จากการเข้าเยี่ยมชมและสัมภาษณ์
นายสถาน ตุ้มอ่อน ชาวภูไท ณ บ้านยางคำ ตำบลอุ่มเหม้า อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม
แปลงนาที่ปรับแต่งมาจากร่องน้ำเดิม
จากข้อมูลการสัมภาษณ์ นายสถาน ตุ้มอ่อน
พื้นที่ป่าโคกที่มีความสมบูรณ์ทั้งอาหารธรรมชาติและสมุนไพร
พื้นที่ป่าดงที่มีความรกทึบมีไม้เลื้อยและไม้ยืนต้นสารพัดชนิด
นายสถาน (หรือชื่อที่เรียกกันในหมู่บ้านว่า จารย์ศรี) สมรสกับนางวิไล อายุ 44 ปี มีบุตรด้วยกัน 3 คน ประกอบด้วย นายอดิศักดิ์ (กอลฺ์ฟ) อายุ 28 ปี นางสาวอรวรรณ (เป็ด หรือ น้ำหวาน) อายุ 27 ปี และพระภิกษุยุทธนา (ต๊อบ) อายุ 25 ปี ปัจจุบัน นายอดิศักดิ์ ได้กลับจากงานรับจ้างที่กรุงเทพฯ มาอยู่กับพ่อแม่ เมื่อประมาณ 1 ปีมาแล้ว ส่วนนางสาวอรวรรณ ปัจจุบันทำงานบริษัทที่กรุงเทพฯ สำหรับพระภิกษุยุทธนา จำพรรษาอยู่ที่วัดธาตุพนม ปัจจุบัน นายสถานมีวัว 3 ตัว ควาย 8 ตัว จึงทำนาโดยใช้ควายไถ แบบนาดำ เกี่ยวด้วยแรงงานในครัวเรือน จำนวนประมาณ 10 ไร่ โดยการใช้น้ำจากน้ำซับที่ไหลออกมาจากพื้นที่ป่าดงที่ฟื้นตัวจากการทำข้าวไร่ และการเก็บกักน้ำด้วยระบบเครือข่ายบ่อน้ำบนป่าโคก ในพื้นที่ประมาณ 40 ไร่
อาหารพื้นบ้านแบบภูไท
ที่ได้จากนา สวน และป่า
ในอดีต นายวาน พ่อของนายสถาน เป็นแกนนำพัฒนาชุมชนเพื่อการพึ่งตนเอง แต่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ จึงถูกจับจำคุก และเมื่อพ้นคุกออกมาจึงเข้าร่วมการสู้รบกับทหารป่า และเสียชีวิตในป่า ทำให้นายสถาน อยู่อาศัยกับแม่ในหมู่บ้าน ที่เป็นแนวร่วมของทหารป่า และมีผู้ร่วมสู้รบจำนวนมากมายในปัจจุบันกลายเป็นกลุ่มที่ทำงานร่วมกันด้านการพัฒนาชุมชน การดำรงชีวิต และทรัพยากรธรรมชาติ ในฐานะผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ภายใต้นโยบาย 25/23 สมัยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งอภัยโทษให้กับผู้ที่มอบตัวและวางอาวุธทุกคน ให้กลับมาทำมาหากินในพื้นที่ของตนเอง โดยนายสถานก็ได้มาดูแลและพัฒนาในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งได้รับมรดกจาก นางขัน ตุ้มอ่อน
พื้นที่ทำกินประมาณ 80 ไร่นั้น เดิมเป็นพื้นที่ป่าดง ประมาณ 20 ไร่ ทางด้านทิศตะวันตก และป่าโคก ประมาณ 40 ไร่ทางด้านทิศตะวันออก เป็นที่ทำมาหากินแปลงหนึ่งของนายวาน ก่อนจะยกให้นายสถาน ปัจจุบันนายสถาน ได้แบ่งพื้นที่ดังกล่าวออกเป็น 3 แปลง ให้กับลูก 3 คน ๆ ละประมาณ 22 ไร่ครึ่ง ยังเหลือส่วนที่เป็นนาที่ยังไม่ได้ยกให้ใคร ลูกคนที่กลับมารับมรดกแล้ว คือ นายอดิศักดิ์ ตุ้มอ่อน และคาดว่า พระภิกษุยุทธนา กำลังจะลาสิกขาบท มาประกอบอาชีพอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับมรดก ในเวลาไม่กี่ปีต่อจากนี้
แปลงผักสวนครัวปลอกสารพิษ ที่ปลูกหมุนเวียนตลอดปี
การทำมาหากินของครอบครัวนี้
นาข้าวปลอดสารพิษ ได้รับปุ๋ยธรรมชาติจากใบไม้ในป่าดงและป่าโคก
การดำเนินการชองนายสถาน
ผมจึงขออนุญาตขนานนามสถานที่นี้ว่า
วิมาน สถาน จารย์ศรี วิไล
จากความสมบูรณ์แบบ วิมาน
อนุสรณ์แด่
เหมือนได้เข้าไปนั่งรับประทานอาหารชาวภูไทด้วยครับอาจารย์
อร่อย บวก คุณภาพ จากธรรมชาติแท้ๆ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมเลยละครับ
มาเรียนรู้แบบธรรมชาติ
แบบนี้ถึงจะเรียกว่าปลอดโดยแท้
ปลอดสารพิษ
ปลอดภัย
ปลอดโรค
และปลอดจากการซื้อ
ชอบค่ะ
ขอบคุณครับ สำหรับแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดความฮึกเหิม
Very beautiful name for a paradise in Isan.
I have been working toward that sort of paradise for some time now.
My achievement is not half as much as วิมาน สถาน จารย์ศรี วิไล.
But I enjoy my journey as well -- and even thought what would I do if I got there?
[My aim is (in modern terms) to create a web of relations that also supports my family. I think จารย์ศรี and วิไล also have the same aim in any language.]
You are right (in your recent blogs), these people are good news for Thailand.
They deserve recognotion.
They deserve medals for Community Leaders of Thailand.
(I would even say that they deserve recognition for their work much more than our first female prime minister.]
เห็นด้วยอย่างยิ่งคร้าบบบบบบบบ!!!!!!!
เป็นเรื่องของธรรมชาติและมนุษย์ต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน https://www.facebook.com/kasetkittisak