เมื่อไหร่จะเลิกเห่อเรียนภาษาอังกฤษกันเสียที


เราเชื่อกันมาจนทุกวันนี้ว่า ถ้าประชาชนคนไทยรู้ภาษาอังกฤษมากๆแล้วจะทำให้ชาติเจริญ แต่ผมขอแย้งว่า ไม่แน่ อาจทำให้ชาติด้อยพัฒนามากยิ่งขึ้นเสียอีก เพราะ...

 รมว.ศึกษาทุกคน นักวางนโยบายการศึกษาทุกท่าน ต่างพูดกรอกหูเราคนไทยมาตลอดว่า การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญ  ต่างก็จะวางนโยบายให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง นัยว่าเพื่อทำให้ประเทศไทย “แข่งขันได้ในเวทีโลก”  บทความนี้จะให้เหตุผลค้านว่า “ไม่น่าใช่”  และจะสรุปในที่สุดว่าประเทศไทยไม่ควรเรียนภาษาอังกฤษในระดับการศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญาโท แต่ในระดับปริญญาโทเอกนั้นให้สอนเป็นภาษาอังกฤษไปเลย

           

เราเชื่อกันมาจนทุกวันนี้ว่า ถ้าประชาชนคนไทยรู้ภาษาอังกฤษมากๆแล้วจะทำให้ชาติเจริญ แต่ผมขอแย้งว่า ไม่แน่ อาจทำให้ชาติด้อยพัฒนามากยิ่งขึ้นเสียอีก เพราะ...

 

            หนึ่ง ทำให้นักเรียนของเราต้องเจียดเวลาไปเรียนภาษาอังกฤษถึง 10% ของเวลาเรียนทั้งหมด จึงเท่ากับว่าในการเรียน ป1. ถึง จบป.ตรี นั้น เราใช้เวลาเรียนอังกฤษไปถึง 1.6 ปี  ...ถ้าเอาเวลาที่หายไปนี้มาเรียนวิทยาศาสตร์เพิ่ม ชาติเราจะมิเจริญกว่านี้หรอกหรือ  จะไม่แข่งขันได้ในเวทีโลกมากกว่านี้ดอกหรือ  เท่ากับว่านศ.ป.ตรีของเราจะได้วุฒิวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตแถมเพิ่มกันทุกคน

 

สอง นอกจากเวลาที่เสียไปแล้ว เราต้องเสียเงินมหาศาลในการเรียนภาษาอังกฤษ ปัจจุบันนี้ประมาณการได้ว่า รัฐใช้งบลงทุนเพื่อสอนภาษาอังกฤษปีละ 3 หมื่นล้านบาท (คิดจาก 10% ของงบประมาณการศึกษา) และนับวันจะมากยิ่งขึ้น เงินนี้อาจเอาไปทำอะไรที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาชาติได้มากกว่านี้ได้มากมายทีเดียว เช่นเอาไปลงทุนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เท่าเทียมกันทั่วประเทศ  ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศ

 

             ทำไม?..คนญี่ปุ่น เกาหลี อ่อนภาษาอังกฤษกว่าคนไทยหลายขุม เช่นโปรเฟสเซอร์ญี่ปุ่นนับสิบคนที่ผมคุยด้วยในชีวิตนี้ ไม่มีสักคนที่พูดอังกฤษได้ดีเท่าค่าเฉลี่ยของนศ.ระดับโท-เอกของผม (ที่เรียนในเมืองไทย) แต่ทำไมประเทศเขาเจริญจกว่าไทยหลายขุม

 

และทำไม? คน อินเดีย ไนจีเรีย ฟิลิปินส์ เก่งภาษาอังกฤษกว่าเราหลายขุม แต่ก็ไม่เห็นว่าประเทศจะพัฒนาก้าวหน้าไปได้ถึงไหน

 

ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลชี้ให้เห็นว่าการเก่งภาษาอังกฤษมากไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความเจริญของชาติตามที่ผู้วางนโยบายการศึกษาของประเทศเราหลงเชื่อกันมานานนักหนาแล้ว           

             

แท้จริงแล้ว คนไทยเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ เช่น พวกพ่อค้าที่ติดต่อค้าขายกับพวกฝรั่ง พวกมัคคุเทศน์นำเที่ยว นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยระดับสูง  หรือนักการทูตที่ต้องเจรจาความเมืองกับฝรั่ง แต่ทำไมรัฐถึงต้องลงทุนแบบหว่านแหให้คนไทยทุกคนในประเทศเรียนภาษาอังกฤษ  ที่จบมาก็พูดได้เพียงเยส โน โคล่า กุชชี วิตอง สองสามคำเท่านี้

 

            นักวางนโยบายระดับชาติอีกพวกมักชอบกล่าวว่าถ้าคนไทยไม่รู้ภาษาอังกฤษดี พวกฝรั่งจะไม่มาลงทุน ถามว่า..ก็แล้วทำไมพวกเขาถึงไปลงทุนในประเทศจีนและเวียตนามเล่า ทั้งที่คนจีนและคนเวียตนามไม่ประสาภาษาอังกฤษยิ่งกว่าคนไทยหลายเท่า ...แม้แต่คนระดับอธิการบดีมหาวิทยาลัยของจีนก็ยังต้องให้ล่ามแปลภาษาอังกฤษของคนไทยเป็นภาษาจีนเมื่อคราวเดินทางมาเจรจาวิชาการกับอธิการบดีของมหาวิทยาลัยไทย ส่วนอธิการบดีไทย ใช้อังกฤษกันปร๋อทุกคน

 

และก็แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่แห่กันไปลงทุนในอินเดีย ฟิลิปปินส์ ไนจีเรีย ทั้งที่ประชาชนพูดอังกฤษกันไฟแลบเกือบทุกคนนะนายจ๋า คิดไปมาก็น่าคิดออกว่า นายฝรั่งเขาไม่ได้พูดอังกฤษกับคนงานสักหน่อย เขาก็เพียงพูดเชิงนโยบายผ่านผจก. คนไทยเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง และนั่นคือเหตุผลทำไมญี่ปุ่นมาลงทุนในไทยมากทั้งที่คนไทยส่วนใหญ่พูดญี่ปุ่นไม่เป็น และคนญี่ปุ่นก็พูดไทยหรืออังกฤษไม่ได้ดีอีกด้วย

 

เมื่อประมาณ พศ. ๒๕๔๕ รมว. กระทรวงแรงงานท่านหนึ่ง จบโทมาจากนอกเสียด้วย  ประกาศว่าจะต้องเร่งการสอนอังกฤษให้คนไทยให้มากกว่านี้เพราะขณะนี้ถูกฟิลิปินส์แย่งงานแม่บ้านที่ฮ่องกงไปหมดแล้ว  โอว..คนระดับเสนาบดีของเรามีวิสัยทัศน์แค่นี้เอง คิดไปได้ว่างานดีๆคืองานที่ใช้ภาษาอังกฤษ แม้ต้องไปเป็นคนใช้เขาก็ตาม มีเสนาบดีแบบนี้อนาคตชาติไทยของผมมันจะมีอะไรเหลือนอกจากเศษขนมปังหล่นๆที่พวกเขาโยนให้

 

ดังนั้นผมเสนอว่าถ้าอยากให้ไทยสู้เขาได้ในเวทีโลก  ประถม มัธยม ปริญญาตรี ต้องไม่เสียเวลาเรียนอังกฤษ  แต่การเรียนในระดับโท-เอก นั้นไม่ใช่แค่เรียน แต่ให้สอนเป็นภาษาอังกฤษไปเลย โดยต้องมีการสอบผ่านภาษาอังกฤษให้ได้ระดับเสียก่อน (เช่น Toeic)  ถ้าทำได้แบบนี้จะเป็นการหว่านแหตรงจุดที่ปลาชุม เพราะปลาโทเอกนี่แหละที่จะเป็นผู้กุมชะตาชาติต่อไปในอนาคต ต้องเป็นผู้แทนไปเจรจาความกับพวกต่างชาติทั้งหลาย ก็เอาให้มันเก่งอังกฤษเป็นเทพไปเลย

 

 เรื่องภาษานี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ผมขอวิงวอนให้ท่านรมว. ท่านนักการศึกษา ทั้งหลายตรึกตรองให้หนัก ก่อนจะวางนโยบายให้เป็นภาษาที่สอง  เพราะภาษานั้นถือเป็น “วัฒนธรรม” ที่สำคัญที่สุดของประเทศ  ซึ่งในขณะนี้คนไทยเราไม่มีวัฒนธรรมอะไรเหลือแล้ว ไม่ว่าการแต่งกาย พฤติกรรมสังคม การกิน การนอน บ้านช่องห้องหอ รวมถึงยิ้มสยามก็หดหายไปหมดแล้ว ยังเหลืออยู่ก็แต่ภาษาไทยนี่แหละ

 

คนไทยเราวันนี้จำนวนมาก พูดภาษาไทยยังฟังกันไม่รู้เรื่อง แล้วแค่นจะไปเรียนอังกฤษ

 

...ทวิช จิตรสมบูรณ์  (๗ ตค. ๕๓)

 

 

หมายเลขบันทึก: 480792เขียนเมื่อ 3 มีนาคม 2012 03:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 15:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ค่ะเห็นด้วย 1000% ค่านิยมสมัยนี่แปลกค่ะ ส่งลูเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ ตั้งแต่อยู่อนุบาล เข้าเรียนก็ต้องโปรแกรมeng ของเอกชนชื่อดัง ไม่รู้เหมือนกันว่า เวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีคณะเทวดาน้อย หรือเปล่า ก็เห็นมีคณะเหมือนๆกันทุกมหาวิทยาลัย บางคนจบโรงเรียนวัดก็สอบติดแพทย์ วิศวะเหมือนกัน

การสอบเข้ามหาประลัยไทย ภาษาอังกฤษเขาบังคับครับ ส่วนภาษาไทยไม่บังคับ ...โอว...ถึงเวลาสิ้นชาติแล้วครับ

เพราะภาษานั้นถือเป็น “วัฒนธรรม” ที่สำคัญที่สุดของประเทศ

มีคนคุยให้ฟังว่า"การพัฒนาของเรา ถึงเวลาแล้วที่ ถอยหลัง..รุก ย้ำถอยหลังรุกทางวัฒนธรรม"

หลวงพ่อเงื่อม (พุทธทาสภิกขุ) น่าจะเป็นคนแรกที่เสนอว่า ไทยเราน่าจะพัฒนาแบบ "ถอยหลังลงคลอง" เพราะเราพัฒนาแบบเดินหน้ามานานจนน่ากลัวว่าจะ "ตกคลองตาย" กันหมดเสียก่อน ดังนั้นควรย้อนถอยหลัง กลับมาตั้งหลัก เพื่อคิดกันให้ดีว่า จะเดินหน้าต่อไปแบบไรแน่

I think your are right about "wasting time and national resources for most students". English should be learned on demonstrated 'sufficient need' basis but not on the 'catch-all' basis (which is wasteful).

English as a second language (ESL) should be "elective" and so are Chinese ( Mandarin or ...), Pali, Yawi (Arabic), Vietnamese, ... for primary and secondary schools. English should be mandatory for tertiary education (especially for doctors, teachers, sciences and technologies) before of the international acceptance of English as the common language.

English improvement programs should be directed toward teachers, doctors and (certain nurses), engineers, and certain defense forces, public servants, police, and local emergency personnel (in that order).

At present, we have English teachers who can't speak English (properly). We have doctors and engineers who can't work overseas because of they can't speak English. We have public figures who err, arh, umm in wrong numbers crossing over time lanes (tenses) without giving understandable signals. ...

Self-study in second languages can be promoted and made available to all public at community centres (as กศน. night or weekend classes) -- perhaps with (local or national) government subsidy.

 

ท่าน sr พูดมา make a lot of sense

เราไม่ควรหว่านแห แบบมั่วๆ แต่เหวียงแบบจำเพาะจุด ที่มีปลาชุม ดังที่ผมได้ว่าไว้แล้ว

พวกลูกคนรวยๆ อยากให้ลุกเก่งอังกฤษ ก็ส่งไป "เรียนพิเศษ" เอาสิครับ เพราะท่านมีศักยภาพอยู่แล้ว ไม่ต้องมาทนทรมานเรียนร่วมกับลูกคนจนๆ ที่อย่าว่าแต่อังกฤษเลย เพราะพูดกันแบบไทยๆ ยังไม่รู้เรื่อง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท