ประวัติศาสตร์ว่าด้วยกฎหมายการลงทุนของคนต่างด้าวในประเทศไทย
ในอดีตประเทศไทยมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศโดยการส่งสินค้าออกไปจำหน่าย
และขณะเดียวกันก็มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย
ซึ่งรวมทั้งการที่คนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและประกอบธุรกิจในประเทศไทยด้วย
ซึ่งแต่เดิมยังมีจำนวนไม่มากนัก ปัญหาต่าง ๆ จึงไม่ค่อยเกิดขึ้น
ประเทศไทยจึงยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่ใช้ควบคุมการประกอบธุรกิจเหล่านั้น
คนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจจึงสามารถดำเนินธุรกิจได้โดยชอบโดยไม่ต้องมีการขออนุญาตจากทางราชการ
กฎหมายที่ใช้บังคับเกี่ยวกับการเข้ามาประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในขณะนั้น
คงมีเพียงกฎหมายจารีตประเพณีและหลักกฎหมายทั่วไป
ต่อมาคนต่างด้าวได้เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น
ดังนั้น ในปี พ.ศ.2515
รัฐบาลผู้บริหารประเทศมีแนวนโยบายว่าหากไม่มีการควบคุมการประกอบธุรกิจกับกลุ่มบุคคลเหล่านี้
จะเป็นการแย่งงานคนไทยและกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
ดังนั้น จึงได้มีการออกประกาศคณะปฏิวัติที่ 281
เพื่อจัดระเบียบการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
ซึ่งต่อมาแนวนโยบายแห่งรัฐทางการค้าได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่การค้าเสรีตามกรอบความตกลงการค้าเสรีขององค์การการค้าโลก
ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคี
ทำให้ประเทศไทยถูกผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามกรอบความตกลงที่ได้ทำไว้
ดังนั้น ต่อมาจึงได้มีการยกเลิก ปว.281
และได้ออกพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542
มาใช้บังคับแทน กฎหมายทั้งสองฉบับนี้
แม้จะมีวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน
แต่ในรายละเอียดของกฎหมายนั้นมีความแตกต่างกันหลายประการ เช่น
แนวความคิดของการออกกฎหมาย ความจำเป็นของการมีกฎหมาย
อันเนื่องจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ
สังคมและการเมืองทำในประเทศและระหว่างต่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมแห่งการค้าเสรีมากขึ้น
ทำให้ประเทศไทยถูกผูกพันจากพันธะกรณีจากสนธิสัญญาระหว่างประเทศต่างๆ
ทั้งแบบทวิภาคีและพหุภาคี
ในการศึกษาเรื่อง
“ประวัติศาสตร์ว่าด้วยกฎหมายการลงทุนของคนต่างด้าวในประเทศไทยนั้น
จึงกำหนดขอบเขตของการศึกษาลักษณะและสาระสำคัญของตัวกฎหมายแต่ละฉบับ
โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบจากกฎหมายปว. 281 และพ.ร.บ
การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวพ.ศ. 2542 เป็นหลัก ทั้งนี้
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความเข้าใจสถานะภาพของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
ว่ามีอยู่อย่างไร
และในอนาคตอาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายดังกล่าวอย่างไร
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและผู้ที่สนใจในการประกอบธุรกิจร่วมกับคนต่างด้าว
ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยมากขึ้น
อันเป็นผลจากที่ประเทศไทยได้มีการเจรจากับนานาประเทศเพื่อเปิดเสรีทางการค้า
การศึกษาจะเริ่มจาก ปว.281 และ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
พ.ศ. 2542 เหตุผลของการมีและบังคับใช้กฎหมาย
คำนิยามของคนต่างด้าว ประเภทธุรกิจ เงินที่นำเข้ามาลงทุน
การสนับสนุนให้คนไทยได้มีส่วนร่วมในการลงทุน
การถ่ายทอดเทคโนโลยี
ต่อจากนั้นจะศึกษาถึงกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวที่ได้เข้าเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตาม
I. ปว. 281 กับ
พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542
1.
เหตุผลของการมีและบังคับใช้กฎหมาย
ปว.281
กฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นมาเพื่อรักษาดุลยอำนาจทางการค้าและเศรษฐกิจของประเทศ
(ดูจากบทนำปว. 281) เพราะแต่เดิมก่อนปี 2515
ประเทศไทยไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรควบคุมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวไว้เป็นการเฉพาะ
รัฐบาลสมัยนั้นซึ่งเป็นทหารและได้อำนาจมาโดยวิธีทำรัฐประหาร
จึงมีแนวความคิดว่า
หากปล่อยให้ต่างด้าวเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจมากๆจะเป็นการแย่งงานของคนไทย
จึงได้ออกกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมา
โดยกำหนดประเภทธุรกิจบางประเภทเพื่อสงวนให้คนไทย
และห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาประกอบธุรกิจที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
พ.ร.บ ปี 2542
เหตุแห่งการยกเลิก ปว. 281
เพราะเป็นกฎหมายที่ออกมาบังคับใช้มาเป็นเวลานาน
และมีหลักบางประการที่ไม่สอดคล้องกับสภาวะทางด้านเศรษฐกิจ สังคม
การเมือง การค้าและการลงทุนในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การค้าระหว่างประเทศ
อีกทั้งการที่รัฐมีนโยบายส่งเสริมให้เอกชนมีการแข่งขันอย่างเสรีในการประกอบธุรกิจทั้งประเทศและระหว่างประเทศ
เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีจากสนธิสัญญาระหว่างประเทศ เช่น
องค์การการค้าโลก (WTO),
การเจรจาทวิภาคีในการเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ (FTA)
(ที่มาจากหมายเหตุท้ายพ.ร.บ. ปี 2542)
นอกจากนั้น บทบัญญัติของปว. 281
ยังมีช่องว่างบางประการที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการค้าแบบเสรีในปัจจุบัน
และไม่เอื้อประโยชน์กับคนไทย เช่นในเรื่องเงินทุน
ไม่มีกฎระเบียบบังคับให้คนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจต้องนำเงินลงทุนมาจากต่างประเทศ
ไม่มีบทบังคับให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี
การให้สิทธิพิเศษตามสนธิสัญญาที่ไทยทำไว้กับต่างประเทศแต่ฝ่ายเดียว
แต่คนไทยกับไม่ได้รับประโยชน์จากหลักต่างตอบแทนทำให้ต้องมีการออกพ.ร.บ.
ปี 2542 นี้ขึ้นมา
2.
คำนิยามของคนต่างด้าว
จากปว. 281 ข้อ
3 กำหนดไว้ว่าคนต่างด้าวหมายถึง
บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
และให้รวมถึงนิติบุคคลในประเทศไทย ซึ่งมีคนต่างด้าวลงทุนร้อยละ
50 หุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นจำนวนครึ่งหนึ่งเป็นคนต่างด้าว
ห้างหุ้นส่วนที่มีหุ้นส่วนผู้จัดการหรือผู้จัดการเป็นคนต่างด้าว
พ.รบ. ปี 42 มาตรา 4
ได้กำหนดนิยามของคนต่างด้าวไว้คล้ายกับที่กำหนดไว้ในปว. 281
แต่จะตัดเรื่องการมีหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นจำนวนครึ่งหนึ่ง
โดยกำหนดว่าบุคคลเหล่านี้ถือว่าเป็นคนต่างด้าว
(1) บุคคลธรรมดา ซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
(2) นิติบุคคลซึ่งไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย
(3)
นิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทยที่มีทุนตั้งแต่กึ่งหนึ่งเป็นของบุคคลหรือนิติบุคคล
ตาม (1) หรือ (2)
