หนามยอก..ต้องเอาหนามบ่ง


คำตอบของปัญหา เราไม่ต้องไปคิดให้มันซับซ้อน บางทีคำตอบมันก็อยู่ที่ตัวปัญหานั่นเอง..ถ้าเรามองปัญหาให้ออก

นี่เป็นบันทึกแรกในบล็อกของข้าพเจ้า...ดีใจมาก เพราะว่าจะสมัครได้ใช้เวลาอยู่นานทีเดียว เพราะใช้อินเทอร์เนตที่บ้าน..(ช้ามาก..เพราะเนตฟรี 55)

เรื่องที่อยากจะบันทึกเป็นเรื่องแรก ตามที่ตั้งชื่อบันทึกไว้ ความจริงเป็น เรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับฟังมานานแล้ว จากคนใกล้ตัวของข้าพเจ้าเอง ซึ่งเค้าเป็นคุณครูอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.อุทัยธานี

เรื่องมีอยู่ว่า...

ตอนที่เค้าไปบรรจุใหม่..มีเด็กนักเรียนชั้น ป.3 อยู่คนหนึ่ง ซึ่งเค้าได้ไปเป็นครูประจำชั้นพอดี ครูท่านอื่น ๆ บอกว่า เด็กคนนี้มีนิสัย "ขี้ขโมย"มาก เช่น ขโมยของเพื่อน , หนังสือห้องสมุด และ เงินของครูด้วย นับว่าเป็นพฤติกรรมที่อันตรายมากหากไม่รีบแก้ไข ครูบางท่านบอกว่าเด็กคนนี้เป็น "โรคจิต" ก็มี

ครูคนนี้..ใช้วิธีแก้ปัญหาเด็กคนนี้ โดยการ "ให้" ครูคนนี้เริ่มด้วยกันให้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เสื้อกีฬาเก่า ๆ ของเค้าเอง , สมุด , ดินสอ ,ยางลบ,ไม้บรรทัด  ฯลฯ ในสิ่งที่สามารถจะให้ได้

และครูคนนี้ก็สังเกตพบว่า..เด็กนักเรียนคนนี้มีจุดเด่นคือ..มีความเป็นผู้นำอยู่ในตัว ซึ่งนับว่าเป็นข้อดีของเด็กคนนี้ 

ครูก็เลยใช้จุดเด่นตรงนี้ โดยการให้เด็กคนนี้เป็นตัวแทนของครูในการดูแลเพื่อน ๆ เวลาที่ครูไม่อยู่

จากการใช้กลยุทธ์นี้ในการแก้ปัญหา...ใช้เวลาเกือบ 1 เทอม..เด็กคนนี้หายจากพฤติกรรมการเป็น "เด็กหัวขโมย" ไปโดยสิ้นเชิง  ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นผู้สอดส่องดูแลเพื่อน ๆ หากใครขโมยของเพื่อนก็จะเป็นคนมารายงานให้ครูทราบ  นับว่ากลยุทธ์ "การให้" ของครูคนนี้ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหา "เด็กหัวขโมย" ประจำโรงเรียนได้

งานนี้...ส่งผลให้พ่อและแม่ของเด็กคนนี้ดีใจมาก ที่ลูกของตนเองไม่มีพฤติกรรมขี้ขโมยอีกต่อไป (เพราะพ่อและแม่ของเด็กคนนี้ก็ทราบอยู่ว่าลูกของตนเองมีพฤติกรรมขี้ขโมยเพราะครูท่านอื่นๆ เคยเรียกมาพบแล้ว แต่ก็ยังแก้ไขไม่ได้)

เรื่องนี้...ก็เป็นที่มาของชื่อบันทึก "หนามยอก..ต้องเอาหนามบ่ง" อย่างที่ว่า  คำตอบของปัญหา เราไม่ต้องไปคิดให้มันซับซ้อน บางทีคำตอบมันก็อยู่ที่ตัวปัญหานั่นเอง..ถ้าเรามองปัญหาให้ออก

ปล.ขอขอบคุณเรื่องเล่าจากครูคนเก่งคนนี้...ซึ่งก็คือสามีของข้าพเจ้าเอง อิอิ...

