัวหนึ่งรู้ตัวเป็น Spiritual
Enlightenment และอีกตัวหนึ่งคือกำลัง เป็นการทำมาหากิน
การใช้เทคโนโลยีและชีวิตของคนก็ไม่ควรที่จะเอาเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งควรที่จะมีชีวิตที่บรรลุ
มรรค ผล นิพพาน[๑๗]
ดังนั้นการจัดการศึกษาจะต้องมีทั้งการสอนวิชาชีพและศีลธรรมให้เป็นไปควบคู่กัน
ทิ้งหรือเอาอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ ซึ่งการศึกษาที่ผ่านมานั้น
ได้ละทิ้งหรือให้ความสำคัญในการทำมาหากินมากกว่า
การให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษาภายในคือเรื่องของชีวิตหรือจิตใจของคน
ดังนั้น
การจัดการศึกษาที่เป็นไปอย่างด้านเดียวจะเป็นการศึกษาที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อการสิ้นทุกข์
หรือการแก้ปัญหาได้อย่างลุล่วง กลับยิ่งเป็นการทำให้บุคคลไปยึดมั่น
ถือมั่นกับกิเลส หรือเป็นการมุ่งการตอบสนองความต้องการของตนอย่างเดียว
โดยขาดจิตสำนึกเพื่อสังคม
โดยขาดการพยามที่จะเรียนรู้ถึงความเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐว่าสามารถฝึกฝนและอบรมตนได้เป็นยิ่งกว่า
ที่มนุษย์คิดได้อีก คือเป็นพระอรหันต์
เมตตาธรรม
[๑] พุทธทาสภิกขุ,
การศึกษาที่สามารถกำจัดความเห็นแก่ตัว, (กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์ธรรมบูชา, ๒๕๓๒), หน้า ๑๐-๑๒.
[๒] พุทธทาสภิกขุ,
การศึกษาคืออะไร?, (กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์ธรรมบูชา, ม.ป.ป), หน้า ๑๙๙-๑๒๐.
[๓] พุทธทาสภิกขุ,
ครูคือดวงประทีปของโลก,
ที่ระลึกในงานเกษียณอายุราชการของ อาจารย์ เบญจะ
เจริญผล,โรงเรียนชลกันยานุกูล จังหวัดชลบุรี กันยายน ๒๕๓๔, หน้า
๑๙.
[๔] พุทธทาสภิกขุ,
การศึกษาที่สามารถกำจัดความเห็นแก่ตัว, (กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์ธรรมบูชา, ๒๕๓๒), หน้า ๑๔-๒๑.
[๕] พุทธทาสภิกขุ,
เป้าหมายของชีวิตและสังคม, (กรุงเทพฯ :
สมชายการพิมพ์, ๒๕๒๙), หน้า ๓๔-๓๖.
[๖] พุทธทาสภิกขุ,
การศึกษาคืออะไร?, หน้า ๔๒-๔๓.
[๗] พุทธทาสภิกขุ,
หลักธรรมกับนักศึกษา, (กรุงเทพฯ : สมชายการพิมพ์, ๒๕๑๔),
หน้า ๑๕.
[๘] พุทธทาสภิกขุ,
การศึกษากับศีลธรรม, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, ๒๕๔๙),
หน้า ๑๘๐.
[๙]
พุทธทาสภิกขุ, ชุมนุมปาฐกถาชุด
พุทธธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, ๒๕๔๘), หน้า ๕๙.
[๑๐] พุทธทาสภิกขุ,
ครูคือดวงประทีปของโลก, หน้า ๒-๑๒.
[๑๑] พุทธทาสภิกขุ,
การศึกษาที่สามารถกำจัดความเห็นแก่ตัว, (กรุงเทพฯ
: สำนักพิมพ์ธรรมบูชา, ๒๕๓๒), หน้า ๑๒.
[๑๒]
พุทธทาสภิกขุ, อุดมคติแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง,
(กรุงเทพฯ : เจริญรัฐการพิมพ์, ๒๕๓๓), หน้า ๔๘.
[๑๓]
กลุ่มศึกษาพุทธศาสตร์และประเพณี,
รวมปาฐกถาพระราชชัยกวี(พุทธทาสภิกขุ), (กรุงเทพฯ
: โรงพิมพ์การศาสนา, ๒๕๒๕), หน้า ๑๔-๒๓.
[๑๔] พุทธทาสภิกขุ,
หลักธรรมสำหรับนักศึกษา, หน้า ๙.
[๑๕]
พุทธทาสภิกขุ,
การศึกษาและการรับปริญญาในพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพฯ :
หจก.ภาพพิมพ์, ม.ป.ป), หน้า ๑.
[๑๖]
พุทธทาสภิกขุ, ครูคือดวงประทีปของโลก, หน้า
๑๘.
[๑๗] พุทธทาส,
การศึกษาคืออะไร, หน้า ๑๓.