(4)
นิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยที่มีทุนตั้งแต่กึ่งหนึ่งเป็นของ (1)
, (2) หรือ (3)
3. ประเภทธุรกิจ
ตามปว. 281
กำหนดบัญชีในการสงวนอาชีพหรือธุรกิจออกเป็น 3 บัญชี
โดยอาชีพที่ปรากฏอยู่ในบัญชี.ก และข
นั้นจะห้ามคนต่างด้าวเข้าประกอบธุรกิจโดยเด็ดขาด
เว้นเสียแต่ว่าจะมีพระราชกฤษฎีกาออกมาอนุญาต
ซึ่งอาชีพเหล่านั้นได้แก่ การประกอบธุรกิจทางการเกษตร
การประกอบธุรกิจทางพาณิชย์ในด้านการค้า
ผลผลิตทางการเกษตรสินค้าพื้นเมือง การค้าที่ดิน การประกอบวิชาชีพอิสระ
เช่น แพทย์ กฎหมาย การประกอบธุรกิจอื่นๆ
โดยเฉพาะด้านการก่อสร้างเป็นต้น ส่วนธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชี.ค นั้น
รัฐเปิดโอกาสให้คนต่างด้าวเข้ามาทำได้แต่ต้องขออนุญาตจากอธิบดีกรมทะเบียนการค้า
พ.ร.บ. ปี 42
ตามาตรา 8 ได้กำหนดบัญชีในการสงวนอาชีพหรือธุรกิจออกเป็น 3 บัญชี
เป็นต้น แต่จะเรียกเป็นบัญชี 1-3 โดย
บัญชี 1
กำหนดธุรกิจที่ห้ามมิให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจ
เพราะมีเหตุผลพิเศษที่ต้องการสงวนไว้ให้คนไทย
บัญชี 2
ธุรกิจที่เกี่ยวกับความปลอดภัยหรือความมั่นคงของประเทศหรือมีผลกระทบต่อศิลปวัฒนธรรม
จารีตประเพณี หัตถกรรมพื้นบ้าน หรือทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ธุรกิจตามบัญชีสองนี้
คนต่างด้าวจะประกอบธุรกิจได้เมื่อได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์
โดยอนุมัติของคณะรัฐมนตรี
บัญชี 3
ธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันในการประกอบกิจการกับคนต่างด้าว
ธุรกิจตามบัญชีนี้
คนต่างด้าวจะสามารถประกอบธุรกิจได้เมื่อได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมทะเบียนการค้าโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
ตามบัญชีที่ 3 นี้เปิดโอกาสให้ชาวต่างด้าวได้เข้ามาทำธุรกิจ
ซึ่งแต่เดิมไม่เคยอนุญาตให้ทำ เช่น การบริการทางบัญชี บริการทางกฎหมาย
บริการสถาปัตยกรรม โดยธุรกิจเหล่านี้ แต่เดิมจัดอยู่ในบัญชี.ก ของปว.
281 ซึ่งก็เป็นธุรกิจที่ต้องห้ามโดยเด็ดขาด
4.
การส่งเสริมและบังคับให้มีการนำเงินลงทุนเข้ามาจากต่างประเทศ
ปว. 281 ข้อ
8(2)
มีขอบเขตควบคุมเฉพาะคนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจซึ่งสงวนตามบัญชีเท่านั้น
ส่วนธุรกิจอื่นๆที่อยู่นอกเหนือบัญชี คนต่างด้าวสามารถถือหุ้นได้ 100%
และประกอบธุรกิจได้โดยอิสระโดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายฉบับนี้
ส่วนเงื่อนไขของคนต่างด้าวที่จะต้องปฏิบัติก็คือการนำเงินตราจากต่างประเทศเข้ามาใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ
ได้แก่ ธุรกิจประเภท สำนักงานผู้แทน สำนักงานภูมิภาค
ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่สามารถสร้างรายได้ในประเทศ
(ข้อมูลจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอตั้งสำนักงานผู้แทนของนิติบุคคลต่างประเทศในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
พ.ศ. 2539)
พ.ร.บ.ปี 42 มาตรา
14
มีการกำหนดให้ชาวต่างด้าวต้องนำเงินตราจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจในทำนองเดียวกับปว.
281
แต่จะเพิ่มในเรื่องของทุนขั้นต่ำที่บังคับให้ต้องเป็นเงินลงทุนจากต่างประเทศเพื่อใช้เป็นเงินลงทุน
โดยมีขอบเขตครอบคลุมถึงการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวทุกประเภทที่อยูในบัญชีควบคุม
ผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจต้องมีทุนขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 25%
ของค่าเฉลี่ยต่อปีของประมาณการรายจ่าย 3 ปี เช่น หากประมาณการรายจ่าย
3 ปีเท่ากับ 100 ล้านบาท ทุนขั้นต่ำจะเท่ากับ 25 ล้านบาท ดังนั้น
ถ้าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทยที่ทุนจดทะเบียนไม่ถึง 25
ล้านบาท ต้องเพิ่มทุนให้ถึง
5.
สนับสนุนให้คนไทยได้มีส่วนร่วมในการลงทุน
ปว. 281 ข้อ
8(3)
กำหนดอัตราส่วนเงินลงทุนของคนไทยกับคนต่างด้าวในการประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุญาต
พ.ร.บ.ปี 42 มาตรา
15 กำหนดให้คนต่างด้าวที่จะประกอบธุรกิจในบัญชี 2
จะต้องมีคนไทยร่วมลงทุนร้อยละ 40 และต้องมีกรรมการคนไทยไม่น้อยกว่า
2ใน 5 ของกรรมการทั้งหมด
6.
ส่งเสริมให้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยี
ปว. 281
ไม่ได้มีการกำหนดในเรื่องนี้ไว้
พ.ร.บ.ปี 42 มาตรา
18
กำหนดให้คนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจจะต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือมีการนำหรือเปลี่ยนเครื่องจักรสมัยใหม่มาใช้ในการประกอบธุรกิจ
คณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวจึงได้อาศัยมาตรา
5
มาเป็นเงื่อนไขและปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจในประเทศไทย
โดยกำหนดให้ต้องมีการจัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับแผนงาน รูปแบบ
และวิธีการถ่ายทอดเทคโนโลยี
โดยต้องยื่นแบบงานดังกล่าวพร้อมกับคำขออนุญาต
โดยแผนงานดงกล่างต้องประกอบด้วยสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยี
การวิจัยและพัฒนา การฝึกอบรมให้บุคคลากรในหน่ายงาน
การแต่งตั้งคนไทยปฏิบัติงานในตำแหน่งแทนคนต่างด้าว
การส่งผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาเป็นวิทยากรอบรมให้ความรู้แก่บุคคลากรในหน่วยงาน
เป็นต้น
7.
กรณีคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจภายใต้สนธิสัญญา
ปว.281
ข้อ 2
ได้กำหนดไว้ว่าจะไม่ใช้บังคับแก่คนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจในราชอาณาจักร
โดยได้รับอนุญาตจากรัฐบาลไทยเป็นการเฉพาะกาล
หรือโดยความตกลงที่รัฐบาลไทยได้กระทำกับรัฐบาลต่างประเทศ
ซึ่งในขณะนั้น หมายถึง
สนธิสัญญาทางไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2511
พ.ร.บ. ปี 2542
มาตรา 10 วรรคแรก กำหนดว่า
กฎหมายฉบับนี้จะไม่ใช้บังคับแก่คนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติฉบับนี้
โดยได้รับอนุญาตจากรัฐบาลไทยเป็นการเฉพาะกาล
วรรค 2 กำหนดว่า
คนต่างด้าวที่ประกอบธุรกิจตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้โดยสนธิสัญญาที่ประเทศไทยเป็นภาคีหรือมีความผูกพันตามพันธกรณี
ให้ได้รับการยกเว้นจากการบังคับใช้บทบัญญัติแห่งมาตราต่าง ๆ
ในกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งหมายถึง
สนธิสัญญาทางไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2511,
สนธิสัญญาที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีในองค์การการค้าโลก
(WTO)
และสามารถรวมถึงความตกลงเขตการค้าเสรีที่จะมีขึ้นในภายหน้า
II.
กฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
1.
สนธิสัญญาทางไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหรัฐอเมริกา
ลงนามเมื่อปี พ.ศ. 2509
ไทยมีการให้สัตยาบันสนธิสัญญาดังกล่าว
ณ กรุงวอชิงตัน วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2511 ซึ่งข้อ
4.1 แห่งสนธิสัญญาดังกล่าวระบุว่า “คนชาติ
และบริษัทของภาคีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะได้รับผลประโยชน์ในวิสาหกิจทุกประเภทเพื่อประกอบกิจการพาณิชย์
อุตสาหกรรม การคลัง
และธุรกิจอื่นภายในอาณาเขตของภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง”
แต่ข้อ 4.2 กำหนดไว้ว่า
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลสัญชาติอเมริกัน
ไม่มีสิทธิขอรับความคุ้มครองภายใต้สนธิสัญญาฉบับนี้เพื่อประกอบธุรกิจ
ดังต่อไปนี้
(1) การคมนาคม
(2) การขนส่ง
(3) การหน้าที่รับดูแลทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น
(4) การธนาคารที่เกี่ยวกับการหน้าที่รับฝากเงิน
(5) การแสวงหาประโยชน์จากที่ดินหรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น
(6) การค้าภายในเกี่ยวกับผลิตผลทางการเกษตรพื้นเมือง
ซึ่งต่อมาเมื่อมีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24
พฤศจิกายน 2515 กำหนดมาตรการควบคุมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
เพื่อรักษาดุลอำนาจทางการค้าและเศรษฐกิจของประเทศ
และเพื่อให้การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติที่เข้ามาประกอบธุรกิจในราชอาณาจักร
โดยได้รับอนุญาตจากรัฐบาลไทยเป็นการเฉพาะกาลหรือโดยความตกลงที่รัฐบาลไทยได้กระทำกับรัฐบาลต่างประเทศ
(ตามนัยของข้อ 2. แห่ง ปว.281)
จึงส่งผลให้คนสัญชาติหรือบริษัทอเมริกัน
มีสิทธิที่จะประกอบธุรกิจในประเทศไทย
โดยการขอรับความคุ้มครองตามสนธิสัญญา
โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
ดังนั้น
ผู้ที่ประสงค์จะขอรับความคุ้มครอง
ก็เพียงแต่ขอให้สถานเอกอัครราชฑูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
มีหนังสือถึงกรมทะเบียนการค้ารับรองว่าผู้ขอรับความคุ้มครองเป็นบุคคลสัญชาติหรือบริษัทอเมริกัน
ซึ่งมีสิทธิประกอบธุรกิจภายใต้ความคุ้มครองตามสนธิสัญญาทางไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2511 พร้อมกับให้แจ้งด้วยว่า
ประสงค์จะขอให้บุคคลสัญชาติหรือบริษัทอเมริกันนั้นประกอบธุรกิจในประเทศไทย
ก็จะได้รับความคุ้มครองตามสนธิสัญญาดังกล่าว
(ดูจากประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง
การประกอบธุรกิจภายใต้ความคุ้มครองตามสนธิสัญญาทางไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2511)
2. ความตกลงว่าด้วยเขตการค้าเสรี (FREE TRADE
AREA, FTA) ระหว่างไทยกับออสเตรเลีย
ผลจากการเจรจาตกลงเปิดการค้าเสรีส่งผลให้ประเทศไทยให้ประโยชน์แก่ออสเตรเลียมากกว่าสมาชิกอื่นๆ
ใน WTO ในการเข้ามาลงทุนได้ ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
- คนออสเตรเลีย
สามารถเข้ามาลงทุนทางตรงได้ไม่เกิน 50%
ในธุรกิจทุกประเภทที่ไม่อยู่ในบัญชี 1 และ 2
ของพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542
โดยการประกอบธุรกิจทุกประเภทดังกล่าวและการให้บริการผ่านสื่ออิเล็คทรอนิกส์
ต้องมีการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
- นอกจากนี้
ได้เปิดตลาดให้กับออสเตรเลียมากกว่าที่ให้แก่สมาชิกอื่น ๆ ใน
WTO (โดยไม่ถือว่าเป็นการขัดต่อหลัก MFN และ NT
เพราะเป็นกรณีเข้าขอยกเว้นตามมาตรา 24 ของ WTO)
โดยเปิดตลาดในบางธุรกิจที่ระบุไว้ให้คนออสเตรเลียเข้ามาถือหุ้นในองค์การธุรกิจได้ไม่เกิน
60%
แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งในไทยและมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน
(Debt to Equity ratio ) ไม่เกิน 3 ต่อ 1
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และใช้เงินลงทุนสูง
อันเป็นกิจการที่รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนอยู่แล้ว (ที่มา:
ข้อมูลเปรียบเทียบข้อตกลงการค้าเสรี US-AUSTRALIA FTA และ
THAILAND-AUSTRALIA FTA โดยทิวรัตน์ ลาภวิไล, ประภาภรณ์
เชื้อเจริญกิจ โครงการ WTO WATHCH
จับกระแสองค์การการค้าโลก
ได้รับการอุดหนุนทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย)
ธุรกิจภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย
มีทั้งหมด 18 ธุรกิจ
ซึ่งเมื่อพิจารณาประเภทธุรกิจกับบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว
พ.ศ. 2522 และจำนวนหุ้นที่คนออสเตรเลียสามารถถือได้ภายใต้ความตกลง
(หลักเกณฑ์ในการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
พ.ศ. 2542 ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์)
ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
1) สาขาบริหารธุรกิจ ได้แก่
ที่ปรึกษาด้านการจัดการทั่วไป
(เฉพาะที่จัดตั้งเป็นสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค
ให้บริษัทในเครือหรือสาขา คนออสเตรเลียถือหุ้นได้ 100%)
หอประชุมขนาดใหญ่ และศูนย์แสดงสินค้านานาชาติขนาดใหญ่
คนออสเตรเลียถือหุ้นได้ 60% โดยจัดอยู่ในบัญชีสาม (21)
การทำธุรกิจบริการ
2) สาขาบริการสื่อสาร แบ่งออกเป็น
ก) บริการที่ออสเตรเลียถือหุ้นได้ไม่เกิน 50%
ได้แก่บริการขายอุปกรณ์โทรคมนาคม
เช่าอุปกรณ์สถานีโทรคมนาคม และที่ปรึกษาด้านโทรคมนาคม
โดยจัดอยู่ในบัญชีสาม (14) ค้าปลีก
(15) ค้าส่ง
ข) บริการที่ให้ออสเตรเลียถือหุ้นได้ไม่เกิน 40%
ได้แก่
ธุรกิจสื่อสารผ่านดาวเทียมภายในประเทศผ่านจานดาวเทียมขนาดเล็ก
(Domestic Very
small Aperture Terminal)
เฉพาะที่ใช้บริการระบบเครือข่ายภายใต้
กำกับของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.)
ค)
บริการให้ออสเตรเลียถือหุ้นได้ไม่เกิน 25% ได้แก่
Database Access
Services เฉพาะที่ใช้บริการระบบเครือข่ายภายใต้กำกับของ
กทช.
3) สาขาบริการก่อสร้าง ได้แก่
บริการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคขนาดใหญ่
คนออสเตรเลียเข้ามาถือหุ้นได้ 100% โดยจัดอยู่ในบัญชีสาม (10)
การก่อสร้าง
4) สาขาบริการจัดจำหน่าย
ออสเตรเลียสามารถเข้ามาถือหุ้นได้ 100% ในบริการจัดจำหน่าย
และติดตั้งผิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโรงงานออสเตรเลียในไทย
5) สาขาบริการศึกษา
สถาบันอุดมศึกษาที่เน้นการสอนและวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิต
เทคโนโลยีชีวภาพ และเทคโนโลยีนาโน คนออสเตรเลียเข้ามาถือหุ้นได้
60% โดยจัดอยู่ในบัญชีสาม (21) การทำธุรกิจบริการ
6) สาขาบริการท่องเที่ยงและเดินทาง ได้แก่
โรงแรมหรูขนาดใหญ่และภัตตาคารเต็มรูปแบบ
คนออสเตรเลียเข้ามาถือหุ้นได้ 60%
7) สาขาบริการนันทนาการ วัฒนธรรม และกีฬา ได้แก่
สวนสาธารณ (Theme Park) และ
อุทยานสัตว์น้ำ Aquarium คนออสเตรเลียเข้ามาถือหุ้นได้
60%
8) สาขาบริการขนส่ง ได้แก่ ที่จอดเรือท่องเที่ยว
คนออสเตรเลียเข้ามาถือหุ้นได้ไม่เกิน 60%
9) สาขาการลงทุนเหมืองแร่ ได้แก่
การทำเหมืองแร่บนและในทะเล คนออสเตรียเข้ามาถือหุ้น
ได้ 60% โดยจัดอยู่ในบัญชี 2 หมวด 3(4)
การทำเหมืองแร่
จากการศึกษาเบื้องต้น
โดยวิธีการเปรียบเทียบกฎหมาย ปว.281 และ
พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ทำให้พบว่า
ประเทศไทยมีนโยบายที่จะเปิดตลาดการค้าแบบเสรีมากขึ้น
(โดยดูได้จากกฎหมายทั้งสองฉบับที่จะไม่ใช้บังคับกับคนต่างชาติที่มีสนธิสัญญาหรือความตกลงพิเศษกับไทย
และดูได้จากประเภทของธุรกิจที่เปิดกว้างมากขึ้นจากบัญชีท้ายกฎหมาย)
ทั้งนี้
สืบเนื่องจากพันธะกรณีของการที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกในองค์การระหว่างประเทศ
เช่น องค์การการค้าโลก (WTO)
ที่เน้นการลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศสมาชิกให้มากที่สุด
รวมถึงจากการที่ประเทศไทยมีการเจรจาแบบทวิภาคีกับชาติต่าง ๆ
เพื่อจัดทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA)
บรรณานุกรม
1. ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 281
2.
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอตั้งสำนักงานผู้แทนของนิติบุคคลต่างประเทศในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
พ.ศ. 2539
3. พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542
4.
สนธิสัญญาทางไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2511
5. ประกาศกรมทะเบียนการค้า เรื่อง
การประกอบธุรกิจภายใต้ความคุ้มครองตามสนธิสัญญาทางไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหรัฐอเมริกา
พ.ศ. 2511
6. ความตกลงว่าด้วยเขตการค้าเสรีระหว่างไทยกับออสเตรเลีย
7. ข้อมูลเปรียบเทียบข้อตกลงการค้าเสรี US-AUSTRALIA FTA และ
THAILAND-AUSTRALIA FTA โดยทิวารัตน์ ลาภวิไล, ประภาภรณ์
เชื้อเจริญกิจ โครงการ
WTO WATCH จับกระแสองค์การการค้าโลก
ได้รับการอุดหนุนทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
8.
หลักเกณฑ์ในการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
พ.ศ. 2542 ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย,
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
__________________________
ไม่มีความเห็น