หมายเลขบันทึก: 48015เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2006 17:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 10:37 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)
  • สวัสดีเพื่อนปุ้ย
  • เราก็ตกใจ นึกว่าสาวสวย ๆ ที่ไหนเข้ามาสร้างบล็อกใหม่ ที่แท้เพื่อนปุ้ยของเรานี่เอง
  • ขอแสดงความยินดีด้วยจริง ๆ เพื่อนปุ้ย
  • "นายแน่มาก"
  • นี่ไง การอยากจากใจแบบสุด ๆ
  • บันทึกแรกของนายเขียนได้ดีมาก
  • เราจะติดตามและให้กำลังใจนายเสมอ
  • ขอพลังแห่งความรู้และปัญญาสถิตกับนายตลอดไป

ขอแสดงความยินดีกับ Blogger ที่แสดงความพยายามสร้าง Blog นี้ขึ้นมาทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ค่อยมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์หรือความรู้เรื่อง Blogเลย แต่ก็สามารถสร้าง Blog ขึ้นมาได้ ด้วยพยายามจริงๆ  นี่ละน่าที่สุภาษิตโบราณที่เค้าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น

   หวังว่า Blog แรกนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับสังคมเราแม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่ง แต่ถ้าเราหลายๆคนช่วยกันมันก็จะมากมายมหาศาล ทำให้สังคมที่แย่ๆในปัจจุบัน ดีขึ้นมาได้ และหวังว่าในการทำ Blog นี้จะช่วยพัฒนาความรู้ในด้วน KM และความรู้ในด้านคอมพิวเตอร์ของผู้เขียนไปพร้อมๆกัน

  เรื่องเด็กขี้ขโมย  จริงแล้วการที่เด็กขโมยของ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีคนห้ามมีคนปามสั่งสอนมีคนบอกถึงเหตุผลว่ ามันไม่ดียังงัย เขาก็จะเลิกการขโมยไปเองเพราะไม้อ่อนดัดง่าย เด็กทุกคนมีความต้องการเหมือนกับผู้ใหญ่ ในเมื่อเขาไม่มี ทำอย่างไรล่ะ เขาถึงจะได้ บางคนก็เก็บเงินซื้อ เอง บางคนก็ขอพ่อ แม่ แต่ถ้าไม่มีทั้งสองอย่างนี่ล่ะ ก็ต้องหันมาขโมยเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง  เพราะฉนั้นการที่เราจะแก้ปัญหา เราก็ต้องรู้ปัญหานั้นก่อน ว่าทำไมเด็กถึงขโมยของ เพราะปัญหาของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน ในกรณีนี้ เด็กขโมยเพราะเขามีความต้องการสิ่งที่เขาไม่มีเช่น การที่เขาขโมยสมุดดินสอของเพื่อนหรือของห้องสมุดก็เพราะเขาไม่มีใช้  การที่เขาขโมยเงินของครูก็เพราะเขาไม่มีเงินกินขนม ครูจับได้ก็ลงโทษด้วยการตี จับได้ทุกครั้งก็ตีทุกครั้งแต่เด็กก็ยังขโมยเหมือนเดิม การลงโทษด้วยการตีไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่บางสถานการณ์มันใช้ไม่ได้ผล

 จริงแล้วปัญหานี้มันก็เป็นปัญหาของสังคมไทย พ่อแม่เลิกกันก็ส่งผลกระทบถึงลูก นำไปฝากตากับยายเลี้ยง ทำให้ขาดความรักความอบอุ่น ตายายให้ได้มั้ย ได้ครับ แต่เทียบไม่ได้กับ ความอบอุ่นจากพ่อแม่

  ก็หวังว่าปัญหาสังคมนี้ ครูจะช่วยได้  มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ปัญหาของครูเองทุกวันนี้เท่าที่ผมได้สัมผัสมันก็เยอะมาก มันจุกจิก จิปาถะมาก การสอนเด็กน้อยหรือเด็กประถม มันสอนวิชาการอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ เราต้องเป็นพ่อแม่คอยอบรมเค้า ไม่ไช่เอาตัวเองหรือเด็กคนอื่นเป็นที่ตั้ง  ต้องเอาเด็กคนนั้นแหละเป็นที่หลัก

ในกรณนี้ เราก็ต้องให้ครับ ให้ทุกอย่างที่พึงจะมี มันอาจจะไม่มากแต่ถ้าเป็นหัวใจของเด็กชายคนหนึ่งซึ่งเขาแทบจะไม่ได้อะไรจากใครเลย มันมากมายและยิ่งใหญ่ มันอาจจะไม่ใช่เงินเยอะๆ  แต่สิ่งของที่เราให้ด้วยความรัก คนรับเขาก็จะได้ความรักจากเราด้วยครับ

  นอกจากสิ่งของที่เราให้เราก็ต้องให้ ความใว้วางใจจากเราและเพื่อนๆเขาด้วย ด้วยการมอบหมายงานให้ หรือใช้งานต่าง ที่สำคัญเราให้ความภาคภูมิใจกับเขาเมื่อเขาทำความดี  แค่ชมเขาต่อหน้าเพื่อนๆหรือ ญาติๆของเขา    การทำให้เด็กเก่งเป็นเรื่องดีครับ แต่ทำใด้เด็กเป็นคนดีเก่งกว่าครับ แล้วถ้าเก่งด้วยดีด้วย สุดยอดไปเลยครับ

ปล.ผมคือครูคนนั้นเองครับ

ต้องขอขอบใจเพื่อนจอนมากเลยนะ ที่ช่วยเข้ามาให้กำลังใจ เรื่องนี้แบบไม่มีฉบับร่างเลย เขียนสด ๆ เลยอ่ะค่ะ

แล้วก็ต้องขอขอบคุณเจ้าของเรื่องที่ข้าพเจ้าเอามาเล่า (สามีข้าพเจ้าเอง) ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มเรื่อง "หนามยอก..ต้องเอาหนามบ่ง" ให้ข้าพเจ้าได้เป็นอย่างดีเลย ชอบมาก ในคำพูดในหลาย ๆ ช่วง

  • แต่สิ่งของที่เราให้ด้วยความรัก คนรับเขาก็จะได้ความรักจากเราด้วยครับ
  • การทำให้เด็กเก่งเป็นเรื่องดีครับ แต่ทำใด้เด็กเป็นคนดีเก่งกว่าครับ แล้วถ้าเก่งด้วยดีด้วย สุดยอดไปเลยครับ

ปล. แนะนำว่าให้ไปเปิด blog เป็นของตัวเองก็จะดีนะคะ อิอิ

.. โอว้ววว .. และแล้วสาวเจ้าก็สามารถสร้าง Blog เป็นของตัวเองได้สำเร็จซะทีนะ.. หลังจากที่ใช้ความพยายามอยู่นาน น น น...

ทีนี้ จะขอแสดงความคิดเห็นหลังจากที่ได้อ่านบทความเรื่องเด็กขี้ขโมยข้างต้นนะ..

เรื่องราวทั้งหมด บ่งบอกได้ว่า ครูคนนั้น ช่างใช้วิธีแก้ไขได้เยี่ยมจริงๆ อิ-อิ .. หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง .. ได้ผลจริงๆแหะ.. รู้จักเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ได้ถูกที่ถูกทางค่ะ.. ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า การที่ครูได้สร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับตัวเด็ก โดยการให้เค้าได้รับบทบาทเป็นตัวแทนครู คอยสอดส่องดูแลพฤติกรรมเพื่อนในชั้นเวลาครูไม่อยู่ นับว่าเป็นกลวิธี ที่สร้างความเชื่อมั่น ทำให้เค้าอยากเป็นผู้นำกลุ่ม และไม่คิดจะกลับไปเป็นเด็กขี้โมยคนเดิมอีกต่อไป.. และสามารถตอบโจทย์ได้ว่า เราควรจะคิดหาวิธีการแก้ไขพฤติกรรมแย่ๆของเด็ก โดยการค้นหาจุดเด่นในตัวเค้าออกมา สร้างความมั่นใจ ไม่ให้เค้าเกิดปมด้อย ... เท่านี้ ก้อจะทำให้ตัวเด็กเองเกิดความภาคภูมิใจ และอยากที่จะแสดงออกถึงส่วนที่ดีๆค่ะ..

เห็นด้วยอย่างยิ่งคร๊าบ
อ้อลืมสวัสดีคุณครูโด้ย

สนุกดีblogเพื่อนใึครน้า ฮา ฮ่า ฮา
ป้อง เอง เพื่อนไกลบ้าน

ขอบใจป้องมากเลย ที่เข้ามาอ่านบันทึกของเรา

ไม่แปลกเลยปุ้ย  ที่สร้าง blog ยาก แค่จะ  comment กว่าจะเข้าได้ยังยากเลย ...แต่ ของมันดียังไงก็ต้องพยายาม จนได้นะ  ............

  จากบทความที่อ่าน นะต้องยกความดีให้อาจารย์เลยแบบว่าแก้ปัญหาได้ดีมาก ถือว่ามีวิสัยทัศน์ก็ว่าได้ เป็นแบบอย่างของอาจารย์ที่ดีทีเดียว  และทำให้รู้ว่า ที่มีหลาย ๆ คนมักบอกว่า ...แต่ละคนนั้นมีคุณค่าในตัวเองเสมอ ....นั้นจริงเพียงแต่ว่าเขาเหล่านั้น จะได้รับโอกาสในการแสดงคุณค่าของตัวเองหรือเปล่า ...บทความนี้ยังบอกเราด้วยว่าอย่าตัดสินคนแต่เพียงสิ่งที่เราเห็น  เพราะในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น  และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มักมีประโยชน์เสมอขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกมองด้านไหนก็เท่านั้นเอง

  • ขอบใจมุกมากเลยจ้า..ที่เข้ามาอ่าน blog ของเรา แล้วเราก็ชอบคำพูดของมุกด้วย  เราก็เห็นด้วยกับคำที่มุกบอกว่า อย่าตัดสินคนแต่เพียงสิ่งที่เราเห็น  เพราะในความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น  (เพราะเราก็เคยเจอมาแล้ว)
  • และทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มักมีประโยชน์เสมอขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกมองด้านไหนก็เท่านั้นเอง
  • นี่แหละ...คือสิ่งที่เราต้องการแชร์กันกับเพื่อน ๆ หรือคนที่เข้ามาอ่านบันทึก จะได้มุมมองหรือข้อคิดดี ๆ ขึ้นอีกเป็นกองเลย :D

หวัดดี้จ้า ครูปุ้ย ขอโทษที่เข้ามาช้า แต่ก้อคงไม่สาย เพราะการเริ่มต้นไม่มีคำว่าสาย อยู่แล้วจริงปล่ะ เรื่องที่ปุ้ยเขียนเป็นเรื่องที่ทำให้เราคิดได้ว่าปัญหาแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นย่อมมีแนวทางแก้ไขอยู่ในตัวเอง อ่านแล้วได้มุมมอง เพิ่มขึ้นเลยทำให้รู้ว่าวิธีแก้ปัญหามักมากลับปัญหาด้วยเพียงแต่ต้องค้นหา หรือมองให้เห็นเท่านั้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท